เจริญพร ขอให้มีความสุขสมหวังและ ถึงความสิ้นทุกข์ในเวลาอันใกล้โดยง่ายเทอญ

ยินดีต้อนรับ สหธรรมิกผู้มีใจเป็นกุศลทุกๆท่านครับ

ขอเรียนเชิญ สหธรรมิกทุกๆท่านมาร่วมศึกษาและปฏิบัติธรรมของพระพุทธองค์ รวมทั้งแบ่งปันความรู้ ข้อคิด คำแนะนำ ด้วยใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาครับ

" ความมืดแม้ทั้งโลก ก็บดบังลำแสงเพียงน้อยนิดมิได้ "


สันโดษ

สันโดษ
สุขใด เสมอความสงบ ไม่มี

หน้าเว็บ

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
อดีตที่ผ่านมาเป็นบทเรียน อโหสิให้ทุกคน แต่อย่ามีเวรกรรมร่วมกันอีกเลย

ผู้ติดตาม

วันอาทิตย์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2553

คำเตือนของหลวงปู่




คำเตือนของหลวงปู่

อดีต ปัจจุบัน อนาคต ถ้าจะพูดไปก็จะหาว่า ผู้เขียนยกย่อง หลวงปู่พระสุพรหมยานเถร มากจนเกินไป แต่เท่าที่สายตาของคณะศรัทธาญาติโยมทั้งหลาย เคยได้ไปกราบ เคยได้สดับตรับฟังมา.... ประวัติความเป็นจริงของหลวงปู่พระสุพรหมยานเถร แห่งวัดพระพุทธบาทตากผ้า ไม่เคยมีอะไรด่างพร้อยและไม่เคยพูดอะไรให้เป็นเรื่องตลกพกลม ดังนั้น ผู้เขียนจึงกล้าเขียนด้วยหลักความจริง เพื่อเป็นอนุสรณ์ถวายแด่ท่านในครั้งนี้.... คำเตือนของหลวงปู่ ผู้เขียนถือเป็นคำอมตะ ท่านเคยสอนไว้ว่า.... "เธอเป็นนักเขียนธรรมะ จงพยายามพูดไปตามความจริงที่ครูบาอาจารย์ท่านสอน อย่าเกินเลยไปกว่านั้นนะ ไม่ดี อายุจะสั้น" คำว่า อายุจะสั้น ก็คือ ความไม่เจริญนั่นเอง ท่านผู้อ่านที่เคารพ ลองอ่านเรื่องราวของหลวงปู่พระสุพรหมยานเถร แห่งวัดพระพุทธบาทตากผ้า อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน จากคณะศิษย์ของท่านบ้าง แต่.....ท่านต้องเข้าใจเสียก่อนนะครับว่า การที่หลวงปู่วัดพระพุทธบาทฯ ไม่ค่อยจะพูดอย่างโจ่งแจ้งก็เพราะไม่อยากให้ใครมาตำหนิว่าเป็นการโอ้อวด แต่สิ่งที่ท่านทักท้วงมักเจอเหตุการณ์เสมอ ๆ
เตือนแล้วยังเถียง

วันหนึ่ง หลวงปู่พระสุพรหมยานเถร ได้ถูกนิมนต์ไปในงานศพ ขณะนั่งอยู่ในที่อันเป็นอาสนะ สายตาก็เหลือบเห็นเส้นลวดขนาดเขื่อง พาดผ่านมาตรงหน้า ท่านก็ได้เรียกเจ้าของงานมาถามว่า "โยมเส้นลวดที่ผ่านมานี้ จะเอามาทำอะไรหรือ..." ก็ได้รับคำตอบจากเจ้าภาพงานศพว่า.... "จะจุดบ้องไฟ (ลูกหนู) ผ่านมาทางนี้ครับ" (หมายเหตุ ศพที่สำคัญ ๆ มีฐานะ จะมีการจุดลูกหนู ให้วิ่งไปตามสายลวด แล้วอาศัยแรงเหวี่ยงไปปะทะกับยอดปราสาทโลงศพ ก็จะคว้ารางวัลไปคือเป็นผู้ชนะ เป็นการละเล่นที่ตื่นเต้นชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นการเสี่ยงกับความตายอีกศพหนึ่ง) เมื่อหลวงปู่พระสุพรหมยานเถรได้ฟังอย่างนั้น ก็ได้ทักท้วงขึ้นว่า "ควรจะเอาผ่านไปทางอื่น อาตมากลัวว่า มันจะเกิดอันตรายเมื่อสายลวดมันขาด แล้วบ้องไฟมันจะวิ่งมาชนคนที่อยู่ข้างหน้า" คำเตือนนี้ ได้รับคำปฏิเสธจากเจ้าภาพงานศพว่า "คนที่ทำบ้องไฟ เขาเก่งมาก ไปจุดมาแล้วหลายงาน ไม่เคยปรากฏว่ามีอันตราย" หลวงปู่พระสุพรหมยานเถรก็ว่า "อะไรทุกสิ่งทุกอย่างเอาแน่นอนบ่ได้" เมื่อเตือนไม่เชื่อ หลวงปู่ก็นั่งลงนิ่ง ผลที่สุด ! ก็ปรากฏว่า บ้องไฟ หรือ ลูกหนูนั้น ได้ถูกจุดขึ้นมา เป็นด้วยสาเหตุอันใดไม่ปรากฏเกิดเส้นลวดขาด บ้องไฟวิ่งฉิวตรงมาตกห่างจากอาสนะที่หลวงปู่นั่งอยู่ราว 2 ศอกเศษ ๆ แต่....ขณะบ้องไฟตกลงมากระทบพื้นไม่ไกลจากหลวงปู่นักก็เหมือนมีมือใครสักคนหนึ่งช่วยปัดให้กระเด็นขึ้นไปสู่ท้องฟ้า วิ่งไปทางอื่น ซึ่งไม่ถูกผู้คนให้บาดเจ็บ แต่ชาวบ้านทุกคนต่างก็พากันตะลึง แม้เจ้าภาพเองก็หน้าซีดเหมือนไก่ต้มสามคืนสามวัน เพราะทุกคนนึกว่า ท่านครูบาของเขาได้รับอันตราย....ก็ท่านเตือนแล้วกลับเถียงก็ต้องมีสาเหตุอย่างนี้ ดีนะที่ไม่มีใครเป็นอันตราย....

ถ้ำถล่ม

ครั้งหนึ่ง ผู้เขียนได้รับฟังมาจากศิษย์ก้นกุฏิของหลวงปู่ คือ ครูบาเขื่อนคำ อัตตสันโต….ท่านเล่าว่า ครั้งหนึ่ง ท่านครูบาพรหมาท่านได้ไปเยี่ยมพระภิกษุสงฆ์รูปหนึ่ง ซึ่งท่านไปบำเพ็ญภาวนาอยู่ในถ้ำ การเยี่ยมเยือน ก็ถือเป็นเรื่องของกำลังใจ ที่พระอาจารย์ทั้งหลายจะมอบให้แก่ศิษย์ หรือท่านที่เคารพนับถือ ซึ่งพระกรรมฐานถือเป็นกฎปฏิบัติมาช้านานแล้ว ครันเมื่อหลวงปู่พระสุพรหมยานเถรไปถึงภูเขาลูกนั้นแล้ว ก่อนเข้าไปในถ้ำ สายตาของท่านก็เหลือบไปมองดูบนเพดานถ้ำ ตาทิพย์ ก็คือ ตาใน ตาในก็คือ ตาใจ มองเห็นสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า ภาพนั้นเกิดรู้เห็นขึ้นมาในความรู้สึก ท่านจึงรีบเอ่ยปากพูดขึ้นว่า "ขอให้ท่านจงรีบย้ายออกมาจากถ้ำเดี๋ยวนี้" พระภิกษุรูปนั้นได้ฟังแบบงง ๆ ท่านยังไม่ได้กราบทำความเคารพเลย ก็ได้ยินคำเตือนแกมบังคับขึ้นอีกว่า "กลัวว่ามันจะพัง เวลามันจะพังก็พังได้ง่าย ๆ ขอให้ท่านออกมาเสียเถิด เร็ว…" ย้ำคำที่สอง แม้จะเสียดายถ้ำที่เคยอยู่ แต่ก็รู้กิตติคุณของท่านโดยเฉพาะอำนาจจิต จึงทำให้พระภิกษุรูปนั้น รีบออกมาจากถ้ำนั้นทันที เมื่อพระภิกษุรูปนั้นออกมานอกปากถ้ำ แล้วก็วางบริขารนั่งลง แต่ยังไม่ทันได้กราบ หูของท่านผู้ที่นั่งอยู่ในที่นั้น ได้ยินเสียงหินเพดานภายในถ้ำหล่นหักลงมาดังสนั่นกึกก้องไปหมด พระภิกษุเจ้าของถ้ำ ถึงกับตัวสั่นตกใจ ทำเอาพระผู้ติดตามหลวงปู่ไป ต้องตกใจไปด้วย พระภิกษุรูปนั้นรำพึงในใจแล้วพูดว่า "ถ้าผมยังดื้อรั้น ยึดมั่นกับสถานที่อยู่ ป่านนี้คงถูกฝังเป็นปู่โสมเฝ้าถ้ำไปแล้ว" (ท่านหมายถึง เปรต นั่นเอง)

งดเสียเถอะ

ในปี พ.ศ.2527 ท่านครูบาเขื่อนคำ อัตตสันโต ท่านได้เมตตาเล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า….
"ในปีนั้น คนที่ไม่เชื่อครูบาอาจารย์กล่าวสอนตักเตือนก็มีอยู่ไม่น้อยเลย คือ คณะกรรมการได้จัดงานประจำปี โดยในงานนี้มีการจุดบ้องไฟ ลักษณะแข่งขันว่า ใครจะดีเด่นกว่ากัน ท่านครูบาพรหมา ท่านก็ขอร้องให้งดเสีย ท่านเกรงว่า จะเกิดอันตราย ! แต่คณะกรรมการส่วนใหญ่เกิดคัดค้านให้มีตามเดิม และบอกว่า ถ้ามีเหตุการณ์ก็จะขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว เมื่อที่ประชุมต้องการอย่างนั้น ท่านครูบาก็นิ่งเฉยเสีย ยอมด้วยเสียงหมู่มาก ความจริงคำทักท้วงนี้ ถ้าไม่เป็นวิบากกรรม ไม่เป็นต้นเหตุของความทุกข์ หลายคนจะต้องมีใครสักคนสะดุดคำเตือนนี้ เปล่า…..ไม่มีใครเข้าใจคำเตือน ในที่สุด วันจัดงานก็มาถึงงานที่สนุกสนาน ทำให้ผู้คนตื่นเต้นทั้งกล้า ทั้งกลัว ระคนกัน ในนาทีต่อมา การจุดบ้องไฟก็เริ่มขึ้นขณะจุดชนวนไฟ เหตุการณ์เจ็บปวดก็ได้เกิดขึ้น คือ …บ้องไฟได้ตกจากค้างที่ทำเป็นแคร่ใหญ่รองรับ เกิดหลุดตกลงมาที่พื้นดิน กำลังผลักดันของกำมะถัน และดินปืน ก็ทำให้บ้องไฟวิ่งไปชนกำแพงวัดพังเสียหาย ทันทีที่บ้องไฟตก ถูกแรงกระแทกก็แตกระเบิด กระเด็นไปยังหมู่ประชาชน ทำให้ชาวไทยมุง ชาวแม้วมุง แตกกระจาย ได้รับบาดเจ็บอย่างทั่วถึง โดยเฉพาะผู้อยู่ข้างหน้า ๆ นี่คือโทษที่ไม่เชื่อฟังครูบาอาจารย์จึงได้รับบทเรียนเช่นนี้

ความเห็นของชาวป่าซาง

คุณครูอินตา วรรณะมะกอก ท่านเป็นผู้ที่เคารพนับถือ หลวงปู่สุพรหมยานเถร มากคนหนึ่งได้ให้ความคิดเห็นไว้ว่า "ปฏิปทาของท่านครูบาพรหมาของเรานี่ เป็นที่น่าเลื่อมใสมาก ท่านปฏิบัติตนได้อย่างสม่ำเสมอไม่ขาดตกบกพร่อง นับตั้งแต่อดีตสมัยครูบาท่านยังเป็นพระหนุ่ม พวกเราเคยเห็นท่าน ท่านมีอิริยาบถต่าง ๆ น่าประทับใจมากมีความเรียบร้อยสง่าราศีเปล่งปลั่งดีแท้ ในป่าซางนี้ ก็มีท่านเพียงองค์เดียวที่ทุกข์ยากขึ้นมา เข้าหาท่านง่าย เงินทองท่านบ่เคยยุ่ง บ่เสียหาย ในย่ามของท่านแม้แต่บาทเดียว หรือสลึงเดียวก็ไม่มีติดตัว เวลาญาติโยมถวายปัจจัยท่านก็ให้พร และเรียกให้เด็กมาเอาไปลงบัญชี เข้ากองกลางเป็นของสงฆ์ ซึ่งนิสัยของท่านนี้ ได้ติดตัวท่านมาจนแก่เฒ่า การปฏิบัติธรรม มีภาวนาเป็นต้นนี้ ย่อมสามารถอบรมจิตใจของท่าน ให้บังเกิดความอ่อนละมุน มีความเคารพน่าบูชาเป็นอย่างยิ่ง พวกเราชาวป่าซาง ไม่สงสัยเลย ที่มีชาวกรุงเทพฯ เดินทางมายังวัดพระพุทธบาทตากผ้า ด้วยความเคารพและความศรัทธาเลื่อมใส แต่ละวัน รถขนาดใหญ่ต่างก็วิ่งออกวิ่งเข้าวัดพระพุทธบาทตากผ้าไม่เว้นแต่ละวัน พวกเราชาวป่าซางมีความภาคภูมิใจที่มีปูชนียบุคคล ได้สร้างกิตติคุณให้เกิดหอมหวนทวนลมไปไกลแสนไกล อย่างเช่น ครูบาเจ้าพรหมาของเรานี้ อดีตเมืองลำพูน เป็นเมืองผ่าน จะขึ้นชื่อก็ป่าซาง แต่ก็เป็นการมาหาซื้อสิ่งของ อันพวกเราได้มีครูบาอาจารย์ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบให้ได้กราบไหว้บูชาก็แสนจะดีใจนัก เมื่อท่านต้องจากพลัดพรากด้วยความตาย เราก็แสนเสียดาย แต่ก็เป็นกฎของอนิจจัง ล้วนไม่เที่ยงแท้แน่นอน เราจะเอาอย่างใจเรานั้นมันบ่ได้ เราอยากจะให้ท่านครูบาอยู่กับพวกเราไปนาน ๆ แต่สังขารมันบ่ไหว…" ครับ นี้เป็นความศรัทธาอย่างลึกซึ้งของชาวอำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น