เจริญพร ขอให้มีความสุขสมหวังและ ถึงความสิ้นทุกข์ในเวลาอันใกล้โดยง่ายเทอญ

ยินดีต้อนรับ สหธรรมิกผู้มีใจเป็นกุศลทุกๆท่านครับ

ขอเรียนเชิญ สหธรรมิกทุกๆท่านมาร่วมศึกษาและปฏิบัติธรรมของพระพุทธองค์ รวมทั้งแบ่งปันความรู้ ข้อคิด คำแนะนำ ด้วยใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาครับ

" ความมืดแม้ทั้งโลก ก็บดบังลำแสงเพียงน้อยนิดมิได้ "


สันโดษ

สันโดษ
สุขใด เสมอความสงบ ไม่มี

หน้าเว็บ

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
อดีตที่ผ่านมาเป็นบทเรียน อโหสิให้ทุกคน แต่อย่ามีเวรกรรมร่วมกันอีกเลย

ผู้ติดตาม

วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เมืองไทยไปทางไหน?



จากใจ บ.ก. ใกล้ตัว - ฉบับที่ ๑๒๓

เมืองไทยไปทางไหน?

dungtrin

ช่วงนี้เห็นจะไม่มีเรื่องไหนน่าคุยเท่าเรื่องการเลือกตั้ง
และเสียงมักไม่ใช่ "เธอจะเลือกพรรคไหน?" เหมือนแต่ก่อน
ทว่าเป็น "จะเกิดอะไรขึ้นอีกหลังเลือกตั้ง?"

เมืองไทยเรามาถึงจุดนี้แล้ว คนคิดกันอย่างนี้แล้ว
คำถามที่ประชาชนให้คำตอบประชาชนไม่ได้ คือ
"
แล้วเมืองไทยจะไปทางไหน?"

ไม่เป็นไรครับ เมืองไทยเราดวงแปลก
ทำท่าจะตก ก็ไม่เห็นเคยตกจริงสักที
ต้องมีอะไรมาช่วยช้อนวันยังค่ำนั่นแหละ

ถ้าพูดถึงระดับโลก ไม่พูดเฉพาะระดับประเทศ
ผมเชื่อมานานแล้วว่ายุคนี้สื่อครองโลก
ใครครองสื่อหลักได้ คนนั้นมีอำนาจที่สุดในโลก
สื่อหลักในปัจจุบันถูกรับใช้จากอำนาจสองขั้ว
ขั้วอันดับหนึ่งคือการบันเทิง ขั้วอันดับสองคือการเมือง

ขั้วการบันเทิงทำให้ชีวิตครอบครัวเปลี่ยนไปตลอดกาล
การทำแท้งและการหย่าร้างมากขึ้น
ปริมาณคนฟุ้งซ่านมากขึ้น
จำนวนคนที่งงกับชีวิตตัวเองทวีตัวมากขึ้น
เด็กโตขึ้นมาแล้วไม่รู้จะทำอะไรดีมีมากขึ้น

ขั้วการเมืองทำให้ความคิดของสังคมระดับโลกต่างไป
คนส่วนใหญ่ไม่ว่าประเทศไหน
ถูกหลอกให้เข้าใจว่าตัวเองเลือกข้างถูก
ด้วยข้อมูลและข้อเท็จจริงบางส่วน
ผสมกับการรับฟังคารมของคนที่ตนชื่นชอบบ่อยๆ
ก่อให้เกิดความรู้สึกต่อต้านหรือเกลียดชังฝ่ายตรงข้าม
ประกอบกับที่สื่ออินเตอร์เน็ต
เปิดโอกาสให้ "ระบายความในใจ" กันชนิดถึงลูกถึงคน
จำนวนคนก่อวจีทุจริตจึงเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ
อินเตอร์เน็ตส่วนหนึ่งกลายเป็นเครือข่ายมืด
ที่ปรับรูปความคิดของผู้คนให้น่าเกลียดน่ากลัว
และเห็นกันจนชินตาเป็นเรื่องปกติ รู้สึกธรรมดาๆไป

ไม่ว่าจะเดินทางไปประเทศไหน
คุณจะเห็นร่องรอยอิทธิพลของสื่อทั้งสองขั้วนี้เหมือนๆกัน
ไม่มีใครดีกว่ากันหรือเลวกว่ากั
เราจึงได้ข้อสรุปว่ายุคสื่อสารมวลชนทันตาทันใจนั้น
ให้ผลเป็นบวกในแง่ที่ทำให้โลกแคบลง
แต่ก็ให้ผลเป็นลบในแง่ที่ทำให้เชื้อโรคทางวิญญาณแพร่ง่ายขึ้น

ตัวแปรของประเทศเรายังมีอีกตัวหนึ่ง
ที่ทำให้จิตใจผู้คนอ่อนโยนลงได้
นั่นคือตัวแปรทางศาสนา
นึกถึงศาสนา ก็คือนึกถึงความรู้สึกด้านดีทางจิตวิญญาณ
ผมไม่ได้พูดเจาะจงเฉพาะศาสนาพุทธ
ไทยเรายังมีคนเคารพศรัทธาศาสนาต่างๆอยู่มาก
นับว่าโชคดี มีโอกาสทางจิตวิญญาณมากกว่าหลายประเทศ
ที่ปัจจุบันมีการวิเคราะห์วิจัยอย่างเป็นรูปธรรม
และเห็นแนวโน้มว่า "คนไม่มีศาสนา" จะเป็นประชากรส่วนใหญ่
หมายความว่าประเทศนั้นกำลังเข้าสู่ยุค "ประเทศที่ไร้โบสถ์"
ไม่มีใครหาความชุ่มชื่นจากกิจกรรมทางศาสนากันอีก

เสียดาย... ตัวแปรทางศาสนาในปัจจุบัน
ยังไม่อาจแบ่งพื้นที่มาจากสื่อหลักได้
อย่าว่าแต่จะขยับเลื่อนชั้นขึ้นมาเป็นอีกขั้วหนึ่ง
แข่งกับขั้วบันเทิงและขั้วการเมือง

เอาล่ะ สรุปเสียที เมืองไทยไปทางไหน?
ก็ไปในทิศทางเดียวกับที่
กระแสเชี่ยวกรากของโลกาภิวัตน์พาไปนั่นแหละครับ
ตราบใดที่สื่อทางศาสนายังไม่มีฐานะเป็นขั้วอำนาจ
ผู้คนก็จะฟุ้งซ่านกันมากขึ้น ชีวิตดูมั่วๆกันมากขึ้น
แต่ละวันเต็มไปด้วยอะไรเลอะๆเทอะๆ
ที่กี่วันก็ทำความสะอาดไม่เสร็จกันสักที

อย่าเรียกร้องให้โลกเย็นลงเพื่อคุณ
ให้คุณเย็นลงเพื่อโลกจะเป็นไปได้จริงกว่า

ดังตฤณ
มิถุนายน ๕๔

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น