เจริญพร ขอให้มีความสุขสมหวังและ ถึงความสิ้นทุกข์ในเวลาอันใกล้โดยง่ายเทอญ

ยินดีต้อนรับ สหธรรมิกผู้มีใจเป็นกุศลทุกๆท่านครับ

ขอเรียนเชิญ สหธรรมิกทุกๆท่านมาร่วมศึกษาและปฏิบัติธรรมของพระพุทธองค์ รวมทั้งแบ่งปันความรู้ ข้อคิด คำแนะนำ ด้วยใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาครับ

" ความมืดแม้ทั้งโลก ก็บดบังลำแสงเพียงน้อยนิดมิได้ "


สันโดษ

สันโดษ
สุขใด เสมอความสงบ ไม่มี

หน้าเว็บ

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
อดีตที่ผ่านมาเป็นบทเรียน อโหสิให้ทุกคน แต่อย่ามีเวรกรรมร่วมกันอีกเลย

ผู้ติดตาม

วันพฤหัสบดีที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

...เมื่อฝรั่งสอนผม

Posted by ลูกเสือหมายเลข9

รายการ"ปราชญ์เดินดิน"

ผมดูทีวีรายการ"ปราชญ์เดินดิน"เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาด้วยความบังเอิญ
ต้องบอกก่อนว่า ผมไม่(ค่อย)ดูทีวีในช่วงกลางวัน จึงไม่รู้จักรายการนี้ แต่เมื่อเปิดเจอผมกลับพบว่า"คนไทย"จำนวนมากคุ้นเคยจน"ลืม"ไปว่าเรามี"ทุกอย่าง"บนแผ่นดินไทย และผมก็เพิ่งรู้ว่า"คนไทย"น่าจะภาคภูมิใจบนแผ่นดินนี้ โดยคนที่เตือนสติผม คือ"แขกรับเชิญ"ของรายการนี้ เป็นฝรั่งคนหนึ่ง
ฝรั่งคนนี้ชื่อ มาร์ติน วีลเลอร์ หรือคนแถวที่เขาพักเรียกเขาว่า"ผู้ใหญ่มา"

มาร์ติน วีลเลอร์

ผู้ใหญ่มา ...ของคนไทยย่านบ้านคำปลาหลาย อำเภออุบลรัตน์ จังหวัดขอนแก่น ต้องบอกว่ามีประวัติ"ไม่ธรรมดา" เพราะเขาเป็นหนุ่มอังกฤษมีดีกรีปริญญาตรีเกียรตินิยม ภาษาละติน จาก London University ประเทศบ้านเกิด แต่เลือกที่จะ(แปลง)เป็น"คนไทย"ด้วยความตระหนักว่า"แผ่นไทย"คือ"แผ่นดินทอง"ที่มีอยู่จริงบนโลก
ในรายการ"ปราชญ์เดินดิน" ผมจับใจความได้ว่า"ผู้ใหญ่มา" มาจากครอบครัวชนชั้นกลางที่พ่อแม่สนับสนุนให้การศึกษาสูงที่สุดเท่าที่จะส่งเสียได้ หลังจากนั้น เมื่อเรียนจบ ทุกคนก็จะเข้าสู่ระบบทำงานที่มาร์ตินเรียกว่า"ขี้ข้า"และเขารู้ดีว่าเขาจะไม่มี(วันมี)ความสุขได้กับการมีชีวิตแบบนั้น ไม่มีโอกาสที่จะสร้งชีวิตของตัวเอง
"ผู้ใหญ่มา"บอกว่า คนอังกฤษ 60% ไม่มีบ้าน และไม่มีโอกาสมีบ้าน !!!

ผู้ใหญ่มาและครอบครัว


ผม"ทึ่ง"ฝรั่งคนนี้ จึงตัดสินใจไปค้นในอินเตอร์เน็ต และนี่คือข้อมูลที่เจอจากเน็ตครับ
ผู้ใหญ่มา เล่าว่า เขาอยู่ในอังกฤษในสังคมคนมีเงิน ทุกครอบครัวจะพูดถึงแต่เรื่องเงิน ยี่ห้อรถยนต์ มีรถกี่คัน มีบ้านใหญ่ขนาดไหน ลูกๆเรียนที่ไหน แต่เมื่อจบจากมหาวิทยาลัยลอนดอน เขากลับคิดว่าชีวิตน่าจะมีอะไรมากกว่านั้น เลยทอดลองทำงานแบกอิฐ แบกของหนัก เดินแบกอิฐไปมาวันละสาม-สี่พันเที่ยว
"ถามว่าชีวิตของพ่อมีความสุขมั้ย ผมว่าไม่ ผมคิดว่าพ่ออยากได้บางสิ่งบางอย่าง พ่อได้เงินเดือนเยอะมาก ได้รับบำเหน็จบำนาญ เป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านในชุมชน มีตำแหน่ง มีเกียรติยศอะไรอีกเยอะแยะ แต่พ่อไม่มีความสุข เพราะวันจันทร์ถึงวันศุกร์ไปทำงานที่โรงงาน ตกเย็นไปประชุมอีก กลับบ้าน 3-4 ทุ่ม ไม่ได้เจอเมียเจอลูก วันเสาร์อาทิตย์พ่อก็ปวดหัว อยากพักผ่อน อยากอยู่คนเดียว ไม่ให้ใครรบกวน พ่อมีเมีย และลูกสามคน แต่พ่อไม่ค่อยได้เห็นลูกเห็นเมีย สมัยที่ผมอายุ 13 ผมไม่ได้คุยกับพ่อแม้แต่คำเดียวเกือบปีครึ่ง เห็นเมื่อไหร่ก็เจอพ่อปวดหัวตลอด" ผู้ใหญ่มาเล่า
และชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไป เพราะคุณแม่เสียชีวิต มาร์ตินจึงได้รับส่วนแบ่งเป็น"มรดก" และเมื่อมีเงิน เขาจึงใช้เงินโโยวางแผนเที่ยวทั่วโลกปีครึ่งในประเทศที่ไม่เคยไป เช่น ไทย ลาว เขมร พม่า มาเลย์ เวียดนาม อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย โดยตั้งใจจะไปออสเตรเลีย เพราะเป็นประเทศเปิด ไม่ค่อยมีกฎระเบียบเหมือนอังกฤษ

ผู้ใหญ่มาและครอบครัว

แต่บังเอิญประเทศแรกที่"ผู้ใหญ่มา"แวะเที่ยวคือประเทศไทย...ชีวิตเขาจึงเปลี่ยนทันที !!!
เพราะเมื่อมาถึงเมืองไทย เงินที่เก็บไว้เพื่อเที่ยวและใช้ชีวิตอยู่นานปีครึ่งก็หมดใน 2 เดือนเพราะเขาเป็นเหมือนคนหนุ่มตะวันตก คือใช้ชีวิตแบบหมดไปวันๆกับบุหรี เหล้า ผู้หญิง ดังนั้น เมื่อหมดเงิน สิ่งที่เขาทำได้ก็คืออาชีพ"ครูสอนภาษาอังกฤษ" ซึ่งทำให้เขา"ดูถูกตัวเอง" เพราะได้เงินเดือน 30,000 แต่ไม่ต้องทำอะไร นอกจากใส่เสื้อผ้าดีๆ ผูกเนคไทดีๆเพื่อให้ดูเท่ และให้ทุกคนเรียกว่า"ครู"
นั่นตรงข้ามกับสิ่งที่เขาเรียกว่า"อุดมการณ์" ที่เขามีมาตั้งแต่เด็กๆว่า จะทำงานที่ทำให้ตัวเองมีความสุข จะไม่ทำงานที่ต้องผูกเนคไท และจะไม่ทำงานที่ต้องถือกระเป๋าเอกสาร
เมื่อไม่ตรงกับอุดมการณ์ 11 เดือนต่อมา "ครูมาร์ติน"จึงตกงาน และเป็นโชคดีที่เขาพบหญิงสาวชาวไทยคนหนึ่งที่เปลี่ยนชีวิตเขา และเขารู้จัก"เมืองไทย"ที่ไม่ใช่กรุงเทพฯจากการไปเที่ยวปีใหม่บ้านแฟนสาวชาวไทยที่ขอนแก่น
"ที่ขอนแก่น ผมเห็นแต่ละคนมีที่ดินเยอะมาก ชาวบ้านธรรมดาคนเดียวมีถึง 50 ไร่ หรือ 200 ไร่ เยอะมาก สะอาดด้วย อากาศก็ดี ตอนแรกได้กลิ่น ผมก็ว่ากลิ่นอะไร อ๋อ มันกลิ่นธรรมชาติ ผมไม่เคยดมมาก่อน โอ้สุดยอดเลยบ้านนอก คนอื่นว่าฝรั่งมันบ้า เพราะเขาไม่รู้ว่าทำไมฝรั่งอยากไปอยู่บ้านนอก เขาคิดว่าฝรั่งมีแต่คนรวย ฝรั่งไม่มีคนยากจน เขาไม่รู้จริงๆว่าฝรั่งส่วนมากลำบาก บ้านก็ไม่มี ที่ดินก็ไม่มี เป็นขี้ข้าเขาหมด ลูกก็ไม่มีอนาคต"
เขาจึงตัดสินใจเดินทางไปอยู่บ้านแม่ยายพร้อมภรรยาและลูกที่ขอนแก่น

เป็น"ครู"ที่ใครก็แวะมาถาม

ที่ขอนแก่น ซึ่งพิธีกรแซวว่า"ตกถังข้าวสาร" ชีวิตผู้ใหญ่มาก็เปลี่ยนไป
แม้ผู้ใหญ่มายอมรับว่าการเลือกไปอยู่ที่นั่น"ไม่ง่าย" เพราะเขาบอกกับภรรยาชาวไทยว่าจะไม่รับจ้างสอนภาษาอังกฤษ ขณะที่ตัวเขาทำเกษตรไม่เป็น ช่วงแรกจึงลำบากมาก มาร์ตินต้องรับจ้างแบกอิฐด้วยค่าแรงวันละ 120 บาท และเพราะอากาศร้อน หลายครั้งเขาจึงเป็นลม มีคนคิดไปถึงขั้นว่ามาร์ตินเป็นฆาตกรฆ่าคนแล้วหนีมาอยู่เมืองไทย
แต่เมื่อนั่งคิดไป ผู้ใหญ่มา ก็บอกว่า"ปัญหา"ไม่ได้อยู่ที่"อากาศ"แต่อยู่ที่ตัวเขาเอง เพราะเมื่อเลือกที่จะปักหลักที่ขอนแก่นซึ่งเป็นเมืองที่เขาเห็นว่าน่าอยู่ สิ่งแวดล้อมดี สะอาด อากาศดี แถมมีอาหารธรรมชาติฟรีเยอะมาก

ความสุขในชีวิตของผู้ใหญ่มา

วันนี้ ...ผู้ใหญ่มา มี"บ้าน"เป็นกระท่อมมุงหลังคาด้วยหญ้า ที่ชาวบ้านเรียกว่า"เถียงนา" แต่เขาบอกเรียกว่า"บ้าน"
สิ่งที่"ผู้ใหญ่มา"สอนผม ก็คือคำกล่าวผ่านคำพูดของเขา...คุณโชคดีมากๆที่เกิดในประเทศไทยที่อุดมสมบูรณ์ ไม่ต้องไปรบกับใคร ไม่ต้องไปเอาน้ำมันจากใคร ไม่ต้องไปเบียดเบียนคนอื่น ประเทศไทยอยู่ได้ กินอิ่ม มีเหลือแจกด้วย อย่าไปคิดเรื่องเงินอะไรมาก อย่าลดคุณค่าความเป็นไทยของตัวเองลง คนไทยส่วนมากนิสัยดีจริงๆ คนไทยมีน้ำใจ คนไทยมีพระเจ้าอยู่หัว มีศาสนาพุทธ ทั้ง 3 อย่างนี้ต้องรักษาเอาไว้ให้ได้ ชีวิตที่ไม่ทะเยอทะยานเกินไป คือชีวิต ที่มีคุณภาพ ชาวบ้านทุกคนทำได้
"ผมยังทำไม่สำเร็จ แต่มั่นใจว่าจะทำได้แน่ในอนาคต ถ้าผมทำได้ คนอื่นก็คงทำได้ง่ายกว่าผมเยอะ ทุกอย่างอยู่ที่เรา ถ้าเราไม่อยากได้อะไร มากเกินไป ในชีวิต ชีวิตมันก็ง่าย พยายามทำให้ชีวิตมันง่ายขึ้น อย่าให้มันสับสน อย่าให้มันลำบาก พยายามรักษา สิ่งแบบนี้ให้ดี และอย่าเชื่อฝรั่งมากเกินไป"
แม้จะไม่รู้จัก แต่ผมก็ยอมรับด้วยใจจริงว่าผู้ใหญ่มาเป็น"ปราชญ์เดินดิน"ที่สอนอะไรผมเยอะมาก

ขอบคุณภาพและข้อมูลจากอินเตอร์เน็ต

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น