เจริญพร ขอให้มีความสุขสมหวังและ ถึงความสิ้นทุกข์ในเวลาอันใกล้โดยง่ายเทอญ

ยินดีต้อนรับ สหธรรมิกผู้มีใจเป็นกุศลทุกๆท่านครับ

ขอเรียนเชิญ สหธรรมิกทุกๆท่านมาร่วมศึกษาและปฏิบัติธรรมของพระพุทธองค์ รวมทั้งแบ่งปันความรู้ ข้อคิด คำแนะนำ ด้วยใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาครับ

" ความมืดแม้ทั้งโลก ก็บดบังลำแสงเพียงน้อยนิดมิได้ "


สันโดษ

สันโดษ
สุขใด เสมอความสงบ ไม่มี

หน้าเว็บ

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
อดีตที่ผ่านมาเป็นบทเรียน อโหสิให้ทุกคน แต่อย่ามีเวรกรรมร่วมกันอีกเลย

ผู้ติดตาม

วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2554

ปลงธรรมสังเวช เราจะตายด้วยกันทั้งนั้น

ปลงธรรมสังเวช เราจะตายด้วยกันทั้งนั้น

วันที่ 21 มกราคม 2544 ความยาว 57.23 นาที
สถานที่ : วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ

เทศน์อบรมพระและฆราวาส ณ วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ

เมื่อวันที่ ๒๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๔(บ่าย)

ปลงธรรมสังเวช เราจะตายด้วยกันทั้งนั้น

การถ่ายรูปนี่มันมากเหลือเกินนะ ทำลายธรรมเวลาเทศนาว่าการ จำให้ดีทุกคนนะ ธรรมไม่ใช่ตุ๊กตาเครื่องเล่นของเด็ก อย่าเอามาเล่นในสถานที่มหามงคลอย่างนี้นะ นี่หลวงตาพูดเอง มันต้องอย่างนั้น พอดี

ขอให้ปลงธรรมสลดสังเวชในบรรดาชาวพุทธเราทุกถ้วนหน้า คือท่านเจ้าคุณเทพโมลี ท่านได้มรณภาพลงไปเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว วันนี้เป็นวันปลงศพหรือถวายเพลิงท่าน พี่น้องชาวไทยเราซึ่งเป็นชาวพุทธควรจะรับความสลดสังเวชอย่างถึงใจในวันนี้ เพราะความตายนี้ประกาศมาตั้งกัปตั้งกัลป์แล้ว ไม่ค่อยมีใครตื่นเนื้อตื่นตัวกันเลย ตื่นตั้งแต่ความไปตามความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา ตื่นไม่มีเวลาวันหยุดวันหย่อน ตื่นตั้งกัปตั้งกัลป์มาแล้ว ยังจะตื่นต่อไปอีกไม่มีขอบเขตเหตุผลอันใดเลย นี่คือความตื่นโลกตื่นไปตามกิเลสตัณหา ความที่จะตื่นในอรรถในธรรม ปลงธรรมสังเวชว่า โลกทั้งโลกนี้คือโลกเกิดโลกตายไม่ค่อยได้คิดกันบ้าง อย่าพากันดีดกันดิ้นจนเกินเหตุเกินผล จนลืมเนื้อลืมตัวว่าป่าช้าไม่มีกับเราทุกคนๆ ทั้งๆ ที่ป่าช้ามีอยู่อย่างเต็มตัว อย่างนี้เรียกว่าเป็นความประมาทมากสำหรับชาวพุทธของเรา

วันนี้เป็นวันที่กระเทือนให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบทั่วถึงกัน ถ้าใครยังไม่มองเห็นให้มาดูหน้าเมรุนี้ นี้คือศพของท่านเจ้าคุณเทพโมลี ท่านตายแล้ว ท่านไปตามบุญตามกรรมของท่านที่บำเพ็ญบารมีมามากน้อย ท่านไม่มาแบ่งสันปันส่วนเอาบุญเอาบาปกับพวกเรา ท่านเป็นผู้บำเพ็ญตัวของท่านโดยดีมาตลอดเวลา บุญกุศลเป็นสมบัติอันล้นค่าที่จะค้ำชูจิตใจของท่านให้ไปสถานที่ดีคติที่เหมาะสม ท่านไม่ได้มาหวังเอาวกๆ เวียนๆ กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา จากพวกเราแหละ เรื่อง กุสลา ธมฺมา นั้นเป็นเครื่องเตือนจิตใจของพี่น้องชาวไทยเราทั่วหน้ากัน ได้พากันระลึกแล้วหรือยัง

กุสลา ธมฺมา คือหมายความว่า ธรรมที่ยังบุคคลให้มีความเฉลียวฉลาด อกุสลา ธมฺมา สิ่งที่ทำบุคคลให้โง่ ถ้าใครเจริญทาง อกุสลา ธมฺมา ก็โง่เข้าไปโดยลำดับ โง่ไม่มีหยุดสิ้นสุดยุติลงได้ โง่ตั้งกัปตั้งกัลป์ กอบโกยเอาความทุกข์ไปจากความโง่ตั้งกัปตั้งกัลป์ ตลอดไปเรื่อยๆ ถ้าผู้มี กุสลา ภายในใจ ระลึกถึงเรื่องความเป็นความตาย ระลึกถึงบาปถึงบุญในหัวใจของเรา พอที่จะได้เป็นข้อคิดต่างๆ บ้างตามสายธรรมพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนมาเป็นเวลานาน เราจะพอมีเครื่องยึดเครื่องเกาะในจิตใจของเรา

เวลานี้พวกเราทั้งหลายมีอะไรเป็นเครื่องเกาะเครื่องยึด พิจารณาดูซิ โลกนี้กว้างขนาดไหน โลกนี้มีกี่พันล้านมนุษย์ที่อยู่ร่วมกันนี้ ตลอดถึงสัตว์ ดินฟ้าอากาศ ต้นไม้ ภูเขา มีมากขนาดไหน เป็นสาระอะไรบ้างสำหรับหัวใจเราที่จะเกาะจะยึดพอเป็นฝั่งเป็นฝา ให้หลุดรอดพ้นจากภัยคือความทุกข์ทั้งหลายไปได้ มองแล้วมันไม่มี มันมีแต่ดินเป็นดิน น้ำเป็นน้ำ ลมเป็นลม ไฟเป็นไฟ ตลอดต้นไม้ภูเขาดินฟ้าอากาศ มันเป็นเรื่องของเขาโดยสมบูรณ์ เขาไม่มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรจากพวกสัตว์ทั้งหลายเรานี้เลย ส่วนที่มีส่วนได้ส่วนเสียจริงๆ ก็คือบาปคือบุญ การทำดีทำชั่ว นี้แลเป็นตัวสำคัญมาก ขอให้เอา กุสลา ความฉลาดจับเข้าไปในจุดนี้ ท่านทั้งหลายจะรู้เนื้อรู้ตัวว่าเราเกิดเป็นอะไร เกิดเป็นมนุษย์หรือเกิดเป็นอะไร

มนุษย์นั้นตั้งชื่อให้เป็นเทวดาก็ได้ อยู่ในเรือนจำก็ไม่อดไม่อยาก ตั้งชื่อเทวดาก็ตั้งได้ แต่บาปกรรมที่เจ้าของทำลงไปนั้นมีเป็นธรรมชาติ ที่เหนืออำนาจของทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีอันใดที่จะเหนืออำนาจกรรมไปได้เลย ท่านจึงแสดงไว้เป็นพระบาลีว่า นตฺถิ กมฺมสมํ พลํ ไม่มีอานุภาพใดที่จะเหนืออานุภาพแห่งกรรมดีกรรมชั่วของสัตว์ที่ทำไว้แล้วได้เลย ใครจะทำดีทำชั่วขนาดไหน กฎธรรมชาติคืออำนาจนี้จะต้องบีบบังคับอยู่ภายในนั้น แล้วพาไปดีจนได้ไม่สงสัย พาไปชั่วได้ไม่สงสัย ด้วยอำนาจแห่งกรรมดีกรรมชั่ว

เพราะฉะนั้นจงให้พากันระลึกถึง กุสลา ธมฺมา ที่ท่านจะสวดในวันนี้ ถ้าระลึกไม่ได้วันไหนขอให้ระลึกวันนี้ว่า กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา อพฺยากตา ธมฺมา ท่านสวดมาเสียมากมายขนาดไหน แม้แต่ผู้สวดเองอย่างหลวงตาบัวนี้ก็เคยสวด ไปกินข้าวต้มขนมเขามามากมาย ไม่ทราบว่า กุสลา ธมฺมา หมายความว่ายังไง ผู้มาถวายก็ทำเป็นพิธี พอทำเป็นพิธี กุสลา ธมฺมา มาติกา แล้ว เวลาพระท่านสวดมนต์ก็คุยโม้กันเต็มบ้านเต็มเมือง มันเป็นสภาโม้ในสถานที่ กุสลา ธมฺมา เราทั้งหลายรู้ไหมว่า ชาวพุทธมันกลายเป็นชาวผีไปแล้วเวลานี้

ศาสนาพระพุทธเจ้าเลิศเลอขนาดไหน ท่านทั้งหลายอยากทราบให้ปฏิบัติตัวลงไป สวากขาตธรรม พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชอบแล้ว ชอบอะไร บุญเป็นบุญ บาปเป็นบาป นรกเป็นนรก สวรรค์เป็นสวรรค์ พรหมโลก นิพพาน เป็นพรหมโลก นิพพาน เปรตผีประเภทต่างๆ เต็มทั่วไตรโลกธาตุเป็นมากี่กัปกี่กัลป์ พากันระลึกรู้หรือเปล่าว่า พระพุทธเจ้าสอนว่ายังไง เราจะเพียงว่าเกิดว่าตายเฉยๆ ไม่ได้คิดอะไร แล้ว กุสลา ธมฺมา ก็ทำเป็นพิธี ตายแล้วก็พอเป็นพิธี ไปถวายทาน กุสลา ธมฺมา คุยโม้กัน เป็นโอกาสอันดีสำหรับคนที่โง่เขลาเบาปัญญาและมืดบอดที่สุด จะไปสนทนากัน เป็นโอกาสอันดีงามในเวลาที่พระท่านมาสวด กุสลา ธมฺมา เป็นอย่างนี้เสียส่วนมาก เฉพาะอย่างยิ่งกรุงเทพเป็นที่หนึ่ง

ไม่ว่าสถานที่ใดหลวงตาเคยไปเทศน์ไปสวด กุสลา กินข้าวต้มขนมกับเขาเหมือนกัน แต่เราไม่อยากยินดีกินข้าวต้มแหละ ไปมีตั้งแต่เรื่องคุยโม้ ระบายทุกข์ต่อกันนะนั่น ใครมาจากที่ไหนก็ระบายทุกข์ต่อกัน คนนั้นได้ทุกข์ทางนั้น คนนี้ทุกข์ทางนี้ ตั้งแต่วันตื่นนอนขึ้นมาขวนขวายไขว่คว้าหาตั้งแต่ความสุขๆ ครั้นเวลาได้แล้วมีตั้งแต่ความผิดหวังๆ มาเต็มหัวอก เวลามีโอกาสมาคุยกัน ระบายตั้งแต่เรื่องความทุกข์ความร้อนแต่ละบุคคลๆ มาหากัน มีแต่แบบนั้นแหละ กุสลา ธมฺมา แปลว่าอะไร มันไม่ได้สนใจฟังนะ แล้วเราจะหวังเอาอะไรเป็นที่พึ่ง พิจารณาซิ

เราจะพึ่งยศก็ตั้งขึ้นเฉยๆ ประสายศ ตั้งขึ้นฟากจรวดดาวเทียมก็ตั้งได้ ไอ้ยศไอ้ชื่อ ชื่ออย่างนั้นชื่ออย่างนี้ตั้งเลยจรวดดาวเทียมก็ได้ แต่ตัวของเรามันหาบบาปหาบกรรมด้วยความโง่เขลาเบาปัญญา ด้วยการสร้างความชั่วนี้กอบโกยตลอดเวลา ความทุกข์อันนี้จะเผาหัวใจเรา ได้พากันคิดแล้วยัง นี่คือธรรมของพระพุทธเจ้าเตือนพี่น้องทั้งหลาย ประกาศก้องมาเฉพาะพระพุทธเจ้าของเรานี้ได้ ๒๕๐๐ กว่าปีนี้แล้ว โก นุ หาโส กิมานนฺโท นิจฺจํ ปชฺชลิเต สติ อนฺธกาเรน โอนทฺธา ปทีปํ น คเวสถ ก็เมื่อโลกสันนิวาสนี้เป็นฟืนเป็นไฟของความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา เผาไหม้สัตว์ตลอดมานี้ ยังหัวเราะรื่นเริงเป็นบ้ากันอยู่เหรอ เมื่อไรท่านทั้งหลายจะหาที่พึ่ง นั่นฟังซิ นี่ละภาษิตอันนี้เป็นพุทธพจน์ที่ทรงแสดงไว้แล้ว

เราทั้งหลายเป็นยังไง ยัง โก นุ หาโส กิมานนฺโท อยู่เหรอ รื่นเริงบันเทิงไปหาอะไร ตายแล้วจะไปที่ไหนได้รู้แล้วยัง คติความตายความเป็นอยู่ของเจ้าของ จะเกาะอะไร ถ้าเกาะเงิน-เงินก็พัง พอชีวิตจิตใจหายลงไปเท่านั้น เงินซึ่งสมมุติขึ้นเป็นกระดาษบ้าง เป็นแร่ธาตุต่างๆ บ้าง ตั้งชื่อตั้งนามขึ้นว่าเป็นเงินเป็นทอง เป็นข้าวเป็นของเป็นเพชรนิลจินดา มันก็เป็นแร่ธาตุธรรมดาๆ เรานั้น มันวิเศษวิโสอะไรเกลื่อนแผ่นดินอยู่นี้ เรามาเสกสรรปั้นยอพอได้อาศัยไปในการเกี่ยวข้องสังคมซึ่งกันและกัน ให้เป็นความสะดวกในการจับจ่ายซื้อขายเพียงเท่านั้น ไม่ได้หมายถึงว่าจะให้เป็นตัวเป็นตน ฝากเนื้อฝากตัวไปกับสมบัติเงินทองข้าวของเหล่านี้ แล้วไปสวรรค์นิพพานเลย มันเป็นไปไม่ได้นะ

สมบัติเหล่านี้พาให้ลงนรกก็ได้มากมาย คนที่มีเงินทองข้าวของมากๆ มันลืมเนื้อลืมตัว ทุกสิ่งทุกอย่าง เมียอยากได้ ๔๐-๕๐-พันคนมันก็หาได้ ผู้หญิงก็เหมือนกันตัวเก่ง ผู้ชายนี่เอาเท่าไรมาเป็นผัวมันเป็นได้ทั้งนั้น เพราะเรามีเงินมากมีสมบัติมาก มียศถาบรรดาศักดิ์สูง ยิ่งเขายกยอให้เป็นคุณหญิงคุณนายด้วยแล้วยิ่งเป็นบ้าสดๆ ร้อนๆ ก็ผู้หญิงด้วยกัน ตั้งไม่ตั้งมันก็เป็นผู้หญิง ผู้ชายก็เหมือนกันนั่นแหละ นี่หลักธรรมชาติพี่น้องทั้งหลายฟังเสียนะ ธรรมในหลักธรรมชาติท่านแสดงอย่างนี้ ท่านไม่แสดงแบบโลกที่ประจบประแจงเลียแข้งเลียขา

เห็นกันแล้ว ดีนะๆ ดีอะไร ไฟไหม้หัวใจมันอยู่ทั้งวันทั้งคืนยืนเดินนั่งนอน ตั้งแต่ตื่นนอนมาจนกระทั่งหลับมันหาความสุขที่ไหนมาติดหัวใจ มันไม่เคยมี ถ้าว่าเงินก็อยู่ในกระเป๋า อยู่ในบ้านในเรือน ฝากตามธนาคารต่างๆ มันก็อยู่ตามนั้นๆ เจ้าของก็แบกกองทุกข์ตลอดเวลา มีความหมายอะไรกับสมบัติเหล่านั้นถ้าเจ้าของไม่ฉลาด หาสมบัติเหล่านั้นมาเป็นประโยชน์ มีมากมีน้อยเฉลี่ยเผื่อแผ่เพื่อเพื่อนเพื่อฝูงเพื่อชาติบ้านเมือง ให้เป็นประโยชน์แก่คน อันนั้นเป็นสมบัติ สมบัติแปลว่าความถึงพร้อม ถึงพร้อมที่จะให้เจ้าของได้รับความสมบูรณ์พูนผล เป็นกุศลผลบุญขึ้นจากการบำเพ็ญของเรา ได้มาแล้วลืมเนื้อลืมตัว นั้นเงินเป็นเครื่องสังหารเป็นเพชฌฆาตฆ่าคนที่มั่งมีมากๆ ให้ขาดสะบั้น ลงนรกก็ลงได้คนพวกนี้

ยกตัวอย่างเช่นเศรษฐี นี่เหล่านี้ท่านผู้เรียนมาๆ ด้วยกันรู้ด้วยกันเถียงกันไม่ได้นะ เศรษฐีมีเงินมาก เรายกมาเพียง ๓ สกุล เศรษฐีมีเงินมากไปที่ไหนล่อไปหมด เอาเงินไปหว่านให้ผู้หญิงคนนั้นให้ผู้หญิงคนนี้ หว่านแล้วก็ล่อเข้ามาเป็นคนบำรุงบำเรอ พวกลูกพวกผัวครอบครัวเหย้าเรือนโคตรวงศ์ของเขาเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้กันทั้งโคตรทั้งแซ่ ไม่ได้คำนึงเลย ได้ผู้หญิงคนนั้นด้วยการหลอกลวงโดยการเงินการทองของเราเราเป็นที่พอใจ ทีนี้เวลาตายไปแล้วลงนรก ท่านแสดงไว้ว่า พื้นฐานแห่งผิวนรกนั้น จากนี้ลงไปถึงก้นนรก พวกสัตว์ ๓ ประเภทที่ตกนรกนี้หมุนตัวลงไปได้ ๖ หมื่นปี ภาษาบาลีก็มีแต่ไม่นำมาแสดง จะแสดงแต่เนื้อๆ ที่เป็นอรรถเป็นธรรมเข้าใจกันแล้วแก่พี่น้องทั้งหลายเท่านั้น

เวลาลงจากพื้นมนุษย์เราไปนี้ ลงไปจมตั้งแต่ผิวนรก ลงไปถึงพื้นนี้ เสวยทุกขเวทนาอย่างสาหัส ลงไปเป็นเวลา ๖ หมื่นปี ๖ หมื่นปีทิพย์กับ ๖ หมื่นปีเราธรรมดานี้ต่างกันอย่างไรบ้าง ฟังซิ แล้วก็ไปจมอยู่ในนรกนั้น ๖ หมื่นปีแล้วก็ฟื้นขึ้นมา ใน ๖ หมื่นปีนั้นชั่วฟ้าแลบก็ไม่มีที่ว่าจะได้รับความสุขบ้างนิดหน่อย จากนั้นก็ขึ้นมา ลอยขึ้นมาก็ไฟบาปไฟกรรมนั้นก็เผาขึ้นมาจนกระทั่งถึงผิวนรกอีกเป็น ๖ หมื่นปี รวมสามหกเป็น ๑๘ หมื่นปี นี่ที่สัตว์นรกที่เก่งๆ มีเงินมากสมบัติมาก เอาเงินเอาทองไปหลอกลวงผู้หญิงเอามาเป็นหญิงบำเรอมาเป็นเมียของตัวเอง แล้วทำความเดือดร้อนแก่สกุลของเขาหมดทั้งโคตรทั้งแซ่ ล่มจมไปด้วยความเดือดร้อนวุ่นวาย ตัวนี้ก็มาเป็นผลให้เป็นความล่มจมถึงกับต้องไปตกนรก

ไหลลงไปนรก ๖ หมื่นปีด้วยความแผดเผาแห่งกรรมอันสาหัสนั้น แล้วไปอยู่ในนรกอีก ๖ หมื่นปี แล้วฟื้นขึ้นมาก็ไหลขึ้นมาอีก ๖ หมื่นปี เดี๋ยวนี้ยังหมุนอยู่ ๑๘ หมื่นปีนี้ยังไม่ได้ขึ้นจากนรก ท่านทั้งหลายเก่งกล้าสามารถไปหาเอาผัวไปหาเอาเมีย ไปหามาบำเรอ จากนี้ไปถึงบ้านแล้วมันมีเท่าไรผู้หญิงเหล่านี้ เต็มบ้านเต็มเมืองอยู่นี้มีมากขนาดไหน ถ้ายังไม่พอใจไปหาเอาหมาตามไร่ตามนาตามสวนเขามาเป็นผัวเป็นเมียอีกก็ยังได้ เอ้า ตายแล้วให้มันไปคูณกันอีกสักเท่าไร ๑๘ หมื่นปีนี้พวกหาผัวมากหาเมียมาก เพราะมีเงินมากลืมเนื้อลืมตัว หลงเนื้อหลงตัว ลืมยศหลงยศ ลืมรายร่ำรายรวยเลยไม่คิดถึงเรื่องนรก เวลามันเผาแล้ว ๑๘ หมื่นปี แล้วเป็นยังไง

นี่เพียงมนุษย์เพียงเท่านี้ ท่านไม่ได้กล่าวไว้ในคัมภีร์นะว่า พวกเหล่านี้เขาไปหาเอาหมูเอาหมามาเป็นเมียเพิ่มเติมอีก ถึงขนาดนั้นเขาตกนรกถึง ๑๘ หมื่นปี ถ้าเราได้หมามาเป็นเมียเป็นผัวเราเข้าอีกแล้วจะกี่หมื่นปี คูณกันเข้าไปซิจะเป็นยังไง เรายังกล้าหาญอยู่หรือเวลานี้ ชาวพุทธของเราแท้ๆ มันเป็นยังไง มันหมดแล้วหรือเรื่องบาปเรื่องบุญในความรู้สึกของเรานั้น ถ้ายังไม่หมดให้ระลึกหนา พระพุทธเจ้าตรัสรู้มาในโลกอันนี้ นับตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งถึงวันตาย หนึ่งองค์ สององค์ สามองค์ นับไม่จบ ตรัสรู้มานานเท่าไรกี่กัปกี่กัลป์ มาเป็นองค์ศาสดาสอนโลก สอนแบบเดียวกันหมด

เห็นบาปว่าบาป เห็นบุญว่าบุญ เห็นนรกว่านรก สวรรค์เป็นสวรรค์ นิพพานเป็นนิพพาน พรหมโลกเป็นพรหมโลก เปรตผีประเภทต่างๆ เต็มท้องฟ้ามหาสมุทรในไตรโลกธาตุนี้ ทรงสอนตามความรู้ความเห็นอย่างแท้จริง ไม่มีพระพุทธเจ้าพระองค์ใดสอนแหวกแนวกันเลย สอนแบบเดียวกันนี้มานานเท่าไร เรายังไม่รู้สึกตัวของเราอยู่หรือ เรายังจะหลับหูหลับตาอยู่อย่างนี้ตลอดไปไม่คิดถึงเรื่องบุญเรื่องบาปอะไรบ้างเหรอ บุญบาปที่เราไม่คิดถึงนั้นแหละ ส่วนมากก็คือบาปมันจะเผาหัวใจเรา

เวลานี้เราเอาอะไรเป็นเครื่องรับรอง เงินไม่ใช่รับรองเราไม่ให้ไปตกนรกนะ ให้ไปสวรรค์ ถ้าเราไม่แปรสภาพสมบัติเงินทองข้าวของเหล่านั้นมาเป็นสิริมงคลแก่ตน โดยการบริจาคหรือโดยการเฉลี่ยเผื่อแผ่ ให้เป็นผลเป็นประโยชน์แก่สัตว์และบุคคลส่วนรวมทั่วๆ ไปแล้วก็เป็นผลเป็นประโยชน์ นี้จะพาเราไปสวรรค์ได้ไม่สงสัย จนกระทั่งถึงนิพพานก็ไปได้ด้วยอำนาจแห่งทาน

พระพุทธเจ้าพระองค์ใดทรงแสดงไว้เรื่องของทานทั้งนั้น เป็นอันดับหนึ่ง ไม่ได้แสดงว่าความตระหนี่ถี่เหนียว ความเห็นแก่ตัว ความคดความโกงความรีดความไถนี้ว่าเป็นสิริมงคลทำโลกให้ร่มเย็น นอกจากทำโลกให้ล่มจมโดยถ่ายเดียว เพราะความตระหนี่ถี่เหนียว ความเห็นแก่ตัว ความคดความโกงความรีดความไถ พอได้พอเอา ได้แง่ไหนเอาทั้งนั้น นี้พาจม สำหรับความดีที่เราสร้างได้จากสมบัติของเราที่มีมากน้อยนี้ พาไปสวรรค์ไปนิพพานพรหมโลกถึงหมด นี่คือความดี เราจะแปรสภาพสมบัติเงินทองของเราที่มีอยู่เวลานี้ ยังมีอำนาจเต็มที่ ไปในทางใด ให้พิจารณาเสียแต่บัดนี้

อย่าพากันกอบกันโกยกันรีดกันไถ การกว้านการกวาดเข้ามาหาว่าเป็นของตนๆ เวลาตายแล้วนี้ละคือฟืนคือไฟนรกมันจะเผาสัตว์โลกผู้เก่งๆ ตัวเหนืออำนาจของกรรมนี้ เวลาตายลงไปแล้วอำนาจของกรรมไม่มีใครเหนือได้ละสัตว์ โลกธาตุนี้ไม่มี เพราะกรรมเป็นธรรมชาติที่หนาแน่นมากเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง กรรมดีก็มีอำนาจมาก กรรมชั่วก็มีอำนาจมาก ถ้าเราทำให้เป็นกรรมชั่วก็จมได้คือเราไม่ใช่ใครละ ใครเก่งๆ เอ้า สร้างลงไป อย่าท้าทายพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ที่ตรัสรู้สอนโลกมาด้วยความถูกต้องดีงามนั้นว่าเป็นของไม่ถูกต้อง แล้วลบล้างให้หมด

บรรดาพระพุทธเจ้า ว่าบาปมี บุญมี นรกสวรรค์มี พรหมโลกนิพพานมี เปรตผีประเภทต่างๆ มี นั้นลบให้หมด ให้มีเหลือตั้งแต่อันธพาลเราคนเดียวที่เลิศเลอในโลกเรานี้ สร้างความชั่วให้เต็มเหนี่ยวของตัวเอง แล้วไปอยู่เหนืออำนาจของกรรม ไปขึ้นขี่บนหัวกรรมของพระพุทธเจ้าที่สอนไว้ทุกองค์ได้ไหม ถ้าเราไม่สามารถที่จะไปขึ้นขี่บนหัวของกรรมที่มีอำนาจได้แล้ว เราอย่าท้าทายพระพุทธเจ้า อย่าท้าทายพระธรรม อย่าท้าทายพระสงฆ์ ซึ่งเป็นธรรมชาติที่ให้ความร่มเย็นแก่โลก เป็นมหามงคลแก่โลกมานานแสนนานแล้ว เพียงความคิดความเห็นของเรา มีแต่ความพินาศฉิบหายแก่ตัวของเรา ทำความพินาศฉิบหายแก่ตัวของเราและผู้เกี่ยวข้องตลอดทั่วไป เรียกว่าตลอดทั่วถึง ใครทำความชั่ว กระจายไปได้หมดนั่นแหละความชั่ว เรื่องกรรมต้องเป็นอย่างนั้น

วันนี้ได้พูดถึงเรื่อง กุสลา ธมฺมา ให้พี่น้องทั้งหลายไประลึก อย่าพากันไปเป็นบ้าสวด ฟังเพลิน คุยระบายความทุกข์ตามสถานที่ต่างๆ ฟังแล้วฟังไม่ได้เลยนะ ชาวพุทธเรานี่มันกลายเป็นชาวผีไปนานสักเท่าไรแล้วเวลานี้ มันรู้ตัวหรือยังว่าพระพุทธเจ้ากระเทือนโลกมานานแสนนานตั้งกัปตั้งกัลป์ องค์ปัจจุบันนี้ก็ ๒๕๐๐ กว่าปี เป็นธรรมที่เลิศเลอสุดยอดแล้ว มันเห็นเป็นความแปลกประหลาดในหัวใจอะไรหรือไม่ หรือเห็นตั้งแต่ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา ที่จะเผาหัวใจนั้นว่าเป็นของดิบของดีเหรอ ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วช่วยไม่ได้นะ

พระพุทธเจ้าจะมากี่หมื่นกี่แสนกี่ล้านๆ องค์ก็ไม่มีทางที่จะแก้ไขได้ช่วยได้ ถ้าเราไม่ช่วยตัวเองเสียตั้งแต่บัดนี้ จากคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงสั่งสอนไว้ด้วยความถูกต้องแม่นยำ ถ้าเราปฏิบัติตนตั้งแต่บัดนี้ต่อไปแล้ว ชั่วก็ตามคนเรา เมื่อไม่รู้มันก็ชั่วทำชั่วได้ แล้วแก้ไขให้เป็นคนดีก็ได้ คนดีก็เพิ่มเติมส่งเสริมในความดีของตนให้มีหนักแน่นมั่นคงขึ้นไปก็ทำได้มนุษย์เรา เวลามีชีวิตอยู่นี้ แต่เวลาตายไปแล้วจะนิมนต์พระมาทั่วประเทศไทย กุสลา ธมฺมา ก็ไม่มีความหมายอะไรเลย ถ้าเจ้าของไม่รีบแก้ไขเจ้าของเสียตั้งแต่บัดนี้

กุสลา ธมฺมา ท่านสวดให้คนเป็นฟัง ให้รู้ได้สติสตังพินิจพิจารณา ไปประพฤติปฏิบัติแก้ไขตนเองต่างหาก ท่านไม่ได้สอนให้ กุสลา ธมฺมา เพื่อคนตายนะ ถ้าสอน กุสลา ธมฺมา เพื่อคนตายให้เป็นผลประโยชน์ตามความต้องการแล้ว ไม่จำเป็นอะไรแหละ บ้านหนึ่ง เมืองหนึ่ง หรือจังหวัดหนึ่งนี้ นิมนต์หลวงตามาสักองค์นึงมาไว้ประจำจังหวัดนั้นๆ เช่น กรุงเทพอย่างนี้เป็นเมืองใหญ่ เอามาไว้สัก ๕ องค์ หลวงตาอยู่ย่านนั้นองค์หนึ่ง อยู่ย่านนี้ ๕ องค์ เวลาคนตายก็นิมนต์หลวงตาเหล่านั้นมา องค์ใดก็ได้สำเร็จด้วยกันหมด มา กุสลา ธมฺมา ยกคนคนนี้ให้เขาไปสวรรค์นิพพานด้วยนา ไปกันหมดแล้วศาสนาก็ไม่มีความหมาย บุญกุศลก็ไม่มีความหมาย สร้างหาอะไร สู้หลวงตาองค์เดียวไม่ได้

แต่นี้มันไม่เป็นอย่างนั้นซี นิมนต์มากว้านมาทั่วประเทศไทยไม่เกิดประโยชน์ ถ้าเจ้าของหาสาระไม่ได้เสียอย่างเดียวเท่านั้น ไม่มีอะไรเป็นประโยชน์ เพราะฉะนั้นจงให้พากันสร้างคุณงามความดีเสียตั้งแต่บัดนี้ อย่าพากันนอนจมอยู่เฉยๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไรเวลานี้ หลวงตาพูดจริงๆ หลวงตาเปิดอกให้พี่น้องทั้งหลายฟังด้วยการปฏิบัติมา ตั้งแต่เริ่มแรกออกมาปฏิบัติ ทีแรกหัวใจนี้ก็เป็นธรรมดาเหมือนพี่น้องชาวไทยเราทั่วประเทศดินแดนนั่นแหละ เขาหนาขนาดไหนเราก็หนาขนาดนั้น มีความรู้สึกอะไรก็เหมือนโลก เชื่อบาป เชื่อบุญ เชื่อนรกสวรรค์ ก็เชื่อไปอย่างนั้นแหละ ลุ่มๆ ดอนๆ สุ่มสี่สุ่มห้า แต่เวลาเชื่อความอยากความทะเยอทะยานที่จะสร้างฟืนสร้างไฟให้ตัวเองนี้ไม่มีวันจืดจาง หนาแน่นเข้าทุกวันๆ ท่านเหมือนเรา เราเหมือนท่าน

เวลาเข้ามาศาสนา เข้ามาปฏิบัติศาสนา รู้เนื้อรู้ตัวด้วยอรรถด้วยธรรมที่ทรงสั่งสอนไว้แล้ว แล้วก็เข้าอกเข้าใจ หมุนตัวเข้าสู่ทางด้านปฏิบัติ ปฏิบัติกำจัดกิเลสออกทางด้านจิตตภาวนา เวลาเทศน์ใครอย่ามาคุยอย่ามาพูดนะ อย่ามาเป็นข้าศึกต่อกันนะ เวลาออกปฏิบัติภาวนาจิตใจไม่เคยมีความสงบร่มเย็นเลย ตั้งแต่เกิดมาความสุขประเภทที่เป็นความสงบจากจิตตภาวนาไม่เคยมี เพราะไม่เคยทำ ทีนี้เวลามาภาวนา ออกจากภาคปริยัติแล้วขึ้นภาคปฏิบัติ ฟัดกันกับกิเลสบนเวทีคือภูเขา อันนั้นเป็นส่วนนอก ภายในคือระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกันบนหัวใจนี้ตลอด เป็นเวลา ๙ ปีเต็ม แทบจะสลบไสลตลอดมา เพราะมุ่งต่อมรรคผลนิพพานอย่างยิ่ง สุดท้ายก็พ้นมือไปไม่ได้

ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติตั้งแต่จิตยังไม่เคยสงบ มันก็สงบให้เห็น สงบจนกระทั่งเกิดความแปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นภายในจิตใจ เกิดความเชื่อความเลื่อมใสแน่นหนามั่นคงในการที่จะประกอบภาวนาต่อไป จนกระทั่งมุ่งใจว่าออกคราวนี้แล้วเราจะเอาตัวของเราให้ถึงพระอรหันต์ในชาตินี้ แล้วจะให้ถึงนิพพานในชาตินี้ ขอแต่ว่าให้มีครูบาอาจารย์องค์ใดองค์หนึ่งมาชี้แจงบอกเราให้เป็นความแน่ใจเถิดว่า มรรคผลนิพพานยังมีอยู่โดยสมบูรณ์ ก็พอดีเข้าไปเจอกับหลวงปู่มั่น พอไปเจอหลวงปู่มั่น เหมือนกับว่าท่านเอาเรดาร์จับไว้เลย กับคนนิสัยอย่างเรานิสัยผาดโผนโจนทะยาน มุ่งหน้าต่อมรรคผลนิพพาน

พอไปถึงปั๊บ หือ ท่านมาอะไร ท่านมาหามรรคผลนิพพานเหรอ ดินฟ้าอากาศฟ้าแดดดินลมไม่ใช่มรรคผลนิพพาน ท้องฟ้ามหาสมุทรไม่ใช่มรรคผลนิพพาน ตลอดทั่วแดนโลกธาตุไม่ใช่มรรคผลนิพพาน ไม่ใช่กิเลส กิเลสที่แท้จริง มรรคผลนิพพานที่แท้จริงอยู่ที่หัวใจ ให้กำจัดกิเลสที่มืดบอดบังคับอยู่ในหัวใจ ไม่ให้มองเห็นบุญเห็นบาปนี้ออก ให้กระจ่างภายในจิตใจแล้ว มรรคผลนิพพานจะเกิดขึ้นในสถานที่นั่นนั้นเอง นี่เราสรุปความเลย เพราะท่านชี้แจงอย่างเด็ดขาด ชี้ออกมาว่า นี่น่าๆ มรรคผลนิพพาน อยู่ที่หัวใจดวงนี้

หัวใจดวงนี้เหมือนกันกับน้ำที่เต็มบึงนั้นแล แต่อาศัยจอกแหนมันปกคลุมหุ้มห่อให้หาน้ำไม่เห็น น้ำจึงประหนึ่งว่าไม่มีในสระนั้น ทั้งๆ ที่น้ำเต็มอยู่ในสระ ทีนี้เวลาเปิดจอกเปิดแหนคือการภาวนา ชำระจอกแหนคือกิเลสทั้งหลายออก ให้จางออกไปๆ ก็เริ่มมองเห็นน้ำ มองเห็นความสงบนั้นแหละคือมองเห็นน้ำ เริ่มเห็นความสงบ เห็นความเย็นใจ เริ่มขึ้นๆ ปรากฏขึ้น กระจ่างแจ้งขึ้นภายในใจ เรียกว่าจอกแหนค่อยบางไปๆ ได้แก่กิเลส พอจางลงไปจากหัวใจแล้ว ทีนี้ธรรมเหมือนกับน้ำที่อยู่ในบึงได้แก่หัวใจของเรา ก็เริ่มประกาศขึ้นมา แจ้งขึ้นมาๆ ทีนี้จิตก็ฟัดใหญ่เลย

พูดถึงเรื่องสมาธิเราพูดอย่างอาจหาญ เราไม่มีความสะทกสะท้านในสามแดนโลกธาตุนี้ว่าจะไม่เป็นจริงอย่างนั้น มันครองอยู่แล้วในหัวใจ อย่างเต็มหัวใจตลอดมาเป็นเวลา ๕๑ ปีนี้แล้ว จึงได้ประกาศให้พี่น้องทั้งหลายทราบว่า ธรรมจริงหรือไม่จริง ทีนี้เวลามันกระจ่างขึ้นมาเรื่อยๆ พูดถึงเรื่องสมาธิ เอา นั่งฟาดทั้งวันก็ได้ ไม่ได้สนใจกับอะไรเลย มีแต่ความแน่วสงบเย็น ไม่มีอะไรที่เข้ามากวนได้เลย เพียงเท่านี้ก็พอกินแล้ว พออยู่พอกินพอเป็นพอไป การกินอยู่หลับนอนการใช้การสอยไม่เป็นกังวลทั้งนั้น อยู่ไหนอยู่ได้ ขอให้ใจมีความสงบร่มเย็น พอใจ นี่คือธรรมเป็นเครื่องอยู่ของใจ

ไม่ได้สนใจกับว่าต้องมีเงินเท่านั้น มียศเท่านี้ มีลาภเท่านั้น มีบ้านมีเรือนกี่ห้องกี่หับกี่ตึกกี่ห้องไม่ต้องไปพูด นั้นเป็นเรื่องภายนอก หัวใจกับธรรมที่เป็นความสงบเย็นใจอยู่ด้วยกันพอแล้วทั้งวันทั้งคืน การอยู่ไม่ลำบาก การนอนไม่ลำบาก อยู่ไหนอยู่ได้ นอนไหนนอนได้ ล้มลงที่ไหนหลับ ตื่นขึ้นมาก็ครองธรรมๆ มีแต่ความสง่างามภายในจิตใจ ลืมวันลืมคืนลืมปีลืมเดือนไปหมด มีแต่ความสว่างกระจ่างแจ้งภายในใจ ท่านทั้งหลายฟังหรือยังอย่างนี้ นี่ละถอดออกมาจากหัวใจมาสอนพี่น้องทั้งหลายฟัง เราไม่ได้สอนเล่นๆ นะ เพราะฉะนั้นอะไรมายุ่งจึงไม่ได้นะ ธรรมเป็นของจริงอย่างนั้น

ทีนี้เวลากระจ่างขึ้นมา จากนั้นก็ก้าวออกทางด้านปัญญา สมาธิก็ว่าเต็มภูมิแล้ว ไม่สงสัยเรื่องสมาธิ ใครจะมาหลอกไม่ได้ง่ายๆ เรื่องสมาธิ เพราะมันเป็นมาเสียตั้ง ๕ ปีเต็ม อยู่ไหนอยู่ได้สบายๆ มีแต่ความสง่างามด้วยภูมิของสมาธิ แต่ยังไม่เลิศเพราะเป็นภูมิของสมาธิก็เต็มภูมิของตัวเอง ถ้าเป็นน้ำก็เรียกว่าแก้วเล็ก มันก็เต็มแก้วของมัน พอจากนั้นก็ก้าวออกทางด้านปัญญา ปัญญาพิจารณาถึงเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ กิเลสตัณหา มันติดมันพันกับอะไรกิเลส มันจึงมาทำความทุกข์ให้แก่เรา พิจารณาก็ไม่พ้นจาก เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี้ไปได้แหละ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี้คือภูเขาภูเรา

ภูเขาได้แก่ต้นไม้ภูเขา อันนั้นไม่ติด อันนั้นไม่แบก อันนั้นไม่หาม อันนั้นไม่เป็นทุกข์ แต่ภูเรา คือแบกผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อหนัง เอ็น กระดูก ผสมกันเข้าแล้วเรียกว่าคน เรียกว่าสัตว์ เรียกว่าหญิงว่าชาย อันนี้คือภูเรา ติดมาก แก้ไขได้ยากมาก พระพุทธเจ้าจึงเอาอาวุธนิวเคลียร์นิวตรอนใส่เข้ามาว่า เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี่สอนพระ ให้นำอันนี้ไปคลี่คลายพิจารณา นี้แลคือภูเรา ติดตรงนี้ สร้างกองทุกข์ขึ้นที่ตรงนี้ พิจารณาตรงนี้กระจ่างออกไปด้วยปัญญา กระจ่างด้วยปัญญา แยกธาตุแยกขันธ์เห็นชัดตามเป็นจริงไปโดยลำดับ ผมเป็นผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เป็นส่วนชิ้นของมันๆ หาเป็นสัตว์เป็นบุคคลเป็นตนเป็นตัวเป็นของเขาของเรา สวยงามที่ไหนไม่ได้เลย

เมื่อจิตกระจ่างแจ้งขึ้นด้วยปัญญาแล้วไม่ต้องบอก อุปาทานถอนเรื่อยๆ จนครบรอบในอวัยวะซึ่งเป็นด้านวัตถุ คือพวกเกสา โลมา เป็นต้นนี้ กระจายออกไปหมด อุปาทานถอนพรวด จากนั้นก็เหลือแต่นามธรรม มีแต่ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ พิจารณา กิเลสถอดออกไปหมดเรื่องอุปาทาน กามกิเลสขาดสะบั้นออกไปในขณะที่จิตใจได้ถอนจากอุปาทานคือรูปกายนี้ไป จากนั้นก็ขัดเกลากันไปโดยลำดับเรื่อยๆ ตั้งแต่ขั้นแรกของพระอนาคามี

พระอนาคามีท่านบรรลุขั้นแรกเป็นยังไง นี่ที่ได้ระดับกันสำหรับผู้บำเพ็ญธรรมในขั้นธรรมะธรรมดาๆ ยกเว้นท่านที่เป็นขิปปาภิญญาเสีย ถ้าขิปปาภิญญานั้นพุ่งทีเดียวถึงเลย อย่างเราเขียนหนังสืออย่างนี้ละ คนฝึกหัดเขียนหนังสือ เช่นเขียนว่าท่าน ต้องระลึกถึง ทอทะหาน สระอา แล้วก็นอหนู แล้วก็ไม้เอก อ่านเรียกว่า ท่าน นี่คือผู้เริ่มอ่านเริ่มฝึกหัดเขียน เริ่มฝึกหัดฟัง ทีนี้เวลาเขียนไปนานๆ แล้วประกอบกับผู้ที่เป็นขิปปาภิญญา พอบรรลุปึ๋งนี้ขาดสะบั้น ว่าท่านมาพร้อมกันหมด ทั้งตัว ทอสระอา นอหนู ไม้เอก มาพร้อมกันเลย นี่ผู้สำเร็จเป็นพระอนาคามีขั้นขิปปาภิญญา ท่านพุ่งทะลุถึงกันเป็นท่าน มาทันที สมบูรณ์หมด

แต่ผู้ที่ยังไม่เป็นอย่างนั้น ก็ฝึกซ้อมกันไป พอได้ขั้น ทอ สระอา นอหนู สะกดไม้เอก แล้วก็อ่านเป็นท่าน ตายแล้วก็ไปอยู่ชั้นอวิหา เลื่อนขึ้นไปชำนาญขึ้นไป ก็ไปอยู่ชั้นอตัปปา ชั้นสุทัสสา สุทัสสี อกนิฏฐา นี่เรียกว่าท่านฝึกซ้อมขั้นอนาคาของท่านให้เต็มภูมิ เวลานี้ยังไม่เต็มภูมิ เบื้องต้นสอบได้ ถ้าตายก็ไปเกิดในขั้นอวิหา ถัดจากนั้นจิตละเอียดเข้าไปก็ไปเกิดในขั้นอตัปปา สุทัสสา สุทัสสี จนกระทั่งถึงอกนิฏฐาแล้วก้าวเข้าสู่นิพพาน นี่เรียกว่าระดับของกามกิเลสที่สิ้นซากไปโดยลำดับลำดา จนกระทั่งสิ้นสุด ถึงอกนิฏฐาเต็มภูมิแล้วก้าวเข้าสู่นิพพาน

เหล่านี้อยู่ที่ไหน เห็นแต่ในตำรับตำรา เขียนไว้ท่านก็เขียน แต่คนไม่ปฏิบัติจะไปรู้ได้ยังไง มันจะเป็นแบบแปลนแผนผังอยู่อย่างนั้น เหมือนกับเราสร้างแปลนบ้านของเรานี้ เอากี่แปลน ใส่ไว้ในห้องเต็มอยู่นั้น มีแต่แปลนเต็มห้อง มันไม่สำเร็จเป็นรูปเป็นนามเป็นบ้านเป็นเรือนตึกรามบ้านช่องขึ้นมาได้ ต้องไปดึงเอาแปลนนั้นออกมา เราต้องการแปลนไหน เราจะสร้างบ้านสร้างเรือนสูงต่ำกว้างแคบขนาดไหน เอาแปลนออกมากางแล้วสร้างตามแปลน ก็สำเร็จเป็นบ้านเป็นเรือนตามแปลนนั้นขึ้นมาโดยลำดับลำดา จนกระทั่งเป็นบ้านเรือนอันสมบูรณ์นี้ฉันใดก็เหมือนกัน พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้แล้ว สวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว ชอบอะไร คือแปลนของศาสนา รวมแล้วก็เรียกว่า แปลนบาป แปลนบุญ แปลนนรก แปลนสวรรค์ แปลนนิพพาน แปลนเปรต แปลนผี ทั่วแดนโลกธาตุ รวมอยู่ในแปลนแห่งสวากขาตธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้วนี้ทั้งนั้น ถ้าเรานำมาปฏิบัติธรรมเหล่านี้จะไปไหน

ก็เหมือนอย่างแปลนอยู่ในห้องของเรา ดึงออกมาซิ เราต้องการแบบไหน ฉบับไหน บ้านขนาดไหน เอา ดึงออกมาสร้าง เมื่อผู้สร้างแปลนรับรองความสมบูรณ์แบบในแปลนนั้นแล้ว มาสร้างก็เป็นไปตามแปลน อันนี้แปลนของพระพุทธเจ้าเป็นแปลนสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้วไม่มีอะไรสงสัย พระพุทธเจ้านิพพานไปนานเท่าไรมีปัญหาอะไร มันมีปัญหาอยู่กับแปลนที่เราเรียนมาแล้ว เราจะปฏิบัติตามหรือไม่ปฏิบัติตามเท่านั้น ถ้าไม่ปฏิบัติตามก็เป็นหนอนแทะกระดาษอยู่นั้น เรียนไปไม่สนใจปฏิบัติ มันจะเป็นมรรคเป็นผลขึ้นมายังไง คำว่าสมาธิก็มีแต่ชื่อความจำเฉยๆ ความจริงไม่มีในใจเป็นประโยชน์อะไร

คำว่าสมาธิ เรียนสมาธิมาแล้วออกปฏิบัติตามสมาธิ ทางแห่งการดำเนินเพื่อจิตเป็นสมาธิ ท่านก็บอกไว้แล้วว่า เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี่คือทางเดิน แปลน พิจารณาตามนี้แล้วก็เหมือนกับสร้างบ้านสร้างเรือน ค่อยรู้แจ้งเห็นจริงขึ้นมาเรื่อย เห็นผม เห็นขน เห็นเล็บ เห็นฟัน เห็นเนื้อ หนัง เอ็น กระดูก ตับ ไต ไส้พุง แยกออกจากสัตว์จากบุคคล ไม่มีใครเป็นเขาเป็นเรา เป็นหญิงเป็นชาย ฟาดลงไปแล้วก็เป็นธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ นี่แจงแปลนออกไป สร้างไปๆ มันจะเป็นบ้านแห่งความสงบขึ้นมา จิตก็เป็นสมถจิต เป็นสมาธิจิตขึ้นมา เป็นขั้นๆ

จากนั้นก็พิจารณาทางด้านปัญญา เพิ่มขึ้นสูงขึ้น แยกธาตุแยกขันธ์กระจัดกระจายออกไปจนกระทั่งรู้แจ้งแทงทะลุธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ขาดกระจายออกไปด้วยอำนาจแห่ง เรียกว่า อนาคามีผล อนาคามีมรรค อยู่ในนี้เสร็จเลย นี่อำนาจแห่งธรรมขาดกระจายออกไป จากนั้นก็ก้าวเดินขึ้นไปเรื่อยๆ เป็นนามธรรม รูปคือพิจารณาร่างกายนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว เวทนา คือกายเวทนา ความสุข ความทุกข์ ความเฉยๆ ในกายก็มีในใจก็มี แต่เมื่อเวลาพิจารณายังไม่ถึงถี่ถ้วนแล้วก็มันมีทั้งกายทั้งใจนั้นแหละ เรื่องเวทนาทั้งสามนี้ เวลาพิจารณาเข้าไปก็แจงอันนี้เข้าไป พิจารณาให้เห็นเป็นเงาๆ เข้าไป สิ่งเหล่านี้เป็นเงาทั้งนั้นๆ ติดตามด้วยปัญญาๆ ปัญญาโดยลำดับ

ปัญญาที่คมกล้าที่เป็นไปโดยอัตโนมัติของตัวเอง เป็นปัญญาที่ขั้นจากกามกิเลสไปแล้ว พิจารณาเรื่องกามกิเลสเป็นปัญญาชุลมุนวุ่นวายมากเหมือนฟ้าดินถล่ม เพราะปัญญาขั้นกามกิเลสนี้เป็นขั้นที่หนักหนามากทีเดียว ภูเขาทั้งลูกสู้ไม่ได้ ปัญญาจะมาใช้กับเรื่องกามกิเลส จะมาทำเหยาะๆ แหยะๆ ไม่ได้ ต้องเป็นฟ้าดินถล่มแบบเดียวกัน จนกระทั่งถึงกามกิเลสพังลงไปแล้ว ปัญญาขั้นนี้ก็หมดความหมายไป เหลือแต่ปัญญาขั้นกลางๆ ที่เป็นน้ำซับน้ำซึม ไหลรินอยู่ทั้งแล้งทั้งฝน พิจารณาสภาวธรรมทั้งหลายเป็นอัตโนมัติโดยตัวเอง โดยไม่ต้องมีอะไรเป็นเครื่องบังคับบัญชาให้เป็นไป นี่เรียกว่าธรรมก้าวเดินแล้ว

ธรรมถึงขั้นนี้เป็นธรรมที่ก้าวเดินแล้ว ยังไงก็ไม่อยู่ เพราะฉะนั้นพระอนาคามีเวลาท่านตายแล้วท่านจึงไม่กลับมาเกิดอีก อะไรจะพาให้ท่านกลับมาเกิด เครื่องดึงดูดก็ไม่มีอะไรเกินกามกิเลส กามกิเลสดึงดูดได้มากเท่าไรได้ไม่พอ หนักหน่วงที่สุดคือกามกิเลส เวลาฟาดมันขาดสะบั้นลงไปแล้วเหมือนบ้านร้าง จิตใจนั้นมีแต่คุณธรรม พินิจพิจารณาแปลกๆ ต่างๆ มีแต่เรื่องอรรถเรื่องธรรม เพื่อจะถอดถอนตนไปโดยลำดับเท่านั้น พิจารณาที่จะเป็นการกดถ่วงตัวเองเหมือนกามกิเลสแต่ก่อนไม่มี ทีนี้จิตก็ดีดขึ้นๆ ละซิ

พอพิจารณาถึงพวกเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งเป็นเงาๆ เทียมอยู่กับจิต พิจารณาตามเข้าไป ตามเงาเข้าไป เข้าไปถึงตัวจิต เมื่อเข้าถึงตัวจิต จิตนั้นแลเป็นมหากษัตริย์อยู่ในพระราชวังไม่ทำงานอะไร ตัวทำงานจริงๆ ที่ผาดโผนโจนทะยานมากได้แก่กามกิเลส ตัวนี้ตัวสำคัญมาก ทำฟ้าดินถล่มได้ ทำคนเราให้ฉิบหายวายปวงไปได้ พินาศฉิบหายไม่มีชิ้นเหลือ ก็ด้วยอำนาจแห่งกามกิเลสตัวนี้แล ทำโลกให้พินาศฉิบหายได้ เมื่อตัวนี้ขาดสะบั้นลงไปแล้ว ไม่มีอะไรที่จะเป็นภัยต่อโลก หนักมากยิ่งกว่ากิเลสตัวนี้ ทีนี้มีแต่ก้าวเข้าไปสู่ความดิบความดี ละเอียดถี่ถ้วนเข้าไปโดยลำดับ จิตก้าวเข้าไปเป็นอัตโนมัติๆ นี่เรียกว่าธรรมมีในใจ

แต่ก่อนกิเลสมีในใจ คิดแง่ใดมุมใดเป็นกิเลสนำหน้าๆ ทั้งหมดเลย วัฏจักรที่ออกจากวัฏจิต จิตคิดเรื่องอะไรเป็นเรื่องกิเลส เรื่องความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหาไปหมด เวลาชำระสะสางมันไปได้เต็มสติกำลังแล้ว อันนี้ขาดลงไปๆ สติปัญญาที่เป็นธรรมอัตโนมัติก็เกิดขึ้นแทนที่ ทีนี้ก็เป็นอันเดียวกัน อันเดียวกันฉันใด คือกิเลสนี้แต่ก่อนเป็นวัฏจักร สร้างเนื้อสร้างตัวของมันในหัวใจของสัตวโลก ให้เกิดแก่เจ็บตาย หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงอย่างนี้ตลอดตั้งกัปตั้งกัลป์มาไม่มีสิ้นสุดยุติลงได้เลย

พอตัวนี้ขาดสะบั้นลงไปแล้ว กามกิเลสนี้ตัวสำคัญ ตัวสร้างภพสร้างชาติมากที่สุดคือตัวกามกิเลส พอตัวนี้ได้ขาดสะบั้นลงไปแล้ว ทีนี้ก็เป็นสติปัญญาอัตโนมัติ คือเป็นไปเองๆ ชำระกิเลสนี้ไม่ต้องมีวันมีคืนมีปีมีเดือน ไม่มีอิริยาบถ อยู่ที่ไหนเป็นเรื่องการชำระสะสางกิเลสโดยอัตโนมัติของสติปัญญาสร้างเนื้อสร้างตัวในขั้นนี้ตลอดไป จนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้น ทีนี้เมื่อสร้างไปโดยอัตโนมัติ จากสติปัญญาอัตโนมัตินี้แล้วก็กลายเป็นมหาสติมหาปัญญาเชื่อมโยงถึงกันไปเลย ขั้นสติปัญญาอัตโนมัตินี้ ถ้าหากว่าเราฟันไม้ก็ฟันเป็นบทเป็นบาท ป๊อกๆ แป๊กๆ แต่ทำไม่ถอย แต่ขั้นมหาสติมหาปัญญาแล้วเป็นสติปัญญาที่ซึมซาบไปตลอดเลย นี่เรียกมหาสติมหาปัญญา ทั้งสองประเภทนี้ได้กลมกลืนกันแล้วกิเลสไม่มีทางอยู่เลย

กิเลสคือเป็นความจริงสภาพหนึ่ง มันจะมีมากน้อย เวลาหยาบ ไฟคือตปธรรมได้แก่สติปัญญาเผาลงไปอย่างรุนแรง เช่นเผากามกิเลสนี้เผาแบบฟ้าดินถล่ม พออันนี้พังลงไปแล้วก็เผาแบบกลาง กิเลสแบบกลาง แล้วไฟก็ไฟแบบกลาง คือสติปัญญาธรรมนั้นแหละเป็นไฟเผาไปเรื่อยๆ กิเลสละเอียดขนาดไหน ไฟก็ไหม้ตามกันไปตามความละเอียดของเชื้อไฟคือความจริงทั้งหลายมีกิเลสเป็นสำคัญ จนกระทั่งกิเลสมุดมอดไม่มีอะไรเหลือแล้วไฟก็ดับเอง ไม่มีอะไรเหลือแล้วจะเผาอะไรไฟ ไฟก็เผาเชื้อ เมื่อหมดเชื้อแล้วมันก็ดับเอง

อันนี้กิเลสเป็นเชื้อของไฟคือธรรม เมื่อกิเลสสิ้นซากลงไปแล้ว ไม่มีอะไรเหลือแล้ว ไฟคือธรรมที่จะเผาไหม้ก็ไม่มี นั้นแหละท่านว่าบรรลุบรมสุข ท่านทั้งหลายจะหาบรมสุขครั้งไหน เวลานี้ไปหาที่ไหน หรือหาตามโรงลิเกละครระบำรำโป๊ หามามีเมียมากผัวมาก นั่นเหรอเป็นของวิเศษวิโส พิจารณาให้ดีนะเรื่องเหล่านี้ ธรรมะสอนอย่างนั้นจริงๆ พี่น้องทั้งหลายพิจารณา อย่าลืมเนื้อลืมตัว

เกิดมาตายทิ้งเปล่าๆ ตายจากนี้แล้วมันจะไปเกิดอีก ตัวเชื้อของมันคืออวิชชา นั่นละวัฏจิตวัฏจักรคืออวิชชา แล้วก็สร้างตัวขึ้นมาด้วยกิเลสตัณหา พาเกิดพาตาย ล่มจมอยู่ในนรกมีน้อยเมื่อไร ท่านแสดงไว้ว่ามีกี่หลุม หลุมหนึ่งบริษัทบริวารของในนรกนั้น นรกแต่ละหลุมมีบริวารกี่หลุมๆ ท่านแสดงไว้แล้วในมหาวิบากเต็มไปหมด เห็นด้วยกันทุกคนเรียนมาแล้ว เป็นแต่ความจริงล้วนๆ ไม่มาหลอกลวงสัตว์โลก แต่กิเลสมันหลอกลวงตลอดเวลาว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีๆ สิ่งที่มีคืออะไร มีแต่ความอยากความทะเยอทะยาน ความลบล้างความจริง มันลบล้างของมันไปตลอดเวลา นี่ละสัตว์โลกจึงไม่มีความอิ่มพอในความหลงความงมงายและความทุกข์ความทรมาน ไปที่ไหนมีแต่ความทุกข์เดือดร้อนเต็มบ้านเต็มเมือง เราไปหาที่ไหนเมืองไหนว่ามีความสุขความเจริญ ไปหาซิน่ะ เอาเหล่านี้ไปหามาแข่งธรรมสักหน่อย

ถ้าธรรมพระพุทธเจ้าเป็นของปลอมจริงๆ แล้วจะไม่ยอมรับพระพุทธเจ้าจะไม่ให้มีในโลกนี้ต่อไป จะให้มีกิเลสครองบ้านครองเมือง พาให้โลกได้รับความสุขความเจริญ แต่กิเลสไปที่ไหนมันเป็นไฟทั้งนั้นมันเจริญที่ไหน พิจารณาซิ ธรรมไปที่ไหนมีแต่ความเจริญรุ่งเรืองผาสุกร่มเย็น แม้ที่สุดผัวเมียอยู่ด้วยกัน จะทุกข์จนหนโลกขนาดไหนก็ตาม เมื่อมีความซื่อสัตย์สุจริตจงรักภักดีฝากเป็นฝากตายต่อกัน ด้วยความเป็นผู้มีผัวเดียวเมียเดียวเท่านั้น ผู้นี้มีความสุขมากกว่ามหาเศรษฐีที่มีเมียเป็นร้อยคนเป็นไหนๆ นี่ละกิเลสมีเมียมากเท่าไรจะหาความสุข มันมีแต่ฟืนแต่ไฟมาเผาไหม้สกุลแหลกเหลวไปหมด ถ้าธรรมมีผัวเดียวเมียเดียว อัปปิจฉตา นั่นฟังซิ ให้มีความมักน้อย ผัวเดียวเมียเดียวพอแล้ว เท่านี้เป็นความสุข ถึงจะทุกข์บ้างก็ทุกข์ธรรมดา ไม่กระทบกระเทือนถึงเรื่องจิตใจระหว่างสามีภรรยาไม่ลงรอยกัน ระแคะระคายกัน อันนั้นเป็นความทุกข์มาก

นี่ละเรื่องของกิเลสมันสร้างตั้งแต่ความทุกข์ขึ้นมา ถ้าธรรมแล้วมีผัวเดียวเมียเดียวพอ ไม่ต้องไปหายุ่งมาจากที่ไหนอีกมาเผากัน ใครๆ มันก็มีเท่ากันไปหาอุตริมาทำไม ของไม่จริงมันหาอวดว่าเป็นของจริง ของจริงมันลบล้างว่าเป็นของปลอมไปหมด ผัวเดียวเมียเดียวนี้มันบกพร่องที่ตรงไหน มันสมบูรณ์แบบแล้ว ผู้ชายคนหนึ่งมันมีอันเดียวเห็นไหม ผู้ชายคนหนึ่งมันมี ๑๐ ควย ๒๐ ควยมีไหม แล้วผู้หญิงคนหนึ่งมันมี ๓๐ หี ๔๐ หีมีไหม มันก็มีหีเดียวควยเดียวเหมือนกับผัวเมียเดียวนั่นแหละไม่ผิดแปลกอะไร เอามาแข่งกันหาอะไร นี่คือธรรมพระพุทธเจ้าตีหน้าผากมันตรงนั้นซิ มันจะไปยุ่งได้ยังไง ของเขากับของเรามันก็เท่ากันๆ ดีดดิ้นไปหาอะไร เพียงเท่านี้อยู่เป็นสุขแล้ว ไม่ต้องดีดต้องดิ้น นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าให้เกิดความสุข

ถ้าเป็นเรื่องของกิเลสแล้วไม่พอ คนนี้ไม่พอ ถึงได้เมียเดียวก็ตาม มันมีมา ๑๐ คนมันจะมีมา ๑๐ หีจะว่าอย่างนั้นนะ ผู้ชายมีคนเดียวควยเดียวก็ตาม เมื่อมี ๑๐ ชายขึ้นมามันจะมี ๑๐ ควย มันจะเอา ๑๐ ควยมาอวด นี่กิเลสมันแข่งธรรมมันแข่งอย่างนั้น ขอให้พี่น้องทั้งหลายจำทุกคน นี่ละของจริงกับของปลอม มันโต้ตอบกันอยู่เวลานี้ โลกของเราจึงได้รับความทุกข์ร้อน เราไปหาซิเอามาแข่งธรรมพระพุทธเจ้าว่า โลกไหนที่มีความสุขเกินกว่าธรรมของพระพุทธเจ้าที่สอนไว้แล้วนี้ที่ไหน ไปโลกไหนมีแต่โลกกิเลสตัณหา มีแต่โลกฟืนโลกไฟเผาไหม้ไปหมด

ไม่ว่าคนมีคนจนคนโง่คนฉลาด กิเลสซึ่งเป็นตัวฟืนตัวไฟเผาไหม้อยู่ภายในจิตในใจ มันหาความสุขไม่ได้นะ อยู่ที่ไหนก็สุมกันอยู่ภายในหัวอกๆ ครั้นเวลามาหากันก็ประดับประดาตกแต่งร้านค้า คือสังขารร่างกายตบแต่งให้สวยงามสุภาพชน แต่งเนื้อแต่งตัวหรูหราฟู่ฟ่า ตามบ้านตามเมืองประดับประดาตกแต่ง มันตกแต่งตั้งแต่ภายนอก ส่วนภายในคือหัวใจนั้นมีแต่ไฟ ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา ไฟดีดไฟดิ้นเผาอยู่ในหัวใจตลอดทุกคนๆ ไม่มีใครเว้น เว้นแต่ผู้มีธรรมมากน้อย ถ้ามีธรรมมากน้อยจะเป็นคนจนก็ตามคนมีก็ตาม มีความสุขได้คนเรา ถ้าไม่มีธรรมแล้วไปไหนอย่าเอามาอวดพระพุทธเจ้า โลกนี้คือโลกล่มจมด้วยความทุกข์ทั้งนั้นแหละ ถ้าไม่มีธรรมแล้วใครอย่าอวดว่าตัวเป็นคนเก่งคนดิบคนดี ไม่มีดี มีตั้งแต่การเสกสรรปั้นยอกันอย่างนั้นแหละ

นี่พูดถึงเรื่องอรรถเรื่องธรรมให้พี่น้องทั้งหลายได้ฟังว่า ศาสนาของพระพุทธเจ้าท่านเป็นยังไง นี่ก็ได้รื้อมาเทศน์ให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ที่กล่าวมาสักครู่นี้ถึงว่าสติปัญญาอัตโนมัติจนกระทั่งถึงมหาสติมหาปัญญา ฟาดกิเลสขาดสะบั้นลงไปจากจิตใจนี้ หลวงตาได้ปฏิบัติมาแล้วนะ ได้รู้ได้เห็นตามนี้แล้วจึงมาแสดงให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ไม่ได้มาโกหกโลกนะเวลานี้ เราไม่เคยมีโกหกโลก เราสอนโลกด้วยความเมตตาล้วนๆ ไม่มีการว่าแบ่งสันปันส่วนอะไรจากพี่น้องทั้งหลายนี้เลย เราสอนด้วยความเมตตา เพราะฉะนั้นการพูดด้วยความเมตตาจึงพูดได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยตามหลักความจริง ไม่อ้อมค้อม นี้คือธรรม

ภาษาของธรรมต้องพูดอย่างตรงไปตรงมา ถ้าภาษาของกิเลสแล้วอ้อมแอ้มๆ ประจบประแจงเลียแข้งเลียขาไปอย่างนั้น ภายในมันไม่ได้จริง มันหลอกกัน สำหรับธรรมนี้ตรงไปตรงมา ผิดบอกว่าผิด ถูกบอกว่าถูก นี้เราก็ได้ปฏิบัติตัวของเรามาอย่างนี้แล้ว เต็มกำลังความสามารถเป็นเวลา ๙ ปี ถ้าว่าติดคุกมันเลยคุกไปเสียแล้วละ เขาติดคุกติดตะรางกี่ปีก็ตาม เขาไม่ได้มีความทุกข์หนา มีแต่โลกเขาไม่ยอมรับ โลกเขาไม่นิยม โลกเขาไม่นับถือ ก็เรียกว่าอับเฉา เป็นคนขี้คุกขี้ตะรางนักโทษเขาว่าไปอย่างนั้น ความจริงเขาไม่ได้ทุกข์อะไรมากนัก จักตอกเหลาตอกวันหนึ่งได้ ๕ เส้นพอฆ่าเวล่ำเวลาให้ผ่านไปๆ พอถึงวันออกจากคุกจากตะรางเท่านั้น

แต่เราฆ่ากิเลสเราไม่ได้เป็นอย่างนั้น พอตื่นนอนขึ้นมานี้ฟัดกันแล้วกับกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลง ราคะตัณหามีอยู่ภายในใจ สติปัญญาอยู่ภายในใจ ฟัดกันตลอดเวลาเลย ความอดความอิ่มนี้ไม่ต้องพูดแหละ ความทุกข์ความทรมานแสนสาหัส จนกระทั่งฟาดกิเลสขาดสะบั้นลงไปจากจิตใจ ตั้งแต่เริ่มจิตเป็นสมาธิถึงขั้นปัญญา ปัญญาเฉลียวฉลาดแหลมคมปราดเปรื่องเต็มหัวใจ กิเลสตัวไหนขาดสะบั้นพังไปหมด จนกระทั่งจ้าขึ้นมาเต็มหัวใจในวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ หลังวัดดอยธรรมเจดีย์ จังหวัดสกลนคร เวลา ๕ ทุ่มพอดีเป๋ง นั่นเป็นวันตัดสินเด็ดขาดกับภพกับชาติ ที่เคยเกิดแก่เจ็บตายหามกองทุกข์ตลอดมาตั้งกัปตั้งกัลป์ ได้สิ้นสุดยุติลงแล้วในคืนวันนั้นด้วยธรรมบทว่า

ญาณญฺจ ปน เม ทสฺสนํ อุทปาทิ ที่พระพุทธเจ้าประกาศท้าทายพระเบญจวัคคีย์ทั้งห้า มันก็มาเข้าในหัวใจของเราเต็มดวง ญาณความรู้ความเห็นอันเลิศเลอได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา อกุปฺปา เม วิมุตฺติ ความหลุดพ้นของเราไม่มีการกำเริบแล้ว อยมนฺติมา ชาติ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว บัดนี้เราจะไม่มาเกิดตายแบกหามกองทุกข์อีกต่อไปแล้ว นี่ประกาศป้างขึ้นมาในจิตของคืนวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ เวลา ๕ ทุ่มเป๋งพอดี

ตั้งแต่บัดนั้นมาเราไม่เคยได้มีความคิดแย็บหนึ่งแม้เม็ดหินเม็ดทรายว่า กิเลสได้ขาดสะบั้นลงไปจากใจของเรา ด้วยความประจักษ์ใจประหนึ่งว่าฟ้าดินถล่มในคืนวันนั้น ระหว่างกิเลสกับธรรมขาดสะบั้นจากกัน คือวัฏจักรกับวิวัฏฏจิตขาดสะบั้นจากกันในคืนวันนั้นแล้ว ได้ปรากฏกิเลสขึ้นมาแม้เม็ดหินเม็ดทรายพอให้เราเกิดความสงสัย ไม่เคยมีจนกระทั่งป่านนี้ เพราะฉะนั้น จึงกล้าเทศน์ธรรมของจริงให้พี่น้องทั้งหลายฟังอย่างเต็มหัวใจไม่สะทกสะท้าน ในสามแดนโลกธาตุนี้เราไม่เคยหวั่นกับอะไร เราพูดตามหลักความจริง

พระพุทธเจ้าปฏิบัติมารู้ได้เห็นได้ ธรรมสอนโลกสอนเพื่อให้รู้ให้เห็นเพื่อมรรคผลนิพพานโดยลำดับลำดา ผู้ทรงมรรคผลนิพพานตามพระพุทธเจ้ามามีสาวกเท่าไร พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาเท่าไร แล้วสาวกบรรลุธรรมขึ้นมาเท่าไร ล้วนแล้วตั้งแต่ทรงธรรมเป็นธรรมชาติอันเดียวที่พ้นจากกิเลสด้วยกันๆ เป็นธรรมธาตุๆ เต็มสมบูรณ์แบบด้วยกัน เมื่อจิตก็เป็นธรรมชาติจิตอันเดียวสมควรแก่มรรคผลนิพพานด้วยกันแล้ว ปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าให้ถูกต้องตามสวากขาตธรรมแล้ว เมื่อรู้แล้วเห็นแล้วทำไมจะพูดไม่ได้

กิเลสเต็มโลกธาตุทำไมมันออกเพ่นพ่านตีบ้านตีเมืองตลอด ไม่มีใครขยะแขยงมันบ้างว่ามันเป็นพิษต่อโลกต่อสงสาร ธรรมนี้เป็นคุณต่อโลกต่อสงสารตลอดมาตั้งกัปตั้งกัลป์ เฉพาะอย่างยิ่งพระพุทธเจ้าของเราที่มาตรัสรู้ในแดนมนุษย์นี้แล้ว ๒๕๐๐ กว่าปี ท่านประกาศกังวานมาตั้งแต่พระพุทธเจ้าถึงสาวกอรหันต์ เป็นสรณะของพวกเรามานี้นานเท่าไหน ทำไมหลวงตาบัวจะพูดไม่ได้ ธรรมอันเดียวกัน ปฏิบัติอย่างเดียวกัน รู้อย่างเดียวกัน เห็นอย่างเดียวกัน พูดไม่ได้มีอย่างเหรอ ถ้าพูดไม่ได้ก็แสดงว่าศาสนานี้หมดแล้วจะไม่มีอะไรเหลือ เหลือตั้งแต่กิเลสครองบ้านครองเมือง พร้อมกับเอาไฟเผาบ้านเผาเมืองให้เดือดร้อนวุ่นวายระส่ำระสายตลอดเวลา หาที่ยุติไม่ได้ตลอดไป ไม่ว่าแต่ตลอดมาเลย

ถ้ามีธรรมเข้าสกัดลัดกั้นแล้วจะมีทางออกทางเดินคนเรา แม้ภพชาติจะยืดยาวขนาดไหนก็ตาม เมื่อมีคุณงามความดีประพฤติปฏิบัติตัวให้เป็นคนดีแล้ว จะต้องมีความดีเข้าแทรกเข้าแซง มีสกัดลัดต้อน ภพชาติของตนที่ยืดยาวขนาดไหนก็จะหดย่นเข้ามา ความทุกข์มีมากขนาดไหน อำนาจแห่งบุญแห่งกุศลจะค่อยตัดทอนให้หดย่นเข้ามาๆ ผลสุดท้ายก็ลงในขั้นแน่ใจ เช่นอย่างพระโสดา ท่านสำเร็จเป็นพระโสดาแล้ว อย่างหยาบท่านจะกลับมาเกิดเพียง ๗ ชาติเท่านั้น อย่างกลางมาเกิดเพียง ๓ ชาติ อย่างสุดยอดเรียกว่าอย่างอุกฤษฏ์ก็มาเกิดเพียงชาติเดียว บรรลุถึงนิพพานไปเลย

นี่เรียกว่าบุญกุศลเป็นเครื่องตัดทอนความชั่วช้าลามก ตลอดถึงวัฏจักรที่เราจะแบกหามไปเป็นเวลานาน ให้ขาดสะบั้นเข้ามาๆ จนกระทั่งถึงชาติเดียวแล้วบรรลุมรรคผลนิพพานขึ้นมา ตัดภพชาติกองทุกข์ทั้งหลายด้วยอำนาจแห่งบุญแห่งกรรมที่เราสร้างมาอันดีงามนี้นะ ไม่ใช่ตัดมาได้ด้วยอำนาจแห่งการสร้างบาปมาก โลภมาก โกรธมาก ราคะมาก ตัณหามาก สร้างบาปสร้างกรรมไว้มาก นี้ไม่ได้พาเราไปสวรรค์นิพพานนะ จะพาจมลงในกองทุกข์ตั้งกัปตั้งกัลป์หาวันฟื้นฟูไม่ได้ ขอให้พี่น้องทั้งหลายได้จดจำเสีย

ธรรมพระพุทธเจ้าพึ่งเกิดมานี่หรือ สอนมานานแล้ว หัวใจมันไปอยู่ที่ไหนจึงไม่ยอมรับธรรม มันจะยอมรับตั้งแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้ไม่มีวันอิ่มพอนั้นเหรอ ให้เตือนตัวเองนะ สิ่งเหล่านี้ให้ถามตัวเองบ้าง ธรรมพระพุทธเจ้าประกาศกังวานอยู่นี้ นี้พูดจริงๆ พูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง จิตใจมันสว่างจ้าครอบโลกธาตุแล้วนี่ ไม่ได้มาพูดเฉยๆ นะ พูดอย่างจริงจังถอดออกมาจากหัวใจมาสอน สอนนี้ สาธุ เราไม่ได้ไปหาคลำเอาตามคัมภีร์นั้นคัมภีร์นี้ คัมภีร์ในคือหลักธรรมชาติอันถูกต้องดีงามพระพุทธเจ้าตรัสรู้มาก่อนแล้ว พระไตรปิฎกเกิดทีหลัง พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก พระอภิธรรมปิฎก พระสุตตันตปิฎก ท่านจาระไนออกไปจากธรรมชาติที่เป็นของจริงภายใน เรียกว่าพระไตรปิฎกใน

พระพุทธเจ้าตรัสรู้พระไตรปิฎกใน พระอรหันต์ตรัสรู้พระไตรปิฎกใน ผู้มาได้ยินได้ฟังแล้วจดจารึกออกไปจึงแยกเป็นปิฎกนั้นปิฎกนี้ ปิฎก แปลว่า ภาชนะ ปิฏกๆ แปลว่า ภาชนะ แยกออกเป็นรับรองพระวินัย รับรองพระสูตร รับรองพระปรมัตถ์ ท่านถึงแยกออกเป็น ๓ พระไตรปิฎก แต่ก่อนท่านไม่ได้พูดว่าปิฎกใดๆ ธรรมตรัสรู้ปึ๋งขึ้นมาภายใน นั้นแหละคือธรรมแท้ พระอรหันต์ท่านก็ตรัสรู้ธรรมอย่างนั้น แล้วก็แยกออกมา นี้เวลาเทศนาว่าการเราจึงไม่ไปหาคัมภีร์ที่ไหน ถอดออกมาจากหัวใจนี้เลย เพราะได้ผ่านกันอยู่ที่นี่ สนามรบทั้งความโง่ความฉลาดอยู่ที่หัวใจ ระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกัน กิเลสทำคนให้โง่ ธรรมนั้นทำคนให้ฉลาด ฟัดกันที่หัวใจ เมื่อกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้ว ความฉลาดหรือไม่ฉลาดมันก็รู้ตัวของมันเอง นำธรรมประเภทนี้เองมาสอนพี่น้องทั้งหลายเวลานี้

เราไม่ได้ไปด้นเดาเกาหมัดที่ไหนมาสอนนะ เราอาจหาญเต็มที่ที่จะมาสอนโลกเวลานี้ เอ้า ใครขัดข้องตรงไหนถามมาเรื่องมรรคผลนิพพาน เราพูดจริงๆ อย่างนี้นะ มันครองไว้หมดเต็มหัวใจครอบโลกธาตุจะว่าอะไร ถ้าเป็นแสงแพรวพราวเหมือนพระอาทิตย์นี้เผาคนในวัดอโศการามนี้แหลกหมด มันเผาไปหมด แต่นี้ธรรมไม่ใช่ไฟ มันเย็นฉ่ำไปหมด เขาไม่เย็น-เย็นแต่เราก็พอแล้ว พวกนั้นจะร้อนขนาดไหนก็ตามคนอื่น ร้อนเพราะมีผัวมากเมียมากเราไม่สนใจ เราไม่มีผัวมีเมียกับใคร เรามี เอโก ธมฺโม ธรรมอันเดียวครองใจแล้วเราเป็นที่พอใจ สบายไปเลย

ท่านทั้งหลายได้ฟังหรือยังวันนี้ ธรรมของจริง พระพุทธเจ้าสอนโลกมานานแสนนาน ยังเห็นว่าเป็นโมฆะอยู่เหรอ ยังเห็นว่าเป็นเศษกระดาษอยู่เหรอ เห็นว่าเป็นตำราอยู่เหรอ ไม่เห็นว่าเป็นธรรมเหรอ เห็นเป็นของจริงตั้งแต่ความโลภ ความโกรธ ความหลง ราคะตัณหา ที่เอาไฟเผากันทั้งโลกเวลานี้เหรอ นี้เหรอของจริง ถ้ามันมากกว่านี้แล้วโลกนี้จะพินาศฉิบหายถ้าไม่มีใครยอมรับความจริง

วันนี้เทศนาว่าการก็รู้สึกว่าเหน็ดเหนื่อย เพราะเทศน์ไปๆ ตอนก่อนมาเทศน์นี้ก็ได้เทศน์ที่กุฏิแล้ว นั่นละธรรมมันเข้าถึงใจมันผึงออกเองนะ มีเท่าไรพุ่งออกมาๆ พอเทศน์แล้วเครื่องมือคือร่างกายมันอ่อนเปียกจนจะเทศน์ไม่ได้ กลับมานี้จึงมาพยุง เรียกว่าดับเครื่องครู่หนึ่งประมาณ ๓๐ นาทีแล้วจึงได้มาเริ่มติดเครื่องใหม่ เพราะฉะนั้นเครื่องนี้จึงไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ทั้งๆ ที่ธรรมนี้เต็มหัวใจตลอดเวลา แต่การแสดงออกมาให้พี่น้องทั้งหลายทราบ ต้องอาศัยเครื่องมือคือร่างกายนี้ กำลังร่างกายอ่อนเปียกลงไปแล้วเวลานี้ การเทศนาว่าการจึงไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย สมใจที่มีความเมตตาต่อพี่น้องทั้งหลาย อยากเทศนาว่าการของจริงแห่งธรรมพระพุทธเจ้า ที่ทรงไว้ในหัวใจคงเส้นคงวาตลอดมาได้ ๕๑ ปีนี้ไม่สะทกสะท้านต่อสิ่งใด จึงได้แสดงให้พี่น้องทั้งหลายฟัง

ใครจะฟังเป็นมงคลก็ให้ฟัง ใครฟังอยากให้เป็นไฟเผาตัวเองก็ให้เพิ่มเข้าไป อันนี้ไม่มีใครช่วยได้นะ เราเกิดมาเราต้องช่วยตัวเองทุกคนๆ เราทำชั่วเราต้องเป็นทุกข์ ความทุกข์นั้นละจะบีบบี้สีไฟเราผู้ทำ เราทำความดี ความดีจะเป็นความสุขความเจริญรุ่งเรืองในหัวใจของเรา ให้ยึดเอาอรรถเอาธรรมนี้ไปประพฤติปฏิบัตินะ เรื่องมรรคเรื่องผลเราไม่ต้องถามว่ามีหรือไม่มี กิเลสกับธรรมนี้อยู่ที่หัวใจดวงเดียวกัน กิเลสก็อยู่ในหัวใจ ธรรมก็อยู่ในหัวใจ เปิดกิเลสออกแล้วธรรมก็จ้าขึ้นมาๆ

เหมือนกับสระใหญ่ที่เต็มไปด้วยน้ำ แต่ถูกจอกแหนคือกิเลสปกคลุมเอาไว้เท่านั้น เวลาเปิดจอกเปิดแหนคือเปิดกิเลสออก ความชั่วช้าลามกออก เจริญธรรมขึ้นภายในใจ ธรรมก็จะจ้าขึ้นภายในใจ ความสุขความสงบเย็นใจจะปรากฏขึ้นมา แล้วจะปรากฏขึ้นในหัวใจเต็มเม็ดเต็มหน่วย จนกระทั่งกิเลสขาดสะบั้นออกไปหมด คือ จอกแหนในสระนั้นออกหมดแล้ว น้ำจ้าขึ้นมาเลยทีเดียว นี่ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อกิเลสหลุดพ้นไปจากใจโดยสิ้นเชิงแล้วไม่ต้องถามหาธรรม ธรรมอยู่ที่ไหน

พระพุทธเจ้าท่านเห็นธรรมเห็นที่ไหน เห็นที่จิต จิตกับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้วไม่ต้องถามพระพุทธเจ้า ใครตรัสรู้ขึ้นมารู้อย่างเดียวกันหมด ท่านยกให้เป็น สนฺทิฏฺฐิโก อันเดียวกัน รู้อย่างเดียวกัน เห็นอย่างเดียวกัน แล้วถามกันหาอะไรเพราะธรรมประเภทเดียวกัน การแสดงธรรมวันนี้ก็รู้สึกว่าเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า วันนี้เป็นวันเผาศพท่านเจ้าคุณ ให้นำนิมิตที่เป็นมงคลของพวกเราทั้งหลายไปพินิจพิจารณา วันนี้ท่านตายวันนี้เผาศพท่าน วันต่อไปเวลาใดก็ได้จะต้องเผาศพเราทุกคนที่นั่งเต็มกันอยู่นี้ทุกคน แม้ที่สุดหลวงตาบัวก็ไม่พ้น ถึงวันแล้วอาจจะได้เผาได้ฝังด้วยวิธีการต่างๆ ตามแต่บุญแต่กรรมของแต่ละรายที่ตาย จะต้องเก็บต้องเผาวิธีใดเท่านั้นเอง

แต่เรื่องความแน่นอนคือตาย ตายแล้วความแน่นอนของการเกิดอีก ก็เป็นความแน่นอนเช่นเดียวกับการตายอีกนั้นเอง คือตายนี้แล้วจิตมันไม่ตาย ตายนี้แล้วจิตออกจากร่างที่หมดสภาพแล้วไปก่อใหม่ขึ้นมา ก่อใหม่ก็ต้องอาศัยวิบากกรรม ใครมีบุญมีบาปก็ต้องไปเกิดตามบุญตามบาปของตนที่มีมากน้อย ใครมีบาปหนักบาปหนาคนนั้นก็ไปจมในนรก นรกมีอยู่แล้วตั้งกัปตั้งกัลป์ เราสงสัยที่ไหน ไปลบล้างที่ไหน พระพุทธเจ้าตรัสรู้มากี่องค์ไม่เห็นมาลบล้างนรกได้ เราเป็นคนมีอำนาจบาตรหลวงเหนือโลกมาจากที่ไหน จึงจะไปลบล้างนรกว่าไม่ให้มี ไม่ให้เผาเรา ทั้งๆ ที่เราสร้างกรรมหนักหนาไม่มีใครสู้เลยแล้ว แต่ลบล้างนรกได้อย่างสบายไม่เคยมีในสถานที่ใด อย่ามาอุตริในเมืองไทยซึ่งเป็นเมืองพุทธเรานะถ้าไม่อยากจม

ถ้าระวัง ไม่อยากจมให้เชื่อธรรมพระพุทธเจ้า ธรรมพระพุทธเจ้าไม่เคยหลอกลวงสัตว์ผู้ใดรายใดตัวใดให้ล่มจม แต่กิเลสนี้หลอกลวงตลอดเวลา เอาให้จมได้ไม่สงสัย แต่สัตว์โลกไม่เข็ดหลาบเท่านั้นเอง จึงได้ยอมทนทุกข์ทรมานมาอย่างที่ว่ามานี้เอง นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าจริงจังอย่างนี้ มีผลเสมอกัน ทำบาปเป็นบาป ทำบุญเป็นบุญเสมอกัน ท่านแสดงว่า อกาลิโก อกาลิโก แปลว่ายังไง ในธรรมคุณเราก็สวดไม่ใช่หรือ สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม ยกขึ้นว่า อกาลิโก เป็นยังไง สนฺทิฏฺฐิโก คือผู้ปฏิบัตินั้นแลจะเป็นผู้เห็นเองรู้เอง อกาลิโก ธรรมมีอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว เลือกกาลเลือกสถานที่ที่ไหน แล้วกิเลสมันก็มีตลอดเวลา สร้างกิเลสให้เป็นกิเลสเมื่อไรมันก็เป็น สร้างบาปสร้างกรรมเมื่อไร เป็นบาปเป็นกรรมเป็นทุกข์ขึ้นมาแก่เราเมื่อนั้น เราสร้างบุญสร้างกุศลเป็นบุญเป็นกุศลแก่เราเมื่อนั้น จึงมีผลเสมอกัน

ระหว่างกิเลสกับธรรมไม่มีอะไรยิ่งหย่อน อะไรจะว่าเรียวว่าแหลมมันเป็นเรื่องของกิเลสหลอกลวงต้มตุ๋นคน ว่าเวลานี้ศาสนาเรียวแหลม ศาสนาไม่มีมรรคมีผล ไม่มีล่ะซิ กิเลสไปปิดไว้ๆ มีแต่สร้างตัวกิเลสขึ้นมา ความโลภ ความโกรธ ความหลง ให้เป็นไฟเผาไหม้หัวใจโลก มันเป็นยังไงมันสูญไปไหม ไอ้เรื่องความทุกข์ร้อนของโลกที่กิเลสสร้างขึ้นมามันสูญไปไหม มันทำไมมาสูญตั้งแต่เรื่องธรรมที่จะสร้างคุณงามความดีเป็นสิริมงคลแก่โลกนี้ ว่ามรรคผลนิพพานสูญไป แต่กิเลสมันสร้างฟืนสร้างไฟเผาโลกมันสูญไปไหม ให้ถามกันซิ ไม่อย่างนั้นไม่มีทางออกนะ จะตายจมกันอยู่นี้ตลอดเวลา

อกาลิโก อกาลิโก เป็นได้ทั้งทางอรรถทางธรรมทางกิเลสตัณหา ใครสร้างหนักทางไหนก็เป็นผลเสมอกันไปเลย ถ้ากรรมทางดีหนักมากกิเลสก็พังๆ ถ้ากิเลสมากธรรมก็พัง จมลงนรกนะ บาป บุญ นรก สวรรค์ พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์สอนไว้แบบเดียวกัน อย่าพากันอาจหาญชาญชัย อย่าพากันอวดดีกับพระพุทธเจ้านะ แล้วพวกที่อวดดีแบบนี้ละที่มันจะจม ให้ระวังไว้ตั้งแต่บัดนี้ต่อไปนะ

วันนี้การเทศนาว่าการก็ได้พูดถึงพี่น้องทั้งหลาย ให้ได้นำเรื่องของท่านเจ้าคุณเทพโมลีนี้ไปเป็นที่ระลึก เราจะตายด้วยกันทั้งนั้นแหละ ไม่มีใครเว้นไปได้แม้แต่รายเดียว ให้รีบสร้างคุณงามความดี ใจไม่ตาย พอออกจากร่างนี้แล้วจะไปเกิดตามบุญตามกรรมของตน ผู้มีบาปไปทางบาป ตกนรกหมกไหม้ ผู้มีบุญไปทางบุญจนกระทั่งถึงมรรคผลนิพพานไม่สงสัย นี่เป็นสมบัติอันดีงามของใจ ส่วนบาปนั้นเป็นข้าศึกศัตรูต่อใจ ให้พากันละเว้นให้ห่างไกล ใจนี้ไม่เคยตาย ใจไม่เคยมีป่าช้า เมื่อเวลาบริสุทธิ์เต็มที่แล้วก็เป็นธรรมธาตุ

ดังพระพุทธเจ้าว่านิพพานเที่ยงๆ อะไรเที่ยง ก็คือใจดวงนี้ปราศจาก อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ไม่มีอะไรเข้าไปรบกวน เป็นใจที่คงเส้นคงวาหนาแน่น เรียกว่าใจเที่ยง นั่นละใจของท่านผู้ทรงวิมุตติหลุดพ้น ใจผู้ทรงธรรมธาตุเป็นผู้หลุดพ้นเรียบร้อยแล้ว ใจนี้ก็ไม่ตาย เป็นธรรมธาตุอย่างนี้ จึงขอให้พี่น้องทั้งหลายได้จดจำเอา

วันนี้การแสดงธรรมก็เห็นว่าสมควรแก่ธาตุแก่ขันธ์กำลังวังชาและเวล่ำเวลา ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ



เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร ทาง internet

www.luangta.com



** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น