เ ก ษ ต ร ก ร ร ม บ น ผื น น้ำ ภูมิปัญญาจากหลายร้อยปีของชาวอินทา ต้นแบบของการปลูกพืชแบบไฮโดรโฟนิก ในปัจจุบัน
October 03, 2010
เกษตรกรรมบนผืนน้ำ ภูมิปัญญาจากหลายร้อยปีของชาวอินทา ต้นแบบของการปลูกพืชแบบไฮโดรโฟนิก ในปัจจุบัน
ภาพชีวิตของลูกทะเลสาบที่ยืนขาเดียวบนเรือ แล้วใช้เท้าอีกข้างต่างมือในการจ้วงพาย บังคับเรือให้แล่นไปข้างหน้า ถอยหลัง เบี่ยงซ้าย ป่ายขวาได้ดังใจ ขณะที่อีกมือหนึ่งขยับสุมเตรียมจับปลา … ดูแปลกตาสำหรับเรา เหมือนกับพวกเขากำลังเต้นบัลเล่ย์บนผิวน้ำด้วยท่วงท่าที่สง่างาม
ลีลาที่พริ้วไหว ทำให้เราต้องเบนทิศทางของกล้องระดมถ่ายรูปเก็บไว้มากมาย ด้วยจุดมุ่งหมายที่จะนำไปเผยแพร่ในวงกว้าง … ด้วยเหตุที่การแจวเรือด้วยเท้าไม่มีที่ไหนในโลก มีเพียงที่นี่แห่งเดียว
ภาพที่เห็นในสายตา ทำให้ฉันคิดถึงบทความที่เคยอ่านผ่านตามาบ้าง …
สมัยบรรพชนของชาวอินทา ที่เข้ามาตั้งรกรากใหม่ๆ พื้นที่ราบตามธรรมชาติมีอยู่น้อยนิดตามชายขอบ ที่พวกเขาลงแรงปลูกผักเอาไว้ แต่พอถึงหน้าฝน น้ำที่หลากลงมาจากภูเขาพัดพาพืชผักเสียหายหมด ถึงจะท้อใจบ้าง แต่พวกเขาไม่ท้อถอย … ด้วยความหวังว่าจะมีชีวิตที่ดีกว่า ด้วยการประนีประนอมกับสภาพธรรมชาติรอบข้าง
การพยายามรอมชอมกับสิ่งแวดล้อมรอบตัว มีตั้งแต่การเรียนรู้ที่จะต้องปลูกบ้านที่ใต้ถุนสูงมากๆไว้ก่อน เพื่อป้องกันน้ำท่วมในหน้าน้ำหลาก ที่อาจจะยกระดับน้ำในทะเลสาบให้สูงกว่าปกติถึง 2 เมตร และการค้นหาหนทางที่จะเพาะปลูก ทำการเกษตรให้ประสบผลสำเร็จบนพื้นที่น้อยนิดที่มีอยู่ให้จงได้
ชาวอินทา มองเห็นว่าหน้าดินที่ไหลลงสู่ก้นทะเลสาบนั้นมีจำนวนมหาศาล จนทำให้ทะเลสาบตื้นเขิน … ดินเหล่านี้ประกอบด้วยสารอินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตของพืช เป็นปุ๋ยชั้นยอดตามธรรมชาติ อีกทั้งในทะเลสาบที่ลึกเพียง 1-2 เมตรยังมีวัชพืชมากมาย …
สาหร่ายและวัชพืชน้ำ … เป็นส่วนเกินที่ไร้คุณค่าและประโยชน์ในหลายชุมชนทั่วโลก หากแต่ที่นี่ วัชพืชเหล่านี้คือ “ขุมทองและชีวิต” … ผืนแผ่นดินดั้งเดิมคือดินตะกอนที่ไหลจากภูเขาลงมาทับถมกันด้วยเวลายาวนาน แต่มันไม่เพียงพอสำหรับชาวอินทาทุกคนในการสร้างบ้านแปงเมืองเป็นที่อยู่อาศัย และปลูกผักเลี้ยงชีพ
บรรพบุรุษของชาวอินทาจึงได้ทดลองนำเอาวัชพืชน้ำเหล่านั้นมามัดรวมกันเป็นแพที่กว้างสัก 2 ฟุต ยาว 50-60 เมตร แล้วตักดินโคลนมาโปะลงบนแพวัชพืช เอาไม้ไผ่มาปักเป็นหลัก ดักหัวดักท้าย เพื่อกันไม่ให้ลอยไปตามกระแสน้ำ
แปลงผักมีการพัฒนาต่อมาเรื่อยๆ … บางครั้งลมมรสุมที่โหมกระหน่ำนั้นมีพลังมากมาย จนไม้ไผ่ทานไม่อยู่ แปลงผักจึงหลุดลอยไปตามกระแสน้ำ … สำหรับชาวอินทาแล้ว แปลงผักเหล่านี้ไม่ใช่เพียงวัชพืชที่ไร้ค่ากับดินโคลนอันต่ำต้อย ทว่าคืออู่ข้าวอู่น้ำ คือรายได้เลี้ยงปากท้องของครอบครัวอีกหลายชีวิต
ชาวอินทาทุ่มเทพละกำลัง จ้วงแขนพายเรือเพื่อตามแปลงผักที่หลุดลอยไปให้ทัน … แต่ช่วงแรกมันเหนื่อยเปล่า มองไม่เห็นว่าแปลงผักลอยไปทางไหน พวกเขาจึงลุกขึ้นยืนสอดส่ายสายตาหาแปลงผัก ในขณะที่เปลี่ยนมาใช้เท้าพายและบังคับเรือแทน
ในที่สุดก็กลายเป็นการพัฒนามาสู่การใช้มือจับด้ามพาย คล้ายเป็นหลักแจว แล้วใช้ขาข้างหนึ่งตวัดใบพายให้พลิกพริ้ว เพื่อพุ้ยน้ำไปข้างหน้า ส่วนอีกขาเหยียบหัวเรือรักษาสมดุลของร่างกายเอาไว้ในยามที่โยกตัวใช้ขาจ้วงใบพาย … จนคล้ายการเต้นบัลเลย์ในสายน้ำ ในสายตาของผู้มาพบเห็น
ในปัจจุบัน แม้ว่าชาวอินทาจะมีวิธีการป้องกันไม่ให้แปลงผักหลุดลอยไปตามน้ำแล้วก็ตาม แต่การพายเรือด้วยเท้ากลับฝังลึกกลายเป็นสัญชาตญาณ จนพัฒนาเป็นความชำนาญเมื่อลอยเรืออยู่ในน้ำไปแล้ว …
โดยเฉพาะเมื่อเวลาออกไปหาปลาโดยใช้สุ่ม ที่มีขนาดใหญ่เกินกว่าที่จะยกขึ้นได้ด้วยมือเพียงข้างเดียว ชาวประมงจะใช้แค่รักแร้หนีบด้ามพายเอาไว้ และบังคับเรือให้หยุดนิ่งได้เหมือนเสกมนต์ และเมื่อกดสุ่มปักลงไปถึงท้องน้ำแล้วก็ใช้ฉมวกแทงลงไปในสุ่ม สำรวจดูว่ามีปลาหลุดเข้ามาหรือไม่ หากปลาตกใจว่ายมาชนสุ่ม ชาวประมงจะกระตุกเงื่อนปล่อยแหในสุ่มลงไปครอบปลาไว้ ก่อนที่จะยกสุ่มขึ้น แล้วค่อยๆสาวแหขึ้นมา แกะปลาออก
แม้ปัจจุบัน ชาวอินทาจะมีอาชีพอื่นเพื่อสร้างรายได้ แต่ทุกบ้านมักจะมีใครสักคนออกทะเลสาบหาปลา เอามาต้มแกงกินในครอบครัว เป็นวัฒนธรรมและวิถีชีวิตของลูกทะเลสาบตลอดมา
บริเวณรอบๆทะเลสาบที่ถึงแม้จะไม่ลึก และเป็นแหล่งการประมงที่สำคัญ สร้างเศรษฐกิจและรายได้ให้คนในชุมชนมหาศาล แต่ที่ราบมีน้อยมากๆ และชาวอินทาต้องการพื้นที่ปลูกบ้านพักอาศัย และแหล่งเพาะปลูกพืชทางการเกษตรต่างๆ …
พวกเขาจะใช้วัชพืชเหล่านี้ไปกองสุมกัน เป็นรองพื้นขนาดใหญ่ก่อนที่จะโกยดินตะกอนจากก้นทะเลสาบ (ที่อยู่ไม่ลึกดังกล่าวมาแล้ว) มาโปะลงไปแปลงโฉมพื้นที่นั้นๆเป็นแปลงผักลอยน้ำขนาดใหญ่ โดยมีเสาไม้ไผ่ปักลงไปในดินยึดโยงแปลงผักไม่ให้ลอยออกไปตามกระแสน้ำที่พัดผ่าน…
แปลงผักของที่นี่ใช้ปลูกดอกไม้ พืชชนิดต่างๆโดยไม่ต้องรดน้ำ เพียงแค่ต้องเอาใจใส่ถอนวัชพืช ..
ผลิตผลที่ออกมา พวกเขาเก็บเอาไว้กินเอง รวมถึงส่งขายนำรายได้สู่ชุมชน เช่นพริกโดยเฉพาะมะเขือเทศนั้น ที่นี่เป็นแหล่งผลิตใหญ่มาก และส่งไปขายทั่วทั้งพม่า นำเงินทองกลับมา จนใครๆอิจฉา ด้วยเหตุที่ชาวอินทา “รวย” กว่าชนเผ่าอื่นๆในจำนวน 126 ชนเผ่าในรัฐฉานของพม่าชนิดเทียบกันไม่ติด แถมยังมีฐานะทางเศรษฐกิจดีกว่าชาวพม่า จนเป็นชนเผ่าเดียวในประเทศพม่าที่สามารถจ้างชาวพม่ามาเป็นลูกจ้างเก็บใบยาสูบ และทำงานในสวนผัก ในขณะที่ชนเผ่าอื่นต้องไปเป็นลูกจ้างของชาวพม่าเสียเป็นส่วนมาก
ภูมิปัญญาของชาวอินทา น่ายกย่องและชื่นชม ในการต่อสู้ พลิกเกมที่ดูเหมือนจะเป็นข้อด้อย ให้แปรเปลี่ยนมาเป็นข้อดี ส่งเสริมชีวิตและความเป็นอยู่ของพวกเขาให้ดีขึ้น
“ทำนา บนหลังคน” … หมู่บ้านชาวอินทามีวัว ควาย ที่ใช้งานหลากหลายประเภทอยู่มาก และเป็นภาพชีวิตชนบทที่งดงาม ชวนให้กดชัตเตอร์กล้องอย่างไม่ยั้งอยู่บ่อยๆ หากแต่ในบางกรณี ภาพการใช้แรงคนไถนา ยังพอมีให้เห็น …
ฉันไม่รู้เหตุผลแน่ชัด ได้แต่นึกฉงน แต่เดาเอาว่าคงใช้ควายไถนาไม่ได้ในบริเวณนี้ แปลกตาดีค่ะ
ขอบคุณ : เนื้อความบางส่วนจาก หนังสือ “ท่องเจดีย์ไพรใน พุกามประเทศ” โดย ธีรภาพ โลหิตกุล ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 3 โดยแพรวสำนักพิมพ์
โดย Supawan
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น