กรรมเหนือหมอดู
โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก
ผมเป็นศิษย์โหร แต่มิได้เป็นโหร หลวงพ่อเจ้าคุณพระภัทรมุนี หรือมหาอิ๋น เจ้าอาวาสวัดทองนพคุณ
ธนบุรี (สมัยนั้น) เป็นโหราจารย์ชั้นยอด สมัยนั้นมีโหราจารย์ที่ดังอยู่
คือ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อยู่ ญาโณทยมหาเถระ) ซึ่งต่อมาเป็นสมเด็จพระสังฆราช
อีกรูปหนึ่งคือพระภัทรมุนี
แต่โหรสมัยก่อนเขามิได้ทายส่
จิตใจให้แก่ศิษย์มากกว่าเป็
บางทีกว่าจะทายได้สักราย ท่านคำนวณแล้วคำนวณอีกถึ
มีเรื่องเล่าว่า หนุ่มสาวคู่หนึ่งจูงมือมาให้
ไม่สามารถให้ฤกษ์ได้ ขอให้ไปหาสมเด็จฯ วัดสระเกศ สองคนก็ไปหาสมเด็จฯ และก็ได้ฤกษ์ไป
มีผู้ถามสมเด็จฯ ภายหลังว่า ทำไมเจ้าคุณอิ๋นไม่ให้ฤกษ์ สมเด็จฯ บอกว่า “เจ้าคุณท่านดู
แล้วสองคนนี้จะอยู่ด้วยกันไม่
ส่วนต่อไปนั้นจะเป็นอย่างไรเป็
ถูกทั้งสองรูป รูปหนึ่งมองว่าถ้าจะแต่งงานกั
ดวงมันเป็นคู่กันก็ต้องได้แต่
เป็นเรื่องของทั้งสองคน แล้วแต่จะมอง
เมื่อผมสอบเปรียญเก้าประโยคได้
ผมก็ยืนยันว่า ไม่อยากเป็น “หมอดู” หลวงพ่อบอกว่า โหร มิใช่หมอดู เราศึกษาโหราศาสตร์
ให้เชี่ยวชาญ เพื่อนำไปใช้ในการแก้ปัญหาชีวิต ไม่จำเป็นต้องพยากรณ์ใคร คล้ายจะบอกว่า
โหราศาสตร์กับพยากรณ์ศาสตร์
แต่ผมก็เห็นโหรส่วนมากท่านก็
ผมแย้งว่าพระพุทธเจ้าท่านตำหนิ
ความว่า ติรัจฉานวิชชาคือ วิชชาที่ขวางต่อการบรรลุ
ก็เข้าเกณฑ์นี้ทั้งนั้น
ผมจำนนท่าน แต่ผมก็ไม่ยอมเรียนอยู่ดี ไม่งั้นป่านนี้เป็นหมอดูแม่นๆ ไปแล้ว
หลวงพ่อเล่าว่า ปราชญ์โบราณท่านเรียนโหราศาสตร์
สมเด็จมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เป็นต้น ก็ทรงเชี่ยวชาญโหราศาสตร์ทั้งนั
แต่ก็ไม่เห็นท่านใช้โหราศาสตร์
แล้วก็ตื่นเต้นด้วยความดีใจที่
ก่อนทรงศึกษาโหราศาสตร์นั้น พระวิชรญาณ (สมเด็จพระจอมเกล้าฯ รัชกาลที่สี่)
ทรงได้รับพยากรณ์จากหลวงตาเฒ่
จะได้ราชสมบัติแน่นอน รับสั่งว่าให้เป็นจริงเถอะ จะสมนาคุณอย่างงามเลย แล้วในที่สุด
ก็ทรงได้ขึ้นครองราชย์จริงๆ ทรงรำลึกถึงหลวงตาเฒ่าวัดตะเคี
ก็ทรงทราบว่า หลวงตาเฒ่ามรณภาพไปนานแล้ว จึงทรงปฏิสังขรณ์เป็นการบูชาคุ
แล้วพระราชทานนามวัดใหม่ว่า วัดมหาพฤฒาราม (แปลว่า วัดที่สร้างถวายพระผู้เฒ่า)
เมื่อทรงเชี่ยวชาญในโหราศาสตร์
นอกจากทรงวิพากษ์วิจารณ์
พระชาตากรมหมื่นพิชิตปรีชากร ที่โหรทั้งหลายว่าเป็นดวงแตก เอาดีไม่ได้ ว่าถ้าถอดดวงให้
ละเอียดแล้ว กลับเป็นดวงดีอย่างยิ่งเป็นต้น
และทรงสามารถใช้โหราศาสตร์แก่
แข็งมาก จะได้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน เมื่อถูกอัญเชิญลาสิกขาเพื่
สถาปนาพระอนุชาธิราชให้เป็นกษั
ว่ากันว่าทรงแก้เคล็
สองสามวันมานี้มีข่าวโหร หรือหมอดูแม่นชื่อ หมอดูอีที (ขอประทานโทษถ้าฟังมาผิด)
เป็นชาวพม่า ทำนายดวงนักการเมืองดังๆ มามาก หลายท่านก็ว่าทำนายได้แม่นยำ
อย่างป๋าเหนาะท่านว่า ท่านเองก็เคยให้หมอดูอีทีทำนาย แม่นมาก “ขนาดเงินกระเป๋าผม
ยังทายได้เลยว่า มีใบพัน ใบห้าร้อย ใบร้อยกี่ใบๆ และแต่ละใบเลขอะไร” แล้วท่านเล่าต่อ
หมอเขาก็เตือนว่า
ระวังจะถูกหลักหลัง ดวงทำบุญคนไม่ขึ้น หมอยังบอกว่าใครควรคบไม่ควรคบ ถึงตรงนี้เสียง
นักข่าวแทรกขึ้นว่า “แล้วหมอบอกหรือเปล่าว่าคนหน้
ไม่เอาแล้วๆ อย่าถามมาก อะไรประมาณนั้น
หมอดูที่ทายแม่นยังกับตาเห็น มีมาทุกยุคทุกสมัย แต่ส่วนมากทายอดีตและปัจจุบันค่
แต่ทายอนาคตไม่ค่อยแม่น นานๆ จะทายอนาคตค่อนแม่นยำ ดังกรณีซินแสมองหน้าพระหนุ่ม
สองรูปกำลังเดินบิณฑบาตอยู่ แล้วก็หัวเราะชอบใจ พระหนุ่มสองรูปถามว่า หัวเราะอะไร ซินแสตอบว่า
“ลื้อสองคงนี้จะได้เป็นพระเจ้
คราวนี้ พระคุณเจ้าทั้งสองรูปหัวเราะบ้
สองคนเป็นพระเจ้าแผ่นดินพร้อมกั
ได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินจริง คือ พระสินได้เป็นสมเด็จพระเจ้
พระทองด้วงได้เป็นพระบาทสมเด็
แกก็คงหัวร่อชอบใจที่แกพยากรณ์
ทำไมการพยากรณ์อดีตจึงแม่น พยากรณ์อนาคตไม่แม่น
ตอบง่ายนิดเดียว เพราะชีวิตคนมิได้ขึ้นอยู่กั
ไปตามเงื่อนไขปัจจัยอีกมากมาย อดีตนั้น “นิ่ง” แล้ว ไม่มีเงื่อนไขอะไรมาผลักดันให้
เพราะฉะนั้น การทำนายทายทักจึงมักจะตรง แต่ปัจจุบันและอนาคต มันยังเคลื่อนไหวเพราะ
เหตุปัจจัยอีกหลายอย่าง ยังไม่นิ่ง
เงื่อนไขที่สำคัญที่สุดคือ “กรรม” (การกระทำ) ของคนๆ นั้นเอง เขาทำทั้งกรรมดีและ
กรรมไม่ดีคละกันไป สิ่งเหล่านี้แหละมีแนวโน้มจะให้
พูดอีกนัยหนึ่ง เราเป็นผู้กำหนดอนาคตเราเอง ถ้าต้องการให้ชีวิตเป็นไปอย่
สร้างเงื่อนไขที่ดีๆ ไว้ให้มาก แล้วอนาคตจะไปดีเอง ตรงข้ามถ้าสร้างแต่เงื่อนไขไม่
อนาคตก็เป็นไปตามนั้น
ลองฟังนิทานชาดกนี้ดู พระราชาสองเมืองทำสงครามกัน ผัดกันแพ้ผลัดกันชนะ ถึงฤดูฝนก็
หยุดพักสิ้นฤดูฝนก็รบใหม่ เป็นอย่างนี้มานาน จนมีคนไปถามฤๅษีว่า พระราชาองค์ไหนจะชนะ
ฤๅษีก็ไปถามพระอินทร์อีกต่อ พระอินทร์บอกว่าพระราชาเมือง ก. จะชนะ เมือง ข. จะพ่ายแพ้
ข่าวนี้ก็ไปเข้
เลี้ยงฉลองกันมโหฬารตั้งแต่ยั
ส่วนพระราชาที่หมอทำนายว่าจะแพ้ ก็ไม่ยอมถอดใจ ตั้งหน้าตั้งตาฝึกปรือกองทัพอย่
วางแผนรุกแผนรับไว้อย่างพร้
เมื่อถึงคราวรบจริง เรื่องก็กลับตาลปัตร ฝ่ายที่ว่าจะชนะ ก็ถูกตีกระจุย ฝ่ายที่ว่าจะแพ้
ก็กำชัยชนะไว้ได้ พระราชาองค์ที่ฤๅษีว่าจะชนะ จึงไปต่อว่าฤๅษีหาว่าทำนายส่
ฤๅษีก็หน้าแตกไปตามระเบียบ จึงไปต่อว่าพระอินทร์หาว่าทายซี
ไปเผยแพร่เสียหน้า พระอินทร์กล่าวว่า
“ไม่ผิดดอก ถ้าปล่อยให้ทุกอย่างเป็
แต่บังเอิญว่ามีเงื่อนไขใหม่เข้
ของพระราชาเมือง ข. การณ์จึงกลายเป็นตรงกันข้าม”
แล้วพระอินทร์จึงกล่าวปรัชญาว่า
“คนที่พยายามจนถึงที่สุดแล้ว แม้เทวดาก็กีดกันไม่ได้”
อีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องของเหลี
ที่พิมพ์เผยแพร่มาหลายครั้งแล้ว
เหลี่ยวฝานเดิมชื่อเสวียห่าย ได้พบผู้เฒ่าข่ง ผู้เฒ่าทำนายว่าจะได้เป็นขุนนาง ปีไหนจะเป็น
อย่างไรบอกไว้หมด และว่าท่านเหลี่ยวฝานจะไม่มีบุ
คำพยากรณ์ของท่านผู้เฒ่า แม่นยำมาตลอด จนท่านคิดว่าชะตาชีวิตคนเราถู
ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ เลยไม่คิดที่จะขวนขวายพยายามต่
ต่อมาท่านได้พบ พระเถระนาม ฮวิ๋นกุ ท่านได้สอนว่า ชะตาชีวิตเป็นสิ่งไม่แน่นอน
อนาคตเราต้องสร้างเอง คนทำดีชะตาก็ดี ทำชั่วชะตาก็ชั่ว เมื่อต้องการอนาคตดี
ต้องทำดี ถ้าประกอบแต่ความไม่ดี แม้ชีวิตดีมาแล้วก็กลายเป็นร้
เหลี่ยวฝานได้เล่าคำทำนายของท่
ยังเหลือแต่สองข้อสุดท้าย คือจะไม่มีบุตร และสิ้นชีวิตเมื่ออายุ 50
พระเถระกล่าวว่า ให้ตั้งปณิธานว่าจะทำดีให้มาก สั่งสมบารมีให้มาก ไม่ยอมตนอยู่ในอิทธิ
ท่านก็เชื่อพระเถระ ตั้งหน้าทำแต่ความดีงาม สำรวจความดีความชั่วของตนเองว่า วันหนึ่งๆ ทำความชั่วอะไรบ้าง ความดีอะไรบ้าง แล้วพยายามลบความชั่วด้วยความดี
ท่านจึงแน่ใจว่า คนเราถ้าไม่ขวนขวายพยายาม ปล่อยชีวิตไปตามยถากรรม ก็ตกอยู่ใต้อิทธิพลของฟ้าดิน แต่กรรมเท่านั้นที่เป็นตั
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น