เจริญพร ขอให้มีความสุขสมหวังและ ถึงความสิ้นทุกข์ในเวลาอันใกล้โดยง่ายเทอญ

ยินดีต้อนรับ สหธรรมิกผู้มีใจเป็นกุศลทุกๆท่านครับ

ขอเรียนเชิญ สหธรรมิกทุกๆท่านมาร่วมศึกษาและปฏิบัติธรรมของพระพุทธองค์ รวมทั้งแบ่งปันความรู้ ข้อคิด คำแนะนำ ด้วยใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาครับ

" ความมืดแม้ทั้งโลก ก็บดบังลำแสงเพียงน้อยนิดมิได้ "


สันโดษ

สันโดษ
สุขใด เสมอความสงบ ไม่มี

หน้าเว็บ

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
อดีตที่ผ่านมาเป็นบทเรียน อโหสิให้ทุกคน แต่อย่ามีเวรกรรมร่วมกันอีกเลย

ผู้ติดตาม

วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2554

ควันหลงจากงานพระราชทานเพลิงศพหลวงตา


ควันหลงจากงานพระราชทานเพลิงศพหลวงตา

ปริศนาธรรมในงานศพ ให้ข้อคิดสะกิดใจ
โดย พระมหาพรชัย กุสฺลจิตโต

ทอดผ้าบังสุกุล

เสียงทอดผ้า พิจารณา บังสุกุล

ใจวายวุ่น มิได้สน คำคาถา

มองให้เห็น ว่านั่นแหละ "ธรรมดา"

เพราะเกิดมา เจ้าจึง ต้องวายปราณ

สุขจริงแท้ นั่นคือ ความสงบ

คิดให้จบ เนือง ๆ สุขจริงหนา

คิดให้ถ้วน ก่อนต้อง วายชีวา

ไม่ต้องมา ให้พระสวด ตอนสิ้นใจ

แต่ความจริง เพียงคิด ใครจะกล้า

ใครจะมา นั่งคิด พิสมัย

คิดไว้ก่อน เป็นลาง "เดี๋ยวตายไว"

คิดคิดไป ไม่ดีกว่า พระคิดแทน ฯ


ส่วนเนื้อหาของอภิธรรม ๗ คัมภีร์ แปลหรือไม่แปล ก็คงคือกัน เพราะย่อไว้เฉพาะหัวข้อธรรม ถ้าจะเอาอรรถเอาธรรมกัน ก็ต้องศึกษาต่อไปอีกมาก แค่ชั่วโมง สองชั่วโมงนี่ ไม่พอเป็นแน่ (พระพุทธเจ้าเสด็จโปรดพระมารดาถึง ๓ เดือนเต็ม แม้เวลาบนสวรรค์กับโลกมนุษย์ไม่เท่ากัน แต่บนโน้น ก็คงกินเวลาหลายชั่วโมงทีเดียว) ก็มีเพียงเกร็ดความรู้ที่ควรทราบ คือคำแปลของบทบังสุกุลเป็น บังสุกุลตาย ดังนี้


บังสุกุลตาย

อนิจจา วะตะสังขารา อุปาทายะวะธัมมิโน อุปปัชชิตวา นิรุชชันติ เตสัง วูปปะสะโมสุโข ฯ

เป็นพุทธพจน์ตรัสไว้ในสติปัฏฐานสูตร ซึ่งแปลเป็นใจความได้ว่า

สังขารทั้งหลาย ไม่เที่ยงหนอ เมื่อเกิดแล้วก็มีความเสื่อมไป สลายไป การเข้าไปสงบในกายนั่นแล คือความสุขแท้


บังสุกุลเป็น

อะจีรัง วะตะยัง กาโย ปะฐะวิง อะธิเสสะติ ฉุฑโฑ อะเปตะวิญญาโณ นิรัชถัง วะตะริง คะรัง ฯ

ซึ่งแปลเป็นใจความได้ว่า กายนี้ไม่เที่ยงหนอ เมื่อตายแล้วก็ถูกทิ้งไว้ ราวกับเป็นท่อนไม้ในป่า (หาค่าไม่ได้)

ทราบมาว่า คำว่าบังสุกุลตาย คือการแสดงธรรมสังเวช สำหรับคนที่ตายแล้ว สมัยก่อนพระจะใช้สวดเวลาพิจารณาผ้าบังสุกุล หรือ ผ้าเปื้อนฝุ่น ผ้าห่อศพ หรือ ผ้าที่เขาทิ้งไว้ตามป่าช้า กองขยะ เพื่อนำมาเย็บเป็นจีวร สมัยปัจจุบัน เนื่องจากผ้าจีวร หาได้ง่าย ไม่เหมือนสมัยก่อน จึงนำมาใช้เวลาพิจารณาผ้า ที่ทายกนำมาถวาย เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้คนตาย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น