| |||||
[ สมาชิก : q112233 - 3/06/2009 - 13:12 ]
พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร 观世音菩萨 พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรหรือพระโพธิสัตว์กวนอิม 《 观世音菩萨 》เป็นหนึ่งในพระโพธิสัตว์ทั้งปวงที่มีกล่าวถึงในพระพุทธศาสนาอุตตรนิกาย ( อันหมายถึงนิกายฝ่ายเหนือซึ่งกินความหมายรวมทั้งมหายานและวัชรยาน ) ทั้งยังอาจกล่าวได้ว่าเป็นพระโพธิสัตว์ที่มีคนรู้จักมากที่สุดนับแต่อดีตจนถึงปัจจุบันไม่ว่าคนๆนั้นจะนับถือศาสนาใดก็ตาม คำว่า “อวโลกิเตศวร” นั้น มาจากภาษาสันสกฤตว่า “อวโลกิเตศวระ ” (Avalokitesvara अवलोकितेश्वर)เกิดจากการรวมกันของคำ 3 คำคือ คำว่า “อวะ” ( แปลว่า “ลงสู่โลกแห่งสามัญ” อันหมายถึง วัฏฏะสงสาร ) ,คำว่า “โลกิตะ” ( คำนี้แปลความหมายถึงกิริยาที่คอยติดตามเฝ้าดู ) และคำว่า“อิศวระ” (แปลว่า “ ผู้เป็นใหญ่ ” หรือจะแปลได้ว่า “โดยรวมหรือทั้งหมด ” ) ซึ่งแปลรวมกันได้ว่า “ผู้ติดตามเฝ้าดูวัฏฏะสงสารทั้งปวง” คำว่า “อวโลกิเตศวร” ถูกแปลครั้งแรกเป็นภาษาจีนว่า 观世音 ( ออกเสียงตามสำเนียงจีนกลางว่า “กวานซื่ออิน”) โดยท่านกุมารชีวะ สำหรับคนจีนมักเรียกพระองค์สั้นๆว่า 观音 ( “กวานอิน”หรือที่จีนแต้จิ๋วเรียกว่า “กวงอิม” ) ทั้งนี้เพื่อให้ง่ายต่อการเรียกขาน อนึ่งรัชสมัยของพระเจ้าถังไท่จง ( 唐太宗 ) นั้นคำว่า世ไปตรงกับพระนามขององค์ฮ่องเต้ซึ่งก็คือ 李世民 ( หลี่ซื่อหมิน ) เพราะว่าธรรมเนียมของจีนนั้นการเรียกชื่อจะไม่กระทำต่อผู้มีอำนาจและเคารพนับถือ ( เช่นอาจารย์แซ่หวังก็จะเรียกว่า “อาจารย์หวัง” โดยจะไม่เรียกชื่อเต็ม ) เพราะถือว่าเป็นการไม่ให้เกรียติและไม่สุภาพซึ่งปัจจุบันนี้ก็ยังถือธรรมเนียมเช่นนี้อยู่ ต่อมาคำว่า “ อวโลกิเตศวร ”นี้ พระอาจารย์เสวียนจ้าง玄奘 ( พระถังซัมจั๋ง )ได้แปลใหม่ว่า观自在 ( ภาษาจีนกลางออกเสียงว่า “ กวานจื้อไจ้ ” )แปลว่า “ผู้ติดตามเฝ้าดู ( วัฏฏะสงสาร ) อย่างอิสระและไร้ขอบเขต” พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรทรงเป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายแห่งพระอมิตาภตถาคตอันประทับอยู่ ณ. สุขาวดีโลกธาตุอันนับจากสหาโลกธาตุ ( คือโลกที่เราเหยียบอยู่นี้ ) ไปทางหนประจิมได้ล้านโกฏิพุทธเกษตร พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรทรงมีวาสนาต่อโลกเรามาก ( คำว่า “วาสนา” ในที่นี้ทางมหายานมีความหมายถึงความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลหรือกลุ่มบุคคลโดยมีความหมายเป็นกลางๆอาจเป็นในทางดีหรือร้ายก็ได้ ซึ่งไม่เหมือนกับคำว่า “วาสนา”ในทางเถรวาทซึ่งหมายถึงธรรมอันฝังอยู่ในส่วนลึกภายในจิตใจที่แม้แต่พระอรหันต์ก็ยังละไม่ได้ [แต่ไม่ใช่อกุศลธรรม] ซึ่งมีแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่ละได้ ) พระศากยมุนีตถาคตทรงตรัสหลายครั้งว่า “ดูกร อวโลกิเตศวร เธอมีวาสนาต่อสหาโลกธาตุนี้ยิ่งนัก ชนใดกล่าวนามแห่งเธอ รำลึกถึงเธอ เคารพบูชารูป ( อันได้แก่ภาพวาดและรูปปั้นเป็นต้น ) แห่งเธอ ย่อมพ้นจากทุกข์และภัยทั้งปวง” พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรนั้นทรงประทับอยู่ ณ. สุขาวดีโลกธาตุแห่งพระอมิตาภตถาคต กล่าวกันว่าสมัยเมื่อพระสุคตเจ้ายังมีพระชนม์อยู่นั้นพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรทรงประทับอยู่ในโลกนี้และยังได้ทรงช่วยพระผู้มีพระภาคแสดงธรรมหลายครั้ง ในคัมภีร์มหาไวปูลยมหากรุณาหฤทัยธารณีสูตร《 广大圆满无碍大悲心陀罗尼经 》กล่าวว่าทรงประทับ ณ . ภูเขาโปตลกะ ( POTALAKA ) 《普陀落迦山 》ซึ่งต่อมาได้มีการนำชื่อนี้มาตั้งชื่อเกาะในประเทศจีนชื่อว่าเกาะ “ผู่โถวซัน” 《 普陀山 》(เป็นเกาะกลางทะเลปัจจุบันอยู่ในเขตมณฑลเจ๋อเจียง 浙江ของประเทศจีน ) และได้นำไปตั้งชื่อพระราชวังของดาไลลามะชื่อว่า“พระราชวังโปตลา” ( ปัจจุบันอยู่ที่เมืองลาซาเขตปกครองพิเศษทิเบตประเทศจีน ) ในมหากรุณาสูตร《 大悲经 》กล่าวว่าพระศาสดาทรงประทับ ณ . ภูเขาโปตลกะ ทรงตรัสว่าในอดีตกาลอันประมาณไม่ได้พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรทรงเปี่ยมด้วยบารมีอันถึงพร้อมที่จะตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้านามว่า “ พระธรรมาโลกพุทธเจ้า ” แต่ด้วยพระมหากรุณาธิคุณต่อสรรพชีวิตทั้งปวงจึงยังทรงไม่ตรัสรู้ ในพระสูตรมหายานเป็นอันมากแสดงถึงการบำเพ็ญบารมีและการตั้งมหาปณิธานของพระองค์อาทิเช่น “ มหากรุณาสูตร ” 《悲华经 》ซึ่งมีเนื้อหาโดยสังเขปว่านับอดีตกาลล่วงมาแล้วอันเป็นอสงไขย ( คือประมาณไม่ได้ ) นั้น มีพระเจ้าจักรพรรดิพระองค์หนึ่งได้ร่วมกับพระราชกุมารกระทำการถวายทานแต่พระพุทธเจ้านามว่า “ พระรัตนปิฎกพุทธเจ้า ” เป็นเวลานับได้ 3 เดือน ครั้นเมื่อครบ 3 เดือนแล้วพระตถาคตพระองค์นั้นทรงมีพุทธพยากรณ์ว่า สืบไปภาคหน้าอันประมาณมิได้พระเจ้าจักรพรรดิพระองค์นั้นจักตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมพุทธเจ้าเป้นพระพุทธเจ้านามว่า “ พระอมิตาภพุทธเจ้า ” อันจะประทับอยู่ ณ. โลกธาตุนามว่า “ สุขาวดี ” ครั้นพระราชกุมารได้สดับดังนั้นจึงทรงตั้งมโนมหาปณิธานเพื่อช่วยเหลือสรรพชีวิตทั้งปวงให้พ้นจากองทุกข์คือวัฏฏะสงสาร พระรัตนปิฎกพุทธเจ้าจึงทรงมีพุทธพยากรณ์ว่า ด้วยเหตุที่เธอมีปณิธานที่จะสอดส่องสรรพชีวิตทั้งมวลเราจะขนานนามแห่งเธอว่า “ อวโลกิเตศวร ” เมื่อพระพุทธเจ้านามว่า “ พระอมิตาภพุทธเจ้า ” ทรงนิพพานแล้วเป็นเวลาจำนวนมหากัปเท่ากับ 2 เท่าของเมล็ดทรายในมหาคงคานที เธอจักตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านามว่า “ มหาโลกปุญญาบรรพตราชาพุทธเจ้า ” ประทับอยู่ ณ. โลกธาตุนามว่า “ รัตนสิทธิ ” พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรทรงดำรงอยู่ในมหาบุรุษเพศภาวะ ( เพศชาย ) ถึงพร้อมด้วยมหาปุริสลักษณะ 32 ประการและอนุพยัญชนะ 80 ประการ ทรงขัตติยาภรณ์อันกอปรด้วยรัตนาลังการดุจพระเจ้าจักรพรรดิราช ทรงถึงพร้อมพระปัญญาธิคุณ, พระเมตตาธิคุณ, พระมหากรุณาธิคุณ และ พระกฤษดาภินิหาราธิคุณอันไร้ประมาณ พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรทรงมีนิรมานกายต่างๆ อาทิเช่น อารยอวโลกิเตศวร ( 2 กร พระหัตถ์ข้างหนึ่งถือดอกบัว ), เอกทศมุขอวโลกิเตศวร ( มี 11 พักตร์ ), อัศวโฆษประภาราช ( มีหัวเป็นม้า ), สหัสหัตถสหัสสเนตรอวโลกิเตศวร ( มี 1,000 ตา 1,000 กร ) พระสูตรมหายานกล่าวต่างๆกันว่าทรงมีพระนิรมานกาย 32, 33, 84 ฯลฯ ตามลำดับ นี่ยังไม่รวมวัชรยานซึ่งแตกต่างกันไป แท้จริงแล้วพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรทรงสละแล้วซึ่งอัตตวาทุปาทานทั้งปวงเข้าถึงนิรมานกายอันมีมากมายจนไม่อาจประมาณได้ เนื่องจากสรรพชีวิตทั้งปวงมีภพภูมิ, อุปนิสัย, จริตและภูมิธรรมที่ต่างกัน พระองค์จึงต้องทรงสำแดงนิรกายต่างๆเป็นอเนกอนันต์เพื่อให้ต้องกับจริตของสรรพชีวิตต่างๆเหล่านั้นโดยเป็นชายบ้าง, เป็นหญิงบ้าง, เป็นเด็กบ้าง, เป็นคนแก่บ้าง, เป็นเศรษฐีบ้าง, เป็นคนยากจนบ้าง, เป็นมนุษย์บ้าง, เป็นอสุรกายบ้าง, เป็นสัตว์เดรัจฉานบ้าง, เป็นสัตว์นรกบ้าง, เป็นเทพบ้าง, เป็นพรหมบ้าง ฯลฯ ดั่งคำที่ว่า “ สรรพชีวิตต้องการให้ข้าเป็นเช่นไรข้าก็จะเป็นเช่นนั้น ” ในการสร้างรูปเคารพ ( เช่นภาพวาดและประติมากรรม ) ของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรนั้นเดิมที่นั้นจะสร้างเป็นเพศชายแม้ในปัจจุบันบางประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนามหายานก็ยังเป็นเช่นนั้น ( เช่นเกาหลี, ญี่ปุ่นและทิเบต ) สำหรับประเทศจีนนั้นแต่เดิมนั้นสร้างเป็นเพศชายจนต่อมาในสมัยราชวงศ์ซ่ง 《宋 》 ( พศ .1503-1822 ) เริ่มมีการสร้างเป็นเพศหญิงขึ้นจนแพร่หลายอย่างที่เห็นในปัจจุบัน สาเหตุที่สร้างเป็นเพศหญิงเป็นเพราะความเชื่อข่าวลือในหมู่ประชาชนมีการนำพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวรไปผนวกรวมกับนิทานพื้นบ้านและวรรณคดีหลายเรื่อง เช่นเรื่องขององค์หญิงเมี่ยวซ่าน 《 妙善公主 》ซึ่งเรื่องดังกล่าวนี้ไม่มีปรากฏในคัมภีร์พระพุทธศาสนามหายานแต่อย่างใด แต่ทั้งหมดที่กล่าวข้างต้นนั้นเป็นเรื่องภายนอกแท้จริงแล้วสรรพสิ่งทั้งปวงคือนิรมานกายแห่งพระองค์ และสรรพเสียงทั้งปวงคือเสียงแห่งพระองค์ พระธรรมกายแห่งพระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์คือพระมหากรุณาธรรมนั้นทรงสถิตอยู่ทุกหนทุกแห่งทั่วทั้งสรรพโลกธาตุอนันตมหาจักรวาล ทรงเป็นพระบรมครูแห่งพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย พระองค์สถิตอยู่ทุกหนทุกแห่งไม่ว่าจะเป็นพระอาทิตย์, พระจันทร์, ขุนเขา, สายลม, สายฝน, วัด, โรงเรียน,บ้าน,ห้างสรรพสินค้า,บ่อน, ซ่อง, ตลาด, โรงฆ่าสัตว์, ห้องน้ำ, ถังขยะ ฯลฯ โดยไม่จำกัดว่าที่นั่นจะเป็นที่ไหน, ดีหรือไม่, สะอาดหรือไม่, นับถือศาสนาพุทธหรือไม่ และท้ายที่สุดทรงสถิตอยู่ในใจสรรพชีวิตทั้งมวล วันนี้ถ้าใครมีมหากรุณาจิตเขาคนนั้นก็คือพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร เป็นที่ทราบกันดีว่าพระนลาฏแห่งพระองค์นั้นทรงเทิดไว้ด้วยพระอมิตาภพุทธเจ้าแต่แท้จริงแล้วที่พระองค์เทิดไว้คือสรรพชีวิตทั้งปวง ( เพราะสรรพชีวิตทั้งปวงคือพุทธะ ) พระองค์ไม่เคยถอดทิ้ง ทรงคอยสอดส่องตลอดเวลา และคอยช่วยเหลือว่าใครบ้างตั้งปณิธานเพื่อพระโพธิญาณ, ใครบ้างเข้าถึงกระแสมหากรุณาจิต, ใครบ้างที่อุทิศตนเพื่อสรรพชีวิต,ใครบ้างเข้าสู่กระแสแห่งพระสัทธรรม, ใครบ้างเข้าถึงกระแสแห่งการหลุดพ้นจากกองทุกข์คือวัฏฏะสงสาร ( นี่เป็นคำสอนสูงสุดในสายพระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์ 《 观音法门 》 ) นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีคนมากมายที่เคารพบูชาพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร แต่น่าเสียดายว่าคนจำนวนไม่น้อยพ่ายแพ้ต่ออำนาจของวัตถุ เขาเหล่านั้นแปรเปลี่ยนมหากรุณาจิตให้เป็นความโลภ เปลี่ยนพระโพธิสัตว์แห่งมหากรุณาให้เป็นเทพเจ้าที่จะคอยดลบันดาลให้ตนสมปรารถนา ไม่ว่าจะเป็นความรัก,ชื่อเสียง, อำนาจ, ตำแหน่ง, เงินทอง, ทรัพย์สมบัติ ฯลฯ ตลอดถึงการพ้นจากสิ่งที่ตนไม่ต้องการนานาประการ บางคนชั่วชีวิตบูชาพระองค์แต่ไม่เคยเข้าใจว่ามหากรุณาจิตคืออะไรเขารู้แต่เพียงว่ามหากรุณา ( ของพระโพธิสัตว์ ) คือสิ่งที่จะทำให้ตนสมปรารถนาโดยไม่ตระหนักว่ามหากรุณาจิตไม่ใช่ความโลภที่ตนจะได้, จะมีหรือจะเป็นหากแต่คือภาวะจิตแห่งการเข้าใจ, สงสาร, ให้และช่วยเหลือผู้อื่น เพราะในความเป็นจริงแล้วหากยังไม่พ้นจากกองทุกข์คือวัฏฏะสงสารแล้วไม่มีใครที่จะพ้นจากความเกิด, แก่, เจ็บ, ตาย, ความพลัดพรากจากสิ่งที่รักและต้องประสพต่อสิ่งที่ตนไม่ต้องการไม่ได้ ในขณะที่ใครบางคนบูชาพระโพธิสัตว์แต่หนาแน่นไปด้วยความเห็นแก่ตัว, ไม่มีแม้ศีล 5 และ กุศลกรรมบถ 10 บางคนบูชาเพราะความยึดมั่นถือมั่นด้วยชอบในลักษณะแห่งพระองค์ขณะที่บางคนชอบที่พระองค์เป็นเพศหญิง บางคนนำพระอวโลกิเตศวรมาเข้าทรงลงเจ้า ( ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่พระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ทั้งปวงจะมาประทับทรง ), ในขณะที่ บางคนอ้างว่าตนสามารถติดต่อกับพระองค์ได้ด้วยวิธีการต่างๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ขัดต่อคำสอนของพระพุทธศาสนา ( ในทุกๆนิกาย ) จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่หมู่พุทธบริษัทที่จะตระหนักและสำนึกว่าสารัตถะแห่งพระอวโลกิเตศวรคืออะไร มิเช่นนั้นแล้วการกราบไหว้บูชาก็ดีการสวดมนต์และคาถาทั้งปวงก็ดีก็จะเป็นเพียงแค่ “ เปลือก ” นอกซึ่งไม่เพียงที่จะไม่อาจช่วยเหลือคนอื่นได้แม้แต่ตัวเองก็ช่วยเหลือไม่ได้และนำสู่การทำลายตัวเองในที่สุด นโมรตฺนตฺราย นโมอารย อวโลกิเตศวราย ขอถวายความนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย และ ขอถวายความนอบน้อมแด่พระอวโลกิเตศวรมหาโพธิสัตว์ผู้ประเสริฐ
|
เจริญพร ขอให้มีความสุขสมหวังและ ถึงความสิ้นทุกข์ในเวลาอันใกล้โดยง่ายเทอญ
ยินดีต้อนรับ สหธรรมิกผู้มีใจเป็นกุศลทุกๆท่านครับ
ขอเรียนเชิญ สหธรรมิกทุกๆท่านมาร่วมศึกษาและปฏิบัติธรรมของพระพุทธองค์ รวมทั้งแบ่งปันความรู้ ข้อคิด คำแนะนำ ด้วยใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาครับ
ขอเรียนเชิญ สหธรรมิกทุกๆท่านมาร่วมศึกษาและปฏิบัติธรรมของพระพุทธองค์ รวมทั้งแบ่งปันความรู้ ข้อคิด คำแนะนำ ด้วยใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาครับ
" ความมืดแม้ทั้งโลก ก็บดบังลำแสงเพียงน้อยนิดมิได้ "
หน้าเว็บ
เกี่ยวกับฉัน
- Nitinandho
- อดีตที่ผ่านมาเป็นบทเรียน อโหสิให้ทุกคน แต่อย่ามีเวรกรรมร่วมกันอีกเลย
ผู้ติดตาม
วันพุธที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
พระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น