เจริญพร ขอให้มีความสุขสมหวังและ ถึงความสิ้นทุกข์ในเวลาอันใกล้โดยง่ายเทอญ

ยินดีต้อนรับ สหธรรมิกผู้มีใจเป็นกุศลทุกๆท่านครับ

ขอเรียนเชิญ สหธรรมิกทุกๆท่านมาร่วมศึกษาและปฏิบัติธรรมของพระพุทธองค์ รวมทั้งแบ่งปันความรู้ ข้อคิด คำแนะนำ ด้วยใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาครับ

" ความมืดแม้ทั้งโลก ก็บดบังลำแสงเพียงน้อยนิดมิได้ "


สันโดษ

สันโดษ
สุขใด เสมอความสงบ ไม่มี

หน้าเว็บ

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
อดีตที่ผ่านมาเป็นบทเรียน อโหสิให้ทุกคน แต่อย่ามีเวรกรรมร่วมกันอีกเลย

ผู้ติดตาม

วันอาทิตย์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2553

ปัจจุบันเป็นเวลาที่ประเสริฐที่สุด


ระลอกคลื่น บังน้ำใส (พระอาจารย์อํานาจ โอภาโส จำพรรษาอยู่ที่พุทธธรรมสถานผาซ่อนแก้ว จ.เพชรบูรณ์) ปรับขนาดตัวหนังสือ

» ระลอกคลื่น บังน้ำใส

หัวข้อเรื่อง :

หัวข้อเรื่อง : ระลอกคลื่น บังน้ำใส - ขอเจริญพร | ระลอกคลื่น บังน้ำใส - ปัจจุบันเป็นเวลาที่ประเสริฐที่สุด | ระลอกคลื่น บังน้ำใส - เราเพียงแต่มีหน้าที่ดูให้เป็น | ระลอกคลื่น บังน้ำใส - บางครั้งเราเผลอปรุงแต่งในส่วนที่ดี |


« ระลอกคลื่น บังน้ำใส - ปัจจุบันเป็นเวลาที่ประเสริฐที่สุด »
ปัจจุบันเป็นเวลาที่ประเสริฐที่สุด และการบรรลุธรรมก็บรรลุในปัจจุบันขณะนี้เอง ปัจจุบันไม่ได้หายไปไหน ไม่ได้จากไปแล้วก็ไม่ได้กลับมา อยู่ตรงต่อหน้าต่อหน้าเราทุกขณะ ที่ทุกคนมีขณะเท่ากัน แต่ปัจจุบันขณะของเราเป็นอย่างไร มันชอบกระโจนเข้าสู่การปรุงแต่งใช่หรือไม่

วันนี้มีหัวข้อเรื่อง “ระลอกคลื่น บังน้ำใส” เพราะอะไร เพราะ เราเข้าไปเห็นแค่เปลือกของมัน ไม่เข้าไปเห็นถึงสภาวะเนื้อในของมัน ส่วนใหญ่เราจะเห็นเนื้อหาของความคิด แล้วก็นั่งฟังเนื้อหาของความคิด ทำตามเนื้อหาความคิดไปวันๆ ไม่ค่อยจะเห็นถึงสภาวะข้างในว่าเนื้อหา ของความคิดข้างใน ที่เราคิดว่าชอบไม่ชอบ มันมี “ขณะ” เป็นยังไง ลักษณะมันเป็นยังไง ถ้าดูดีๆ จะเห็นถึงลักษณะข้างในของมัน รู้ลักษณะของมัน วิปัสสนาหรือการปฏิบัติใช้ประสบการณ์โดยตรงจาก “ปัจจุบันขณะ” ถ้าเผลอนั่งคิดอยู่ ตัวเนื้อหาความคิดมันเป็นแค่เรื่อง แต่ลักษณะมันเป็นยังไง ไม่มีตัวตน ไม่มีขนาด ที่ตั้ง แม้แต่ปัจจุบันขณะนี้ก็เช่นเดียวกัน มันแค่รู้สึกเฉยๆ ไม่มีเจ้าของความรู้สึกอันนั้น เป็นสภาวะเดิมที่สามารถรู้สึกได้ทุกคนในปัจจุบันขณะ ไม่ได้จากไปไหน ไม่มีอะไรต้องกลับมา

ที่ตั้งชื่อว่า “ระลอกคลื่น บังน้ำใส” เพราะเห็นว่าเรามักเห็นแค่อาการของมัน ไม่เคยเห็นสภาวะเดิมของมัน เปรียบเทียบกับสายน้ำก็แล้วกันนะ สายน้ำเปลี่ยนแปลงรูปร่างตลอดเวลา ถูกลมพัดผิวน้ำจะเป็นลอนเล็กๆ เปรียบได้กับรอยเท้าของสายลมที่แล่นอยู่บนผิวน้ำ เป็นริ้วๆ กระทบเข้าฝั่ง แล้วก็ย้อนกลับเป็นระลอกพริ้วๆ มา ครั้นพอถูกหยดน้ำกระทบ ก็แตกตัวเป็นวงแหวน สวยงาม กระทบกันเป็นวงแหวนวงแล้ววงเล่า เหมือนละครแห่งวัฏฏะสงสาร กระทบกระทั่งบนผิวน้ำเดียวกัน เหมือนจิตใจที่เป็นเนื้อหากับสภาวะที่ว่างเหมือนกัน ก่อรูปลักษณะของความปรุงแต่งกระทบกระทั่งกัน สร้างเป็นระลอกคลื่นที่กระทบกันรุนแรง คลื่นก็ใหญ่โตทะยานขึ้น และกระแทกกระทั้นกับตัวเองอยู่บนผิวน้ำเดียวกัน บางครั้งก็ระเหยกลายเป็นไอน้ำอ้อยอิ่งลอยอยู่บนฟ้า รวมกับทุกหยาดน้ำ ที่มาจากหยาดเหงื่อของทุกคนทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นคนตะวันออกกลาง คนอเมริกัน คนไทย มุสลิม คนยิว ก็จะระเหยมารวมกันหมด กลายเป็นเมฆลอยอยู่บนฟากฟ้า หมู่เมฆไม่ได้นับถือศาสนาอะไร หมู่เมฆเป็นสภาวะธรรมชาติที่ไม่ใช่ของใคร ไม่มีตัวตน ก็ตกพรูลงมากลายเป็นเม็ดฝน เหมือนดอกเข็มขาวพุ่งลงมาสู่สายน้ำ ไหลไปตามผืนแผ่นดิน ผืนแผ่นดินก็ซึมซาบลงไปในดินที่แตกระแหง รากต้นไม้ก็ควานหาความชุ่มชื้นของหยาดน้ำฝนที่ตกลงมา เปลี่ยนเป็นเกสรดอกไม้ที่ส่งกลิ่นอบอวลในสวน เปลี่ยนเป็นผลไม้ที่หอมหวาน และผลไม้ก็กลับมาสู่ชีวิตเราทุกคน มันเปลี่ยนรูปลักษณ์ไปตลอดเวลา มีสายน้ำมาจากที่เดียวกัน ดื่มกินน้ำหวานผลไม้มาจากที่เดียวกัน ตกลงร่างกายไม่ได้เป็นของใครเลยนะ แต่มาจากธรรมชาติที่เป็นหนึ่งเดียวกันที่เปลี่ยนแปลงสภาพไปตลอดเวลา น้ำที่อยู่ในตัวกับน้ำที่อยู่ในมด ในช้าง ในใบไม้ก็เป็นเหมือนกัน ไม่ได้เป็นของใคร สภาวะของธรรมะแสดงอยู่ตลอดเวลา ในตัวเราร่างกายเรียกว่ารูปธรรม แสดงธรรมะตลอดเวลาถ้าเราตามดู แม้แต่ลมหายใจก็เช่นกัน ฟังดูสิว่าเป็นของใครที่ไหน ไหลออกจากคนนี้เข้าไปที่คนนั้น ไม่เห็นเป็นของใครเลย และการปฏิบัติธรรมก็ทำได้ต่อหน้าต่อตาอย่างนี้ ไม่ต้องไปรอตั้งท่าที่ไหนเลย เห็นอยู่ซึ่งๆ หน้าในปัจจุบัน เป็นลมหายใจไหลเข้าไหลออก ไม่ได้เป็นของใครที่ไหน ที่แผ่ซ่านอยู่ในร่างกายนี้ไม่เป็นของใคร เห็นความเป็นจริงไหม

ดังนั้น ควรปฏิบัติเพื่อละความเห็นผิด เป็นเห็นถูก เห็นถูกต้องจากของหยาบๆ เลยว่า ร่างกายก็ไม่ใช่เรา สายน้ำที่หล่อเลี้ยงอยู่ในริมฝีปากก็ดี ก็มาจากขวดน้ำที่เขาแจก คนละแก้วสองแก้วก็น้ำมาจากที่เดียวกัน มาจากลำธาร มาจากมหาสมุทรเดียวกัน เห็นซึ่งๆ หน้าอยู่แล้วว่ามันไม่ใช่เรา ถ้าเห็นอยู่อย่างนี้นะ ความหลงก็ทำงานไม่ได้ มันจะเกิดความละอายใจ เพราะมันปรากฏอยู่ซึ่งๆ หน้าเลย ความโลภที่มันจะตอบสนองความต้องการมันจะเกิดความละอายใจ แล้วเมื่อไหร่มีสติสัมปชัญญะเป็นธรรมที่มีอุปการคุณมาก มันจะเกิดความละอายใจ เห็นจิตที่มันรู้สึกตัวอย่างนี้ ถ้าเผลอคิดไม่ดีขึ้นมา ก็จะเห็นว่าความคิดไม่ดีนั้นมันจะนำมาสู่ความแสบเผ็ดในจิตใจเรา มันจะสะดุ้งเลย คิดจะโกรธคิดจะด่าเขา มันเห็นซึ่งๆ หน้า มันจะสะดุ้งกลัว ตัวเราก็ไม่สบายใจ ถ้าขืนทำก็ยิ่งไม่สบายใจ เกิดเป็นความละอายใจ ความสะดุ้งกลัวต่อบาป แล้วจะเกิดความสำรวมระวัง

เมื่อใดสติสัมปชัญญะบริบูรณ์ คุณธรรมอีกเรื่องหนึ่งจะงอกงามขึ้นมา คือ หิริโอตัปปะ มันจะเกิดธรรมอีกหนึ่ง คือการสำรวมระวัง มันจะรู้เท่าทัน มีความละอายใจอยู่ มีสติอารักขาอยู่ ที่บอกอารักขา คือการอารักขาใจที่ปกติ จิตมันบริสุทธิ์ประภัสสรอยู่แล้ว ที่มันไม่ปกติเพราะอะไร เพราะหูมันไปกระทบเสียง ไปคว้าเอาเสียงที่มันไม่ชอบ เหมือนได้ยินเสียงหมาเห่าแล้วเราไม่ชอบ ความไม่ชอบมันทำให้เราทุกข์ แต่ที่เป็นทุกข์คือเราไม่ชอบเสียงหมาเห่า ไม่ใช่หมาเห่าทำให้เราเป็นทุกข์นะ ฉะนั้นเมื่อสติอารักขาอยู่มันจะไม่เอาเรื่องนะ มันจะไม่เอาเรื่องกับหมา ไม่เอาเรื่องกับสิ่งภายนอก รักษาใจของเราที่ปกติที่มีค่ากว่า คนชอบทิ้งสิ่งที่มีค่ากว่าคือจิตที่ประภัสสร สะอาด สงบ งดงามสว่างตลอดเวลา แต่ชอบทิ้งมัน ชอบไปคว้าว่าสิ่งนี้ไม่ชอบ สิ่งนั้นไม่ชอบ แล้วบอกว่าหมาเห่าทำให้เราเป็นทุกข์ ตุ๊กแกร้องทำให้เราเป็นทุกข์ เห็นไหมว่าทุกข์มันไม่ได้เกิดจากสิ่งภายนอก แต่เกิดจาก “ความไม่รู้” ไปปรุงแต่งความไม่ชอบขึ้นมาเป็นอวิชชาสังขารา คือประตูไปสู่ความทุกข์เพราะความไม่รู้ แต่ถ้ารู้สึกตัวอยู่ ขยับแขนรู้สึก ขยับตัวรู้สึก ความรู้สึกข้างในเกิดขึ้นก็รู้สึก แค่นี้เอง ง่ายมาก ง่ายตรงที่ว่าไม่ต้องไปทำอะไรมากไปกว่านั้น

พระพุทธเจ้าทรงสอนทางตรง คือ ปัจจุบันขันธ์ห้า มันทำงานตลอดเวลาอยู่แล้ว ไม่ต้องไปนั่งคิดพิจารณาขันธ์ห้านะเพราะมันทำงานตลอดเวลา อย่างตอนนี้เรานั่งอยู่มีความคิดเกิดขึ้น แล้วเรารู้เท่าทันอาการความคิด นี่มีสังขารขันธ์ ไม่ใช่เราคิดนะ ความคิดกำลังคิด จิตกำลังทำงานให้เห็นสภาวะปรมัตถ์ คือไม่หลงแค่เนื้อหาที่คิด เช่น คนนี้ดี คนนี้ยิ่งใหญ่ คนนั้นต่ำต้อย ยิ่งใหญ่หรือต่ำต้อยนี่เกิดจากอะไร ดูที่พวงดอกไม้นี้ก็ได้ ดอกไหนใหญ่กว่าดอกไหน ดอกไหนต่ำต้อยหรือว่าดอกนี้สูงส่งกว่า มีแค่ความคิดปรุงแต่งเท่านั้นที่เข้าไปยุ่งกับมันว่า ดอกนี้สูงส่งดอกนี้ต่ำต้อย เรื่องราวต่างๆ ที่บัญญัติขึ้นมาในความปรุงแต่งก็เช่นเดียวกัน ที่ว่าต่ำต้อยหรือสูงส่งมีแต่ความคิดปรุงแต่งที่สมมติเท่านั้น แต่ถ้ารู้ว่าจิตกำลังคิดอยู่ อย่างนี้เป็นปรมัตถ์ มันจะหลุดออกมาจากความคิดที่มันปรุงแต่ง รู้สภาวะตัวมันแทน มันจะเห็นว่า อ๋อ นี่สังขารขันธ์มันกำลังทำงาน ไม่ใช่เรา แล้วมันเอาอะไรมาคิด เอาความจำมาคิด มันเปิดตู้เย็นออกมา รื้อความจำออกมา ความจำอันไหนชอบก็เอาไปปรุงแต่งว่า อยากจะได้ ความจำไหนที่ไม่ชอบก็เอามาปรุงแต่งว่าอยากจะแก้แค้น อยากจะตอบโต้ ถ้าไม่มีอนุสัยที่นอนเนื่องอยู่ ความฟุ้งซ่านจะทำงานไม่ได้เลยนะ ลองสังเกตเวลาเราฟุ้งซ่านดูนะ อย่างเช่น คนนี้เราไม่ชอบเลย อยากจะไปว่า อยากจะไปตำหนิเขา เจ้าความคิดปรุงแต่งนี้ซึ่งเป็นสังขารขันธ์นั้นมันทำงานมาจากอะไร มันทำงานมาจากผัสสะ ตอนที่หูกระทบเสียงก็ไม่รู้ว่านี่หูมันเป็นเครื่องมือ ไม่รู้ว่านี่คือเสียง ไม่รู้ว่านี่มันเกิดดับไปแล้ว เผลอไปเก็บความไม่ชอบเอาไว้ อนุสัยแปลว่าอะไร อนุแปลว่าตาม สัยแปลว่านอนเนื่อง เสียงมันเกิดดับไปแล้วแต่เก็บความไม่ชอบไว้ในใจ พอเผลอขึ้นมาแล้วทำยังไง ก็เปิดตู้เย็นหยิบความไม่ชอบออกมาคิดต่อ คิดต่อแล้วเป็นไง กลายเป็น พยาบาทนิวรณ์ เห็นมั๊ยว่าธรรมวิปัสสนามันทำงานซึ่งๆ หน้าเลย เห็นขันธ์ห้า มันทำงานอยู่ต่อหน้าเลย นี่สังขารขันธ์ นี่สัญญาขันธ์ วิญญาณที่รับรู้ก็ไม่ใช่เรา ร่างกายที่ปรากฏอยู่ปัจจุบันขณะที่เวทนากำลังสำแดงบทบาทอยู่ นามเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดรูป อารมณ์ไม่ดีเป็นไง หน้าจะหงิก พูดก็ไม่ดี เสียงก็ไม่ดี นามเป็นปัจจัยรูป มันแสดงธรรมะอยู่ต่อหน้าต่อตาเรา ให้ดูที่ขันธ์ห้า เพราะมันแสดงทุกปัจจุบันขณะของเราอยู่แล้ว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น