ยอดคุณพ่อ ทิ้งข้อความสอนลูกใช้ชีวิตมีสุขก่อนตาย
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก uwillreadnews.blogspot.com
ในโลกใบนี้ ไม่มีความรักใดยิ่งใหญ่ไปกว่าความรักของคนเป็นพ่อเป็นแม่อีกแล้ว เพราะนอกจากจะเป็นความรักที่บริสุทธิ์ผุดผ่องอย่างไม่หวังสิ่งตอบแทนใด ๆ แล้ว ยังเป็นความรักที่เปี่ยมไปด้วยความห่วงใย ความหวังดีมหาศาลจนไม่อาจจะหาสิ่งใดมาแทนค่าได้และไม่มีวันหมด แม้ว่าเวลาจะล่วงมาถึงช่วงสุดท้ายของชีวิต ก็ไม่เคยที่จะหยุดเป็นห่วงและคิดถึงวันพรุ่งนี้ของลูกได้เลย
และเรื่องราวที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ ก็คงเป็นสื่อแทนความรักของพ่อแม่ที่ชัดเจนเลยทีเดียว เพราะเป็นเรื่องราวของพ่อคนหนึ่งที่ป่วยเป็นมะเร็งลุกลามในสมอง แต่กระนั้นก็ยังทุ่มเทช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตไปกับการทำทุก ๆ อย่างเพื่อให้ลูก ๆ ของพวกเขาได้เป็นคนดี และมีพ่ออยู่ในความทรงจำ เสมือนพ่อไม่เคยจากไปไหน แต่อยู่เคียงข้างพวกเขาไปทั้งชีวิต
โดยคุณพ่อคนนี้ คือ พอล ฟลานาแกน อดีตคุณครู ผู้ซึ่งมีครอบครัวที่แสนอบอุ่น อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งภรรยา แมนดี้ ฟลานาแกน และลูก ๆ ลูซี่และโทมัส ฟลานาแกน ครอบครัวนี้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขเรื่อยมา จนกระทั่งเมื่อปี 2004 โชคชะตากลับเล่นตลกกับพอล ผู้เป็นหัวหน้าครอบครัว เมื่อเขาได้พบว่าตนเองเป็นมะเร็งผิวหนัง เพราะปานที่หน้าอกของเขากลายเป็นเนื้อร้าย เขาจึงรีบผ่าตัดมันออกทันทีในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน และผลจากการผ่าตัดในครั้งนั้น ทำให้เขากลับเป็นเหมือนคนปกติ ที่ไม่เคยตรวจพบมะเร็งร้ายอีกเลยนับแต่นั้นมา
แต่แล้วโชคชะตาก็กลั่นแกล้งเขาซ้ำอีก เพราะหลังจากนั้น 4 ปี เขาได้พบว่ามะเร็งได้ลุกลามไปยังต่อมน้ำเหลืองที่แขนและคอ ซึ่งแม้จะทำการผ่าตัดและฉายรังสี แต่ก็ช่วยหยุดเชื้อร้ายได้ชั่วคราวเท่านั้น และในที่สุด ในเดือนมีนาคมปี 2009 ผลสแกนแสดงให้เห็นว่า มะเร็งได้ลุกลามไปยังสมองของเขา ซึ่งไม่มีทางจะรักษาได้อีกต่อไป พอลจึงเริ่มรู้ตัวว่าตัวเองกำลังมีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาสุดท้าย เขามีเวลาอยู่กับภรรยาและลูก ๆ ที่รักได้อีกเพียงไม่นานเท่านั้น
แม้พอลจะรู้อาการของตัวเองที่เลวร้ายลงเรื่อย ๆ แต่เขากลับไม่เคยย่อท้อต่อโรคร้ายที่อาจคร่าชีวิตเขานี้เลย ตรงกันข้าม เขากลับเริ่มใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายที่เหลืออยู่อย่างมีความสุขมากที่สุด ทำทุกอย่างตามปกติเหมือนกับว่าไม่ได้เป็นโรคร้ายนี้เลย เขาเริ่มจัดการเรื่องการเงินของครอบครัวอย่างรอบคอบ จัดการพิธีฝังศพของเขาเอง และแม้กระทั่งบริจาคม้านั่งให้แก่โรงเรียนเรเกท แกรมมาร์ ที่ซึ่งเขาเคยสอนตั้งแต่ปี 2003 ไว้ให้เป็นความทรงจำที่จะคงอยู่ในโรงเรียนนี้ตลอดไป
แต่เหนือสิ่งอื่นใด เขาได้ทำสิ่งสำคัญให้กับคนที่เขารักมากที่สุด นั่นก็คือ ลูก ๆ ของเขา เขาได้ทำในสิ่งที่เขาเชื่อว่าเขาจะยังคงอยู่ในความทรงจำของลูก ๆ ในฐานะพ่อที่ดีได้ตลอดไป ไม่ว่าจะเป็นการเขียนจดหมาย ถ่ายวิดีโอ ซื้อของขวัญวันเกิดล่วงหน้าให้ หรือกระทั่งทำชั้นหนังสือขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยหนังสือเล่มโปรดของเขาเพื่อให้ลูก ๆ ของเขาได้อ่านต่อไป โดยหนังสือแต่ละเล่มก็จะมีคำอธิบายว่าทำไมหนังสือเหล่านี้จึงเป็นหนังสือที่เขารัก และหวังว่าลูก ๆ ของเขาจะชอบอ่านหนังสือเหล่านี้เช่นกัน
และแม้ในระหว่างนั้น อาการของพอลจะแย่ลงเรื่อย ๆ ก็ตาม พอลก็ยังยืนยันที่จะชวนภรรยาไปซื้อของขวัญวันเกิดให้ลูก ๆ ล่วงหน้า โดยซื้อของขวัญวันเกิดล่วงหน้าให้โทมัสในวัย 18 ปีและลูซี่ในวัย 21 ปีพอลได้ซื้อแหวนให้แก่ลูซี่พร้อมสลักคำว่า รักชั่วนิรันดร์ แต่เมื่อคนขายถามว่า จะเอาแหวนขนาดไหน มันเป็นเรื่องน่าสะเทือนใจมากที่พอลไม่สามารถตอบได้ เพราะเขาจะไม่มีวันที่จะเห็นลูกสาวของเขาเติบโตได้ถึงวันนั้น เพราะอีกไม่นานเขาก็ต้องจากเธอไปชั่วนิรันดร์ และในที่สุด พอลก็จากไปด้วยโรคมะเร็งเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2009 สร้างความเศร้าโศกเสียใจให้กับครอบครัวเป็นอย่างมาก
แต่หลังจากที่พอลเสียชีวิต ดูเหมือนว่าเขาจะกลายเป็นความทรงจำที่ยิ่งใหญ่ของคนในครอบครัวอย่างที่ตั้งใจไว้ เพราะทุก ๆ อย่างที่เขาเตรียมไว้ให้ภรรยาและลูก ๆ ได้ถูกค้นเจอทีละน้อย โดยของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่พอลมอบให้แก่ภรรยาและลูก ๆ ของเขา ดูเหมือนจะบันทึกฉบับหนึ่งที่ชื่อว่า "On finding fulfilment" ที่แมนดี้ผู้เป็นภรรยาค้นพบในคอมพิวเตอร์ของเขาโดยบังเอิญข้อความในนั้นระบุถึง 28 วิธีที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขที่พอลทำมาโดยตลอดชีวิตและต้องการให้ลูก ๆ ได้อ่าน เพราะเมื่อลูก ๆ โตพอที่จะอ่านมัน พวกเขาจะเข้าใจได้อย่างแท้จริงว่า อะไรที่หล่อหลอมที่ทำให้พอลเป็นพอล พ่อที่ดีของลูก ๆ มาจนถึงตอนนี้ ซึ่งเมื่อแมนดี้ได้ค้นเจอ เธอก็เปิดอ่านมันตั้งแต่ต้นจนจบพร้อมน้ำตาที่ไหลลงมาอาบแก้ม
โดยข้อความหนึ่งในบันทึกนั้น พอลได้บรรยายว่า "ในไม่กี่อาทิตย์ที่เหลืออยู่นี้ ผมได้ใช้จิตวิญญาณและหัวใจของผมค้นหาหนทางที่จะทำให้ลูก ๆ เติบโตขึ้นและมีชีวิตที่สวยงาม ให้พวกเขาได้รู้ถึงความหมายของสิ่งสำคัญในชีวิต นั่นคือ คุณค่าและความสำคัญของการทำให้ตัวเราและคนอื่นมีความสุข เราก็ใช้ชีวิตอยู่บนโลกนี้ได้อย่างมีความสุข ซึ่งมันจะทำให้คนเป็นพ่ออย่างผมมีความสุขอย่างที่สุด ที่ได้เห็นลูก ๆ ที่รัก ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขแม้ไม่มีพ่ออยู่แล้วก็ตาม"
ณ วันนี้ แม้ว่าพอลจะจากไปกว่า 3 ปีแล้ว แต่เรื่องราวของเขาก็ยังคงถูกหยิบยกขึ้นมาพูดถึงอีกครั้ง ขณะที่แมนดี้ผู้เป็นภรรยา ได้เปิดเผยหลังจากที่พอลได้เสียชีวิตว่า วิญญาณของพอลจะต้องมีความสุขอยู่บนสวรรค์ในขณะที่เฝ้ามองดูลูก ๆ ของเขาซึ่งกำลังใช้ชีวิตอย่างมีความสุขตามบันทึกที่เขาได้มอบให้ไว้เป็นเครื่องเตือนความจำถึงตัวเขาตลอดไป...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น