บทความ: "ผัสสะบริสุทธิ์" คำตอบสุดท้ายของนิพพาน
>>>คลิกดูวิดีโอ ที่นี่ !!!<<<
ผัสสะบริสุทธิ์ : รู้อย่างพอดิบพอดี
สมมุติว่าคุณกำลังยืนอยู่กลางทุ่งโล่งแจ้งแห่งหนึ่ง มองสุดลูกหูลูกตาแล้วก็เห็นแต่ที่กว้าง โดยหลักวิทยาศาสตร์แล้ว คุณไม่สามารถบอกได้ว่า ขณะนั้น คุณกำลังยืนอยู่ตรงกลาง ชิดค่อนไปทางซ้าย หรือ ทางขวา หรือ ส่วนบน หรือ ส่วนล่างของที่ดินผืนนี้ คุณพูดไม่ได้ เพราะว่า คุณไม่มีพรมแดนที่จะวัดเปรียบเทียบจุดยืนของคุณ หากคุณต้องการทราบว่าคุณยืนอยู่จุดไหนแล้ว คุณจำเป็นต้องกั้นพรมแดนขึ้นมาก่อน เอาเสามาปักให้รอบตัวคุณ แล้วคุณก็เอาเสานั้นเป็นหลักเกณฑ์ในการวัด คุณจะรู้แน่ชัดว่า ขณะนี้คุณยืนอยู่ตรงกลาง ชิดซ้าย ชิดขวา ค่อนไปข้างบน หรือ ข้างล่างโดยเอาพรมแดนของเสาหลักนั้นเป็นเกณฑ์
ดิฉันได้อธิบายอย่างแจ่มแจ้งในบทที่หนึ่งภาคผนวกของเรื่องอวดอุตริ…ว่า ไอน์สไตน์พยายามค้นหาจุดนิ่งในจักรวาลเพื่อเขาสามารถวัดสิ่งต่าง ๆ เพื่อหาค่าอันคงที่ได้ แต่เขาหาไม่พบ จึงได้ทฤษฎีสัมพัทธภาพออกมา ซึ่งดิฉันได้พูดแล้วว่า ที่จริง จุดคงที่ในจักรวาลนั้นมีอยู่ และมันคือ สภาวะพระนิพพาน ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงตรัสไว้แล้ว ดิฉันยังได้อธิบายต่อโดยชี้ให้เห็นว่า สภาวะพระนิพพานไม่ใช่เป็นจุดคงที่ที่ไม่เคลื่อนไหวเลย โดยใช้การเปรียบเทียบของรถไฟสองขบวนที่เคลื่อนด้วยความเร็วพร้อมกัน จะพบจุดนิ่งอันไม่เคลื่อนเลยในระหว่างรถไฟสองขบวนนี้ สภาวะนั้นแหละคือ พระนิพพาน
นิพพานคือ การจับรถไฟขบวน “ที่นี่ เดี๋ยวนี้”
ดิฉันยังได้โยงให้คุณเข้าใจอย่างชัดเจนว่า การปฏิบัติสติปัฏฐานสี่จะสามารถช่วยให้คุณเข้าถึงสภาวะนั้นได้ โดยการจับรถไฟขบวน “ที่นี่ เดี๋ยวนี้” ให้ทัน เมื่อคุณสามารถเอาตาใจมาเกาะเกี่ยวกับของจริง ๆ เช่น ลมหายใจ หรือ การเคลื่อนไหวของมือและเท้าโดยที่ไม่มีเสียงของความคิด (จิต) ในหัวแล้ว เมื่อนั้น คือ การจับรถไฟขบวน “ที่นี่ เดี๋ยวนี้”แล้ว คุณได้เข้าถึงสภาวะพระนิพพานแล้ว หากคุณไม่สามารถปล่อยความคิดสุดท้ายได้ และติดอยู่ในความคิดของอดีต ก็หมายความว่า คุณจับรถไฟเที่ยวที่วิ่งช้ากว่าขบวน “ที่นี่ เดี๋ยวนี้” หากคุณติดอยู่ในความคิดของอนาคต คุณก็จับรถไฟขบวนที่วิ่งเร็วกว่าขบวน “ที่นี่ เดี๋ยวนี้” ต่อเมื่อคุณหยุดคิดเท่านั้น คุณก็สามารถกระโดดขึ้นรถไฟขบวน “ที่นี่ เดี๋ยวนี้” ได้ทันที แล้วคุณก็สามารถเคลื่อนที่ไปพร้อมกับจักรวาลทั้งหมดที่เคลื่อนมาแล้วตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ และจะเคลื่อนต่อไปอีกนานเท่าไรก็ไม่รู้ ซึ่งไม่จำเป็นต้องรู้ (เรื่องอจินไตย รู้ไม่ได้) ที่สำคัญคือ คุณได้เคลื่อนพร้อมกับที่นี่ เดี๋ยวนี้แล้ว เพราะนั่นคือ สภาวะพระนิพพาน หรือ สภาวะอมตะ eternity หรือ สภาวะที่ไม่ตาย immortality คุณก็เคลื่อนไปกับสภาวะอมตะนั้นจนกระทั่งกายเนื้อของคุณแตกสลาย แล้วก็หมดเรื่องหมดราว จักรวาลก็ยังคงเคลื่อนต่อไปอยู่เช่นนั้นอย่างไม่หยุดยั้ง ถ้าคุณอยากรู้ว่าแล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับจักรวาลแม้คุณได้จากไปแล้ว คุณก็สามารถเอาเรื่องนี้ไปปะติดปะต่อกับเรื่องกาลเวลาในพระพุทธศาสนาที่ดิฉันเขียนไว้ในคู่มือชีวิต ภาคกฎแห่งกรรม คุณก็จะได้ภาพชัดเจนว่าอะไรเป็นอะไร และทำไมคนไทยโบราณจึงพูดว่า โชคดีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา ไม่เสียชาติเกิดแล้ว
ดิฉันนำเรื่องนี้ขึ้นมาพูด เหตุผลแรกต้องการชี้ให้คุณเห็นอีกว่า พระนิพพานไม่ใช่เป็นเรื่องสุดไกลแผ่นดินโลกเลยหากเราสามารถเลี่ยงมาใช้คำว่า "ที่นี่ เดี๋ยวนี้” ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นสภาวะที่อยู่กับคนทุกคน มนุษย์ทุกคนและสัตว์ทุกตัวล้วนกำลังเคลื่อนไปกับ “ที่นี่ เดี๋ยวนี้” ทั้งสิ้น ไม่มีใครยกเว้นเลย ต่างกันตรงที่ว่า รู้หรือไม่รู้เท่านั้น ถ้าญาณปัญญาไม่เกิด ก็ไม่รู้ แม้คนรู้บอก คนไม่รู้ก็ยังไม่อยากเชื่อว่านั่นจะเป็นสภาวะพระนิพพานได้อย่างไร ซึ่งเป็นปัญหาที่คนไม่รู้ต้องพยายามทำความเข้าใจด้วยจิตใจที่อ่อนน้อม ถ่อมตน ไม่หยิ่งยะโส ไม่อวดเก่ง ปัญหาที่คนบางกลุ่มไม่ยอมรับข้อเท็จจริงนี้จากดิฉัน เหตุผลหนึ่งมาจากวัฒนธรรมทางศาสนาที่มักนำคุณค่าพระนิพพานใส่พานและตั้งไว้บนหิ้งบูชาสูง ๆ ผู้สอนที่รู้มักจะมีน้อยกว่าผู้สอนที่ไม่รู้ เมื่อผู้สอนไม่รู้เรื่องพระนิพพานเสียเอง จึงถนัดพูดเรื่องนิพพานให้เป็นเรื่องลึกลับ ไกลตัว ยากเย็นแสนเข็ญเพื่อปิดบังความไม่รู้ของผู้สอนเอง หรือด้วยความโง่เขลาเบาปัญญา จึงไม่มีการสืบทอดภูมิปัญญาที่แท้จริงของพระนิพพาน ฝุ่นผงเศษขยะจึงเกาะ ปิดบังคุณค่าและความรู้ที่แท้จริงของพระนิพพานจนบัดนี้หนาเขรอะไปหมด การมาเปิดเผยเช่นนี้ย่อมเป็นเรื่องยากมากและเชื้อเชิญการท้าทายซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาและเป็นเรื่องดีมาก เพราะทำให้ภูมิปัญญาของคนเบ่งบาน เนื่องจากถูกบังคับให้ต้องชั่งตวงอย่างถี่ถ้วน ผู้ที่ทนทานต่อการท้าทายได้คือ ผู้ที่มีเหตุผลหนักแน่นและเหนือกว่าเท่านั้น เพราะศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ตั้งอยู่บนหลักการของเหตุผล ไม่ได้ให้คนเชื่ออะไรงมงาย เชื่อเรื่องลึกลับ ผู้เห็นพระนิพพานอันเป็นพรมแดนสุดท้ายอย่างแท้จริงจะสามารถหาเหตุผลที่หนักแน่นมายันกันได้เสมอ เพราะสามารถสาว โยง เชื่อม ทุกข้อสงสัยต่าง ๆ ไปสู่พระนิพพานอันเป็นที่สุดสิ้นของความสงสัยทุกอย่างได้ จะไม่พูดอะไรที่ออกจากมุมมืดของความไม่รู้
นี่เป็นเหตุผลหลักที่ดิฉันจำเป็นต้องพูดอย่างไม่ปิดบังว่าได้รู้เห็นพระนิพพานแล้ว มิเช่นนั้น การพูด การอธิบายอย่างเป็นเหตุเป็นผลต่อกันจะเกิดไม่ได้เป็นอันขาด จะเป็นการพูดที่แตกซ่าน ต่อไม่ติด และขาดบุคลิกของตนเอง ฉะนั้น ตัวหนังสือของดิฉันทั้งหมดจะเชื่อมโยง ติดต่อ ประสานกันอย่างเหนียวแน่น โยงถึงกันได้หมด มิใช่เป็นเรื่องการเจีรนัยข้อธรรมหรือพุทธพจน์เป็นข้อ ๆ หมวด ๆ ที่แตกแยกกัน ดังที่ได้บอกแล้วว่า เมื่อฐานที่หนึ่งกับฐานที่สี่พบกันอย่างครบวงจรแล้ว ผู้นั้นจะสามารถเดินเข้าบ้านโน้นออกบ้านนี้ได้อย่างคล่องแคล่ว แม้จะออกจากบ้าน (คิด) ก็ยังกลับบ้านได้เสมอ ไม่มีวันหลงทางอีกแล้ว จึงสามารถเป็นที่พึ่งให้ผู้อยู่ในความมืดได้อย่างแท้จริง เหตุผลหนึ่งที่ดิฉันอยากให้คุณคิดใคร่ครวญให้ดีคือ ถ้าพระนิพพานไม่ได้อยู่ตรงที่คุณกำลังยืนอยู่ นั่งอยู่ นอนอยู่ เดินอยู่ ทำอะไรต่อมิอะไรอยู่แล้ว คุณคิดว่า คุณจะไปหาพระนิพพานที่ไหนหรือ ถามจริง ๆ ฉะนั้น การรู้จักพระนิพพานอย่าง ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ย่อมเป็นเหตุเป็นผลที่ฟังขึ้นและหนักแน่นกว่าการคิดว่าเป็นเรื่องไกลโพ้น ทำให้พระนิพพานเป็นเรื่องใกล้ตัว ของคนทุกคนทันที และทำให้เป็นจริงได้ง่ายขึ้น
การเข้าถึงพระนิพพานไม่ได้เป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญอย่างที่วัฒนธรรมทางศาสนามักทำให้คิด ที่จริงง่ายกว่างานอาชีพที่ต้องฝึกฝนกันเสียอีก เช่น อาชีพหมอ นักวิทยาศาสตร์ นักบิน นักกฎหมาย นักบัญชี วิศวกร สถาปนิก นักเขียน นักร้อง นักแสดง แม้คนทำอาชีพต่ำลงมา เช่น ช่างไม้ ช่างก่ออิฐปูน ช่างกลึงเหล็ก ช่างเครื่อง อาชีพเหล่านี้ แม้เป็นเรื่องของโลก ๆ แต่ไม่ได้หมายความว่า ทุกคนสามารถฝึกฝนตนเองจนยึดเป็นอาชีพได้เหมือนกันหมด คนอยากเป็นหมอ หรือ นักบินอวกาศ ย่อมมีมากมาย แต่น้อยคนที่จะเป็นได้จริง ๆ ต้องมีความสามารถเฉพาะอย่าง แต่เรื่องการฝึกฝนตนเองเพื่อเข้าถึงพระนิพพานนั้น เป็นเรื่องของทุกคนจริง ๆ ไม่จำเป็นต้องมีความสามารถเฉพาะอย่างเลย ขอให้มีปัจจัยหลัก คือ ความอยากหลุดพ้นจากความทุกข์เท่านั้น เมื่อมีปัจจัยนี้แล้วละก็ ทำได้ทันที เพราะทุกคนทำกันอยู่แล้ว เช่น หายใจอยู่แล้ว เคลื่อนไหวเดินเหิน ทำโน่นนี่อยู่แล้ว การฝึกฝนตนเองให้ไปนิพพาน เพียงหมายความว่า ให้รู้ตัวต่อสิ่งต่าง ๆ ที่ทำอยู่แล้ว รู้ตัวให้ชัดมากขึ้น เท่านั้นเอง ทำเพียงเท่านี้ ได้เกาะกับของจริงแล้ว ก็ถึงนิพพานแล้ว เพียงแต่ต้องฝึกทักษะ ทำให้ชำนาญมากขึ้นเท่านั้นเอง เมื่อคนหมู่มากสามารถรู้จักพระนิพพานในลักษณะที่เป็นของจริง ๆ ที่อยู่ต่อหน้าเช่นนี้แล้ว โอกาสที่กาฝากศาสนาจะมาเกาะกินผลประโยชน์และความร่ำรวยของสถาบันศาสนาย่อมน้อยลง เพราะคนจะมีปัญญามากขึ้น ตัดสินได้เองว่าใครจริง ใครปลอม ใครพูดผิด พูดถูก สามารถพึ่งพาตัวเองได้แล้ว และคล้องจองกับที่พระบรมศาสดาทรงพร่ำสอนให้คนพึ่งตนเอง
ผัสสะบริสุทธิ์คือ การรู้อย่างพอดิบพอดี
เหตุผลข้อที่สองที่ดิฉันนำเรื่องนี้มาพูด เพราะอยากจะแบ่งปันประสบการณ์ของคนบางคนที่ดิฉันได้พบและสัมผัสด้วย หากพระนิพพานเป็นพรมแดนสุดท้าย เป็นที่สุดของทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว ก็หมายความว่า พระนิพพานคือ สัจธรรมอันสูงสุด ที่มนุษย์โดยทั่วไปได้พูดถึงและต้องการแสวงหาอยู่นานแล้วอย่างเช่น ไอน์สไตน์ พระนิพพานจึงไม่ใช่เป็นเรื่องของชาวพุทธเท่านั้น แต่เป็นเรื่องของชาวโลก ชาวมนุษย์โดยทั่วไป ฉะนั้น แม้ผู้ไม่ได้เป็นชาวพุทธก็สามารถเห็นความเป็นสากล universal ของพระนิพพานได้ดิฉันต้องการให้คุณเห็นว่า คนที่ดิฉันจะกล่าวถึงนี้ไม่ได้เข้ามาหาดิฉันเพราะต้องการเรียนรู้ศาสนาพุทธหรือแสวงหาพระนิพพานเลย เพราะรูปแบบภายนอกของดิฉันไม่ได้เป็นตัวแทนของสถาบันศาสนา แต่เพราะความอยากช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์นี่เอง จึงพยายามหาวิถีทางapproach ที่จะช่วยคนหลากหลายผู้มีความคิด ความเชื่อต่างกันโดยให้เขาสามารถพบกันที่จุดร่วมได้ ฉะนั้น สภาวะพระนิพพานอันเป็นสัจธรรมอันสูงสุดนี้ จึงได้กลายเป็นคำสากลที่ดิฉันเรียกว่า ผัสสะอันบริสุทธิ์ innocent perception ซึ่งเป็นคำที่ไม่มีเรื่องความเชื่อ beliefติดสอยห้อยท้ายอยู่เหมือนเป็นตรา label บอกว่า นี่ฉันเป็นชาวพุทธนะ ฉันเป็นชาวคริสต์นะ ฉันเป็นยิว เป็นอิสลามนะ เป็นคนปฏิเสธพระเจ้านะ เป็นคนที่มีความคิดทางการเมืองค่อนไปทางซ้าย ขวา หรือ ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ไม่ใช่ ผัสสะบริสุทธิ์เป็นคำที่ตั้งอยู่บนประสบการณ์experience ของผู้ทำ และผู้มีเท่านั้น เป็นคำที่ไม่มีสภาวะของการรู้ขาดหรือรู้เกิน ผู้ที่เข้าถึงผัสสะอันบริสุทธิ์ได้นั้น จะต้องรู้อย่างพอดิบพอดีจริง ๆ จึงจะสามารถกระโดดขึ้นรถไฟขบวน “ที่นี่ เดี๋ยวนี้” ได้ทัน
การรู้ขาดนี่ยังไม่เป็นปัญหามากเท่ากับการรู้เกิน การรู้เกินโดยเฉพาะจากการอ่านมาก วิเคราะห์มาก วิจารณ์มาก โดยเฉพาะวิเคราะห์พุทธธรรมอย่างเป็นปรัชญา การพูดมากในหัวตนเองนี่แหละ ความคิดเหล่านี้จะกลายเป็นจิตหรือประตูบานหนาใหญ่ที่ขวางกั้นไม่ให้ “ตาใจ”รับผัสสะบริสุทธิ์ที่อยู่ตรงหน้าของตนเองแล้วแท้ ๆ ซึ่งน่าเสียดายมาก เพราะความรู้ทางธรรมโดยตัวหนังสือนั้นมีเพียงพอแล้วที่จะทำให้เจ้าของรู้ “ธรรมตัวจริง” ได้ แต่หากยังรู้ไม่ได้ แสดงว่า การปฏิบัติของตนเองยังบกพร่องอยู่เพราะยึดมั่นในพระธรรมคัมภีร์มากเกินไป ฉะนั้น โดยวิธีการใช้ ผัสสะบริสุทธิ์ นี่แหละ ดิฉันจึงสามารถลอกคราบยี่ห้อต่าง ๆ ของคนหลากหลายที่นำมาผูกใจตนเองไว้ เมื่อเขาสามารถรู้ลมหายใจและการเคลื่อนไหวแบบไท้เก็กที่ดิฉันแนะนำให้แล้ว และการควบคุมอย่างรัดกุมในชั้นขณะที่สอนอยู่ การรู้อย่างพอดิบพอดี ไม่ขาด ไม่เกิน จึงเกิดขึ้น ทำให้คนเหล่านี้สามารถรับผัสสะอย่างบริสุทธิ์ได้ เมื่อเห็นประสบการณ์อันเป็นสัจธรรมด้วยตาใจของตนเองแล้ว คนที่มีความเชื่อหลากหลายเหล่านี้ จึงพบกันได้ที่สภาวะอันเป็นผัสสะบริสุทธิ์ หรือ สัจธรรมอันสูงสุด หรือ พระนิพพานนั่นเอง ดิฉันจึงเห็นว่า บุคคลต่าง ๆ ที่ดิฉันต้องการพูดถึงนี้สามารถสนับสนุนประสบการณ์ง่าย ๆ ธรรมดา ๆ ที่ดิฉันไม่มีความสงสัยอีกต่อไปแล้ว มั่นใจอย่างยิ่งว่า นี่คือ พระนิพพาน แน่นอน
จูเลียต
เธอเป็นหญิงแม่บ้านชาวอังกฤษที่เขียนบทนำให้หนังสือคู่มือชีวิตนั่นเอง ซึ่งดิฉันได้พูดถึงเธอไปบ้างแล้ว เพียงอยากพูดเพิ่มเติมอีกนิดหน่อย ดิฉันเคยพูดไว้แล้วว่า คนที่มาเกิดในเมืองพุทธได้นั้นย่อมต้องสร้างบารมีที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาไม่ทางใดก็ทางหนึ่งแน่นอน แต่ถึงแม้จูเลียตและฝรั่งอีกมากมายไม่ได้เกิดในเมืองพุทธ แต่คนเหล่านี้ก็มีบารมีเพียงพอที่จะชักจูงให้เขารู้จักพุทธศาสนาจนได้ จูเลียตเล่าให้ดิฉันฟังว่า เมื่อเป็นเด็กสาวอายุ ๑๔ เธอกับมารดากำลังเดินซื้อของกันอยู่ จูเลียตเห็นรูปปั้นเล็ก ๆ ที่เธอให้ความสนใจเป็นพิเศษในร้านแห่งหนึ่ง จึงถามแม่ว่า นั่นเป็นรูปปั้นอะไร มารดาตอบเธอว่า เป็นรูปพระพุทธเจ้า คงเป็นพระเจ้าอะไรสักอย่าง It’s a Buddha, some kind of god. จูเลียตไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้านั้นคือใคร แต่ก็ขอให้แม่ซื้อรูปปั้นเล็ก ๆ นั้นให้ตน หลังจากนั้น จูเลียตก็เอารูปปั้นนั้นใส่ในกระเป๋ากางเกงและพกไปไหนต่อไหนเสมอ เมื่อโตขึ้นหน่อย มีแฟน พอแฟนรู้ว่าจูเลียตชอบรูปปั้นพระพุทธเจ้า จึงมักซื้อให้เป็นของขวัญ การสะสมรูปปั้นพระพุทธเจ้าจึงมีมากขึ้น แต่เธอก็ยังไม่มีความรู้เรื่องพระพุทธเจ้าเลย จูเลียตเติบโตขึ้นมาในครอบครัวของชาวคริสต์เหมือนคนทั่วไปในประเทศนี้ อายุ ๑๖ เธอก็เริ่มตั้งคำถามเกี่ยวกับพระเจ้าว่าจะเป็นจริงได้อย่างไร ไม่สามารถคิดตามอย่างชาวคริสต์ที่ควรคิดว่า หากไม่ยอมรับพระคริสต์และพระเจ้ามาไว้ในใจแล้ว ตายไปจะถูกลงโทษตกนรกอย่างถาวร แต่ถ้ารับพระคริสต์แล้ว ก็จะขึ้นสวรรค์อย่างถาวรเช่นกัน เธอคิดตามเช่นนั้นไม่ได้ ในขณะเดียวกัน เธอก็ไม่เข้าใจว่าทำไมจึงชอบสะสมรูปปั้นพระพุทธเจ้านัก เมื่อแต่งงานมีลูก เธอได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาบ้าง รู้แล้วว่าพระพุทธเจ้าคือใคร แต่เธอก็ไม่สามารถเข้าใจคำยาก ๆ ในหนังสือเหล่านั้นได้ และไม่สามารถประสานตัวหนังสือกับภาคปฏิบัติ
จนกระทั่งอายุเข้า ๔๐ แล้ว มาเห็นแผ่นกระดาษโฆษณาชั้นไท้เก็กของดิฉัน จึงลองเข้ามาเรียนดู รู้เพียงว่าเป็นเรื่องผ่อนคลายสมอง คลายเครียด ดังที่ดิฉันเขียนเอาไว้ ในวันแรกที่เธอมาเรียนกับดิฉันราว ๔ ปีก่อนนั้นเอง เธอบอกว่า ได้พบกับความสงบในใจอย่างที่ไม่เคยประสบมาก่อน ทำให้เธอเข้าใจคำพูดทุกคำที่ดิฉันสอน และไม่สงสัยในคำพูดของดิฉันเลยแม้แต่นิดเดียว รู้ทันทีว่า ตนเองได้พบสิ่งที่ได้แสวงหาอยู่นานแล้ว เพียงแต่ไม่รู้แน่ชัดว่าได้แสวงหาอะไรเท่านั้น การเรียนในวันนั้นทำให้เธอได้คำตอบว่า ตนเองแสวงหาความสุขสงบทางใจอยู่นั่นเอง และรูปปั้นพระพุทธเจ้าที่เธอสะสมไว้มากมายเป็นเหมือนสิ่งชักนำให้เธอได้พบความรู้ของพระพุทธเจ้าในที่สุด
เรื่องของจูเลียตนี่ก็เป็นเรื่องของบุญบารมีที่ตนเองได้สะสมมาในอดีตชาติ แม้ไม่ได้เกิดในเมืองพุทธ แต่ก็มีบุญมากพอที่ทำให้ได้พบพระพุทธศาสนา แม้ทุกวันนี้ ทั้ง ๆ ที่กำลังฝึกสติปัฏฐานอยู่ จูเลียตก็ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองเป็นชาวพุทธแต่อย่างใด เมื่อสามารถเข้าสู่สภาวะที่ไม่รู้ขาด ไม่รู้เกิน แต่รู้อย่างพอดิบพอดีแล้ว เธอก็เป็นตัวของเธอเองโดยไม่ต้องติดตราอะไรทั้งสิ้น จูเลียตได้กลายเป็นเพื่อนสนิทที่ดิฉันสามารถพูดคุยอย่างเปิดอกได้
ซิม
เธอเป็นแขกอินเดียที่เกิดในเมืองอังกฤษ นับถือศาสนาซิกส์ ซิมได้มาชั้นไท้เก็กของดิฉันคงจะ ๗-๘ ปีมาแล้ว ทำงานเป็นนักวิจัยโรคมะเร็งของคณะแพทย์ศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเบอร์มิ่งแฮม เธอเป็นคนที่เห็นดิฉันถูกชาวอังกฤษชนชั้นกลางรุมหัวเราะเยาะเย้ยนั่นเอง ปลายเทอมภาคฤดูใบไม้ผลิ ราวเดือนมีนาคมของปีนี้ หลังจากสอนเสร็จแล้ว ซิมกับดิฉันก็เดินไปที่ลานจอดรถซึ่งห่างออกไปต้องเดินราว ๑๕ นาที ซึ่งอยู่ใกล้ที่ทำงานของเธอ เราสองคนคุยกันเหมือนเพื่อนสนิทมากกว่าเป็นครูกับลูกศิษย์ ช่วงนั้น ดิฉันคงมีความรู้สึกท้อใจกับการทำงานนี้มาก ไม่อยากทำงานนี้ต่อไปอีกแล้วอันเนื่องจากอุปสรรคต่าง ๆ ที่ตนเองประสบพบอยู่ อยากจะหางานอื่นทำเต็มเวลาเพื่อช่วยเหลือสามี ซึ่งมิใช่เป็นความรู้สึกครั้งแรกของดิฉัน ดิฉันจึงพูดคุยความในใจกับซิมอย่างเปิดเผย
ซิมจึงบอกดิฉันว่า “ซู เรื่องการช่วยเหลือคนไทยนั้น เป็นทางเลือกส่วนตัวของเธอ เธอจะทำหรือไม่คงเป็นสิ่งที่เธอต้องตัดสินใจเอาเอง แต่เรื่องการสอนที่มหาวิทยาลัยนี้ เธอไม่ควรเลิกสอน แม้เธอจะทำให้คนเข้าใจคำสอนของเธอได้ปีละเพียงไม่กี่คนก็ตาม มันก็คุ้มมากแล้วฉันว่าผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างเธอทำได้เท่านี้ก็เก่งแล้ว เธอเป็นคนเดียวที่สามารถอธิบายสภาวะของพระเจ้าให้ฉันฟังได้อย่างชัดเจน เธอรู้ไม๊ ฉันไปท้าทายพระที่วัดซิกส์ของฉันมาแล้ว ฉันไปถามพระว่า พระเจ้าคืออะไร เขาตอบว่า พระเจ้าคือ คำพูดที่เป็นความจริงต่าง ๆ ในพระคัมภีร์ แล้วฉันถามเขาต่อว่า แล้วความจริงในพระคัมภีร์คืออะไร เขาก็ตอบว่า คือพระเจ้า ฉันก็ถามต่อว่า พระเจ้าคืออะไรอีก ปรากฏว่า เขาตอบฉันไม่ได้ ว่า พระเจ้ากับความจริงคืออะไร เขาก็พูดวนอยู่เช่นนั้นว่า พระเจ้าคือ ความจริง ความจริงคือพระเจ้า แต่มันคืออะไรจริงๆ เขาไม่รู้ เขาตอบฉันไม่ได้ ฉะนั้น เมื่อเธอบอกพวกเราว่า ผัสสะอันบริสุทธิ์คือ ความจริงนั้น ฉันสัมผัสได้ทันที เมื่อเธอเชื่อมคำศัพท์บอกว่า นี่แหละคือพระเจ้า ฉันก็ยังยอมรับได้เช่นกัน ยิ่งวันเวลาผ่านไป และเมื่อฉันมีปัญหากลุ้มใจแล้ว ฉันก็พยายามทำตามที่เธอสอน พยายามกลับมาอยู่กับที่นี่เดี๋ยวนี้ แล้วฉันก็ดีขึ้น ที่ดีขึ้นเพราะพระเจ้าองค์ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ช่วยให้ฉันดีขึ้นนั่นเอง
บัดนี้ ฉันไม่สงสัยเลยว่า สิ่งที่เธอสอนฉันนั้นต้องเป็นความจริงแน่นอน และเธอเป็นคนเดียวที่ฉันได้พบมาที่สามารถอธิบายสภาวะของพระเจ้าอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งเช่นนี้ ฉะนั้น ขอให้ทำต่อไปเถอะ ถ้าฉันไม่ได้พบเธอ ฉันก็ไม่รู้จะแก้ปัญหาชีวิตของฉันได้อย่างไร” ทุกวันนี้ ซิมก็ยังเป็นชาวซิกส์อยู่ และไม่มีความรู้สึกว่าตนเองเป็นชาวพุทธหรือมีอิทธิพลของความเป็นพุทธอยู่ในตนเลยแม้กำลังฝึกสติปัฏฐานอยู่ เขาแก้ปัญหากลุ้มใจได้เพราะเขาสามารถอิงอยู่กับพระเจ้าของเขา พระเจ้าองค์ที่เขาเข้าใจแล้วว่าคือผัสสะบริสุทธิ์ หรือ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ นั่นเอง
ด๊อกเตอร์แอมบาสซ่า
ประมาณ ๑๕ ปีก่อน โทนี่ ซึ่งเป็นนักศึกษาชาวคามารูนได้มาเรียนกับดิฉัน เมื่อกลับไป เขาเอาความรู้เรื่องไท้เก็กกับสมาธิกลับไปสอนให้เพื่อน ๆ ชาวคามารูนของเขา ดิฉันจึงได้ติดต่อกับชาวคามารูนอย่างสม่ำเสมอมา จนกระทั่งเดือนเมษายน ๒๕๔๕ นักศึกษาชาวคามารูนกลุ่มหนึ่งก็ได้ขอร้องให้ดิฉันไปสอนพวกเขา จากการช่วยเหลือเรื่องค่าตั๋วเครื่องบินและค่าใช้จ่ายจากเพื่อนที่เป็นอัยการ คุณลัดดาวัลย์และจูเลียต ดิฉันจึงมีโอกาสได้ไปเหยียบทวีปอาฟริกาเป็นครั้งแรกในชีวิต ซึ่งได้พบประสบการณ์มากมาย การไปสอนครั้งนั้นจัดขึ้นที่เมืองหลวงยาอุนเด้ Yaounde ครั้งหนึ่ง และที่เมืองโบเย Buea อีกครั้งหนึ่ง ผู้ที่มาเรียนนั้นล้วนเป็นปัญญาชน นอกจากนักศึกษาแล้ว ก็มีอาจารย์มหาวิทยาลัยในสาขาต่าง ๆ และมีนักกฎหมายด้วย
บุคคลที่อยากจะกล่าวถึงเป็นพิเศษครั้งนี้คือ ด๊อกเตอร์แอมบาสซ่า ได้เรียนจบมหาวิทยาลัยสาขาศาสนศาสตร์ Theology แต่เน้นความรู้ด้านคริสตศาสนานิกายคาทอลิกซึ่งเป็นนิกายที่นับถือมากที่สุดในประเทศคามารูน จึงเป็นอาจารย์สอนศาสนาคริสต์อยู่ที่มหาวิทยาลัยยาอุนเด้ Yaounde เมื่อดิฉันเห็นสภาพบ้านเมืองของคามารูนที่คนส่วนมากก็ยังยากจนอยู่ มีโบสถ์ สุเหร่า อยู่ไม่น้อยนั้น ดิฉันเห็นแล้วว่าศาสนาพุทธย่อมมีโอกาสน้อยมากที่จะหยั่งรากในประเทศเช่นนี้ ดีว่าดิฉันไม่ได้คิดว่าตนเองเป็นตัวแทนของพุทธศาสนาแต่อย่างใด เดินเข้ามาในประเทศนี้ด้วยเจตนาอันบริสุทธ์ที่ต้องการเผื่อแผ่ความรู้เรื่องสติปัฏฐานสี่โดยการรำไท้เก็กให้แก่เพื่อนมนุษย์ที่มีโอกาสน้อยเหล่านี้เท่านั้น เพราะเห็นแล้วว่า พระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงมากนั้น มักจะมาเผยแผ่พระธรรมคำสอนในประเทศยุโรป อเมริกา และออสเตรเลีย ยังไม่เคยได้ยินว่ามีพระดัง ๆ ไปช่วยเหลือคนอาฟริกา จึงคิดว่า หากมีคนสนใจเรียนกับเราเช่นนี้ ก็ควรไปสงเคราะห์เขาหน่อย จึงกล้าไปคนเดียวเช่นนั้นทั้ง ๆ ที่สามี เป็นห่วง ไม่อยากให้ไป การสอนที่เมืองยาอุนเด้นั้น นักศึกษาได้ไปเช่าที่ของโบสถ์คาทอลิกแห่งหนึ่งบนภูเขาซึ่งมีธรรมชาติที่สวยงามมาก มีห้องหับให้ผู้มาร่วมงานได้พัก พร้อมอาหาร การสอนนั้น ดิฉันก็ใช้วิธีสอนเหมือนกับสอนนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยเบอร์มิ่งแฮมทุกอย่าง เพียงแต่ว่า ต้องพูดผ่านล่าม เพราะประชาชน ๘๐% พูดภาษาฝรั่งเศส เนื่องจากด๊อกเตอร์แอมบาสซ่าเป็นอาจารย์สอนศาสนาคริสต์ จึงมีคำถามมาก และล้วนเป็นคำถามที่เกี่ยวกับพระคัมภีร์ไบเบิลทั้งสิ้น การสอนครั้งนี้ดิฉันแทบไม่ได้ใช้คำศัพท์ของพุทธศาสนาเลย เพียงแต่อ้างถึงพระบรมศาสดาว่าเป็นครูท่านแรกของโลกที่พบสัจธรรมและสร้างสติปัฏฐานสี่ให้มนุษย์เท่านั้น การพูดส่วนมากจึงเกี่ยวข้องกับเรื่องพระเจ้าและพระคริสต์ทั้งสิ้น
ดิฉันพยายามคุมเกมส์การสอนโดยให้พวกเขาฝึกสติปัฏฐานไปกับการรำท่าชี่กงในช่วงเวลาสี่วันที่พวกเขามาใช้เวลากับดิฉัน เพราะความปรารถนาในการอยากเรียนรู้ของพวกเขามีมากเหลือเกิน จึงตั้งใจฟังสิ่งที่ดิฉันพูดโดยไม่มีอคติแต่อย่างใด การใช้วิธีการของขันธ์ ๕ พร้อมกล่องของเล่นของดิฉันนั้น พวกเขาสามารถเข้าใจเรื่องอายตนะที่ ๖ เรื่องการทำงานของจิตใจ หรือ ทอมกับเจอรี่ได้ทันที คำถามต่าง ๆ อันเนื่องกับมุมมืดของคริสตศาสนาและของชีวิตจึงถูกเปิดเผยออกมาโดยการเคลื่อนไปมาของตุ๊กตา ๕ ตัวที่ดิฉันใช้แทนขันธ์ ๕ นี่เอง เมื่อมาถึงภาคปฏิบัติโดยการรำท่าชี่กงอย่างมีสติอยู่กับฐานนั้น ดิฉันเห็นแล้วดูออกทันทีว่า คนเหล่านี้ได้สร้างบารมีทางธรรมมาแล้วไม่มากก็น้อยทั้งสิ้น พอเขาเข้าใจและจับหลักเรื่องทอมกับเจอรี่ได้เท่านั้น การปฏิบัติสติปัฏฐานก็ดำเนินไปด้วยดี ก่อนที่ดิฉันจะเดินทางต่อไปยังเมืองบูเยนั้น ด๊อกเตอร์แอมบาสซ่าได้เชิญดิฉันกับนักศึกษาอีกสามคนที่เขาคุ้นเคยกันอยู่ ไปรับประทานอาหารที่บ้าน บอกว่าต้องการแนะนำให้ดิฉันรู้จักกับภรรยา น้องสะใภ้และลูก ๆ เมื่อดิฉันไปถึง ได้เห็นว่าบ้านของด๊อกเตอร์แอมบาสซ่าเต็มไปด้วยรูปเคารพของพระเยซู หรือไม่ก็มารดาของพระคริสต์ นางแมรี่ที่บริสุทธิ์ virgin Mary แน่นอน นี่เป็นครอบครัวของชาวคาทอลิกทั้งร่างกายและจิตใจอย่างไม่ต้องสงสัย คืนนั้น ด๊อกเตอร์แอมบาสซ่ามีท่าทีที่กระตือรือร้น มีความสุขมาก ในขณะที่รับประทานอาหารกันอยู่นั้น เธอได้ยื่นหน้าไปพูดกับภรรยาและน้องสะใภ้ซึ่งทั้งสองก็เป็นปัญญาชนเช่นกัน พูดเป็นภาษาฝรั่งเศสซึ่งดิฉันจับความได้นิดหน่อย แต่จับความจากภาษาของการแสดงออกของใบหน้าและท่าทาง และลูกศิษย์ก็แปลให้ด้วยตอนหลัง
สรุปแล้ว พ่อบ้านเล่าให้แม่บ้านฟังว่า ผู้หญิงคนนี้ได้ช่วยให้เขาเข้าใจพระคัมภีร์ไบเบิลอย่างถ่องแท้ ไม่ว่าจะถามอะไร เขามีคำตอบให้หมด หลายสิ่งที่เขาเข้าใจไม่ได้ มาบัดนี้ แจ่มแจ้งแล้ว และเอาเรื่องทอมกับเจอรี่ขึ้นมาพูดอย่างสนุกสนาน ภรรยาและน้องสะใภ้เมื่อได้ยินแล้ว รู้สึกเคอะเขินมาก ซึ่งพลอยทำให้ดิฉันเขินไปด้วย ดิฉันรู้ว่า เขาไม่ทราบว่าเขาควรแสดงออกอย่างไร ควรจะร้องไห้หรือหัวเราะกันแน่ ซึ่งดิฉันเข้าใจดี เพราะเขาไม่เข้าใจว่า ทำไมสามีของตนซึ่งเป็นอาจารย์สอนคริสตศาสนาแท้ ๆ จึงมายกย่องผู้หญิงต่างด้าวอย่างดิฉันซึ่งเป็นเพียงครูสอนไท้เก็กและมิได้เป็นชาวคริสต์ด้วยซ้ำไป แถมบอกด้วยว่า ดิฉันสามารถช่วยให้สามีตนเข้าใจคัมภีร์ไบเบิล เพราะในขณะที่สามีและลูกศิษย์พูดเรื่องผัสสะบริสุทธิ์ เรื่องทอมถูกเจอรี่ทุบตบตีอย่างสนุกสนานนั้น ภรรยากับน้องสะใภ้เข้าใจไม่ได้เลย ดิฉันจึงพยายามเปลี่ยนเรื่องพูดเพื่อกลบเกลื่อนความเคอะเขินของทุกฝ่าย ที่เมืองบูเย ดิฉันได้พบนักศึกษาและปัญญาชนอีกกลุ่มหนึ่งที่กระตือรือร้น ในจำนวนนักศึกษากลุ่มนี้มีซีริลกับเพื่อนอีกคนหนึ่งที่ดิฉันจำชื่อไม่ได้ วันหนึ่งที่ต้องสอนนั้นเป็นวันอาทิตย์ซึ่งนักศึกษาควรมาพบกันตอน ๘ โมงเช้า แต่ซีริลกับเพื่อนมาถึงราว ๑๑ โมงเศษ ดิฉันจึงถามเล่น ๆ ว่า หายไปไหนมา ซีริลตอบว่า วันนี้เป็นวันอาทิตย์ ผมกับเพื่อนต้องไปโบสถ์ก่อน ดิฉันจึงค่อยถึงบางอ้อว่า เด็กสองคนนี้เป็นชาวคาทอลิกที่เคร่งมาก วันสุดท้ายของการสอนนั้น ดิฉันสอนเสร็จราวบ่ายสามโมงเพื่อเปิดโอกาสให้ทุกคนมีเวลาเดินทางกลับเมืองของตน อะบานซิก้าซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของซีริลออกเดินทางจากอีกเมืองหนึ่งแต่เช้ามืดเพิ่งจะมาถึงและพบดิฉันเป็นครั้งแรก เขาเสียใจมากที่พลาดโอกาสเรียนกับดิฉัน ดิฉันบอกเขาว่าไม่เป็นไร จะสอนให้ จึงพาซีริลกับอะบานซิก้ากลับไปที่พักและสอนวิปัสสนาอย่างรวบรัดให้เขาจนแน่ใจว่าอะบานซิก้าสามารถรับผัสสะอันบริสุทธิ์ได้ จดหมายของเขาอยู่ในเสียงสะท้อนจากผู้อ่านโดยใช้ชื่อว่า Sly ดิฉันเลี่ยงเขียนคำนี้เป็นภาษาไทย เนื่องจากฟังไม่เพราะ จึงใช้ชื่อครอบครัวของเขาแทน การนำเรื่องนี้ขึ้นมาพูดเพื่อต้องการชี้ให้คุณเห็นว่า หากไม่ใช่เพราะคนเหล่านี้สามารถรับผัสสะที่บริสุทธิ์จนเห็นสัจธรรมด้วยตาใจของตนเองได้แล้ว การสอนที่คามารูนครั้งนั้นคงต้องล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เพราะดิฉันก็ไม่ทราบว่าจะเอาอะไรเกี่ยวกับศาสนาพุทธไปพูดให้เขาเปลี่ยนใจหันกลับมายอมรับพระพุทธเจ้าแทนพระคริสต์ แต่การที่เขาสามารถอ้าแขนรับความรู้ของดิฉันได้เพราะพบกันที่สัจธรรมอันสูงสุดนั่นเอง
จามาล
จามาลเป็นเด็กหนุ่มเชื้อสายอิหร่านอายุ ๒๐ ปี มาจากครอบครัวที่มีพ่อแม่เล่นการเมืองและเป็นชาวมุสลิมที่เคร่งครัดมาก กำลังเรียนสาขาวิศวกรรมศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเบอร์มิ่งแฮม เธอมาเรียนไท้เก็กกับดิฉันก็เข้าปีที่สองแล้ว ดิฉันไม่เคยซักถามความเชื่อทางศาสนาของนักศึกษา เพราะไม่ว่าเขาจะนับถือศาสนาอะไรมา ดิฉันก็จะสอนตามหลักการที่ตนเองวางไว้ คือ ใช้หลักของขันธ์ ๕ และกล่องของเล่นของดิฉัน เพื่อช่วยนักศึกษาเหล่านี้เปิดตาใจ หรือ อายตนะที่ ๖ ของตนเอง และฝึกฝนให้เขาพาตัวใจกลับบ้านโดยพูดย้ำให้เขามีสติอยู่กับฐาน ดิฉันสังเกตเห็นตั้งแต่ต้นแล้วว่า เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนนี้ให้ความสนใจในสิ่งที่ดิฉันสอนและแนะนำมาก มาไม่เคยขาด ในช่วงปลายเทอมของภาคฤดูใบไม้ร่วงซึ่งเป็นภาคแรกของเทอมนั้น หลังจากที่ได้ฝึกฝนให้นักศึกษามีประสบการณ์ของการรับผัสสะที่บริสุทธิ์แล้ว ดิฉันจึงเริ่มประสานประสบการณ์นั้นกับคำต่าง ๆ เช่น พระเจ้า สัจธรรม และ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ วันที่ดิฉันพูดเรื่องที่นี่ เดี๋ยวนี้ โดยการชี้เรื่องเข็มบอกวินาทีของนาฬิกาโรเลกซ์นั้น จามาลฟังอย่างตั้งใจมากเป็นพิเศษ ดิฉันเห็นเขาพยักหน้ายอมรับอยู่หลายครั้ง เมื่อหมดชั่วโมงของวันนั้น จามาลตื่นเต้นมาก เข้ามาคุยกับดิฉันเป็นครั้งแรก และขอให้ดิฉันสละเวลาฟังสิ่งที่เขาต้องการพูด ดิฉันจึงรับฟังอย่างตั้งใจ เธอเปิดแฟ้มและเอากระดาษที่พับไว้กางออกมาแผ่นหนึ่ง แผ่นใหญ่พอสมควร ในกระดาษแผ่นนั้น เต็มไปด้วย การขีดเขียน ข้อความ และเครื่องหมายต่าง ๆ
จามาลเล่าให้ดิฉันฟังอย่างตื่นเต้นว่า “ซู เรื่องที่คุณพูดเมื่อกี้นี้เกี่ยวกับ “ที่นี่ เดี๋ยวนี้” ผมฟังแล้วถึงกับตะลึง เพราะนี่คือสิ่งที่ผมพยายามคิดนึกอยู่นานแล้ว แต่ไม่รู้จะพูดสรุปอย่างไรกับใครดี จึงจะทำให้คนอื่นเข้าใจผมอย่างเต็มที่ ผมดีใจมาก จนไม่รู้จะดีใจอย่างไรที่คุณมาย้ำความเข้าใจในเรื่องที่นี่ เดี๋ยวนี้ ของผม” และแล้ว จามาลก็ชี้ไปที่แผ่นกระดาษ ซึ่งเขาเขียนคำว่า here and now เป็นตัวใหญ่ ๆ และขีดเส้นใต้สองเส้น พร้อมกับกากบาทไว้ทั้งสองด้าน จามาลเล่าต่อว่า“คุณซูเห็นไม๊ สิ่งที่ผมขีดเขียนในกระดาษแผ่นนี้ เพราะผมขึ้นไปพักผ่อนที่ภูเขาแห่งหนึ่งเมื่อสุดสัปดาห์นี่เอง ผมนั่งคิดถึงเรื่องชีวิต และความเชื่อทางศาสนาของผม และสิ่งที่ผมคิดออกคือ ผมสามารถบอกตนเองได้ว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตควรต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับเรื่อง ที่นี่ เดี๋ยวนี้ อย่างแน่นอน เห็นไม๊ ทำไมผมถึงเขียน ที่นี่ เดี๋ยวนี้ here and now ด้วยตัวโต ๆ และ กากบาทเช่นนี้ ผมคิดออกถึงจุดนี้แล้ว แต่ผมไม่สามารถคิดต่อไปได้ว่า แล้วยังไงต่อไป พอผมได้ยินคุณพูดเรื่องที่นี่ เดี๋ยวนี้ และโยงเข้ากับประสบการณ์การรับผัสสะอย่างบริสุทธิ์innocent perception แล้ว ผมถึงบางอ้อทันที ทุกอย่างชัดเจนกับผมหมด ผมสามารถเข้าถึงพระเจ้าของผมก็ด้วยวิธีนี้ ผมดีใจและตื่นเต้นมากจนบอกไม่ถูก ผมจึงอดไม่ได้ต้องมาพูดกับคุณซู”
จามาลเป็นเด็กหนุ่มที่ดิฉันไม่สงสัยว่าต้องมีระดับไอคิวสูงมาก พูดจาฉะฉาน ชัดเจน เป็นปัญญาชนที่ไม่ยอมรับอะไรที่น้อยกว่าเหตุผลอันหนักแน่นเท่านั้น การคิดของเขาไปได้ไกลมากสำหรับเด็กหนุ่มอายุเพียง ๒๐ ปีเท่านั้น เพราะการมีพื้นฐานมาจากครอบครัวที่เป็นมุสลิมนี่เอง จามาลจึงต้องคิดมาก เพื่อประสานความเชื่อทางศาสนาในเรื่องพระเจ้ากับความเป็นปัญญาชนที่บูชาเหตุผล ฉะนั้น เมื่อเขาสามารถเข้าใจพระเจ้าในฐานะที่เป็น ที่นี่ เดี๋ยวนี้ หรือ ผัสสะบริสุทธิ์นั้น ย่อมทำให้เขาโล่งอกอย่างมหาศาล เพราะนอกจากเขาไม่จำเป็นต้องปฏิเสธพระอัลเลาะห์ของเขาแล้ว เขายังสามารถเข้าถึงสัจธรรมด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์โดยการจับรถไฟขบวน ที่นี่ เดี๋ยวนี้ นี่ก็เป็นเด็กหนุ่มอีกคนหนึ่งที่สามารถ ขจัดความสงสัยต่าง ๆ ออกไปได้ เพราะการได้มาเรียนไท้เก็กกับดิฉันซึ่งเขาคิดว่า ดิฉันสอนเรื่องการออกกำลังกาย หรือ ไม่ก็วิชาป้องกันตัว self defense ทุกวันนี้ แม้จามาลยังคงฝึกสติปัฏฐานอยู่ แต่เขาก็ยังเป็นชาวมุสลิมอยู่ทุกกระเบียดนิ้ว ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย จามาลเป็นนักศึกษามุสลิมคนแรกที่ดิฉันมีโอกาสได้คุยด้วยอย่างเป็นกันเอง เขาได้เขียนคำวิจารณ์ให้ดิฉันถึงสองครั้ง คุณสามารถอ่านได้ภายใต้หัวข้อเสียงสะท้อนในเว็บไซต์ของดิฉัน ใช้ชื่อ Jamal Traveller
เอเลน
เอเลนเป็นนักศึกษาหญิงชาวอังกฤษที่มีใบหน้ารูปไข่ สวยมาก มาจากเมืองคาร์ดิฟ ในเวลส์ เพียงการเรียนในชั่วโมงแรกกับดิฉันเท่านั้น เอเลนก็เข้ามาคุยและกล่าวคำขอบคุณกับดิฉันเป็นส่วนตัว บอกดิฉันว่า สิ่งที่ได้เรียนวันนี้มีผลทำให้เธอรู้สึกสบายใจทันที ซึ่งดิฉันก็ดีใจกับเธอด้วย หลังจากปิดเทอมแรก เธอกลับมาอีกและบอกกับดิฉันว่า เธอได้เขียนบันทึกส่วนตัวที่เธอต้องการให้ดิฉันอ่าน พร้อมกับส่งบันทึกยาวหลายหน้าให้ดิฉัน เมื่ออ่านแล้ว จึงทราบว่า เธอได้บันทึกความเปลี่ยนแปลงในตนเองทุกครั้งที่มาเรียนกับดิฉัน ในบันทึกบอกว่า ได้เห็นแสงสีส้มฉายออกมารอบศรีษะของดิฉันในขณะที่ยืนพูดหน้าชั้น เธอมีปัญหาเหมือนนักศึกษาชาวอังกฤษโดยทั่วไป คือ ดื่มเหล้าและใช้ยาเสพติด เธอได้เล่าถึงประสบการณ์อย่างละเอียดว่า การมาพบและได้อ่านหนังสือของดิฉันได้ช่วยให้เธอเห็นเป้าหมายของชีวิตชัดเจนขึ้น เธอรู้แล้วว่าเป้าหมายของชีวิตอยู่ที่การบรรลุถึงความสงบสุขในใจ และ การได้มาฝึกสติปัฏฐานได้ช่วยให้เธอรู้จักกับความสงบอย่างแท้จริง
เธอบอกว่า ดิฉันได้ช่วยดึงให้เธอขึ้นจากขุมนรกของความรู้สึกอันชั่วร้ายเพราะการดื่มเหล้าและใช้ยาเสพติดของเธอนั่นเอง หลังจากนั้น เธอมักอีเมล์และเล่าความก้าวหน้าในการปฏิบัติวิปัสสนาของเธอเสมอ มีช่วงหนึ่งที่เธอหายหน้าหายตาไปจากชั้นของดิฉัน ซึ่งภายหลัง เธอได้อธิบายให้ดิฉันรู้ว่า ในช่วงที่เธอหายไปนั้น เธอได้ไปเยี่ยมนรกมาอีก ในขณะที่เธอคิดว่า เธอหายดีเป็นปกติแล้ว เพราะได้เลิกใช้ยาเสพติดอย่างเด็ดขาดแล้วตั้งแต่ได้พบดิฉัน และการฝึกสติปัฏฐานก็ได้ช่วยให้เธอดีขึ้น มองโลกในแง่ดีมากขึ้น แต่จู่ ๆ จิตของเธอเกิดพยศขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เธอเล่าให้ฟังว่า หนูเจอรี่ยกทัพเข้าบ้านของใจเป็นโขยง แทบจะทำให้เธอเป็นบ้า คุมตนเองไม่อยู่ เธออธิบายว่าเหมือนมีผีร้ายสิงอยู่ในร่าง พยายามจะออกมา มีแม่เท่านั้นที่เธอยอมให้เข้าใกล้ เธอต้องพักการเรียนไปถึงสองเดือน
ในที่สุด หมอพบว่า อาการทางร่างกายและจิตใจของเธอนั้นเป็นผลของยาเสพติด cannabis ที่เธอใช้ พิษของมันยังตกค้างอยู่ในร่างกาย ซึ่งร่างกายพยายามจะสำรอกพิษนั้นออกมา จึงทำให้เธอป่วยมากทั้งทางกายและจิตใจ แต่ในที่สุด เธอก็ออกจากเมฆดำนั้นจนได้ ทำให้ยิ่งเห็นความสำคัญของเรื่องการฝึกสติปัฏฐาน เอเลนได้มาเรียนกับดิฉันในเทอมสุดท้ายในภาคฤดูร้อนที่เพิ่งเสร็จไปเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี่เอง เธอมาขอบคุณและบอกลาดิฉันเพราะนี่เป็นเทอมสุดท้ายของเธอแล้ว เธอบอกดิฉันว่า เดี๋ยวนี้ การฝึกให้มีสติอยู่กับท่าชี่กง และการหลับตาทำสมาธินั้นได้กลายเป็นกิจวัตรประจำวันแล้ว เหมือนถ้าไม่ได้ทานข้าวแล้วก็จะหิว ซึ่งดิฉันก็ดีใจกับเธอด้วย ดิฉันนำเรื่องราวของคนเหล่านี้มาเล่าให้คุณฟัง เพื่อต้องการให้คุณเห็นว่า การอ่านพระไตรปิฎกหรือหนังสือธรรมะนั้นไม่ได้เป็นวิถีทางเดียวที่จะทำให้คนเข้าถึงธรรมได้ คนที่ดิฉันกล่าวถึงข้างบนรวมทั้งคนอีกมากมายที่มาเรียนกับดิฉันในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมานี้ ๙๙% ไม่เคยรู้เรื่องพุทธศาสนาเลย ไม่เคยอ่านหนังสือธรรมะ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพระพุทธเจ้าคือใคร แต่คนเหล่านี้ก็สามารถ เข้าถึงสัจธรรมได้ เพราะมีปัจจัยที่สำคัญยิ่งกว่า คือ กัลยาณมิตรผู้สามารถบอกทางที่ลัดสั้นที่สุดให้เขาได้
ชาวพุทธไทยเราต้องไม่หยิ่งในความเป็นพุทธของตนเองเพราะรู้ว่ากำลังครอบครองอัญมณีอันล้ำค่ายิ่งอันคือพระธรรมคำสอนของพระบรมศาสดาจนไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตนเองหยิ่ง เรื่องอริยมรรคมีองค์แปด สติปัฏฐานสี่ และ พระนิพพานนั้น ที่จริงมีความเป็นสากลมากทีเดียว คนต่างศาสนาหรือไม่มีศาสนาเลยอย่างเอเลนสามารถเข้าถึงได้ง่ายมาก หากมีคนบอกทางให้เท่านั้น จากการพึ่งพาวัสดุการสอนอันคือกล่องของเล่นของดิฉันที่มีตุ๊กตา ๕ ตัวนั้น ดิฉันสามารถช่วยให้คนเหล่านี้พาตัวใจของเขาเกาะเกี่ยวอยู่กับของจริง ๆ เช่น ลมหายใจ การเคลื่อนไหวของมือและเท้า เพียงเท่านี้ คนเหล่านี้ก็ได้เรียนรู้เรื่องขันธ์ ๕ อริยสัจ ๔ อิทัปปัจยตา ปฎิจจสมุปบาท อายตนะภายนอก ภายใน สติปัฏฐานสี่ อนิจจัง นิจจัง หรือ ได้เรียนรู้พระไตรปิฎกโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำไป สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เขาปฏิบัติจนได้มรรคและได้ผลแล้ว ชีวิตต่อจากนี้ไป ล้วนเป็นเรื่องของการไหลเรื่อยไปตามกระแสแห่งธรรมเท่านั้น
ระวังสนิมอนิจจัง
มีเพื่อนผู้หวังดีได้ท้วงติงดิฉันว่า อยากพูดสภาวะของตนเอง ก็พูดไป แต่อย่าลากเอาคำสูง ๆ เหล่านั้นมาเทียบเคียงและกล่าวตู่ว่าตนเองเป็นเช่นนั้นเช่นนี้ เพราะแม้ครูบาอาจารย์ที่มีชื่อเสียงก็ยังไม่พูด ถามจริง ๆ เถอะว่า คุณคิดว่า ครูบาอาจารย์เหล่านั้นสอนวิชาอะไร พุทธศาสนา หรือ ภูมิศาสตร์ หรือ เรขาคณิต คุณคิดว่าการพูดเช่นนั้นให้เครดิตกับครูบาอาจารย์หรือ ไม่ได้ให้เลย หลวงพ่อเทียนพูดเรื่องแมวจับหนู ท่านพูดอย่างมั่นใจและชัดเจนมากว่ามีแมวจับหนูอยู่ในหัวในใจเราทุกคน ท่านบอกให้เอาแมวมายืนหน้าประตู หนูมาเมื่อไรก็ตะปบมันทุกที สภาวะภายในของหลวงพ่อเทียนชัดมากจนไม่รู้จะชัดอย่างไร แต่การที่หลวงพ่อไม่ได้โยงว่านั่นเป็นเรื่องจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐานนั้น ไม่ได้หมายความว่าท่านไม่ได้พูดเรื่องจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน เพราะลูกศิษย์หลวงพ่อที่นั่งทำแผ่นซีดีแจกคนไปทั่วนั้น รู้ว่าหลวงพ่อสอนเรื่องสติปัฏฐานอยู่ใช่หรือไม่เล่า เรื่องแมวจับหนูนี่จะเป็นอย่างอื่นได้อย่างไรหากไม่ใช่เรื่องจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน เรื่องการดับทุกข์ เรื่องหญ้าปากคอกที่หลวงพ่อพูดนั้นจะเป็นเรื่องอะไรอื่น ถ้าไม่ใช่ พระนิพพาน การที่ท่านไม่ได้โยงคำศัพท์ธรรมะ ไม่ได้หมายความว่าท่านไม่ได้พูดเรื่องเหล่านี้อยู่ ซึ่งถ้าโยงแล้วจะทำให้คนฟังเข้าใจศาสนาพุทธชัดเจนมากขึ้น ไม่ต้องมานั่งเดา นั่งเถียงกันเช่นนี้ คำว่า หญ้าปากคอกมันหมายถึงอะไร ที่จริงก็คือเรื่องผัสสะบริสุทธิ์ที่จ่อตำหู ตำตา ตำจมูก ตำลิ้น ตำกาย ของคนทุกคนนั่นเอง จะเรื่องอะไรอีก หญ้าปากคอกยังหมายถึงความเป็นธรรมดาอย่างยิ่ง ๆ สุด ๆ ของพระนิพพานนั่นเอง เป็นคุณลักษณะที่เด่นยิ่งอย่างหนึ่งของพระนิพพานที่คนไม่รู้มองไม่ออก จึงพูดไม่ได้ แม้หลวงพ่อพูดเรื่องหญ้าปากคอกเช่นนั้น
และดิฉันเองก็พูดเรื่องนิพพานในฐานะที่เป็นเรื่องธรรมดาจนไม่รู้จะธรรมดาอย่างไร ก็นั่งดูลมหายใจของคุณเอง ไปดูสิ มันธรรมดาไม๊ คนก็ยังฟังไม่รู้เรื่อง ไม่ยอมรับความเป็นธรรมดาของดิฉันซึ่งมีอยู่กับทุกคนแล้วโดยธรรมชาติ ไม่ใช่แค่ตัวดิฉันที่ไหนเล่า เพราะความไม่รู้ของตนเองอันเนื่องกับสภาวะพระนิพพาน คนคัดค้านดิฉันจึงยังถนัดมองพระนิพพานให้เป็นเรื่องลึกลับ ไกลสุดกู่ ไปไม่ถึง ซึ่งขัดแย้งกับสิ่งที่หลวงพ่อพูดเรื่องหญ้าปากคอก และที่พระบรมศาสดาตรัสสอนพาหิยะว่า เมื่อเห็นก็สักแต่ว่าเห็น ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน…..เห็นหรือไม่ว่า การพูดแทนหลวงพ่อว่า ท่านไม่ได้ลากคำศัพท์ใหญ่โตทางพุทธศาสนามาใช้กับตนเองนั้น ไม่ได้เป็นผลดีเลย เพราะถ้าใครพูดเช่นนั้นโดยเฉพาะมาพูดกับฝรั่งนี่ เขาจะถามคุณว่า ถ้าเช่นนั้น หลวงพ่อเทียนไม่ได้สอนศาสนาพุทธหรือ แล้วท่านสอนเรื่องอะไร วิชาประวัติศาสตร์ที่ไม่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาหรือ คุณจะถูกฝรั่งต้อนจนมุมเอา ต้องระวังให้ดี เรื่องการพูดแทนครูบาอาจารย์ที่ได้ล่วงลับไปแล้ว อย่าพูดแทนครูบาอาจารย์เป็นอันขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่รู้ว่าตนเองกำลังพูดอะไร อันตรายมาก การพูดทุกอย่างล้วนขึ้นกับเวลาและสถานที่ time and place ของช่วงนั้น ๆ การพูด การสอนธรรมะที่จะพูดให้ครอบคลุมทุกอย่างนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เป็นเรื่องทักษะของการพูด ของผู้พูด โดยเฉพาะการพูดด้วยแล้ว เนื่องจากคิดแล้วต้องพูดทันที พอคำพูดออกมาแล้ว สนิมอนิจจังเกาะทันที คนทุกคนย่อมรู้จักความรู้สึกนี้ดี คือ พูดอะไรออกไปแล้ว เปลี่ยนใจทีหลัง อีกสักครู่ซึ่งอาจจะเป็นหนึ่งนาทีให้หลัง ๑ ชั่วโมง ๑ วัน ๑ อาทิตย์ ๑ เดือน แม้ ๑ ปี หรือ ๑๐ ปีให้หลัง ผู้พูดนึกขึ้นมาได้ว่า แหม…ที่พูดเมื่อกี้นี้ ไม่น่าพูดเลย แล้วก็รู้สึกเสียใจว่าไม่ควรพูดออกไปเช่นนั้น นี่เป็นความรู้สึกที่ทุกคนรู้จักดี นี่แหละคือสนิมของอนิจจังที่กัดกินทุกอย่าง แม้คำพูดที่เป็นธรรมะก็ไม่เว้น กัดหมด
การเขียนนี่ ผู้เขียนยังมีเวลาพิจารณาอย่างถ้วนถี่เสียก่อน แต่ก็ยังไม่พ้นถูกสนิมของอนิจจังกัดเซาะวันยังค่ำ ฉะนั้น ไม่จำเป็นว่าคำพูดที่เป็นธรรมะเหล่านั้นจะต้องถูกต้องเสมอไปในสายตา สายหูของคนทุกคน ไม่ใช่ ก็ดูพระไตรปิฎกสิ คำพูดของพระบรมศาสดาแท้ ๆ ที่ดิฉันมั่นใจด้วยว่า แม้จะคัดลอกมามากมายกี่หนก็ตาม คงไม่แตกต่างจากสิ่งที่พระบรมศาสดาได้ตรัสแน่นอน แต่เมื่อออกมาเป็นคำพูด ตัวอักษรแล้วไซร้ สนิมของอนิจจังกัดเซาะทันที มาถึงยุคสมัยนี้ แม้เป็นคำพูดของพระบรมศาสดาแท้ ๆ คนมากมายก็ฟังไม่รู้เรื่องแล้ว คำสอนของท่านอาจารย์พุทธทาสที่ศิษย์สวนโมกข์อย่างดิฉันรู้สึกว่ามันอร่อย แสนจะสุดซึ้ง นั้น ไม่ได้หมายความว่าคนอื่น ๆ จะเห็นและรู้สึกซึ้งเหมือนดิฉันไปหมด ฉะนั้น เรื่องคำพูด แม้คำธรรม คำเทศน์ของพระสงฆ์องค์เจ้านี่ ไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นคำที่ถูกต้องกับทุกคนและอยู่ยงคงกระพันเสมอไป ไม่ใช่ การพูดธรรมะให้ถูกต้องจริง ๆ ครอบคลุมทุกอย่างในทุกวันนี้ ยิ่งยากมากขึ้น เพราะ โลกซับซ้อนมากขึ้น และ ถ้าผู้พูดไม่มีข้อมูลอันเป็นข้อเท็จจริง หรือ ความจริงของโลกสมมุติ fact in the conventional world แล้ว อาจจะพูดสนับสนุนคนผิดก็ได้ข้อเท็จจริงข้อหนึ่งคือ โลกทุกวันนี้เป็นโลกของข้อมูลข่าวสาร fact and information ฉะนั้น ใครที่มีอำนาจเงินมากพอที่จะซื้อองค์กรที่ให้ข้อมูลและข่าวสารได้แล้ว ย่อมหมายความว่า คน ๆ นั้น หรือ กลุ่มนั้นสามารถหมุนโลกให้เป็นไปตามครรลองที่เขาต้องการให้เป็น คุณได้ดูหนังเจมส์ บอนด์ เรื่อง Tomorrow never die หรือไม่ ออกฉายไม่เกินสามปีมานี้ เขาแสดงให้เห็นถึงคนมีอำนาจเงินสามารถซื้อโลกทั้งโลกได้โดยการซื้อหน่วยข่าว สร้างข่าว สร้างสงคราม เพื่อทำให้ตลาดหุ้นเป็นไปตามที่เขาต้องการ และเพื่อเงินตัวเดียว
โลกสมัยนี้เป็นเช่นนี้ เป็นโลกของคนมีอำนาจเงินพูด มันจึงซับซ้อนมาก ยิ่งถ้าคนพูดยังต้องพูดเอาใจคนเพื่อต้องการปกป้องผลประโยชน์ของตนเองแล้ว โอ้ย ยิ่งไม่ต้องพูดใหญ่ หาความจริงไม่ได้หรอก ดิฉันพูดตรงไปตรงมาได้เช่นนี้ เพราะอย่างที่บอกแล้วว่า ไม่มีการจัดองค์กรและไม่มีผลประโยชน์ของตนเองต้องปกป้อง จึงพูดได้อย่างอิสระเสรีเช่นนี้ อย่างสงครามในอิรัคนี่ ตอนต้น ๆ ดิฉันก็พูดผิดพลาด เพราะคิดตามข้อมูลที่บุชกับแบรล์ให้มาว่า ซัสดัมมีอาวุธชีวะ เคมี มากมายที่จะทำลายโลกได้ ถ้ามีจริง ๆ แล้ว ก็ต้องจัดการกับซัสดัมก่อน มิเช่นนั้น มนุษย์อีกมากมายจะทุกข์มากถ้าซัสดัมใช้อาวุธที่เขามีอยู่จริง แต่มาบัดนี้ ข้อเท็จจริงคืออะไร ก็ไม่มีใครรู้ สงครามก็ยืดเยื้อต่อไป เมื่อกี้นี้ ไมเคิล เบิกร์บิดาของชาวอเมริกันที่ถูกชาวอิรัคฆ่าตายด้วยการตัดคอโดยส่งภาพออกทางอินเตอร์เน็ตเมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคมนั้น เขาก็พูดเรื่องนี้อีกว่า นี่เป็นยุคที่เชื่อข่าวสารข้อมูลที่ปล่อย ๆ กันออกมาไม่ได้ ถ้าดิฉันไม่ได้ฟังสิ่งที่เขาให้สัมภาษณ์ด้วยตนเองสด ๆ เช่นนั้นแล้ว จะไม่มีทางรู้ว่าเขามีความเห็นอย่างไรจริง ๆ เกี่ยวกับการตายของลูกเขา เขาพูดเองว่า รัฐบาลของบุชไม่ยอมให้เขาพูดว่าสงครามในอิรัคเป็นเรื่องเสียเวลาและเสียทรัพยากรเหมือนสงครามเวียดนาม เพราะบุชต้องการให้คนอเมริกันสนับสนุนการส่งทหารไปอิรัค ฉะนั้น คำพูดของเขาจึงถูกบิดเบือนหมดเมื่อออกมาทางสื่อสารมวลชน ถูกเปลี่ยน ถูกกรองเป็นคำพูดที่บุชอยากให้คนอเมริกันได้ยิน นี่คือความซับซ้อนของโลกปัจจุบัน ถ้าไม่มีข้อมูลที่ถูกต้องแล้ว จะพูดธรรมะให้ถูกต้องหมด ยากมาก เจ้าหญิงไดอาน่าก็อีกตัวอย่างหนึ่ง ตอนที่ชาวโลกเริ่มรู้จักเธอในฐานะเป็นหญิงที่เจ้าฟ้าชายชาลส์จะแต่งงานด้วยนั้น นักข่าวทั่วโลกล้วนหันมาที่เธอหมด และสิ่งที่เธอตกใจมากที่สุดคือ อ่านเรื่องราวในหนังสือพิมพ์ที่เกี่ยวกับตัวเองโดยที่ตนเองไม่ได้พูด ไม่ได้ทำ ไม่ได้เกิดขึ้นเลย ถ้าคนอ่านเชื่อหนังสือพิมพ์หมด ก็แสดงว่าอาจจะตัดสินไดอาน่าผิด ถ้าไม่มีข้อมูลที่ถูกต้องจริง ๆ แล้ว จะมีคนรู้จักตัวไดอาน่าจริง ๆ หรือไม่
ขอยกตัวอย่างสงครามโลกครั้งที่สองอีกหน่อย ทุกคนรู้ว่า การฆ่าสัตว์ตัดชีวิตไม่ดี ผิดศีล สงครามเป็นเรื่องไม่ดี เพราะมีแต่การฆ่าประหัตประหารกัน เอานะ ถ้าฝ่ายพันธมิตรไม่ได้ทำสงครามกับเยอรมันโดยการนำของฮิตเลอร์ และไม่ต่อต้านทหารญี่ปุ่นแล้ว คุณคิดว่าแผนที่ของโลกทุกวันนี้จะเป็นอย่างไร ถ้าอังกฤษกับอเมริกาไม่ได้ต่อกรกับพวกนาซีเยอรมันและญี่ปุ่นแล้ว หมายความว่า แผนที่ของโลกในทุกวันนี้จะเหลือเพียงสองประเทศใหญ่ ๆ นี้เท่านั้น พวกยิวก็ถูกกวาดออกจากผิวโลกหมดเรียบร้อยแล้ว เมืองไทยเราก็คงมีคนหน้าตาเหมือนโกโบริกันไม่น้อย ฉะนั้น จะพูดว่า การฆ่าเป็นเรื่องผิดเสียหมดก็ไม่ได้ คนอย่างฮิตเลอร์นี่ จะพูดให้ใกล้ธรรมะมากที่สุด ต้องพูดว่า ถ้าหากทำลายความเห็นผิด หรือ มิจฉาทิฎฐิของฮิตเลอร์ไม่ได้แล้ว ก็ต้องทำลายชีวิตเขา คนบ้าเช่นนี้ ถ้าปล่อยให้อยู่แล้ว คนอีกหลายสิบล้านต้องทุกข์ปางตาย แม้ทุกวันนี้ บาดแผลที่ฮิตเลอร์ได้ทิ้งไว้ในหัวจิตหัวใจคนยิวและคนที่ผ่านสงครามโลกครั้งที่สองมาก็ยังมีอีกมากมายนับไม่ถ้วน ธรรมะคือ เรื่องทุกอย่าง ตั้งแต่ตัวเรา สังคม โลก จักรวาล ทุกอย่างจริง ๆ ไม่ใช่พุทธพจน์เท่านั้นที่เป็นธรรมะ ฉะนั้น จะพูดธรรมะให้ถูกต้องจริง ๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่อย่างน้อย หากคนพูดรู้สภาวะพระนิพพานอันเป็นพรมแดนสุดท้ายแล้ว ก็จะสามารถพูดให้ทุกอย่างลงร่องของมันโดยพาไปจบที่พระนิพพานจนได้ ฉะนั้น คำพูด และตัวอักษรที่อยู่ได้นานที่สุด และทนการท้าทายของสนิมอนิจจังได้มากที่สุดคือ คำพูดที่มีเหตุผลอันหนักแน่น คำพูดที่เป็นคำสัตย์จริง ไม่โกหกมดเท็จ คำพูดที่ออกจากเจตนาดีอันบริสุทธิ์อย่างแท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คำพูดที่ชักพาให้คนเข้าหาของจริง ๆ หรือสัจธรรม หรือ พระนิพพาน คำพูดเหล่านี้จะทนทานการกัดเซาะของสนิมอนิจจังได้ดีกว่าเพื่อน พระไตรปิฎก พระคัมภีร์ไบเบิล เต๋าเต็กเก็ง เหล่านี้จึงอยู่ได้นานเป็นพัน ๆ ปี แต่ก็ยังไม่ดีที่สุด สิ่งที่ดีที่สุดมีสิ่งเดียวเท่านั้น คือ การเอาใจของเราไปเกาะแน่นกับสิ่งที่เป็นนิจจัง ไม่เปลี่ยนแปลง อันคือ พระนิพพานเท่านั้น ใครเกาะสัจธรรมนั้นได้เมื่อไร ก็จะไม่ถูกสนิมอนิจจังกัดเอา เรื่องทุกอย่างจึงจบได้ในตนเองหมด คำพูดและตัวอักษรเหล่านี้จะอยู่ได้นานเท่าที่มันอยู่ได้เท่านั้น หวังว่าคุณคงได้รับประโยชน์จากบทความนี้ไม่มากก็น้อย ขอให้มีความอดทน พยายามเกาะแน่นกับธรรมอันเป็นของจริงต่อไป เช่น ลมหายใจ และ การเคลื่อนไหวของมือเท้า เป็นต้น อย่าท้อถอย
ศุภวรรณ
วันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2547เบอร์มิ่งแฮม อังกฤษ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น