เจริญพร ขอให้มีความสุขสมหวังและ ถึงความสิ้นทุกข์ในเวลาอันใกล้โดยง่ายเทอญ

ยินดีต้อนรับ สหธรรมิกผู้มีใจเป็นกุศลทุกๆท่านครับ

ขอเรียนเชิญ สหธรรมิกทุกๆท่านมาร่วมศึกษาและปฏิบัติธรรมของพระพุทธองค์ รวมทั้งแบ่งปันความรู้ ข้อคิด คำแนะนำ ด้วยใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาครับ

" ความมืดแม้ทั้งโลก ก็บดบังลำแสงเพียงน้อยนิดมิได้ "


สันโดษ

สันโดษ
สุขใด เสมอความสงบ ไม่มี

หน้าเว็บ

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
อดีตที่ผ่านมาเป็นบทเรียน อโหสิให้ทุกคน แต่อย่ามีเวรกรรมร่วมกันอีกเลย

ผู้ติดตาม

วันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2554

ขอสดุดีวีรชน





ขอสดุดีวีรชน

ขอให้ท่านทั้งหลายอยู่อย่างเป็นสุขในสัมปรายภพเทอญ
สื่อนอกเผยภาพการทำงานของ 50 วิศวกรญี่ปุ่นในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะไดอิจิ ด้านเดลิเมล์เชื่อว่าคนงาน 5 คนที่เข้าไปทำงานในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เสียชีวิตแล้ว หลังได้รับสารกัมมันตรังสีสูง อีก 15 บาดเจ็บ แต่อาจจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน

วานนี้ (23 มีนาคม) สำนักข่าวต่างประเทศ เผยภาพภายในห้องควบคุมเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ ที่โรงไฟฟ้าฟุกุชิมะไดอิจิ ที่เกิดความเสียหาย จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิเป็นครั้งแรก

โดยหน่วยงานด้านความปลอดภัยนิวเคลียร์ของรัฐบาลญี่ปุ่น ได้มอบภาพถ่ายให้กับทางสถานีโทรทัศน์เอ็นเอชเค ซึ่งเป็นภาพภายในห้องควบคุมเตาปฏิกรณ์หมายเลข 1 และ 2 ของโรงไฟฟ้าฟุกุชิมะไดอิจิ ก่อนที่ภาพถ่ายดังกล่าวจะถูกเผยแพร่ออกไปทั่วโลก เพื่อสดุดีวิศวกรชาวญี่ปุ่นที่เสี่ยงชีวิตเข้าไปช่วยแก้ไขปัญหาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะไดอิจิ








ทั้งนี้ ภาพที่ถูกเผยแพร่นั้น มีทั้งภาพของเจ้าหน้าที่บริษัท เทปโก ใช้ไฟฉายส่อง เพื่ออ่านข้อมูลเกี่ยวกับอุณหภูมิ แรงดัน รวมทั้งข้อมูลอื่น ๆ ในห้อง รวมทั้งภาพเจ้าหน้าที่สวมหมวกนิรภัยกำลังตรวจสอบข้อมูลบนโต๊ะ

นอกจากนี้ ยังมีภาพถ่ายบริเวณทางเข้าอาคารที่ตั้งเตาปฏิกรณ์ที่ได้รับความเสียหาย จนทำให้เกิดความหวั่นวิตก เกี่ยวกับการรั่วไหลของกัมมันตภาพรังสีไปทั่วโลก รวมทั้งภาพการทำงานของเจ้าหน้าที่ด้วย

สำหรับวิศวกรที่เข้าไปปฏิบัติหน้าที่ที่โรงไฟฟ้าฟุกุชิมะไดอิจิ ชุดแรกนี้มีทั้งหมด 50 คน ทุกคนล้วนแต่เป็นเจ้าหน้าที่ระดับล่าง และระดับกลาง แต่ไม่ถูกเปิดเผยชื่อ โดยพวกเขาต้องทำงานภายใต้ความมืด และอุณหภูมิที่สูงมาก แต่ทุกคนต้องสวมเสื้อคลุมหนา ๆ เพื่อป้องกันผิวหนังจากรังสี และถือเป็นผู้ที่เสียสละพยายามกู้โรงไฟฟ้าดังกล่าว แม้จะต้องเสี่ยงต่ออันตรายเพียงใด

ขณะเดียวกัน ในเวลาต่อมา เว็บไซต์เดลิเมล์ รายงานว่า เชื่อว่ามีคนงานกลุ่มนี้ อย่างน้อย 5 ราย ได้เสียชีวิตลงแล้ว หลังจากได้รับสารกัมมันตรังสีในระดับเข้มข้นมากเกินไป และอีก 15 ราย ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งคาดว่า จะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน จนทำให้ทางการญี่ปุ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเตรียมส่งคนงานกลุ่มใหม่เข้าไปเสริมกำลังอีกกว่า 150 คน









[17 มีนาคม] สุดยอดฮีโร่ผู้น่ายกย่อง จากเหตุการณ์สึนามิในญี่ปุ่น

กลายเป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่และร้ายแรงที่สุดเหตุการณ์หนึ่งในประวัติศาสตร์โลกไปแล้ว สำหรับเหตุการณ์ภัยพิบัติสึนามิในญี่ปุ่น ที่ไม่เพียงแต่มีอานุภาพทำลายล้างเมืองฟุกุชิม่าทั้งเมืองจนพินาศเท่านั้น มันยังทำให้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ระเบิดซ้ำ นำมาซึ่งการรั่วไหลของสารกัมมันตรังสี ที่ทำให้ผู้คนต้องอพยพออกจากพื้นที่ทั้งน้ำตา ซึ่งถึงแม้จะมีผู้สูญหายที่ไม่รู้ชะตากรรมอีกนับหมื่นยังรอการค้นหา แต่ผู้รอดชีวิตก็ต้องจำใจละทิ้งผู้สูญหายนับหมื่นนั้นเพื่ออพยพออกมาเพื่อความปลอดภัยของตัวเอง ปล่อยให้เมืองกลายเป็นเมืองร้าง ซึ่งนี่นับเป็นเหตุการณ์ที่เลวร้ายเกินกว่าที่จะใช้คำว่า เศร้าสลด เสียอีก

แต่ในขณะที่การเอาชีวิตรอด คือสิ่งที่ผู้คนที่อยู่ในเมืองฟุกุชิมะต้องทำอย่างเร่งด่วน ยังมีคนกลุ่มหนึ่งที่ดูเหมือนจะไม่หวาดกล้วอันตรายใด ๆ ของสารกัมมันตรังสีที่แพร่กระจายไปทั่วบริเวณแม้แต่น้อย พวกเขายังคงมีชีวิตอยู่ในฟุกุชิมะ ท่ามกลางสารกัมมันตรังสีเข้มข้นที่พร้อมจะคร่าชีวิตพวกเขาไปเมื่อไรก็ได้

และผู้คนกลุ่มนี้ ก็คือ เหล่าเจ้าหน้าที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะและผู้เชี่ยวชาญด้านนิวเคลียร์รวมทั้งสิ้นกว่า 180 ชีวิต ที่เร่งปฏิบัติภารกิจควบคุมสถานการณ์เตาปฏิกรณ์ในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ซึ่งถึงแม้ว่าพวกเขาจะพยายามแก้ปัญหาอย่างเต็มที่ตลอด 5 วันที่ผ่านมา และสถานการณ์ก็กลับเลวร้ายมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็ตาม แต่พวกเขาก็ไม่ย่อท้อ ยังคงพยายามกันต่อไป ท่ามกลางสารกัมมันตรังสีที่รั่วไหลออกมาในปริมาณมากขึ้นเรื่อย ๆ จนบัดนี้ สารกัมมันตรังสีในชั้นบรรยากาศอยู่ในระดับอันตรายมาก จนอาจจะคร่าชีวิตมนุษย์ได้ภายในระยะเวลาอันสั้นเลยทีเดียว แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้พวกเขาเปลี่ยนใจหรือหวาดกลัวกับอันตรายเหล่านั้นแต่อย่างใด เพราะพวกเขาตระหนักดีว่า หากพวกเขาละเลยโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่กำลังเกิดไฟไหม้อย่างต่อเนื่องเป็นระยะ ๆ ในขณะนี้แล้ว มันอาจจะเกิดระเบิดร้ายแรงขึ้น และปล่อยสารกัมมันตรังสีออกสู่บรรยากาศ คร่าชีวิตผู้คนอีกหลายหมื่นหลายแสนคนก็เป็นได้ ดังนั้น การพยายามยับยั้งมันอย่างสุดความสามารถ จึงเป็นสิ่งแรกที่พวกเขาต้องทำก่อน ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้ในระยะเวลาอันใกล้นี้และทำให้พวกเขาต้องเสียชีวิตทั้งหมดก็ตาม



หรือถ้าจะมองในแง่ดีที่สุด หากเจ้าหน้าที่ทั้ง 180 คนสามารถกู้สถานการณ์ที่เลวร้ายขึ้นตลอดช่วง 5 วันที่ผ่านมาให้ดีขึ้นได้ และยับยั้งการรั่วไหลของสารกัมมันตรังสีได้อย่างที่คนทั่วโลกหวังให้เป็นได้ก็ตาม แต่สิ่งที่พวกเขาเอาไปแลกกับความปลอดภัยนี้ ก็ยังคงหมายถึงชีวิตของพวกเขาอยู่ดี เมื่อระหว่างที่พวกเขาปฏิบัติภารกิจอยู่ในขณะนี้ พวกเขายังคงสูดเอาสารกัมมันตรังสีเข้าไปเต็มปอด อีกทั้งยังซึมเข้าสู่ผิวและดวงตาอีกด้วย และแน่นอนว่า การสัมผัสกับสารกัมมันตรังสีอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ อาจไม่ได้ส่งผลต่อชีวิตของพวกเขาอย่างทันทีทันใด แต่ในระยะยาวนั้น พวกเขามีความเสี่ยงมากกว่า 70% ที่จะป่วยเป็นมะเร็งในอนาคต!!!

โดยเจ้าหน้าที่คนหนึ่งได้เปิดเผยว่า เขารู้ว่าการปฏิบัติงานครั้งนี้เสี่ยงมาก แต่เขาก็ไม่กลัวตาย เพราะถึงแม้เขาตาย เขาก็ตายในหน้าที่ ซึ่งในการปฏิบัติงานครั้งนี้ พวกเขาต้องทำงานกันในความมืด มีเพียงไฟฉายที่พอจะช่วยให้เขาทำงานได้สะดวกขึ้นเท่านั้น และระหว่างปฏิบัติงาน เขาก็จะได้ยินเสียงระเบิดเป็นระยะ ๆ จากการที่ก๊าซไฮโดรเจนรั่วออกมาจากเตาปฏิกรณ์อย่างต่อเนื่อง ส่วนทีมเจ้าหน้าที่เทคนิค หรือที่เรียกว่าทีม ฟุกุชิมะ 50 ก็ต้องหายใจผ่านเครื่องช่วยหายใจ และแบกถังอ๊อกซิเจนหนักอึ้งอยู่บนหลังตลอดเวลา และชุดจัมพ์สูทสีขาวมิดชิดเพื่อป้องกันสารกัมมันตรังสีซึมเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งทุกคนรู้ดีว่า นี่อาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายของพวกเขาในการปกป้องภัยพิบัติจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์

เมื่อกล้านำชีวิตตัวเองเข้าเสี่ยงกับอันตรายของสารกัมมันตรังสี เพื่อช่วยชีวิตผู้คนอีกมากมายให้ปลอดภัย เจ้าหน้าที่ทั้ง 180 คนจึงกลายเป็นฮีโร่ผู้กล้าหาญไปอย่างที่ไม่มีใครปฏิเสธได้ ซึ่งไม่ใช่แค่พวกเขาจะเป็นฮีโร่ของชาวญี่ปุ่นเท่านั้น พวกเขาได้กลายเป็นฮีโร่ของคนทั้งโลกไปแล้วในขณะนี้

ดร. อิรา เฮลแฟนด์ จากองค์กรแพทย์เพื่อความรับผิดชอบต่อสังคม เปิดเผยเกี่ยวกับการปฏิบัติภารกิจของเจ้าหน้าที่ทั้ง 180 คนว่า เป็นที่รู้กันดีว่า เมื่อสารกัมมันตรังสีเข้าสู่ร่างกายในปริมาณมาก มันก่อให้เกิดความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคลูคิเมีย มะเร็งต่อมน้ำเหลือง และมะเร็งไทรอยด์ได้อย่างง่ายดาย แม้ว่าจะมีอุปกรณ์ป้องกันมิดชิดเพียงใด แต่สารกัมมันตรังสีก็สามารถซึมผ่าน เสื้อผ้า หรือช่องว่างต่าง ๆ เข้าไปสะสมในร่างกายได้ ซึ่งในกรณีของเจ้าหน้าที่ทั้ง 180 คนนี้ ก็ไม่ต่างกัน พวกเขารู้ดีว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตหากพวกเขารอดชีวิตจากการปฏิบัติภารกิจครั้งนี้ได้ ก็คือความเจ็บป่วยจากสารกัมมันตรังสีเข้มข้นในครั้งนี้ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร เจ้าหน้าที่ที่กำลังปฎิบัติงานทุกคนได้รับการฝึกให้เข้าใจความเสี่ยง และต้องกล้าเผชิญกับความเสี่ยงนั้นเพื่อป้องกันมหันตภัยที่อาจจะเกิดขึ้น พวกเขารู้ดีว่าหากเกิดอะไรขึ้นกับเตาปฏิกรณ์อีกครั้ง มันสามารถกลายเป็นมหันตภัยร้ายที่คร่าชีวิตผู้คนเรือนแสนได้เลยทีเดียว แต่พวกเขาก็เสี่ยงชีวิตเพื่อพยายามป้องกันมันให้ได้ และพวกเราทุกคนบนโลก ก็กลายเป็นหนี้บุญคุณของบรรดาเจ้าหน้าที่ทั้ง 180 คนนี้แล้วตอนนี้




และนอกจากเจ้าหน้าที่ทั้ง 180 คนที่กำลังปฏิบัติภารกิจป้องกันการรั่วไหลของสารกัมมันตรังสีกลุ่มนี้ ก่อนหน้านี้ก็ยังมีฮีโร่อีกมากมายที่เอาชีวิตเข้าเสี่ยงเพื่อช่วยเหลือคนจำนวนมาก เริ่มตั้งแต่เหตุการณ์สึนามิเพิ่งสิ้นสุดลง ผู้ประสบภัยกลุ่มหนึ่งได้พูดถึงเรื่องราวของเจ้าหน้าที่ศูนย์เตือนภัยพิบัติในฟุกุชิมะว่า ก่อนหน้าที่จะเกิดภัยพิบัติเพียงไม่กี่นาที พวกเขาได้ยินเสียงประกาศเตือนไป ทั่วเมืองว่า "คลื่นยักษ์สึนามิกำลังมา คุณต้องอพยพเดี๋ยวนี้" ซึ่งหลังจากนั้นไม่กี่วินาที พวกเขาก็ได้ยินเสียงร้องว่า "วิ่ง! วิ่ง!" ก่อนที่เสียงนั้นจะถูกตัดไปในที่สุด ส่วนเจ้าของเสียงดังกล่าวก็สูญหายไปกับเหตุการณ์ในครั้งนี้ เพราะศูนย์เตือนภัยพิบัติที่อยู่ใกล้ชายฝั่งทะเล ได้ถูกกลืนหายจมลงไปใต้โคลนตั้งแต่สิ้นเสียงเตือนนั้นแล้ว ซึ่งไม่ว่าเจ้าของเสียงนั้นจะเป็นใคร แต่เขาก็ถูกยกย่องให้เป็นฮีโร่ไปแล้ว เพราะในขณะที่สึนามิกำลังพัดเข้ามาใกล้ชายฝั่ง เขามีเวลาเอาตัวรอดและอาจจะรอดชีวิต แต่ก็ยังเสี่ยงชีวิตมาประกาศเตือนผู้คนให้รีบหนีก่อนสึนามิจะเดินทางมาถึง จนตัวเองถูกน้ำพัดไปในที่สุด

และอีกหนึ่งฮีโร่ที่เป็นที่พูดถึงอีกคนหนึ่ง คือ รอย คาเมรอน ครูชาวอังกฤษวัย 31 ปีที่สอนอยู่ในสถาบันสอนภาษาในฟุกุชิมะ เมื่อเขาได้ช่วยเหลือนักเรียนทุกคนออกมาจากตึกได้ขณะเกิดแผ่นดินไหว โดยคาเมรอน ได้เปิดเผยหลังจากช่วยนักเรียนจากแผ่นดินไหวว่า ขณะเกิดเหตุ เขาอยู่ในห้องเรียนกับนักเรียนอีก 2 คน ซึ่งแผ่นดินไหวครั้งนั้นมันรุนแรงมาก และเขารู้ว่ามันไม่ใช่แผ่นดินไหวธรรมดาเหมือนทุกครั้งที่เกิดขึ้น เขาจึงบอกให้นักเรียนซึ่งหลบอยู่ใต้โต๊ะขณะนั้นหนีออกจากอาคาร ขณะที่มันกำลังจะถล่ม และเขาก็วิ่งเข้าไปช่วยนักเรียนที่อยู่ในอีกห้องหนึ่งไปอยู่ในที่ปลอดภัย ก่อนจะวิ่งเข้าไปช่วยผู้จัดการแผนกต้อนรับในโรงเรียนออกมาอีกคน จนในที่สุดทีมงานของเขาทุกคนก็ปลอดภัยดี

ทั้งหมดนี้ คือตัวอย่างฮีโร่ผู้กล้าหาญ ที่กล้าเสี่ยงชีวิตตัวเองช่วยผู้อื่น ซึ่งแม้ว่าพวกเขาจะรู้สึกว่าตัวเองเป็นเพียงชีวิตเล็ก ๆ บนโลกไปนี้ และยอมเสี่ยงชีวิตตัวเองเพื่อรักษาอีกหลายชีวิตให้ปลอดภัย แต่พวกเขาก็เป็นฮีโร่ที่ยิ่งใหญ่สำหรับผู้รอดชีวิตและคนทั้งโลกไปอย่างไม่รู้ตัวแล้ว และสำหรับฮีโร่ทั้ง 180 ชีวิตที่กำลังปฏิบัติภารกิจยับยั้งการรั่วไหลของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะอยู่ในขณะนี้ ทีมงานกระปุกดอทคอมก็ขอเป็นกำลังใจให้พวกเขาสามารถปฏิบัติภารกิจสำเร็จลุล่วงไปได้ในเร็ว ๆ นี้ เพื่อที่พวกเขาจะได้รับผลกระทบจากกัมมันตรังสีน้อยที่สุด อย่างที่คนทั่วโลกเฝ้าภาวนาให้พวกเขาปลอดภัยจากภารกิจนี้เช่นกัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น