ธรรมะคือธรรมชาติ...มีทั้งที่เราชอบและไม่ชอบก็เนื่องจา
กว่าเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษแก่เรานั่นเอง
ทำไมเราถึงต้องเรียนรู้ธรรมะ...ก็เพื่อจะได้มีปัญญา
สามารถหาเลี้ยง
ตัวรอด อยู่ในสถานการณ์ต่างๆได้อย่างปลอดภัย มีความ
สุขและอาจช่วยเหลือบุคคลข้างรอบตัวเพื่อหน้าที่หรือ
เพื่อให้สังคมเจริญรุ่งรือง มั่นคงยิ่งขึ้น
อะไรบ้างที่เราควรเรียนรู้ ๑. ประการแรกที่เราควรเรียนรู้ก็คื
อ อะไรเป็นประโยชน์
อะไรเป็นโทษ สิ่งที่เป็นโทษเราก็ควรจดจำและระวัง
อย่าเกี่ยวข้อง ทำให้เกิดโทษแก่เราและผู้อื่น
๒. ประการที่๒. อะไรเป็นประโยชน์เราควรเรียนรู้
เพื่อนำมาใส่ใจประพฤติปฏิบัติ เพื่อประโยชน์ของตนและ
คนอื่น
นี่เป็นเพียงแค่การนำธรรมะขั้นต้นเล็กๆน้อย มาอธิบายให้ได้รู้และเข้าใจสิ่งที่ควรเรียนรู้ปฏิบัติหรืองดเว้น
เพราะว่าเข้าใจธรรมะกันผิดพลาดเยอะมาก ทำให้ญาติโยมเผลอตำหนิ ด่าพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเป็น
จำนวนมากทีมาบรรยายธรรม สอนธรรมในสื่อเฟซบุ๊คแห่งนี้ มันจะเป็นเหตุพากันซวย ตกนรกหมกไหม้กันไป
ต่างๆนา
ส่วนผู้ทีอิจฉาหรือตั้งใจด่าพระหรือผู้ประพฤติดีนั้น คงไม่ต้องกล่าวถึง เพราะเขาเหล่านั้นก็ได้รับโทษจากตัว
เองมีประการต่างๆ โดยเขาเหล่านั้นไม่ทราบว่าเหตุที่มีชีวิตซวยหรือตกต่ำนั้นเป็นเพราะเหตุใด
จึงเตือนมาและอนุโมทนามาพร้อมกับคำอธิบายเพื่อให้เข้าใจความหมายที่แท้จริงของชีวิต
ทำไมต้องศึกษาธรรมะ2
เมื่อเราทราบว่าอะไที่เป็นประโยชน์(กุศล ดีงาม) หรืออะไรที่เป็นโทษ(อกุศล เลวทราม)แล้ว
อันดับแรกๆเราก็มาศึกษาข้อที่ควรรู้ ทั้ง ๓ข้อคือ
๑.ศึกษาข้องดเว้น คือไม่ประพฤติสิ่งผิดปกติเหล่านี้
อันจะทำให้ตัวเองและผู้อื่นเดือดร้อน ก็คือศีล ๕ หรือศีลสิกขานั่นเอง
๒.ศึกษาสิ่งที่ทำให้จิตใจตั้งมั่น ไม่ซัดส่าย มีเจตนาที่ดีมั่นคงในการดำรงอยู่
อันทำให้เกิด ความสุข สงบใจ มีการเจริญ รุ่งเรือง ได้แก่ จิตสิกขา นั่นเอง
๓.ศึกษาพัฒนาจิตทำให้เกิดปัญญาและสันติสุขอย่างแท้จริง ที่เรียกว่าปัญญาสิกขา
เป็นการพัฒนาทำให้เกิดปัญญาสามารถอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงได้อย่างเข้า
กลมกลืน ไม่เดือดร้อน อันเป็นการกระทำให้สิ้นความทุกข์ในที่สุด
***** จะเห็นได้ว่าเมื่ออธิบายอย่างนี้ เรื่องธรรมะจะไม่เป็นของไกลตัว หากแต่
กลับเป็นเรื่องของชีวิตจริงของเราทุกวันในทันที ผู้ที่มีปัญญา สามารถจะ
เรียนรู้และปฏิบัติได้อย่างง่ายดาย เหมือนกับหิวก็กินข้าว เมื่ออิ่มก็หยุดกิน
หรือไม่สบายก็หาหมอ หรือกินยารักษาตัวให้บรรเทาจากการเจ็บไข้
ทุกอย่างอยู่บนพื้นฐานของเหตุผล อยู่บนพื้นฐานของปัจจัยซึ่งเกื้อหนุนกัน อย่างที่พระท่านสวดให้ฟังในงานศพว่า เหตุปัจจโย..... นั่นเอง ที่จริงแล้วไม่ใช่เรื่องแหกตาอัศจรรย์พัลึก เกินกว่าที่จมนุษย์เราจะรู้ได้เลย จึงได้ยก พระอภิธรรมและคำแปลมาส่วนหนึ่ง
พระมหาปัฏฐาน
พระมหาปัฏฐาน (แปล)
ธรรมที่มีเหตุเป็นปัจจัย ธรรมที่มีอารมณ์เป็นปัจจัย ธรรมที่มีอธิบดีเป็นปัจจัย ธรรมที่มีปัจจัยหาที่สุดมิได้ ธรรมที่มีปัจจัยมีที่สุดเสมอกัน ธรรมที่เกิดพร้อมกับปัจจัย ธรรมที่เป็นปัจจัยของกันและกัน ธรรมที่มีนิสัยเป็นปัจจัย ธรรมที่มีธรรมเกิดก่อนเป็นปัจจัย ธรรมที่มีธรรมเกิดภายหลังเป็นปัจจัย ธรรมที่มีการเสพเป็นปัจจัย ธรรมที่มีกรรมเป็นปัจจัย ธรรมที่มีวิบากเป็นปัจจัย ธรรมที่มีอาหารเป็นปัจจัย ธรรมที่มีอินทรีย์เป็นปัจจัย ธรรมทีมีฌานเป็นปัจจัย ธรรมที่มีมรรคเป็นปัจจัย ธรรมที่มีการประกอบเป็นปัจจัย ธรรมที่มีการอยู่ไม่ปราศจากเป็นปัจจัย ธรรมที่มีปัจจัย ธรรมที่ไม่มีปัจจัย ธรรมที่มีการอยู่ปราศจากเป็นปัจจัย ธรรมที่ไม่มีการอยู่ปราศจากเป็นปัจจัย.
เมื่อเราทราบว่าอะไที่เป็นประโย
อันดับแรกๆเราก็มาศึกษาข้อที่คว
๑.ศึกษาข้องดเว้น คือไม่ประพฤติสิ่งผิดปกติเหล่าน
อันจะทำให้ตัวเองและผู้อื่นเดือ
อันทำให้เกิด ความสุข สงบใจ มีการเจริญ รุ่งเรือง ได้แก่ จิตสิกขา นั่นเอง
๓.ศึกษาพัฒนาจิตทำให้เกิดปัญญาแ
เป็นการพัฒนาทำให้เกิดปัญญาสามา
กลมกลืน ไม่เดือดร้อน อันเป็นการกระทำให้สิ้นความทุกข
***** จะเห็นได้ว่าเมื่ออธิบายอย่างนี
กลับเป็นเรื่องของชีวิตจริงของเ
เรียนรู้และปฏิบัติได้อย่างง่าย
หรือไม่สบายก็หาหมอ หรือกินยารักษาตัวให้บรรเทาจากก
ทุกอย่างอยู่บนพื้นฐานของเหตุผล
พระมหาปัฏฐาน
เหตุปัจจะโย อารัมมะณะปัจจะโย อธิปะติปัจจะโย อนันตะระปัจจะโย สะมะนันตะระปัจจะโย สะหะชาตะปัจจะโย อัญญะมัญญะปัจจะโย นิสสะยะปัจจะโย อุปะนิสสะยะปัจจะโย ปุเรชาตะปัจจะโย ปัจฉาชาตะปัจจะโย อาเสวะนะปัจจะโย กัมมะปัจจะโย วิปากาปัจจะโย อาหาระปัจจะโย อินทริยะปัจจะโย ฌานะปัจจะโย มัคคะปัจจะโย สัมปะยุตตะปัจจะโย วิปปะยุตตะปัจจะโย อัตถิปัจจะโย นัตถิปัจจะโย วิคะตะปัจจะโย อะวิคะตะปัจจะโย.
พระมหาปัฏฐาน (แปล)
ธรรมที่มีเหตุเป็นปัจจัย ธรรมที่มีอารมณ์เป็นปัจจัย ธรรมที่มีอธิบดีเป็นปัจจัย ธรรมที่มีปัจจัยหาที่สุดมิได้ ธรรมที่มีปัจจัยมีที่สุดเสมอกัน
เรื่องง่ายๆ ขึ้นอยู่กับว่าเราท่านจะตั้งใจทำกันหรือไม่
๑.การทำความดี
๒.การละเว้นความชั่ว
๓.การทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว กระทั่งหมดจดจากกิเลสใน
ที่สุด
ทั้งสามนี้เป็นหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ตั้งแต่อดีตมาถึงปัจจุบัน และอีกในอนาคตที่ยังมาไม่ถึง
เรียกว่าโอวาทปาฏิโมกข์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น