http://www.thaipost.net/news/200611/40466
เมื่อวันเสาร์ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายก
รัฐมนตรีและอดีตประธานพรรคเพื่อไทย (พท.) ได้
ลงพื้นที่ช่วยนายไชยยงค์ รัตนวัน ผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ศรีสะเกษ เขตเลือกตั้งที่ 8 พรรค
“ถ้าสังเกตดู ในอดีตที่ผ่านมา หากว่ายังมีเหตุการณ์ที่มีความขัดแย้งกับผู้ปกครองในบ้านเมืองทีไร ผู้ปกครองเป็นผู้ที่ประพฤติไม่ถูกต้อง ผู้ปกครองไม่สามารถสร้างความสุขให้กับพ่อแม่พี่น้องได้ ผู้ปกครองมีการคอรัปชั่น ทำให้เกิดความเสียหายต่อบ้านเมือง คนอีสานจะเป็นคนกลุ่มแรกที่ลุกขึ้นมาสู้กับความอยุติธรรมมาตลอด ครั้งสุดท้ายลุกขึ้นมาและหนีเข้าไปในป่า จับปืนขึ้นต่อสู้มากว่า 20 ปี”
อดีตประธานพรรคเพื่อไทยกล่าวว่า นึกไม่ถึงว่าในวันนี้ความขัดแย้งจะเกิดขึ้นในแผ่นดินนี้อีก และความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในวันนี้ หนักหนาสาหัสมากกว่าความขัดแย้งที่เกิดขึ้นเมื่อ 10-20 ปีก่อน เมื่อก่อนนั้นยังเป็นความขัดแย้งของกลุ่มคนบางกลุ่ม บางคน แต่วันนี้ความขัดแย้งในสังคมไทยเข้าไปถึงบ้าน ครัวเรือน พี่กับน้อง พ่อกับแม่ สามีกับภรรยา ทะเลาะกัน คนนี้สนับสนุนเสื้อสีหนึ่ง คนนั้นสนับสนุนเสื้ออีกสีหนึ่ง มีการทะเลาะกัน มีความขัดแย้งกันมาโดยตลอด นี่คือความเจ็บปวดที่ตนจำเป็นต้องกลับเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อเข้าไปแก้ปัญหานี้ให้จงได้
“เมื่อผมกลับเข้ามา ก็ได้ถามพ่อแม่พี่น้องว่าจะให้ไปอยู่กับพรรคการเมืองไหนเพื่อมาแก้ไขปัญหา ทุกคนชี้ไปที่เดียวเลยคือพรรคเพื่อไทย เพราะพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคการเมืองที่มีกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่เรียกตัวเองว่าเป็นกลุ่มคนเสื้อแดง ที่มีความปรารถนาจะไปแก้ปัญหาในเรื่องการเมือง การปกครองที่ไม่เป็นธรรม กลุ่มคนเสื้อแดงนี้จะต้องเติบโตขึ้นทุกวัน ซึ่งการเติบโตของกลุ่มคนเสื้อแดงเป็นสิ่งที่ผมต้องให้การดูแล เพราะรู้ดีว่าการเติบโตของกลุ่มคนเสื้อแดงเติบโตแล้วเดินไปในแนวทางที่ผิด จะเกิดความเสียหายต่อบ้านเมือง การเปลี่ยนแปลงของสังคมมีแน่นอน”
เขากล่าวต่อว่า สรรพสิ่งในโลกนี้ ไม่มีสิ่งใดที่จะอยู่คงที่ ต้องมีการเปลี่ยนแปลง ตนได้บอกไปหลายที่ว่า สังคมไทยต้องการการเปลี่ยนแปลงแน่นอนที่สุด แต่ต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงโดยสันติวิธี ต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งใหม่ที่ดี แต่ต้องรักษาสถาบันที่เราเคารพบูชาไว้ เพราะเป็นสถาบันที่มีพระมหากรุณาธิคุณต่อบ้านเมืองมาโดยตลอด นี่คือสิ่งที่ตนเข้าไปอยู่กับพรรคเพื่อไทย หรือพรรคเสื้อแดง เพราะพี่น้องประชาชนเป็นผู้ชี้ให้ตนเข้าไปอยู่
“ผมเข้าไปเพื่อนำความคิดไปชี้นำความคิด ไปพยายามทำให้เขาเติบใหญ่ พยายามทำให้เขาเข้าใจในเรื่องมหาชนหรือปวงชน มีความสำคัญสูงสุดต่อการพัฒนาชาติบ้านเมืองอย่างไร ผมทำได้สำเร็จ ทำสำเร็จไปได้ปีกว่า แต่มามีปัญหาตอนหลังนิดหน่อย ปัญหาที่ผมต้องออกมาจากสีแดง ไม่ได้ออกมาเพราะความขัดแย้ง แต่ออกมาเพราะต้องการรักษาบุคคลเสื้อแดงซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนรักสันติ เป็นคนที่ต้องการสันติ เป็นคนที่ต้องการแต่เพียงเรื่องของการเปลี่ยนแปลงทางด้านการเมืองไปสู่การเมืองของประชาชน ไปสู่การเมืองที่ประชาชนเป็นใหญ่ในแผ่นดินนี้ ไปสู่การเมืองที่ไม่มีความอยุติธรรม มีความถูกต้อง มาตรฐานเดียว ไม่ใช่สองมาตรฐาน นั่นคือสิ่งที่ผมออกมาเพื่อรักษาสิ่งนี้ เพราะเริ่มมีการเข้าไปโจมตีอะไรต่ออะไรเยอะแยะไปหมด เช่น โจมตีทหาร โจมตีกองทัพ โจมตีหน่วยงานราชการบางหน่วย โจมตีอำมาตย์ และโจมตีไปถึงข้างบน อีกด้วย
การที่เราจะไปเติบโต การเติบโตนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องมีเพื่อน หลักการก็มีอยู่ว่า ระหว่างการสร้างความเติบโตไปสู่ความสำเร็จ ต้องให้ตัวเราหรือขบวนการพวกเรา โดยเฉพาะประชาชนใหญ่ที่สุด แล้วกำหนดศัตรูให้เล็กที่สุด แต่ตรงนี้กำหนดศัตรูให้ใหญ่ที่สุด แต่ตัวเราเล็กลง ซึ่งกลุ่มเสื้อแดงจะถูกทำลายแน่นอน” อดีตประธานพรรคเพื่อไทยกล่าว.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น