เจริญพร ขอให้มีความสุขสมหวังและ ถึงความสิ้นทุกข์ในเวลาอันใกล้โดยง่ายเทอญ

ยินดีต้อนรับ สหธรรมิกผู้มีใจเป็นกุศลทุกๆท่านครับ

ขอเรียนเชิญ สหธรรมิกทุกๆท่านมาร่วมศึกษาและปฏิบัติธรรมของพระพุทธองค์ รวมทั้งแบ่งปันความรู้ ข้อคิด คำแนะนำ ด้วยใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาครับ

" ความมืดแม้ทั้งโลก ก็บดบังลำแสงเพียงน้อยนิดมิได้ "


สันโดษ

สันโดษ
สุขใด เสมอความสงบ ไม่มี

หน้าเว็บ

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
อดีตที่ผ่านมาเป็นบทเรียน อโหสิให้ทุกคน แต่อย่ามีเวรกรรมร่วมกันอีกเลย

ผู้ติดตาม

วันอาทิตย์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2553

หลวงปู่รู้ได้อย่างไร




เรื่องเล่าจากศิษย์และผู้เคยกราบนมัสการ หลวงปู่ท่าน
หลวงปู่รู้ได้อย่างไร

การที่ผู้เขียน (คุณดำรงค์ ภู่ระย้า) ได้มีโอกาสเข้ากราบนมัสการ หลวงปู่พระสุพรหมยานเถร นักบุญแห่งลานนาไทยองค์ที่สองอยู่เสมอ นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2522 เป็นต้นมา ก็ได้มองเห็นปฏิปทา ข้อวัตรปฏิบัติของท่านแล้ว ไม่ว่าในที่แจ้ง หรือท่านจะอยู่เพียงลำพังในกุฏิ ท่านจะกระทำสมณกิจตามอัตภาพแห่งตน อย่างสม่ำเสมอ ดังมีเรื่องจะได้นำมาบอกเล่า ให้ท่านผู้อ่านพิจารณา สักเรื่องหนึ่ง.... ท่านอาจารย์ปถัมภ์ เรียนเมฆ และผู้เขียน เดินทางไปเก็บหนังสือ - เยี่ยมลูกค้า ตอนเย็นประมาณ 4 โมง ก็ได้เข้ากราบนมัสการท่าน แต่ก่อนจะมาถึงตลาดป่าซาง ก็พอดีในช่วงนั้น ทางการกำลังสร้างทาง และได้เทลูกรังไว้ ฝนตกมาก ถนนลื่น ทำให้รถไถลลงไปข้างทาง ล้อจมทั้ง 4 ข้าง ต้องเดินกรำฝนไปตามรถมาช่วยลาก เป็นชั่วโมงกว่าจะขึ้นมาจากหล่มโคลนสำเร็จ ครั้นเมื่อไปถึงวัด ก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ากันก่อน จากนั้นจึงเข้านมัสการหลวงปู่ท่าน ขณะที่ขึ้นไปบนกุฏิ หลวงปู่กำลังนั่งสมาธิอยู่....จึงนั่งรอท่าน พอท่านออกจากสมาธิ ท่านก็หันมามอง ท่านได้เอ่ยทัก ด้วยคำพูดที่น่าอัศจรรย์ว่า.... "ฝนตกมากนะ ....ถนนลื่นรถก็ไถลลงไปแช่น้ำครึ่งคัน เสียเงินค่าลากจูงอีก 300 บาท ก็เอาละ วันนี้นอนค้างเสียที่กุฏินี้แหละ จะได้นั่งภาวนาด้วยกัน" ผู้เขียนได้ยินท่านพูดเช่นนั้น เกิดปีติเป็นอย่างมาก และเชื่อในความรู้เห็นอันแจ่มใสของท่านด้วยอำนาจแห่งสมาธิธรรม ก็สิ่งเหล่านี้แหละ นักปฏิบัติผู้สนใจ หลงใหลที่จะได้กันนักคืนนั้น หลวงปู่ได้สอนวิธีปฏิบัติธรรม การพิจารณาธรรมอันมีทุกข์ - สุข เป็นต้น จนบังเกิดความสว่างทางจิตใจเป็นอันมาก เรื่องนี้ มิใช่ว่าจะนำมากล่าวหรือยกย่องในคุณวิเศษของครูบาอาจารย์ แต่เป็นการเทิดทูน ธรรมความดีจริง ของพระพุทธเจ้า แม้ผู้ใดปฏิบัติทางจิต เข้าสู่ความสงบแล้ว ผู้ปฏิบัติย่อมจะได้พบ กับความอัศจรรย์ทางจิตใจได้ทุกเมื่อ แม้พระพุทธศาสนาของเราจะล่วงเวลามานาน กว่า 2527 ปีแล้วก็ตาม สัจธรรมของพระพุทธเจ้า ก็ยังมีอยู่ ภายในจิตของผู้ปฏิบัติไม่ลบเลือน นี่แหละ ท่านจึงสอนว่า "ผู้ปฏิบัติธรรมย่อมรู้เองเห็นเอง"

อุเบกขาธรรม

ความยึดมั่นว่า เป็นของตัวกู ของกู ถ้ามีอยู่ในบุคคลใด บุคคลนั้น ไม่ว่าจะเป็นพระสงฆ์องค์เณร หรือจะเป็นฆราวาส ก็ล้วนแต่จะเกิดทุกข์ สำหรับ หลวงปู่พระสุพรหมยานเถร แห่งวัดพระพุทธบาทตากผ้า จังหวัดลำพูนนั้น มีศิษย์หลายรูป (บวชพระอยู่กับท่าน) ได้กรุณาเล่าให้ผู้เขียนฟังว่า.... คงจะมีพระภิกษุ หรือสามเณรรูปใดรูปหนึ่งเป็นแน่ ที่ตนเองเข้าใจว่า ทำแต่ความดี แล้วอาจไม่ชอบใจ พระภิกษุสามเณรด้วยกัน วางตัวเป็นผู้ว่ายาก สอนยาก แต่ด้วยความเมตตาปรานีชนิดดุว่าใครไม่เป็น จึงทำให้พระหรือสามเณรที่ตั้งใจทำกิจการงานด้วยดี น้อยอกน้อยใจ จึงได้เขียนแผ่นป้ายไปติดไว้ข้างกุฏิหลวงปู่ มีใจความว่า "ความเมตตาเกินประมาณ ทำให้อันธพาลเต็มวัด" เมื่อหลวงปู่พระสุพรหมยานเถร ท่านได้อ่านข้อความแล้ว ท่านก็อมยิ้มไม่พูดว่ากระไร นิ่งเฉยไม่ถามเลยว่า ใครเป็นผู้เขียน ก็ได้ผลมาก การกระทำของท่าน คือ ทำให้พระเณรในวัดมีความอดทน อดกลั้น มีความสามัคคี จิตใจก็ดีขึ้น มองเห็นความจริงของจิตใจมนุษย์ว่า จะให้สิ่งนั้นสิ่งนี้ดีงามเหมือนใจตนน่ะไม่ได้ ห้ามรถห้ามเรือน่ะมันได้ จะมาห้ามจิตและความเป็นอนุสัยแต่เก่าก่อนนั้น เห็นจะยากเต็มทน

อภัยให้ในความไม่รู้

วัดพระพุทธบาทตากผ้า อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน เป็นวัดพัฒนาตัวอย่าง เป็นวัดที่สงบร่มรื่น เป็นวัดที่มีความสะดวกสบายอยู่ไม่น้อย จึงทำให้ปีหนึ่ง ๆ จะมีพระภิกษุ สามเณรมากมาย ได้มาบวชเรียนศึกษาหาความจริงในธรรมะ แต่เมื่อหมู่มากเข้ามาปะปนกัน ผู้เป็นหัวหน้าคอยดูแล ก็ต้องเป็นผู้มีความรู้ความหนักแน่นพอสมควรเลยทีเดียว เรื่องราวที่ต้องเล่าให้ผู้อ่านฟังก็เป็นสาเหตุมาจากสามเณรตัวน้อย ๆ ซึ่งนิสัยของสามเณร ก็ได้พกนิสัยเด็กมาจากบ้านนั่นเอง ความไม่รู้ของสามเณรก็น่าฝึกน่าสนใจอยู่ไม่น้อย วันนั้นสามเณรน้อยเดินไปตามบริเวณวัดที่โล่งเตียน แต่ในมือของสามเณรน้อย มีกระดาษแผ่นใหญ่ ฉีกแล้วโปรยไปเรื่อย ๆ ซึ่งก็เป็นความสนุกของเด็ก ๆ นั่นเอง หลวงปู่พระสุพรหมยานเถรมองเห็น ท่านก็เดินเก็บเศษกระดาษที่สามเณรน้อยฉีกทิ้งทีละชิ้น ๆ ฝ่ายสามเณรน้อย ก็ฉีกโปรย ๆ ไม่ได้คิดหันไปมองข้างหลังว่า มีใครเดินตามเก็บเศษกระดาษนั้น จนที่สุด กระดาษก็หมด จึงหันมามองข้างหลัง ก็ได้พบกับหลวงปู่พระสุพรหมยานเถร ท่านกำกระดาษไว้ในมือ ยืนยิ้มกับสามเณรน้อยรูปนั้น นับได้ว่าหลวงปู่ท่านสามารถแยกแยะผิด - ถูก ชั่ว - ดี สำหรับสามเณรรูปนี้เป็นเด็กนั่นเอง ย่อมมีนิสัยซุกซนไปตามประสา จะดุด่าว่ากล่าวก็ไม่สมควร เท่าที่สามารถอดข้าวมื้อเย็นได้ รู้จักหน้าที่สวดมนต์ไหว้พระ รู้จักระเบียบบ้างในบางกรณี ก็นับว่าเป็นการฝึกที่ได้ผลอยู่ไม่น้อย ช่างเขาเถอะ...

เขาเอาไปบูชา

ในพ.ศ.2524 เป็นปีที่พวกมารพระพุทธศาสนาลุกฮือขึ้นมาทำลายล้างแทบทุกรูปแบบ ซึ่งในปีดังกล่าว แม้ท่านผู้อ่านย้อนนึกถอยหลังไป ก็คงจะจำได้ดีว่า ในปีนั้น มารพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นมาหลายรูปแบบ เช่น...เอาวิญญาณร้ายมาอ้างว่า เป็นพระภิกษุรูปนั้นองค์นี้มาเข้าทรง เอาพระเกียรติของพระมหากษัตริย์หลายพระองค์มาทรงเจ้าเข้าผีหมด นอกนี้แล้วยังมีพวกมารพระพุทธศาสนาออกไปอาละวาด ขโมยพระพุทธรูป.....ตัดเศียรพระพุทธรูประบาดไปทั่วประเทศทุกภาคของประเทศไทย เป็นปีที่พระผอม แต่ผีปีศาจอ้วนพี มีเอกลาภมากมาย ปีนั้นพระพุทธรูปในพระวิหารวัดพระพุทธบาทตากผ้า อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน ก็ถูกมารพระศาสนาลักขโมยเอาไป วันรุ่งขึ้นโยมวัดได้ทราบเหตุการณ์ จึงได้นำเรื่องนี้เข้ากราบเรียนให้หลวงปู่พระสุพรหมยานเถรทราบ เมื่อสิ้นคำบอกเล่าของโยมวัด หลวงปู่ก็มีความปกติ มิได้แสดงอาการอันใดออกมา เฉยนิ่งพร้อมกับพูดขึ้นว่า "อย่าไปตกใจอะไรเลย ดีแล้ว เขาเอาไปกราบไหว้บูชา ช่างเขาเถิดนะ..." ท่านพูดจบก็ยิ้มปลอบใจโยมวัดคนนั้น คล้ายกับจะพูดว่า "ช่าง เถิด อะไรจะเกิดขึ้นก็ย่อมเกิด กฎของความไม่เที่ยงความทุกข์ และความไม่แน่นอนจะปรากฏอยู่เสมอ ๆ ทุกเวลานาที พระนิพพาน เท่านั้นเที่ยงแท้ในโลก" ผู้เขียน นี่ถ้าหลวงปู่ยังมีความยึดมั่นถือมั่นอยู่ ก็คงจะทำให้เป็นทุกข์มาก เมื่อพระพุทธรูปหายไป

พุทธปาฏิหาริย์

เมื่อหลายสิบปีก่อนโน้น วัดพระพุทธบาทตากผ้ายังเป็นวัดป่าที่จะหาความจำเริญหูจำเริญตาไม่ค่อยจะได้ ยิ่งเป็นที่วัดหนองเจดีย์ สมัยนั้นก็เป็นวัดรกร้างหาใครเข้าไปอยู่ได้ยาก กลัวงู กลัวเสือ กลัวผีไปทุก ๆ ชนิด ที่วัดหนองเจดีย์ มีพระเจดีย์ร้างอยู่องค์หนึ่ง พระเจดีย์องค์นี้อยู่ในลักษณะทรุดโทรมหักพัง กองอิฐถูกผู้โลภหวังจะหาทรัพย์สมบัติโบราณทำลายขุดจนดูไม่ออกว่า พระเจดีย์นี้มีรูปลักษณ์แบบใดกันแน่ ต่อมาเมื่อ หลวงปู่พระสุพรหมยานเถร หรือ ท่านครูบาพรหมา ได้ผ่านไปทางพระเจดีย์ร้างนี้ ก็กำหนดรู้ด้วยวาระจิตว่า ใต้ฐานเจดีย์ทิศตะวันออกมีพระพุทธรูปสำคัญอยู่องค์หนึ่ง ทั้งยังมีพระบรมธาตุอันศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย ดังนั้น หลวงปู่จึงได้ให้ญาติโยมวัดผู้อุปัฏฐากไปขุดค้นตรงบริเวณดังกล่าว ก็ได้พบกับพระแก้วมรกตองค์หนึ่งงดงามมาก พร้อมกับพระบรมธาตุในผอบอีก 111 องค์ หลวงปู่พระสุพรหมยานเถรได้อัญเชิญมาวางในที่อันควร จากนั้นได้ทำการสรงน้ำ (คือล้างดินทรายออกจากองค์พระแก้วมรกต) ก็ปรากฏเป็นแสงสว่างเขียวงามตาไปทั่วบริเวณ ส่วนพระบรมธาตุ 111 องค์ หลวงปู่ได้ทำการอัญเชิญสรงน้ำด้วยเครื่องหอม น้ำอบ และแก่นจันทน์ พอตกกลางคืน ก็ปรากฏว่ามีแสงสีสว่างจ้าทุกคืน อัญเชิญประดิษฐานไว้สักการะ ความอัศจรรย์กับพระบรมธาตุศักดิ์สิทธิ์ จะเป็นจริงมากน้อยแค่ไหน ผู้เขียนได้กราบเรียนถามศิษย์ใกล้ชิดของท่านคือ....ครูบาเขื่อนคำ อัตตสันโต เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน ก็ได้รับคำยืนยันว่า..... "เป็นความจริงนะโยม ครูบาพรหมาท่านเก็บรักษาบูชาของทั้งสองอย่างอยู่ไม่นานนัก เพราะท่านกำหนดรู้ถึงความไม่ปลอดภัยของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองอย่างนี้ ดังนั้น ท่านครูบาพรหมาจึงได้นำอัญเชิญพระแก้วมรกตและพระบรมธาตุทั้ง 111 องค์ ตรงไปยังวัดป่าเหียง เพื่อทำการอัญเชิญบรรจุในพระเจดีย์ พอไปถึงวัดป่าเหียง ท่านครูบาพรหมาต้องผิดหวัง เพราะว่าท่านเจ้าอาวาสท่านปฏิเสธที่จะรับของอันมีค่านี้ไว้ ท่านเจ้าอาวาสวัดป่าเหียงก็ได้แนะนำให้ท่านครูบาพรหมาอัญเชิญไปบรรจุ ณ วัดหนองเงือกทันที" เพราะขณะนั้นวัดหนองเงือกกำลังก่อสร้างพระเจดีย์ เมื่อครูบาพรหมารีบนำพระแก้วมรกต และพระบรมธาตุไปที่วัดหนองเงือก ท่านเจ้าอาวาสวัดหนองเงือก ก็รับเอาไว้ด้วยปีติยินดี แล้วได้ทำการอัญเชิญประดิษฐานลง ณ พระเจดีย์ดังกล่าว เพื่อเป็นที่สักการบูชาของคณะศรัทธาญาติโยมต่อไป





เหตุที่เร่งด่วน

ความเป็นผู้มีญาณรู้ของท่านครูบาพรหมานั้น นับเป็นเรื่องอัศจรรย์มาก อาตมาเคยได้ประจักษ์มาแล้ว โยมคงสงสัยว่า ทำไมหนอท่านครูบาพรหมา จึงนำสิ่งอันล้ำค่านั้น รีบร้อนไปบรรจุไว้ แรก ๆ อาตมาก็สงสัยเหมือนกัน แต่สุดท้ายก็ประจักษ์ด้วยเหตุผลของท่าน..... ท่านครูบาเขื่อนคำ อัตตสันโต ท่านได้กรุณาเล่าต่อไปว่า
ภายหลังจากท่านครูบาพรหมา อัญเชิญพระพุทธรูปแก้วมรกต และพระบรมธาตุ ไปบรรจุ ณ พระเจดีย์วัดหนองเงือกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อยู่ต่อมาเพียงสามวัน เรื่องการพบของอันมีค่าของครูบา ได้ยินเข้าหูของเจ้าหลวง ผู้ครองนครเมืองลำพูนว่า "พระครูบาฯ ได้พบพระแก้วมรกต" จึงได้สั่งให้คนรับใช้เดินทางมาบอกเจ้าอาวาสวัดหนองเงือก "จงนำพระแก้วมรกต ที่ได้จากวัดหนองเจดีย์ ไปให้เจ้าหลวงลำพูนชมเป็นการด่วน" (สมัยนั้นเจ้าหลวงเป็นใหญ่ มีอำนาจมาก) ครั้นพอรุ่งเช้า ท่านเจ้าอาวาสวัดหนองเงือกพร้อมด้วยเด็กวัด ได้ออกเดินทางโดยเท้าเปล่า ไปพบเจ้าผู้ครองเมืองลำพูน ก็น่าสงสารท่านเจ้าอาวาสรถรามีที่ไหน เดินตัวปลิวไปถึงในเมือง ระยะทางจากบ้านหนองเงือก ถึงอำเภอป่าซาง ก็ประมาณ 15 กม. เมื่อมาถึงจวนเจ้าเมือง ก่อนจะเข้าคุ้มหลวง ก็ต้องหยุดพักเหนื่อยนุ่งห่มให้เรียบร้อย แล้วเดินเข้าคุ้มหลวงไปถึงบนบ้าน ท่านเจ้าหลวง ก็ออกมาต้อนรับทันที พร้อมนมัสการเอ่ยปากถามว่า "ท่านครูบาได้พระแก้วมรกตจริงไหม" ท่านเจ้าอาวาสวัดหนองเงือก ก็ตอบว่า "เจริญพร เป็นความจริงแต่เวลานี้ได้อัญเชิญบรรจุในพระธาตุเจดีย์เสียแล้ว" เจ้าหลวงก็พูดว่า "ถ้าไม่เอาบรรจุก็จะขอมาดูชม เมื่อเอาบรรจุแล้ว ก็ไม่เป็นไร เรื่องของเรื่องที่ให้มาพบก็มีเท่านี้" เสร็จแล้ว ท่านเจ้าอาวาสวัดหนองเงือก ก็เจริญพรลากลับในตอนเย็นวันนั้นเอง ในความคิดของอาตมา ก็คิดว่าท่านครูบาพรหมาท่านรีบร้อนอัญเชิญไปบรรจุก็ด้วยสาเหตุ ที่ท่านรู้ความจริงในข้อนี้ จากอำนาจจิต อนาคตังสญาณ คือ รู้ว่าอนาคตจะเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ ดังนั้น ครูบาพรหมาจึงพยายามมองหาสถานที่อันมั่นคง เก็บรักษาองค์พระแก้วมรกตและพระบรมธาตุ มิให้ตกไปเป็นสมบัติของผู้ใดใครคนหนึ่ง ท่านประสงค์ที่จะให้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของประชาชน โดยส่วนรวม
พระครูขี้เหนียว

ท่านผู้อ่านที่เคารพ ท่านทั้งหลายคงจะเคยได้อ่านประวัติอันดีงาม มีความเสียสละอย่างใหญ่หลวงของ ท่านพระครูขี้หอม ผู้บูรณะพระธาตุพนมมาแล้ว คราวนี้ลองมาอ่านปฏิปทาของ ท่านพระครูขี้เหนียว ดูบ้าง ซึ่ง หลวงปู่พระสุพรหมยานเถร ได้เล่าให้ ครูบาเขื่อนคำ อัตตสันโต ฟัง แล้วได้ขยายมาสู่ผู้เขียน...ผู้อ่านโดยลำดับดังนี้ "อาตมาได้รับฟังมาจากท่านครูบาพรหมา หลวงปู่ของเรา ได้เล่าว่า มีท่านพระครูรูปหนึ่ง ท่านก็อยู่ที่วัดในตัวเมือง ท่านพระครูรูปนี้ ท่านตระหนี่ถี่เหนียวมาก เป็นที่เล่าลือว่า ถ้าใครไปขอสิ่งของอะไรก็ตามจากท่าน แม้ผู้นั้นได้ของของท่านมาก็นับว่า ยอดเยี่ยมที่สุด ครูบาพรหมาของเรา รู้ข่าวก็อยากจะไปพิสูจน์ว่า "ดูซิว่าคนขี้เหนียวน่ะมันเป็นอย่างไร มีหน้าตายังไงกันหนอ" ท่านครูบาคิดอย่างนั้นแล้ว ก็สู้อุตส่าห์เดินทางไปยังวัดของท่านพระครูรูปนั้นทันที เมื่อเดินขึ้นไปบนกุฏิ ก็พบท่านพระครูขี้เหนียวท่านอยู่พอดี จึงเข้ากราบไหว้ตามธรรมเนียมพร้อมกับพูดขึ้นว่า..... "วันนี้ขอเมตตาถุงย่ามกับท่านพระครูสักใบ" ท่านพระครูได้ยินดังนั้น ก็ส่งเสียงดังใส่ครูบาพรหมาว่า.... "แม้แต่ถุงย่ามก็ไม่มีหรือ ?" ท่านพระครูพูดแล้วมองหน้า ทันใดนั้น ท่านก็เดินเข้าห้องไป ขากลับมาในมือก็ถือถุงย่ามเก่ายื่นให้ 1 ใบ พร้อมกับในย่ามก็มีแปรงสีฟันและยาสีฟัน 1 หลอด เมื่อท่านครูบาพรหมารับเอาไว้แล้ว ก็ได้แสดงความขอบคุณพร้อมกับลากลับ" นี่เป็นการแสดงให้เห็นได้ว่า ท่านหลวงปู่พระสุพรหมยานเถรสามารถเอาชนะคนขี้เหนียวตระหนี่ให้กลายเป็นคนเสียสละ รู้จักการให้ทานได้ อย่างเช่น ท่านพระครูขี้เหนียวรูปนี้ เป็นต้น คนชอบขอ ผู้ขออาจเป็นโรคจิตชนิดหนึ่งก็ว่าได้ เพราะเขาจะขอทุกอย่าง ไม่ว่าครูบาอาจารย์จะทำอะไรอยู่ ถืออะไรอยู่ จับอะไรอยู่ หรือจะห่มอะไรอยู่ ผู้มีนิสัยขี้ขอ ก็ขอทุกอย่างทุกชนิดไป ไม่เคยคิดพิจารณาว่า ควรหรือไม่ควร ดังสมัยหนึ่ง ครูบาเขื่อนคำ อัตตสันโต ท่านได้เล่าให้ฟังว่า "มีพระทางภาคกลาง มีวัดอยู่ในกรุงเทพฯ มาถึงวัดพระพุทธบาทตากผ้า ก็ได้พยายามเมียงมองอยู่เป็นเวลาพอสมควร พอผู้คนเริ่มน้อยลง พระภิกษุรูปนั้น ก็ปราดเข้ามากราบท่านครูบา พร้อมกับพูดว่า "กระผมมาจากกรุงเทพฯ ตั้งใจจะมาขอสิ่งที่ครูบามีอยู่ คือ จีวรที่ครูบาห่ออยู่นี้สักผืนหนึ่งขอรับ" พอพูดจบคำว่า "ขอ....รับ" แล้ว ท่านครูบาพรหมาก็ได้ถามขึ้นว่า "จะเอาไปทำไม ?" พระภิกษุรูปนั้นก็พูดว่า "จะนำไปตัดเป็นชิ้น ๆ เพื่อทำเป็นวัตถุมงคล" ความจริงเรื่องอย่างนี้ ครูบาถูกขอมาแล้วจำนวนไม่น้อย บ้างก็เอาไปทำประโยชน์จริง ๆ แต่บางรายเอาไปทำประโยชน์ใส่ย่าม ใส่กระเป๋าก็ไม่น้อยเหมือนกัน..... แต่ด้วยจิตใจเมตตาของท่าน ครูบาท่านไม่เคยขัดใครในเรื่องเช่นนี้ ท่านเมตตาสงเคราะห์ด้วยจิตใจยินดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะ ทาน ศีล ภาวนา เป็นแนวทางธรรมที่ท่านครูบาพรหมา พรหมจักโก ได้ตั้งใจดำเนินจิตใจมาอย่างมั่นคงจนวันสุดท้ายแห่งชีวิตของท่าน

ล่วงรู้เหตุการณ์

สำหรับความอัศจรรย์ที่เกิดกับจิตใจของผู้ประสบเหตุการณ์ได้นำมาเล่าเป็นที่น่าสนใจมาก หลวงปู่พระสุพรหมยานเถร แห่งวัดพระพุทธบาทตากผ้า อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน ท่านมีจิตสัมผัสรู้ด้วยปัจจุปปันนังสญาณ คือ กำหนดรู้ถึงเหตุปัจจุบันจนเป็นที่ยอมรับของพระภิกษุสามเณรเลยทีเดียว ดังมีเรื่องเล่าสู่กันฟังดังนี้
หลวงปู่พระสุพรหมยานเถรหรือหลวงพ่อวัดพระพุทธบาทตากผ้า จังหวัดลำพูน ท่านสามารถล่วงรู้เหตุการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างน่าอัศจรรย์มาก โดยเฉพาะภายในวัดพระพุทธบาทตากผ้านั้น พระภิกษุรูปใด จะทำอะไรที่ไหน มีความคิดอย่างไร จะทำอะไร ถูกหรือผิดพระวินัยแค่ไหน หลวงปู่จะล่วงรู้ได้จนหมดสิ้น จากนั้น ท่านจะให้พระเณรไปตามตัวมา เมื่อมานั่งตรงหน้าแล้ว หลวงปู่จะเอ่ยปากทักท้วงขึ้นทันที ตรงใจ และความคิดของพระรูปนั้น ๆ เลยทีเดียว ความที่ครูบาพรหมา สามารถรู้เห็นเหมือนกับได้ไปเห็นมากับตาของท่านเองนี้ เป็นที่ยำเกรง และไม่มีพระเณรรูปใดกล้าทำความผิด ตรงกันข้ามพระเณรจะเคร่งครัด มีระเบียบวินัยมาก

หิวเหลือเกิน

ครั้งหนึ่งอาจารย์ปถัมภ์ เรียนเมฆ ได้ไปบวชอยู่ ณ วัดพระพุทธบาทตากผ้า เมื่อบวชแล้วหลวงปู่ได้จัดที่อยู่จำพรรษาให้ท้ายวัด จะมีกุฏิหลังหนึ่ง มีที่นั่งสมาธิภาวนา มีที่เดินจงกรม โดยไม่ให้เข้าหมู่ ให้บำเพ็ญภาวนาโดยตลอด สองวันล่วงไป ที่พระบวชใหม่ฉันอาหารเพียงมื้อเดียว ก็เห็นทีสุดจะทน เกิดความหิวขึ้นมา สิ่งแรกที่นึกคิดเวลานั้น "แหม....หิวเหลือเกิน ถ้าได้น้ำหวานสักขวดสองขวด ก็คงจะช่วยบรรเทาเอาไว้ได้นะนี่..." อาจารย์ปถัมภ์ หรือหลวงพี่ปถัมภ์ คิดแล้วก็แล้วไป นั่งสมาธิเดินจงกรมไปตามหน้าที่ สักพักเดียวเท่านั้น ท่านก็ได้ยินเสียงคนเดินเข้ามายังกุฏิ พอมาถึงก็พบว่าเป็นพระภิกษุสองรูป ได้นำน้ำหวาน (น้ำอัดลม) ใส่ลังมาวางไว้ ทั้งได้พูดขึ้นว่า.... "ท่านหลวงพ่อครูบา ให้กระผมนำน้ำหวานมาถวาย ท่านว่าพระปถัมภ์หิวจะเป็นลมอยู่แล้ว อยากได้สองขวด เลยยกมาให้ทั้งลังเลยทีเดียว" หลวงพี่ปถัมภ์ หรืออาจารย์ปถัมภ์ ได้ฟังถึงกับขนลุกซู่ ๆ เลยทีเดียว

รู้ลึกถึงจิตที่คิดนึก

เมื่อพระภิกษุปถัมภ์ บวชเป็นพระใหม่ ก็ตั้งใจจะปฏิบัติให้เต็มที่ เพราะเวลาการบวชนั้นน้อยมาก จึงพยายามนั่งสมาธิภาวนา เดินจงกรมตลอดเวลา ส่วน ตอนเช้ามืดก็ปฏิบัติ ตอนเย็นค่ำ หลังจากสวดมนต์แล้ว ก็ปฏิบัติ ฟังธรรมะ ประกอบสติอารมณ์ไปด้วย หลังจากฟังธรรมะในตอนหนึ่ง ก็เกิดความสงสัย แต่ไม่กล้าถาม หลังจากแยกไปกุฏิของตนแล้ว พระปถัมภ์ก็เดินคิดไปเรื่อย ๆ ตอนกลับกุฏิว่า "แหม เมื่อสักครูนี้ หลวงพ่ออธิบายธรรมะไม่กระจ่างเลย น่าจะอธิบายซ้ำอีกนิด จะได้เข้าใจได้ถูกต้อง" นึกคิดไปแค่นั้นก็ปล่อยวาง พอดีเดินผ่านห้องน้ำ ก็เลยแวะเข้าห้องน้ำก่อน จากนั้นก็ตรงไปยังกุฏิท้ายวัด เดินไปได้หน่อย สายตาก็ไปสะดุดหยุดลงที่หน้ากุฏิ หลวงปู่พระสุพรหมยานเถร เห็นท่านนั่งอยู่ก่อนแล้ว จึงเข้าไปกราบแล้วได้ถามขึ้นว่า.... "หลวงพ่อมีอะไร จะใช้กระผมหรือครับ" หลวงปู่ท่านพูดขึ้นช้า ๆ และชัดเจนว่า "อาตมามารออยู่ เพื่อจะอธิบายธรรมะที่สงสัยเมื่อสักครู่นี้ ให้คุณปถัมภ์คลายจิตใจ...!" พูดจบ ท่านก็แสดงธรรมะอธิบายตั้งแต่ต้นจนจบ เป็นเวลา 1 ชั่วโมงเศษ ๆ ขณะฟังธรรมจากหลวงปู่พระภิกษุปถัมภ์ หรือหลวงพี่ปถัมภ์ เรียนเมฆ นั่งหลับตานึกอัศจรรย์ใจ ทำให้เกิดปีติอย่างหนักที่หลวงปู่พระสุพรหมยานเถร ท่านสามารถรู้วาระจิตของทุกคนที่คิดในปัจจุบันอย่างแม่นยำ บังเกิดความเชื่อมั่นในคุณธรรมของท่านอย่างไม่มีข้อสงสัย ขนลุกเกรียว ๆ เลยทีเดียว เมื่อแสดงธรรมะจบแล้ว หลวงปู่ก็ได้ถามว่า "เป็นไงคุณปถัมภ์ เข้าใจหรือยัง หายสงสัยหรือเปล่าล่ะ ?" พระภิกษุปถัมภ์ตอบว่า.... "เข้าใจชัดเจนเลยครับผม...หายสงสัยแล้วขอรับ" ครับนี่เป็นตอนหนึ่งที่ผู้เขียนเคยได้รับฟังจากอาจารย์ปถัมภ์ เรียนเมฆ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น