เทศน์อบรมฆราวาส ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๔๗
นี้เหรอศาสดาแทนพระพุทธเจ้า
เรามีอะไรอีกไหมล่ะ ไม่มีจะอ่านนี้ให้ฟัง อ่านข้อประชุมให้ฟัง ประชุมพระสงฆ์ที่วัดอโศการามเป็นจำนวนตั้งหมื่นองค์
ลูกศิษย์อ่านมติคณะสังฆสามัคคี :
มติสังฆสามัคคีจากสงฆ์ทั้ง ๔ ทิศ
ในการประชุมคณะสงฆ์ไทย วันที่ ๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๗ เวลา ๑๓.๐๐ น. ณ วัดอโศการาม อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งประกอบไปด้วย คณะสงฆ์ฝ่ายคามวาสีและอรัญวาสีจากจตุรทิศ ทั้งฝ่ายมหานิกายและธรรมยุต จำนวน ๑๐,๓๕๙ รูป ได้ประชุมร่วมกันเกี่ยวกับประกาศแต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชของนายวิษณุ เครืองาม เมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๗ เพราะบังเกิดความกระทบกระเทือนอย่างใหญ่หลวงต่อพระพุทธศาสนาซึ่งเป็นสมบัติอันทรงคุณค่าของเหล่าพุทธบริษัท ๔ จักต้องได้รับการปกป้องโดยพลัน
ที่ประชุมได้ยกพระธรรมวินัยเป็นหลักในการพิจารณาว่า บรรพชิตพึงดำรงชีวิตอยู่ภายใต้พระธรรมวินัยเป็นสำคัญเป็นประการแรก และประการที่สองดำเนินรอยตามจารีตประเพณีที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ ตลอดจนบรรพบุรุษพาดำเนินมาด้วยความสงบเรียบร้อยดีงาม อีกทั้งปฏิบัติตามกฎหมายบ้านเมือง
ที่ประชุมคณะสงฆ์ไทยจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ โดยสรุปดังนี้
1. มีมติรับรองมติขั้นต้นของคณะสงฆ์ไทยที่ได้ประชุมกันเมื่อวันที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๔๗ ณ วัดป่ากกสะทอน อ.เมือง จ.อุดรธานี
1.1 มีมติว่า การแต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชของนายวิษณุ เครืองาม ขัดต่อกฏหมาย ขัดต่อจารีตประเพณี ขัดต่อข้อวัตรปฏิบัติและพระธรรมวินัย ถือเป็นโมฆะ และถึงแม้มหาเถรสมาคมจะมีมติย้อนหลังเมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๔๗ ก็เป็นมติที่ไม่ชอบด้วยพระธรรมวินัย จารีตประเพณี และกฎหมาย คณะสงฆ์ไทยไม่ยอมรับประกาศและมติมหาเถรสมาคม ดังกล่าว
1.2 มีมติว่า การประกาศแต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชเป็นผลให้กรณีพิพาทบังเกิดขึ้นอย่างกว้างขวางทั่วราชอาณาจักร และทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นในวงชาวพุทธ หากอธิกรณ์นี้มิได้ถูกระงับลง เหตุการณ์อาจลุกลามบานปลายถึงขั้นกระทำการเป็น “สังฆเภท” ทำคณะสงฆ์ให้แตกแยกจากกัน ไม่สามารถจะลงรอยร่วมสังฆกรรมกันได้ กลายเป็นการสร้างกรรมหนักที่สุดในพระพุทธศาสนาเพราะประกาศดังกล่าวเป็นต้นเหตุ
2. มีมติว่า หากมหาเถรสมาคมเห็นแก่พระธรรมวินัย ข้อวัตรปฏิบัติ จารีตประเพณี และกฎหมาย มหาเถรสมาคมควรทักท้วง และให้ระงับการประกาศแต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชของนายวิษณุ เครืองาม โดยทันที แต่มหาเถรสมาคมกลับมีมติเมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๔๗ อนุโมทนาการแต่งตั้งฯ ดังกล่าว คณะสงฆ์ไทยยกหลักพระธรรมวินัยเป็นข้อวินิจฉัยว่า
กรรมการมหาเถรสมาคม ผู้เห็นด้วยกับประกาศฯ ได้ปฏิบัติขัดต่อพระธรรมวินัย เพราะไปอนุโมทนารับรองสิ่งที่ขัดต่อพระธรรมวินัย เป็นการส่งเสริมให้คฤหัสถ์เข้าแทรกแซง ก้าวก่าย ล่วงล้ำในกิจการของสงฆ์ เป็นการกระทำที่เกินเลยพุทธบัญญัติ หากสนับสนุนให้มีข้อปฏิบัติเช่นนี้ต่อไป เท่ากับมุ่งทำลาย “พระธรรมวินัย” ที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้ดีแล้วให้สิ้นซากไป เพียงเริ่มต้นก็ปรากฏชัดแล้วว่าเป็นการกระทบกระเทือนเดือดร้อนต่อภิกษุสงฆ์ทั่วสังฆมณฑล ความขัดแย้ง วิปริตอาเพทเกิดขึ้นทั่วทุกหัวระแหง และที่สุดพระพุทธศาสนาอาจถึงกาลวิบัติได้
การปฏิบัติของกรรมการมหาเถรสมาคมผู้เห็นด้วยกับประกาศฯ จึงเข้าข่ายล่วงสิกขาบทที่ ๑๓ แห่งอาบัติสังฆาทิเสส ว่าด้วย “ภิกษุประทุษร้ายสกุล คือประจบคฤหัสถ์ เป็นผู้ประจบเขาด้วยกิริยาทำตนอย่างคฤหัสถ์ ยอมตนให้เขาใช้สอย หรือด้วยอาการเอาเปรียบโดยเชิงให้สิ่งของเล็กน้อยที่หวังได้มาก” และล่วงสิกขาบทที่ ๕๔ แห่งอาบัติปาจิตตีย์ ว่าด้วย “ภิกษุแสดงความไม่เอื้อเฟื้อในวินัย” มหาเถรสมาคม ขาดความเคารพผู้มีอาวุโสพรรษาสูงกว่า ขาดข้อวัตรปฏิบัติต่อภิกษุผู้อาพาธ และต่อพระมหาเถระผู้เป็นครูบาอาจารย์ของบรรพชิตและคฤหัสถ์ทั่วราชอาณาจักร เฉพาะอย่างยิ่งสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ ทรงเป็นประมุขสงฆ์ไทยที่พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนา ทรงเป็นพระพี่เลี้ยงของพระมหากษัตริย์เมื่อทรงผนวช แม้ภิกษุครั้งพุทธกาลยังให้ความเคารพยำเกรง เช่น พระวินัยบัญญัติไว้ว่า หากพระมหากษัตริย์ทรงเสด็จมาขณะกำลังลง อุโบสถ สงฆ์จะต้องหยุดสังฆกรรมไว้ก่อน
3. มีมติว่า หากคณะสงฆ์ใด จะกระทำการหรือพยายามกระทำการเสนอ และ/หรือ ให้มีการแต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชเสมอสมเด็จพระสังฆราชที่พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนา ย่อมผิดต่อพระธรรมวินัย ข้อวัตรปฏิบัติ จารีตประเพณี ที่ภิกษุต้องยึดถือ และยังขัดต่อกฎหมายพ.ร.บ.คณะสงฆ์ฯ อีกด้วย “พระธรรมวินัย” ที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้เป็นหลักปกครองคณะสงฆ์ที่สมบูรณ์แบบดีแล้ว และยังความสงบสุขร่มเย็นแก่สังคมชาวพุทธตลอดมา
4. มีมติว่า บรรดาคำบัญชา แถลงการณ์ มติมหาเถรสมาคม การแต่งตั้ง หรือคำสั่งใดๆ ที่เป็นผลเนื่องมาจากการใช้อำนาจหน้าที่ในฐานะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชและผู้ช่วยตามคำประกาศแต่งตั้งของนายวิษณุ เครืองาม คณะสงฆ์ไทยมีมติไม่ยอมรับ และถือว่าเป็นโมฆะทั้งสิ้น
5. คณะสงฆ์ไทยมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ทำนิคหกรรมแก่นายวิษณุ เครืองาม เพราะกระทำการประกอบด้วยโทษ ๘ ประการตาม “พระธรรมวินัย” นายวิษณุ เครืองาม สร้างความกระทบกระเทือนอย่างใหญ่หลวงต่อพระพุทธศาสนา เป็นการแทรกแซง ก้าวก่ายในกิจการของสงฆ์อย่างร้ายแรง ใช้อำนาจของรัฐโดยมิชอบ บีบบังคับสงฆ์ทั่วสังฆมณฑลให้ยอมรับและถือปฏิบัติตามโดยมิคำนึงว่าตนเป็นคฤหัสถ์ การที่นายวิษณุ เครืองาม ตั้งกฎเกณฑ์หรือปรับเปลี่ยนบทบัญญัติทางกฎหมายให้มีความสำคัญหรือมีอำนาจเหนือ “พระธรรมวินัย” เท่ากับเป็นการทำลายองค์พระบรมศาสดา เหยียบย่ำพระธรรมและพระสงฆ์ ในที่สุดพระพุทธศาสนาอาจถึงกาลวิบัติได้
สำหรับการแต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชให้เทียมเท่าสมเด็จพระสังฆราชที่พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนา ปรากฏชัดเจนว่า เป็นการดูหมิ่นพระเกียรติ พระอำนาจ ขวนขวายให้เกิดผลเสื่อมเสียแก่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก แม้นายวิษณุ เครืองามจะกล่าวอ้างอยู่เสมอว่า ตนทำถูกต้องตามกฎหมาย คณะสงฆ์ไทยวินิจฉัยแล้วมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า จะนำกฏหมายมาเหยียบย่ำ“พระธรรมวินัย” ไม่ได้โดยเด็ดขาด คฤหัสถ์จะล่วงล้ำเข้าแทรกแซงกิจการของสงฆ์มิได้ ต้องปฏิบัติต่อสงฆ์ตามพระธรรมวินัย
การกระทำของนายวิษณุ เครืองาม เป็นการก้าวล่วงต่อพระธรรมวินัย จารีตประเพณี และข้อกฎหมาย อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ชาติไทย อีกทั้งเป็นช่องทางให้เกิดผลกระทบกระเทือนต่อสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ จนกระทั่งพระและฆราวาสผู้ละโมบ ถือโอกาสฉกฉวย ช่วงชิง พระเกียรติ พระอำนาจ พระบารมีของพระองค์ไปเป็นของตนและพวกของตนดุจดัง “รุมกินโต๊ะ” สมเด็จพระสังฆราชที่พระมหากษัตริย์ทรงสถาปนา อย่างสดๆ เป็นๆ
การกระทำของนายวิษณุ เครืองาม ดังกล่าว เป็นการขวนขวายเพื่อมิใช่ลาภ มิใช่ประโยชน์ เพื่อความอยู่ไม่ได้แห่งภิกษุทั้งหลาย ด่าว่าเปรียบเปรยภิกษุ ยุยงภิกษุทั้งหลายให้แตกกัน กล่าวติเตียนพระสงฆ์ ฯลฯ การทั้งหมดนี้จัดว่าเป็นโทษ ๘ ประการตามหลักพระธรรมวินัยว่าด้วยการลงนิคหกรรมแก่คฤหัสถ์ คณะสงฆ์ไทยจึงลงมติเป็นเอกฉันท์ให้ทำนิคหกรรม ประกาศคว่ำบาตรนายวิษณุ เครืองาม ด้วยการสวดญัตติทุติยกรรมวาจาเช่นครั้งพุทธกาลที่สงฆ์ได้ทำนิคหะต่อวัฑฒะลิจฉวี ดังปรากฏในพระไตรปิฎก เล่มที่ ๗ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๗ จุลวรรค ภาค ๒
6. ที่ประชุมไม่มีมติตั้งพระภิกษุรูปหนึ่งรูปใดเป็นผู้แถลงข่าว หรือให้สัมภาษณ์ใดๆ แก่สื่อมวลชน แต่ให้เผยแพร่เอกสารบันทึกมติที่ประชุมนี้ และข้อมูลเกี่ยวกับนิคหกรรมคว่ำบาตรต่อสาธารณะ และมีมติไม่รับรองการกระทำใดๆ นอกเหนือจากมติที่บันทึกไว้นี้ ไม่ว่าจะดำเนินการโดยผู้หนึ่งผู้ใดหรือคณะบุคคลใด
7. คณะสงฆ์ไทยมีมติขอบิณฑบาตจาก ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี สั่งการให้ยกเลิกประกาศดังกล่าวโดยเร็ว เพื่อระงับความแตกแยกในหมู่พุทธบริษัท ๔ มิให้ลุกลามจนไม่อาจจะแก้ไขได้ และเพื่อเป็นหลักเกณฑ์แก่กุลบุตรสุดท้ายภายหลัง ที่คฤหัสถ์พึงยึดถือปฏิบัติ อุปถัมภ์อุปัฏฐากต่อภิกษุสงฆ์ด้วยความถูกต้องชอบธรรมตามหลัก“พระธรรมวินัย”
ที่ประชุมมีมติมอบหมายให้นายทองก้อน วงศ์สมุทร และคณะ นำมติไปแจ้ง ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี ตลอดจนผู้เกี่ยวข้อง และพุทธบริษัท ๔ ได้รับทราบโดยทั่วกัน
คณะสงฆ์ไทย
๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๔๗
หลวงตา : พระตั้งหมื่นกว่าของเล่นเมื่อไร หมื่นเท่าไร (๑๐,๓๕๙ รูป) นั่นแหละพระที่มาประชุมนี่ตั้ง ๑๐,๓๕๙ รูป นั่นฟังซิของเล่นเมื่อไร พระทั่วประเทศไทยท่านปฏิบัติดีปฏิบัติชอบตามหลักธรรมวินัย ที่มาค้านสิ่งเลวร้ายทั้งหลาย ที่เป็นกาฝากกัดตับกัดปอดพุทธศาสนาและประชาชนให้ฉิบหายวายปวงไป
ท่านออกมาตั้งหมื่นกว่าองค์ ท่านเหล่านี้ไม่มีการบังคับบัญชากัน ท่านมาโดยหลักธรรมหลักวินัย เพราะหลักธรรมหลักวินัยเรียนทุกคน รู้ทุกคน ผิด ถูก ชั่ว ดี รู้ด้วยกัน เมื่อท่านทราบอย่างนี้แล้วท่านก็ปรึกษาหารือ แล้วประชุมกันเป็นระยะๆ แล้วลงความเห็นถูกต้องอันเดียวกัน ไม่ขัดกัน ว่าถูกต้องตามหลักธรรมวินัยอย่างเดียวกันแล้ว ท่านก็มาประชุม เป็นส่วนใหญ่แล้วที่นี่ เป็นหลักใหญ่ ให้เป็นข้อประชุมที่รับรองกันได้ในวงสงฆ์คณะไทยที่มาประชุมนี้ เรื่องก็มีเท่านั้นละ
อันนี้ออกทางอะไรบ้าง (อินเตอร์เน็ตแล้วครับผม) ออกทางอินเตอร์เน็ตจะทราบทั่วกันหมด ไหนได้ทราบว่าเขาปิดอะไรต่ออะไรกันบ้างเวลานี้ แหม ทำอย่างเลวร้ายที่สุดเท่าที่เราได้ยิน ห้ามวิทยุห้ามอะไร เอาว่ามาให้ฟัง (เมื่อวานนี้ลูกศิษย์เขาส่งข่าวมาว่า เทศน์ของหลวงตา ตลอดจนการเผยแพร่ของหลวงตาทางสถานีวิทยุต่างๆ แม้กระทั่งโทรทัศน์ต่างๆ เขาปิดกั้นให้งด แต่ขณะเดียวกันเขาก็ประกาศโฆษณาของอีกฝ่ายหนึ่งได้โดยเสรีครับ) คือปิดทางด้านธรรมะทางด้านของเรานี้ไว้หมด แล้วเปิดของเขาเข้ามาโจมตีธรรมะก็ได้ โจมตีประชาชนก็ได้ ว่างั้นเถอะน่ะ เอ้าว่าต่อไป
(การกระทำดังกล่าวนี้กราบเรียนให้พุทธบริษัทสี่ทั้งหลายได้ทราบว่า เป็นการไม่ชอบธรรมนะครับ) ไม่ชอบอย่างยิ่งเลย ว่าอย่างงี้เลย ปิดทางด้านธรรมะที่ประชาชนฟังกันทั่วโลก ทั่วประเทศ ทั่วโลกไว้หมด แล้วเปิดไอ้เรื่องเทวทัตนี่ขึ้น นี่เทวทัตกำลังทำลายสงฆ์อยู่เวลานี้ ประชุมอะไรอุปถัมภ์อุปัฏฐากอะไร ประจบประแจงอะไรเราก็ลืมแล้วแหละ ที่ประชุมข้อไฟเผาโลก เผาศาสนานี้ขึ้นแทน ปิดทางธรรมะไว้ เปิดไฟขึ้นเผาโลก พูดอย่างงี้ก็ได้ เอาว่าต่อไปมีอะไรอีก
(ลูกศิษย์เขาพึ่งส่งมาให้ครับ จากหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ลงวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗) แล้วเขาว่าไง ให้คนทราบไปหมดนั่นแหละ ดีชั่วจะได้ฟังกันให้หมด เพื่อเอามาพินิจพิจารณาหาสาระเท่านั้นเอง (ในคอลัมน์ ข่าวปนคน คนปนข่าว เขาว่าดังนี้ครับ ๓ ข้อผิดพลาดของดร.วิษณุ เครืองาม กรณีแต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช บุคลากรในวงการกฎหมายต่างสงสัยกันว่า วิษณุ เครืองาม ที่ถือกันว่าเป็น นักกฎหมายระดับปรมาจารย์ เหตุไฉนจึงมา พลาด ง่ายๆ ในกรณีแต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช เมื่อวันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๔๗ และยิ่งแก้ก็ยิ่งยุ่ง ยิ่งผูกมัดรัดตัวเป็นลิงแก้แห เรื่องจะไม่เป็นปัญหาเลยแม้แต่น้อย หากนำความเข้ากราบบังคมทูลสมเด็จพระสังฆราช – ให้พระองค์ทรงทราบและเห็นชอบ (ไม่ว่าจะโดยวิธี ลงพระนาม หรือ วิธีอื่น) ในพระบัญชา ไม่ใช่ออกเป็นประกาศของภาครัฐโดยอ้าง มติ ของ มหาเถรสมาคม
มาดูความผิดพลาดของวิษณุ เครืองาม ในช่วงก่อนที่จะสวมบทลิงแก้แหกันดีกว่าว่า รวมๆ แล้วมีอย่างน้อยที่สุด ๓ ครั้งด้วยกัน และมีโอกาสที่จะมีครั้งที่ ๔ ขึ้นในอนาคตอีก
ความผิดพลาดที่๑ ตามมาตรา ๑๐ แห่ง พ.ร.บ.สงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๓๕ วรรคแรกของมาตรานี้ขึ้นต้นด้วยประโยคที่ว่า “ ในเมื่อไม่มีสมเด็จพระสังฆราช” โดยสามัญสำนึกของคนแม้จะไม่เคยเรียนกฎหมายมาก่อนก็ต้องเข้าใจว่าหมายถึง สิ้นพระชนม์ ในขณะนี้จึงถือว่า ไม่มี ไม่ได้ ในเมื่อพระสังฆราชยังทรงดำรงพระชนม์ชีพอยู่ จึงจะไปปฏิบัติตามวรรค ๒ ในทันที ที่กำหนดให้เป็นหน้าที่ของมหาเถรสมาคมแต่งตั้งสมเด็จพระราชาคณะ ที่มีอาวุโสทางสมณศักดิ์ขึ้นเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนไม่ได้ เพราะจะต้องไปปฏิบัติตามวรรค ๓ และวรรค ๔ ที่ว่า “ในเมื่อสมเด็จพระสังฆราชไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักร หรือไม่อาจทรงปฏิบัติหน้าที่ได้ สมเด็จพระสังฆราชจะทรงแต่งตั้ง ให้สมเด็จพระราชาคณะรูปใดรูปหนึ่งปฏิบัติหน้าที่แทน” และ “ในกรณีที่สมเด็จพระสังฆราชมิได้ทรงแต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนตามวรรคสาม หรือสมเด็จพระราชาคณะซึ่งได้รับแต่งตั้งให้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราชได้ ให้นำความในวรรคหนึ่งและวรรคสองมาใช้บังคับโดยอนุโลม” กรณีจะเห็นได้ว่าไม่เข้าในหลักเกณฑ์ในวรรค ๓ เพราะสมเด็จพระสังฆราชทั้งทรงประทับอยู่ในประเทศไทย และแม้จะทรงพระประชวรแต่ก็ยังทรงปฏิบัติศาสนกิจได้ ดังในประกาศฉบับปัญหาเองก็ยังกล่าวไว้ ทรงปฏิบัติศาสนกิจได้เป็นครั้งคราว
ความผิดพลาดที่๒ มีความพยายามให้โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ออกแถลงการณ์มารองรับความชอบธรรม จนปรากฏเป็นเอกสารชื่อ สรุปรายงานพระอาการประชวรของสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ในนามของโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ แต่ก็ยังคงไม่อาจพิจารณาได้ว่าเข้าเงื่อนไข-หลักเกณฑ์ของมาตรา ๑๐ พ.ร.บ.สงฆ์ (พ.ศ. ๒๕๓๕) แต่ประการใด
- ประการหนึ่ง เมื่อกระทำผิดไปแล้วจะมาแสวงหาเหตุผลรับรองเพื่อแปรเปลี่ยนผิดเป็นถูกเห็นจะไม่ถูกต้อง การแก้ไขคือ ยกเลิกการกระทำที่ผิดไปแล้วเสียก่อนเท่านั้น
- อีกประการหนึ่งแถลงการณ์ของโรงพยาบาล หาใช่ ใบรับรองแพทย์ ที่จะนำไปใช้เป็นหลักฐานได้ตามกฎหมาย เรื่องนี้คงต้องพูดความจริงกันว่าไม่มีแพทย์คนใดยินยอมออกใบรับรองแพทย์ตามกฎหมายให้ เพราะอ่อนน้อมถ่อมตนว่าล้วนเป็นผู้ที่ไม่รู้ เนื่องจากมีภูมิธรรมต่ำกว่าสมเด็จพระสังฆราช ไม่อาจตัดสินพระอาการของพระผู้มีภูมิธรรมสูงกว่าได้แต่เพียงสายตา, หลักวิทยาศาสตร์การแพทย์ทั่วไปเท่านั้น
ดังนั้น แถลงการณ์ของโรงพยาบาล จึงระบุถึงพระอาการประชวรไว้แต่เพียงกว้างๆ เท่านั้น ยังห่างไกลกับเงื่อนไข “ ....ไม่อาจทรงปฏิบัติหน้าที่ได้” ของมาตรา ๑๐ พ.ร.บ. คณะสงฆ์(ฉบับที่ ๒) พ.ศ.๒๕๓๕ หลายโยชน์ ความผิดพลาดที่ ๒ นี้ไม่ว่าขึ้นศาลไหนก็จะเป็นพยานหลักฐานใช้ยืนยันปรักปรำความผิดพลาดที่ ๑ ของวิษณุ เครืองาม โดยแท้
ความผิดพลาดที่๓ เกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกับที่พระวัดป่ามีแถลงการณ์ออกมา วิษณุ เครืองาม ออกมายืนยันเมื่อ ๒๙ มกราคม ๒๕๔๗ ว่า “.....สมเด็จพระสังฆราชทรงรับทราบประกาศแต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนพระองค์แล้ว โดยพระเจ้าคุณเลขาฯเป็นผู้อ่านถวายให้ฟัง ซึ่งท่านพยักหน้ารับทราบและพยายามลงพระนามเพื่อรับทราบ แต่ไม่สามารถจรดปากกาลงพระนามได้ เพราะเขียนได้แค่ ส.เสือ กับ ด. เด็ก แล้วก็เขียนต่อไปไม่ได้” เรื่องนี้ชวนให้คิดว่าผู้กระทำการ ใจร้ายมาก
- ด้านหนึ่งพยายามทำให้เห็นว่า สมเด็จพระสังฆราช ทรงเห็นชอบ-ไม่ทรงคัดค้าน เพื่อให้เสมือนว่าจะเป็นไปตามกฎหมายคณะสงฆ์ มาตรา ๑๐ วรรคสาม
- แต่อีกด้านหนึ่งที่พูดเรื่อง ไม่สามารถจรดปากกาลงพระนามได้ ก็เพื่อจะบอกในทำนองว่า ขณะนี้พระองค์ “....ไม่อาจทรงปฏิบัติหน้าที่ได้”
เรียกว่าเอาประโยชน์ทั้งขึ้นทั้งล่อง (ไม่ต่างกับที่หลวงตาบัว ญาณสัมปันโน ท่านเทศนาว่า สมเด็จพระสังฆราชถูกรุมกินโต๊ะ) ด้านหนึ่งบอกว่าพระอาการปกติ อีกด้านหนึ่งบอกว่าพระอาการไม่ปกติ เพื่อใช้เป็นเหตุผลรองรับความผิดพลาดจากคนละมุม
ถ้าแยกพูดเฉพาะด้านที่มุ่งแสดงว่าพระอาการปกติ การที่สมเด็จพระสังฆราชทรงรับทราบ (ไม่ว่าจะโดยพยักหน้าหรือลงพระนาม) ก็ไม่ได้แปลว่า พระองค์ทรงแต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่แทน ตามมาตรา ๑๐ วรรคสาม เพราะความในมาตราดังกล่าวจะต้องเป็นไปตาม พระอัธยาศัย-ไม่ต้องด้วยบังคับอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ ตามมาตรา ๑๐ วรรคสอง แต่ประการใด
การประกาศออกไปล่วงหน้าเพื่ออาศัยกฎเกณฑ์อาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์(ตามมาตรา ๑๐ วรรคสอง) แล้วนำไปอ่านให้สมเด็จพระสังฆราชฟังเพื่อทรงรับทราบ ไม่ต่างกับมัดมือชก แล้วยังนำพระอาการพยักหน้ามาอ้างอิง ทั้งๆ ที่ได้ปิดช่องทาง ที่พระองค์อาจจะตั้งสมเด็จพระราชาคณะรูปใดรูปหนึ่งก็ได้ ตามพระอัธยาศัย (ตามมาตรา ๑๐ วรรคสาม) ไปแล้ว
จนถึงวันนี้ไม่ว่าประกาศฉบับวันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๔๗ ที่เป็นต้นเหตุ หรือการพยายามแก้ไขครั้งต่อๆ มา คือ แถลงการณ์โรงพยาบาลจุฬาฯ ๒๗ มกราคม ๒๕๔๗ และคำกล่าวอ้าง สมเด็จพระสังฆราชทรงรับทราบ ๒๙ มกราคม ๒๕๔๗ ล้วนเป็นหลักฐานที่ยืนยันว่า พระองค์ยังทรงปฏิบัติหน้าที่ได้(แม้อาจจะไม่สมบูรณ์) เมื่อเคารพสักการะพระองค์ ไม่ประสงค์จะให้ทรงงานหนักเกินไป ก็ต้องหาทางออกตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด คือมาตรา ๑๐ วรรคสาม ไม่ใช่รวบรัด มัดมือชกตามมาตรา ๑๐ วรรคสอง กฎหมายฉบับเดียวกัน
เหตุผลที่ไม่ใช้ทางออก ตามมาตรา ๑๐ วรรคสาม นั้น ใช่หรือไม่ว่า ไม่ต้องการให้ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช เป็นสมเด็จพระราชาคณะรูปใดรูปหนึ่ง จึงรวบรัดไปหามาตรา ๑๐ วรรคสอง (หรือมาตรา ๑๐ วรรคสี่ ) ที่แก้ไขใหม่เมื่อปี ๒๕๓๕ ให้เป็นอำนาจของมหาเถรสมาคมที่จะต้องแต่งตั้ง สมเด็จพระราชาคณะรูปใดรูปหนึ่งผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์รองลงมา เพื่อให้ลงล็อคที่ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) โดยไม่มีทางผิดพลาดเป็นอื่น เรื่องนี้ไม่น่าสนใจเท่ากับว่า นี่เป็นเรื่องของสถาบัน ที่เป็น ๑ ใน ๓ สถาบันหลักของชาติ จะต้องปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด เพราะจะเป็นตัวอย่างไปสู่เหตุการณ์ในอนาคตได้
คนไทยทั้งหลายไม่ต้องเชื่อหลวงตาบัว และไม่ต้องเชื่อ ทองก้อน วงศ์สมุทร ขอให้ยึดหลักกาลามสูตร แล้วถามใจตัวท่านเองว่าจะ ยินยอมได้หรือไม่ที่การปฏิบัติต่อสถาบันหลักของชาติ โดยขาดความเคร่งครัดต่อกฎหมายชนิดปราศจากข้อสงสัย ใช้วิจารณญาณให้ดี
วิธีปฏิบัติที่ขาดความเคร่งครัดต่อกฎหมายชนิดปราศจากข้อสงสัย มองจากอีกมุมหนึ่งไม่ต่างไปจากการยึดอำนาจเลย
ถ้าใช้วิจารณญาณดีแล้ว ยินยอม หรือ วางเฉย เพราะ คิด เพราะ เชื่อว่า ธุระไม่ใช่ , ชั่วช่างชีดีช่างสงฆ์ ประกาศฉบับปัญหาก็จะเป็นเอกสารประวัติศาสตร์ ที่ได้สร้างประเพณีปฏิบัติ เกี่ยวกับสถาบันหลักของชาติขึ้นมาใหม่ ขอใช้ภาษาอีกอย่างหนึ่งว่า ประกาศ ๑๔ มกราคม ๒๕๔๗ ได้สถาปนาประเพณีปฏิบัติอย่างใหม่ ต่อสถาบันหลักของชาติ ที่จะเป็นตัวอย่างอ้างอิงต่อไปในอนาคตขึ้นมาในราชอาณาจักรไทยแล้ว โปรดใช้วิจารณญาณซ้ำอีกครั้ง
ตัดต่อจากหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ฉบับวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗
คอลัมน์ “คนปนข่าว” โดย “เซี่ยงเส้าหลง”
มาตรา ๑๐
พ.ร.บ.คณะสงฆ์ (ฉบับที่๒) พ.ศ.๒๕๓๕
ในเมื่อไม่มีสมเด็จพระสังฆราช ให้สมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช
ถ้าสมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดโดยสมณศักดิ์ ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้กรรมการมหาเถรสมาคมที่เหลืออยู่ เลือกสมเด็จพระราชาคณะรูปหนึ่งผู้มีอาวุโสโดยสมณศักดิ์รองลงมาตามลำดับ และสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช
ในเมื่อสมเด็จพระสังฆราชไม่ประทับอยู่ในราชอาณาจักร หรือไม่อาจทรงปฏิบัติหน้าที่ได้ สมเด็จพระสังฆราชจะได้ทรงแต่งตั้งให้สมเด็จพระราชาคณะรูปใดรูปหนึ่งปฏิบัติหน้าที่แทน
ในกรณีที่สมเด็จพระสังฆราช มิได้ทรงแต่งตั้งผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนตามวรรคสาม หรือสมเด็จพระราชาคณะซึ่งได้รับแต่งตั้งให้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชได้ ให้นำความวรรคหนึ่งและวรรคสองมาใช้บังคับโดยอนุโลม
ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประกาศนามสมเด็จพระราชาคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชตามมาตรานี้ในราชกิจจานุเบกษา
หลวงตา เออ เท่านั้นแหละ ให้พิจารณา นี่จะออกหมดแหละนี่ วิทยุต่างๆ เขาไปเที่ยวปิดหมด เราออกทางนี้เลยว่าไง (อินเตอร์เน็ต) ก็มีเท่านั้นแหละ แหม เลวมากทีเดียวนะ เราจับด้วยธรรมนะ เลวมากที่สุดคราวนี้นะ หมดแล้วนะ วันนี้เอานี้เป็นกัณฑ์เทศน์ไปเลย ไม่เทศน์แหละ พอสมควรละ มีอะไรต่ออะไรกันบ้าง
อันนี้เป็นมหาภัยต่อชาติต่อศาสนาเรา อย่าว่าแต่ศาสนาอย่างเดียว ยังจะลุกลามไปหาชาติอีกด้วย พวกนี้สั่งสมอำนาจ เข้าใจไหมนี่ พูกตรงๆ อย่างนี้แหละนี่แหละธรรม สั่งสมอำนาจ ทางพระนี่คนเคารพนับถือมาก ว่าอะไรๆ เขาก็หมอบๆ ก็เหยียบหัวไป ฟาดดีไม่ดีจมทั้งชาติจมทั้งศาสนาไปด้วยกันเลย นี่เป็นมหาภัยอย่างร้ายแรงที่สุดเลยตั้งข้อนี้ขึ้นมา ถ้าไม่ระงับเสียนี่ อย่างไรก็เป็นได้อย่างว่าไม่ผิดไป เวลาหลวงตาบัวตายแล้วค่อยไปตัดคอหลวงตาบัว เข้าใจไหม ถ้าตัดคอเดี๋ยวนี้ท่านทั้งหลายจะขยะๆ แต่หลวงตาบัวไม่ขยะ พูดตามหลักความจริง นี้คือมหาภัยที่เริ่มตั้งต้นขึ้นมาแล้วเวลานี้นะ ถ้าไม่ระงับเสียในบัดนี้จะแหลกไปเลยแหละ นี่แหละสร้างมหาอำนาจขึ้นในวงของพระเสียก่อน สร้างขึ้นนี้แล้วก็กระจายไปทั่วประเทศ ทั้งชาติทั้งศาสนาจะแหลกเหลวไปตามๆ กัน เพราะนี้สร้างอำนาจ ยิ่งมีอำนาจมากเท่าไร มีคนมาตั้งให้ใหญ่เท่าไร อำนาจยิ่งมาก อำนาจป่าๆ เถื่อนๆ นี่ เอาแหลกได้นะ อำนาจของเทวทัต ไม่ได้เหมือนอำนาจของพระพุทธเจ้านะ เทวทัตไหนก็ให้พิจารณาเอา เราพูดกลางๆ นี่
นี่หลักธรรมมีอย่างนี้ พูดตามหลักธรรมเรา ฟังแล้วมันฟังไม่ได้ว่างั้นเลย หลักธรรมหลักวินัยมีอยู่ไม่มองเลย เหยียบหัวพระพุทธเจ้าไปเรื่อยๆ ก็ฟังซิ อย่างที่ท่านทั้งหลายทราบแล้วนั้นน่ะ ประกาศออกมาว่าพระป่าเป็นพระวิกลจริต นั่นฟังซิ ว่าพระป่าเป็นพระวิกลจริตเป็นยังไง ทำลายศาสนาขนาดไหน ร้อยเปอร์เซ็นต์เลยเทียว พระพุทธเจ้าประทับอยู่ในป่า ทรงบำเพ็ญสมณธรรมอยู่ในป่า ตรัสรู้อยู่ในป่า นี่อันดับแรก นี่องค์ศาสดาของโลกทั้งสาม อันดับที่สองก็สั่งสอนบริษัทบริวารมีพระสงฆ์เป็นต้น เข้าไปศึกษาอบรม ไปอยู่ในป่าๆ พระเจ้าพระสงฆ์ทั้งหลาย แล้วปฏิบัติหน้าที่ของตนตามศาสดาที่ประทับอยู่ในป่า บรรลุธรรมอยู่ในป่าเพราะบำเพ็ญอยู่ในป่า แล้วก็ปฏิบัติตามนั้นจนได้สำเร็จเป็น โสดา สกิทา อนาคา อรหันต์ ขึ้นมา เป็น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิของพวกเรา เหล่านี้พระพุทธเจ้าเป็นวิกลจริต สาวกเป็นวิกลจริต พระป่านี้เป็นวิกลจริตไปหมด ฟังซิน่ะคำข้อนี้
ใครมาพูดได้อย่างนี้ ชาวพุทธทั่วโลกเขาพูดไม่ได้เลยอย่างนี้ แต่นี้ใครเป็นคนมาพูด ให้พากันพิจารณาซิ คำนี้ทำลายศาสนาอย่างแหลกเหลวไม่มีอะไรเหลือเลยตั้งแต่องค์ศาสดาลงมา ลงตำหนิพระพุทธเจ้าพระสงฆ์สาวกได้หมดตลอดถึงพระป่งพระป่าไม่มีความหมายอะไร แหลกไปตามๆ กันหมดเลย อันนี้ทำไมเอามาพูดได้ ถ้าคนธรรมดามันจะพูดได้หรือ คนนี้เอาวิกลจริตมาจากไหนจึงแปลกต่างกับวิกลจริตของพระป่าเอานักหนา ได้จริตมาจากไหนเอามาสอนโลกอยู่เวลานี้ นี่หรือเป็นศาสดาแทนโลกน่ะ กำลังทำลายพระพุทธเจ้าอยู่เวลานี้เหรอ จะเป็นศาสดาแทนพระพุทธเจ้า ให้พากันพิจารณาก็แล้วกัน นี้ประกาศออกมาแล้วฟังได้อย่างชัดเจนทั่วโลก มันออกทางวิทยุ ทางอะไรทีวีหรือทางไหนไม่รู้นะ(โยม ทางทีวีช่อง ๑๑ ครับ)
นี่แหละออกมาอย่างนี้ นี่ตอบรับกันอย่างเอาจริงเอาจัง ว่าวิกลจริต เอ้า ใครเป็นคนวิกลจริต นั่น ลุกลามไปหมดเลยไม่มีเหลือเลย ศาสนาของพระพุทธเจ้าเป็นศาสนาวิกลจริต จริตอันนี้ที่เอามาทำลายอยู่เวลานี้ เอามาจากไหนก็ไม่ทราบ จริตอันนี้น่ะ มันเลวร้ายขนาดไหนคำพูดเช่นนี้ เมืองไทยชาวพุทธเราพูดไม่ได้ ถึงเขาไม่นับถือศาสนาพุทธเรา เขาก็ไม่กล้ามาพูดอย่างนี้ ยิ่งกว่าที่ปฏิญาณตนเป็นชาวพุทธ หรือเป็นพระเป็นเณรอะไรก็แล้วแต่ ออกมาประกาศอย่างนี้ ฟังไม่ได้เลย แหลกเหลวหมด จำเอานะพี่น้องทั้งหลาย คำพูดนี้เป็นภัยมหาภัยต่อศาสนาโดยตรง แล้วก็จะลุกลามไปหาชาติไปหมดไม่มีเหลือละ เอาหยุด พอ มีอะไรว่ามา
โยม ก่อนหนูจะถวายปัจจัย ขอประทานเวลาหนู ๑ นาที มนุษย์อย่างเรานี่นะคะ คนที่ไม่ภาวนาถึงขั้น มองเห็นแม่น้ำก็เห็นแต่ผิวน้ำ มองไม่เห็นความลึกของน้ำถึงก้นแม่น้ำเหมือนพระเดชพระคุณ พระเดชพระคุณสามารถรู้จุดบกพร่องของเงินของชาติ ประทานความเมตตาเหนื่อยยาก หาเงินเข้าสถาบันชาติจนแน่น เพราะฉะนั้นคนไหนไม่เชื่อหลวงพ่อก็โง่สุดกระดูก (สาธุ) คุณ...ทำบุญให้คุณพ่อคุณแม่ ๒ หมื่นค่ะ
หลวงตา เข้าท่าดีโว๊ย พอใจๆ นี่แหละเห็นไหมล่ะ คนทั้งประเทศนี่หลั่งไหลเอาเงินเข้ามาเป็นหัวใจของชาติๆ พวกที่เป็นอยู่เวลานี้ก่อกวนอยู่ตลอดเวลานี้ เรายังไม่เคยเห็น เราเป็นผู้รับเงินผ่านของพี่น้องทั้งหลาย ยังไม่เคยเห็นว่า พวกนี้เอาเงินมาอุดหนุนชาติไทยของเรา เช่นทองคำจะหนึ่งบาทก็ตาม ตั้งแต่หนึ่งบาทขึ้นไปแหละ เราก็ไม่เห็น ดอลลาร์ก็ดีเงินสดก็ดีเราไม่เห็นสักสตางค์เลย แต่เรื่องอันนี้เด่นมากที่กำลังจะครอบหัวประเทศไทยขี้รดหัวประเทศไทยอยู่เวลานี้กำลังเด่นมาก ก่อกวนขึ้นตลอดเวลาทุกแห่งทุกหน ทุกมุมโลกแหละเวลานี้ ไปเที่ยวโฆษณาโจมตีที่นั่นโจมตีที่นี่จ้างคนนี้แหลกเหลวไปหมด
พวกนี้มันคงเป็นเศรษฐีแหละ มันขนเงินมาจากไหนก็ไม่ทราบ มาจ้างผู้จ้างคนจ้างใครก็ตามคนวิกลวิการอะไรก็ไม่รู้แหละ แล้วโจมตีสุ่มสี่สุ่มห้าหาความถูกต้องไม่มีเลย นี่อย่างนี้อันนี้เด่นมาพวกนี้ เข้าใจไหม ที่จะอุดหนุนประเทศไทยเรา เงินหนึ่งบาทหรือทองคำหนึ่งกิโลฯหรือเงินดอลลาร์หนึ่งดอลล์สองดอลล์ เรายังไม่เคยเห็น สำหรับเรารับสมบัติทั้งหลายที่พี่น้องทั้งหลายถวายผ่านมานะ เราบอกว่าเรายังไม่เห็นเราก็บอกยังไม่เห็น แต่เรื่องอย่างนี้เด่นมากทั่วประเทศไทย เรื่องที่จะทำลายทั้งชาติทั้งศาสนานี้เด่นมากที่สุดเลย เอาละพอ มันต้องอย่างนั้น เวลาขึ้นเวทีแล้วโบกมือเลย ถอยใครเมื่อไร เอาละพอ
จะให้พร ยถา วาริวหาฯฯ
ชมการถ่ายทอดสดทั่วโลกทุกวัน ได้ที่
www.luangta.com หรือ www.luangta.or.th
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น