เจริญพร ขอให้มีความสุขสมหวังและ ถึงความสิ้นทุกข์ในเวลาอันใกล้โดยง่ายเทอญ

ยินดีต้อนรับ สหธรรมิกผู้มีใจเป็นกุศลทุกๆท่านครับ

ขอเรียนเชิญ สหธรรมิกทุกๆท่านมาร่วมศึกษาและปฏิบัติธรรมของพระพุทธองค์ รวมทั้งแบ่งปันความรู้ ข้อคิด คำแนะนำ ด้วยใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาครับ

" ความมืดแม้ทั้งโลก ก็บดบังลำแสงเพียงน้อยนิดมิได้ "


สันโดษ

สันโดษ
สุขใด เสมอความสงบ ไม่มี

หน้าเว็บ

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
อดีตที่ผ่านมาเป็นบทเรียน อโหสิให้ทุกคน แต่อย่ามีเวรกรรมร่วมกันอีกเลย

ผู้ติดตาม

วันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ด้วยเหตุแห่งคำว่า "จิตว่าง"

ท่านพุทธทาส อินทปัญโญ
(พระธรรมโกศาจารย์)
วัดธารน้ำไหล สวนโมกขพลาราม จ.สุราษฎร์ธานี



โดยปกติแล้ว คนทั่วไปมักจะระลึกถึงท่าน พุทธทาสภิกขุ ในฐานะของพระอริยเจ้า
ผู้มีปัญญาบารมีอันสูงส่ง บางคนอาจจะคิดว่าท่านเป็นพระนักเทศน์ พระนักเขียน แท้จริงแล้ว
ท่านเป็นพระนักปฏิบัติที่มีปฏิปทาธรรมอันแน่วแน่ แต่ท่านก็ไม่เคยเปิดเผยความแน่วแน่
ด้านการปฏิบัติสมาธิเลย สิ่งที่ท่านพร่ำสอนล้วนเป็นธรรมะที่เน้นไปในทางปัญญาทั้งสิ้น
มีเพียงลูกศิษย์คนสนิทไม่กี่คนเท่านั้น ที่รู้ว่าท่านเป็นพระนักปฏิบัติ

เมื่อประมาณปี พ.ศ.๒๕๐๘ ท่านพุทธทาสได้บัญญัติคำศัพท์ภาษาธรรมขึ้นมาใหม่คำหนึ่ง
คือคำว่า "จิตว่าง" ด้วยเหตุแห่งคำว่า "จิตว่าง" นี้เอง ที่กลายเป็นประเด็นร้อนแรงในสังคมยุคนั้น
และเป็นที่มาของวิวาทะ (ทางปัญญา) เรื่อง "จิตว่าง" ระหว่าง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช
กับท่านพุทธทาส เพราะคำว่า "จิตว่าง" นี้

ในความหมายของท่านพุทธทาส ถือว่ามีความหมายลึกซึ้งกว่าที่คนทั่วไปจะเข้าใจกัน
คนทั่วไปจึงมักจะไม่เข้าใจความหมายของคำว่า "จิตว่าง" ในภาษาธรรมของท่านพุทธทาส
และคำว่า "จิตว่าง" นี้เองที่เป็นสิ่งยืนยันว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงติดตามศึกษาธรรมะของท่านพุทธทาสมาตลอด ผู้ที่เปิดเผยเรื่องนี้ก็คือ

ท่านประธานองคมนตรี นายสัญญา ธรรมศักดิ์ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดกับท่านพุทธทาส
ทั้งยังเป็นข้าราชบริพารที่ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทมากที่สุดคนหนึ่ง ท่านสัญญา ธรรมศักดิ์
ได้เคยเล่าไว้ในปาฐกถาธรรม เรื่อง "ชีวิตกับการงาน" ว่า ในหลวงทรงมีพระราชกระแสรับสั่ง
เรื่อง "จิตว่าง" กับท่านหลายครั้งหลายหน เมื่อครั้งที่มีพระราชกรณียกิจที่ยุ่งยากพระทัย
พระองค์ท่านจะตรัสว่า กลุ้มเหลือเกิน คิดอะไรไม่ออก เมื่อถึงเวลาที่พร้อมจะทรงงาน
พระองค์จะตรัสว่า ตอนนี้ "จิตว่าง" เสียที ท่านสัญญา ธรรมศักดิ์ เล่าต่อไปว่า
คำว่า "จิตว่าง" ที่ในหลวงตรัสนี้ เป็นศัพท์ใหม่ที่ท่านพุทธทาสบัญญัติขึ้นตามที่ได้กล่าวมาแล้ว
และมีนัยตรงกับความหมายของคำว่า "จิตว่าง" ในภาษาธรรมจากท่านพุทธทาสทุกประการ


ธัมมวิจักขณกถา
"ธรรมที่ควรพึงเห็นโดยประจักษ์"
พระธรรมเทศนาในโอกาสทรงบำเพ็ญพระราชกุศลเนื่องในวันวิสาขบูชา
ณ วัดพระบรมธาตุไชยาราชวรวิหาร
วันอังคารที่ ๒๓ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๑๐
พระราชชัยกวี (พุทธทาส อินทปัญโญ)
รับพระราชทานถวาย



.... คำว่า "ธรรม" คำนี้ เป็นคำพูดที่ประหลาดที่สุดในโลก เป็นคำพูดที่แปลเป็นภาษาอื่นไม่ได้
ได้มีผู้พยายามแปลคำคำนี้เป็นภาษาต่างประเทศ เช่น ภาษาอังกฤษ เป็นต้น ออกไปถึง ๒๐-๓๐ คำ
ก็ยังไม่ได้ความหมายครบถ้วน หรือตรงตามความหมายของภาษาบาลีหรือภาษาของพุทธศาสนา

คำว่า "ธรรม" เป็นคำสั้นๆ เพียงพยางค์เดียว แต่มีความหมายลึกซึ้งน่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง
คำว่า "ธรรม" ใช้หมายถึงสิ่งทุกสิ่งไม่ยกเว้นสิ่งใดเลย ไม่ว่าจะเป็นสิ่งดี สิ่งชั่ว หรือสิ่งไม่ดี ไม่ชั่ว
ก็รวมอยู่ในคำว่า "ธรรม" นี้ทั้งหมด ดังพระบาลีว่า กุสลา ธัมมา, อกุสลา ธัมมา, อัพยากตา ธัมมา

"ธรรม" เพียงพยางค์เดียว หมายความได้ถึง ๔ อย่าง คือ
๑. ธรรมชาติทุกอย่างทุกชนิดหรือธรรมในฐานะที่เป็นตัวธรรมชาติ
๒. กฎของธรรมชาติซึ่งมีประจำอยู่ในธรรมชาติเหล่านั้น นี้คือธรรมในฐานะที่เป็นกฎของธรรมชาติ
และมีความหมายเท่ากันกับสิ่งที่เรียกว่า "พระเป็นเจ้า" ในฐานะศาสนาที่ถือว่ามีพระเป็นเจ้าอยู่
๓. หน้าที่ต่างๆ ที่มนุษย์จะต้องประพฤติหรือกระทำในทางโลกหรือทางธรรมก็ตาม
มนุษย์จะต้องประพฤติให้ถูกให้ตรงตามกฎของธรรมชาติ จึงจะไม่เกิดความทุกข์ขึ้นมา
มนุษย์ส่วนมากสมัยนี้หลงใหลในทางวัตถุมากเกินไป ไม่สนใจสิ่งที่เป็นสุขทางนามธรรม
ข้อนี้เป็นการกระทำที่ผิดกฎของธรรมชาติ จึงเกิดความยุ่งยากนานาประการ
ที่เรียกว่า "วิกฤตการณ์" จนแก้กันไม่หวาดไม่ไหว
๔. ผลของการทำหน้าที่หรือการปฏิบัติที่เกิดขึ้นตามกฎของธรรมชาติ เช่น ความทุกข์ ความสุข หรือการบรรลุมรรคผลนิพพาน

สรุปแล้ว "ธรรม" เพียงพยางค์เดียว หมายความได้ถึง ๔ อย่าง คือ
หมายถึง ตัวธรรมชาติ ก็ได้
หมายถึง กฎของธรรมชาติ ก็ได้
หมายถึง หน้าที่ที่มนุษย์ต้องทำให้ถูกตามกฎของธรรมชาติ ก็ได้
และหมายถึง ผลต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติหน้าที่นั้นๆ ก็ได้

เมื่อสิ่งที่เรียกว่า "ธรรม" มีมากมายมหาศาลอย่างนี้ ปัญหาจะเกิดขึ้นมาว่า
คนเราจะรู้ธรรมหรือเห็นธรรมได้ทั้งหมดได้อย่างไรกัน

พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้แล้วว่า เราอาจจะรู้ได้ทั้งหมด และปฏิบัติได้ทั้งหมดในส่วนที่จำเป็นแก่มนุษย์
หรือเท่าที่มนุษย์จะต้องเกี่ยวข้องด้วย ส่วนที่เหลือนอกนั้น ไม่ต้องสนใจเลยก็ได้

ธรรมที่ทรงนำมาสั่งสอนนั้น ก็ยังสรุปลงได้ในคำพูดเพียงประโยคเดียว ว่า
"สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ" ซึ่งแปลว่า
"ธรรม" ทั้งหลายทั้งปวง อันใครๆไม่ควรสำคัญมั่นหมายว่าตัวตนหรือของตน

ข้อที่ควรทราบต่อไป สิ่งที่เรียกว่า "ธรรม" นี้ ยังเป็นของประหลาดในข้อที่ว่า
เป็นสิ่งที่มีอยู่ก่อนสิ่งทั้งปวง เช่นเดียวกับสิ่งที่เรียกว่า "พระเป็นเจ้า"
อีกประการหนึ่ง สิ่งที่เรียกว่า "ธรรม" นี้ ยังเป็นสิ่งที่มีอยู่ตลอดกาล ยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ดวงจันทร์เสียอีก

กฎทางวิทยาศาสตร์ที่ว่า "สิ่งใดเหมาะสมที่จะอยู่ สิ่งนั้นจะคงอยู่หรือเหลืออยู่
สิ่งใดไม่เหมาะสมที่จะอยู่ คือ เข้ากันไม่ได้กับสิ่งแวดล้อมเป็นต้นแล้ว สิ่งนั้นจะสูญไป"
นั้นก็คือ กฎของธรรมโดยตรงและธรรมนั่นแหละ เป็นสิ่งเดียวที่จะคงอยู่ตลอดกาล

ดังนั้น สิ่งที่เรียกว่า "ธรรม" นั้น จึงตั้งอยู่ในฐานะสิ่งสูงสุดเหนือสิ่งอื่นใด
จนกระทั่งแม้พระพุทธเจ้าทั้งหลายทุกพระองค์ ก็ล้วนแต่ทรงเคารพ "ธรรม"

เนื้อตัวของเราทั้งหมดก็คือ "ธรรม" กฎธรรมชาติที่ควบคุมเราอยู่ก็คือ "ธรรม"
หน้าที่ที่เราจะต้องกระทำให้ถูกต้องตามกฎธรรมชาตินั้นๆ ก็คือ "ธรรม"
และในที่สุดผลต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับเราตลอดจนถึงการบรรลุมรรคผล
ในขั้นสุดท้ายของเราก็คือ "ธรรม" อีกนั่นเอง

ดังนั้น พระพุทธองค์จึงทรงตรัสว่า "ธัมมทีปา ธัมมสะระณา" ซึ่งแปลว่า
"ท่านทั้งหลาย จงมีธรรมเป็นดวงประทีป จงมีธรรมเป็นที่พึ่งอาศัยเถิด" และพร้อมกันนั้นก็ได้ตรัสว่า
"ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต ผู้ใดไม่เห็นธรรม ผู้นั้นไม่เห็นเราตถาคต" ....

แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย อภิราม : 22-09-2010 เมื่อ 03:32 PM

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น