เจริญพร ขอให้มีความสุขสมหวังและ ถึงความสิ้นทุกข์ในเวลาอันใกล้โดยง่ายเทอญ

ยินดีต้อนรับ สหธรรมิกผู้มีใจเป็นกุศลทุกๆท่านครับ

ขอเรียนเชิญ สหธรรมิกทุกๆท่านมาร่วมศึกษาและปฏิบัติธรรมของพระพุทธองค์ รวมทั้งแบ่งปันความรู้ ข้อคิด คำแนะนำ ด้วยใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาครับ

" ความมืดแม้ทั้งโลก ก็บดบังลำแสงเพียงน้อยนิดมิได้ "


สันโดษ

สันโดษ
สุขใด เสมอความสงบ ไม่มี

หน้าเว็บ

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
อดีตที่ผ่านมาเป็นบทเรียน อโหสิให้ทุกคน แต่อย่ามีเวรกรรมร่วมกันอีกเลย

ผู้ติดตาม

วันอาทิตย์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2553

มาคุยกันต่อเรื่องเกี่ยวกับทาง ๗ สาย




ทางเจ็ดสาย

________________________________________
มาคุยกันต่อเรื่องเกี่ยวกับทาง ๗ สาย

แดนนรก แดนเปรต แดนเทวดา แดนพรหม นั้นมีอยู่จริงหรือเปล่า ถ้ามีอยู่จริงมันอยู่ที่ไหน ทำไมเรามองไม่เห็น คำถามต่าง ๆ เหล่านี้ มักเกิดขึ้นเสมอกับมนุษย์ทั้งหลายผู้แสวงหาความรู้ ผู้มีความสงสัยเป็นเครื่องอยู่ กับผู้ที่สงสัยแล้ว แม้จะตอบและอธิบายอย่างไร หากไม่เห็นเอง ก็ไม่เชื่ออยู่ดี แต่กับผู้ที่เชื่อแล้ว แม้ไม่ต้องพูดอะไร ก็เห็นด้วยแล้ว อันนี้เล่าไว้ให้ประดับความรู้นะ ไม่ได้ให้เชื่อหรือปฏิเสธ

แดนต่าง ๆ ดังกล่าวนั้น มันมีอยู่ของมัน จะว่าตามศัพท์สมัยใหม่ก็คือ อยู่คนละมิติกันนั่นแหละ มันมีอยู่ของมันนะ แต่ตาเนื้อที่หยาบของคนธรรมดาไม่สามารถมองเห็นได้ ที่มองไม่เห็นนั้นจะเปรียบเทียบให้ฟังนะ ตาเนื้อเรานั้นรับแสงได้เป็นปกตินั่นแหละ แต่ประสาทตาหรือตัวรับรู้ผ่านตานั้นมันหยาบ หมายถึงรับภาพได้เฉพาะที่หยาบ ๆ (ที่อยู่ในมิติเดียวกัน) ภาพที่ละเอียดเล็ก ๆ กว่านี้ มันรับไม่ได้ เปรียบเหมือน เราเอามุ้งลวดไปกรองน้ำ ดักฝุ่นในน้ำ ตาของมุ้งลวดก็กรองได้เฉพาะเม็ดฝุ่นที่ใหญ่กว่าตามันเท่านั้น ส่วนเม็ดฝุ่นที่เล็กกว่า หรือกระทั่งน้ำ มันหลุดลอดออกไปหมด มันจับเอาไว้ไม่ได้ ตาเนื้อเราก็เช่นกัน นอกจากเราจะสร้างประสาทตาที่ดีกว่าเดิม กรองภาพได้ละเอียดกว่าเดิม (บางทีเรียกว่าตาทิพย์) ขึ้นมาแล้วใช้ประสาทตานั้นมองดูจึงจะเห็น อันนี้เป็นการเปรียบเทียบนะ อย่าถือเป็นจริงเป็นจังไป

แต่ที่เรามองเห็น สัมผัสได้ (ซึ่งพระท่านก็บอกว่ามีอยู่) ก็คือ แดนมนุษย์ และ ดิรัจฉาน มีมิติแห่งความหยาบอันเดียวกัน จึงมองเห็นและสัมผัสกันได้ นี่แค่สองแดนเท่านั้นนะโลกยังแน่นขนาดนี้ หากแดนอื่น ๆ มาอยู่ในมิติเดียวกันอีกสงสัยคงแย่แน่ ๆ ธรรมชาติเขาสร้างของเขามาดีแล้ว เขาเป็นของเขาดีแล้ว... นี่วรรคนี้เพียงแต่จะบอกว่า เมื่อมนุษย์และสัตว์ดิรัจฉานมีอยู่จริง แดนอื่น ๆ ก็น่าจะมีอยู่จริงเหมือนกัน

บางคนอาจเคยสงสัยว่า เอาอาหารให้ผีกิน ผีกินแล้วทำไมอาหารนั้น ๆ ยังเหลืออยู่ ไม่หมดไป ตกลงผีมากินหรือเปล่า ? ...หากเรายังมองไม่เห็นผี ผีมากินหรือไม่มากินเรามิอาจรู้ได้ (เอ้...ตาพงษ์กับตาหยอย อย่าหัวเราะสิ) เพราะมองด้วยตาเนื้อ ยังไงก็ไม่ทราบอยู่ดี กับข้อสงสัยนี้ ขออธิบายตามความเข้าใจของข้าพเจ้านะ... วัตถุต่าง ๆ นั้น มันมีหลายมิติในตัวมันเอง ..อธิบายยากเหมือนกันเนอะ..เอาเป็นว่า หากผีมากิน ก็กินเฉพาะส่วนที่เป็นมิติของเขาเท่านั้น สมมติเอาหัวหมูไปถวายผี ผีมากินหัวหมูในส่วนที่เป็นมิติของผี แต่ส่วนที่เป็นมิติของภพเรานั้น มันกินไม่ได้ มันจึงคงเหลือให้เราเห็นอยู่ เปรียบเสมือนแบตเตอรี่น่ะนะ เราใช้ไฟในแบตฯหมดแล้ว แต่ก้อนแบตฯก็ยังเหลืออยู่ หากเรามองแค่ด้วยตาอาจเห็นว่าก้อนแบตฯยังอยู่ (เอ้า ต่อให้จับ ให้ลูบคลำ ให้ดม..เลยก็ได้) ไม่รู้หรอกว่าไฟในแบตฯ มีอยู่หรือไม่ เหลืออยู่เท่าไหร่ จะทราบได้ก็ต่อเมื่อนำแบตฯไปใช้กับมือถือที่เข้ากันได้เท่านั้น อันนี้อธิบายเปรียบเทียบนะ มันไม่เหมือนกันนะ

แดนนรก อยู่ที่ไหน แดนเปรต อยู่ที่ไหน ไม่ต้องอยากรู้ ไม่ต้องอยากไปเที่ยวฮันนี่มูน ไม่ต้องอยากไปพักตากอากาศเลยนะ มันไม่สวยงามหรอก (แต่ถ้ามีทัวร์ไปเที่ยวก็คงดีเหมือนกันเนอะ แค่ผ่านเฉย ๆ น่ะนะ) ว่ากันตามตำรานั้นแดนนรก มีหลายขุม ขุมใหญ่ ๆ 8 ขุม ขุมเล็ก ๆ ที่เป็นบริวารอีกมากมาย แต่ทุก ๆ ขุม ไม่น่าไปอยู่หรอกนะ อย่าอยากไปอยู่นะ รายละเอียดไม่ขอเล่าถึง เอาเป็นว่า มันเป็นแดนแห่งความทุกข์ เป็นแดนสำหรับคนทุกข์ (ไม่ใช่คนจนนะ) คนที่ยึดความทุกข์ไว้เป็นอารมณ์ตอนตายจึงมักมาอยู่อาศัย ก็ชอบอมทุกข์ บริโภคทุกข์ เสวยทุกข์นักนี่ (ไม่ใช่รู้ทุกข์นะ เพราะถ้าทุกข์แล้วรู้ทุกข์ ไม่ตกนรกนะ) เมื่อตายแล้ว จึงต้องมาบริโภคกันต่อที่นรกนี่แหละ

ใจเรา เมื่อเสวยอารมณ์ทุกข์ (คำว่าทุกข์นี้ เป็นทุกข์ทางใจ ไม่ใช่ทุกข์ทางกาย) พูดง่าย ๆ ก็คือใจมันเป็นทุกข์นั่นแหละ แสดงว่าใจในขณะนั้นตกนรกอยู่ ทุกครั้งที่เราทุกข์ใจ ใจเราจะตกนรก แต่กายเรายังไม่ไป หากสังเกตดีดีจะเห็นนะ นั่นแสดงว่าเราไปทัวร์นรกแล้วล่ะ มันเป็นความรู้สึกทางใจนะ ใจทุกข์คือใจตกนรก (แต่ใจที่รู้ทุกข์ เข้าใจทุกข์ ไม่ตกนรก)

ในหน้าก่อนนี้ บอกว่าโทสะ นำไปสู่นรก เอะ ไฉนแค่ทุกข์ใจก็บอกว่าใจตกนรกเล่า ทุกข์ใจเกี่ยวอะไรกับโทสะ?

ตอบแง้ม ๆ แบบลึก ๆ ว่า ตามธรรมดาเมื่อคนเราทุกข์ใจ จะมีโทสะกิเลสเจือปนอยู่ด้วย ไม่เป็นสมุนตัวเป้ง ๆ ก็เป็นตัวเล็ก ๆ ล่ะ แต่จะมีเจือด้วยทุกครั้ง อย่างเช่นสมมตินะ มือถือหาย เสียดาย ทุกข์ใจ ความโมโห เกิดตามมา จะโมโหตัวเองหรือคนอื่นก็เถอะ หรือเป็นสมุนตัวน้อย ๆ เช่น หงุดหงิด ก็มักจะมีอยู่ด้วย ลองสังเกตดูนะ ง่าย ๆ คือ ความรู้สึกขัดข้องใจ คับแค้นใจ นั่นแหละคืออาการหนึ่งของโทสะล่ะ (แง้มแค่นี้พอเนอะ)

หากเราตายไปในตอนที่ใจกำลังเสพเสวยความรู้สึกนั้นพอดี ยึดอารมณ์ทุกข์นั้นไว้พอดี ซึ่งเป็นสภาวะหรือภาวะใจแบบเดียวกับสัตว์นรก ไอ้ภาวะใจแบบนี้แหละจะนำผู้ตายไปยังนรก (มันพาไปจริงๆ นะ ... เลียนแบบสมรัก..ไม่ได้โม้..)

(แต่สำหรับผู้มีสติดี รู้ทันจิต จะรู้ทันใจทุกข์ เมื่อรู้ทันก็ไม่ยึดทุกข์ไว้ แต่จับตัวรู้ทุกข์นั้นมาเป็นอารมณ์แทน จึงไม่ตกนรก )

พูดถึงอารมณ์ หรือความรู้สึกที่เราเสพเสวยเนี่ย ว่ากันว่า อารมณ์โกรธ เป็นอารมณ์ของยักษ์ อารมณ์ทุกข์ใจเป็นอารมณ์ของสัตว์นรก อารมณ์เสียใจเป็นอารมณ์ของผี อารมณ์ริษยาเป็นอารมณ์ของอสุรกายบ้างมารบ้าง อารมณ์ละโมบเห็นแก่ตัวเป็นอารมณ์ของเปรต อารมณ์ที่ไม่รู้บาป บุญคุณโทษ (คือสติสัมปชัญญะยังไม่ตื่น) เป็นอารมณ์ของสัตว์ดิรัจฉาน (อันนี้พูดตามประสาชาวบ้านนะ อย่าเอาไปเทียบกับตำรานะ)

ดังนั้นลองมาดูอีกทีซิว่า ตอนนี้ เราเสวย (ไม่ใช่ราชาศัพท์นะ) อารมณ์แบบใดอยู่ กายเป็นมนุษย์ แต่ใจเราเป็นอะไรอยู่

ไม่ต้องพาใจไปฮันนี่มูน ไม่ต้องไปตากอากาศดอกนะ ไอ้แดนนรก เปรต อสุรกายนั่นน่ะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น