บัดนี้สังขารของตถาคตเป็นเสมือนเรือรั่ว คอยแต่เวลาที่จะจมสู่ท้องธารเท่านั้น
อานนท์... เราเคยบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือ ว่าบุคคลย่อมต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่พึงใจเป็นธรรมดา หลีกเลี่ยงไม่ได้
อานนท์เอ๋ย... ชีวิตนี้มีความพลัดพรากเป็นที่สุด สิ่งทั้งหลายมีความแตกไป ดับไป สลายไป เป็นธรรมดา จะปรารถนามิให้มันเป็นอย่างที่มันควรจะเป็นนั้น "เป็นฐานที่ไม่ควรพึงหวังได้" ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไป เคลื่อนไปสู่จุดสลายตัวอยู่ทุกขณะ...
และแล้วพระจอมศาสดาก็เสด็จไปยังพันธุคามและโภคะนครตามลำดับ ระหว่างนั้นทรงให้โอวาทภิกษุทั้งหลายด้วยพระธรรมเทศนาอันเป็นไปเพื่อโลกุตราริยธรรม กล่าวคือ ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ และวิมุตติญาณทัศนะ เป็นต้นว่า...
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย.... “ศีลเป็นพื้นฐาน” เป็นที่รองรับคุณอันยิ่งใหญ่ ประหนึ่งแผ่นดินเป็นที่รองรับแห่งสิ่งทั้งหลายทั้งที่มีชีพและหาชีพไม่ได้ เป็นต้นว่า พฤกษาลดาวัลย์ มหาสิงขร และสัตว์จตุบท ทวิบาทนานาชนิด
บุคคลผู้มีศีลเป็นพื้น ใจย่อมอยู่สบาย มีจิตปลอดโปร่ง เหมือนเรือนที่บุคคลปัดกวาด เช็ดถูเรียบร้อย ปราศจากเลือดและฝุ่นเป็นที่รบกวน
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย...ศีลนี้เองเป็นพื้นฐานให้เกิดสมาธิ คือความสงบใจ
สมาธิที่มีศีลเป็นเบื้องต้น เป็นสมาธิที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก
“บุคคลผู้มีสมาธิย่อมอยู่อย่างสงบ” เหมือนเรือนที่ฝาผนัง มีประตูหน้าต่าง ปิดเปิดได้เรียบร้อย มีหลังคาสำหรับกันลม แดด และฝน
ผู้ที่อยู่ในเรือนเช่นนี้ ฝนตกก็ไม่เปียก แดดออกก็ไม่ร้อนฉันใด
บุคคลผู้มีจิตเป็นสมาธิดีก็ฉันนั้น “ย่อมสงบอยู่ได้ไม่กระวนกระวาย”
เมื่อลมแดดและฝน กล่าวคือ โลกธรรมแผดเผา กระพือพัดซัดซาดเข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่า
สมาธิอย่างนี้ย่อมทำก่อให้เกิดปัญญาในการฟาดฟัน ย่ำยี และเชือดเฉือนกิเลส อาสวะต่าง ๆ ให้เบาบางและหมดสิ้นไปเหมือนบุคคลผู้มีกำลังจับศาสตราอันคมกริบแล้วถางป่าให้โล่งเตียนก็ปานกัน...
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย... ปัญญาซึ่งมีสมาธิเป็นรากฐานนั้นย่อมปรากฏดุจไฟดวงใหญ่ กำจัดความมืดให้ปราสนากานต์ มีแสงสว่างรุ่งเรืองอำไพ ขับฝุ่นละอองคือกิเลสให้ปลิวหาย “ปัญญาจึงเป็นประดุจประทีปแห่งดวงใจ…”
อันว่าจิตนี้เป็นธรรมชาติที่ผ่องใสอยู่โดยปกติ แต่เศร้าหมองไปเพราะคลุกเคล้าด้วยกิเลสนานาชนิด “ศีล สมาธิ และปัญญาเป็นเครื่องฟอกจิตให้ขาวดังเดิม” จิตที่ฟอกแล้วด้วยศีลสมาธิและปัญญาย่อมหลุดจากอาสวะทั้งปวง
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย... บุคคลผู้มีจิตหลุดพ้นแล้วจากอาสวะ ย่อมพบกับปิติ ปราโมทย์อันใหญ่หลวง รู้สึกว่าตนได้พบขุมทรัพย์มหึมา หาอะไรเปรียบเทียบไม่ได้ อิ่มอาบซาบซ่านด้วยธรรม ตนของตนเองนั้นแลเป็นผู้รู้ว่า... บัดนี้กิเลสานุศัยต่าง ๆ ได้สิ้นไปแล้ว ภพใหม่ไม่มีอีกแล้ว เหมือนบุคคลซึ่งตัดแขนขาดย่อมรู้ว่า... บัดนี้แขนของตนเองได้ขาดแล้ว (พุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น