เจริญพร ขอให้มีความสุขสมหวังและ ถึงความสิ้นทุกข์ในเวลาอันใกล้โดยง่ายเทอญ

ยินดีต้อนรับ สหธรรมิกผู้มีใจเป็นกุศลทุกๆท่านครับ

ขอเรียนเชิญ สหธรรมิกทุกๆท่านมาร่วมศึกษาและปฏิบัติธรรมของพระพุทธองค์ รวมทั้งแบ่งปันความรู้ ข้อคิด คำแนะนำ ด้วยใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาครับ

" ความมืดแม้ทั้งโลก ก็บดบังลำแสงเพียงน้อยนิดมิได้ "


สันโดษ

สันโดษ
สุขใด เสมอความสงบ ไม่มี

หน้าเว็บ

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
อดีตที่ผ่านมาเป็นบทเรียน อโหสิให้ทุกคน แต่อย่ามีเวรกรรมร่วมกันอีกเลย

ผู้ติดตาม

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เมื่อประตูแห่งความสุขปิดลง..

When one door of happiness closes, another opens; but often we look so long at the closed door that we do not see the one which has been opened for us.
(Helen Keller - US blind & deaf educator, 1880 - 1968)
"เมื่อประตูแห่งความสุขปิดลง ประตูแห่งความสุขบานอื่นก็จะเปิดขึ้น
แต่เราก็มัวแต่มองประตูที่ปิดลงไปแล้วเนิ่นนาน จนกระทั่ง...
เรามองไม่เห็น ประตูแห่งความสุขบานอื่น ที่เปิดไว้รอ..."
ประโยคนี้...ฉันได้รู้จักมันเพราะใครคนหนึ่งในความทรงจำเมื่อนานมาแล้ว
มันเป็นถ้อยความโปรดของคนในความทรงจำนั้น...
ฉันชอบเพราะรู้สึกว่ามันกินใจดี
และเพราะใครคนนั้นเหมือนยืนอยู่ในประตูแห่งความสุขบานหนึ่งสำหรับฉัน
มันเป็นความรู้สึกพิเศษที่ได้ชอบในสิ่งเดียวกันอย่างบอกไม่ถูก แม้จะเล็กๆน้อยๆ
แต่นึกๆดูแล้ว ตอนนั้น...ฉันก็ยังไม่เข้าใจถึงความหมายของประโยคอย่างถ่องแท้สักเท่าไรถึงแม้จะตีความได้ออก
ฉันยังคงเป็นเด็กคนหนึ่งที่มองเห็นเพียงประตูแห่งความสุขบานที่อยู่ตรงหน้า
และ "ยึดถือ" ความสุขว่าต้องเป็นตามแบบที่วาดเอาไว้
ฉันเคยเข้าใจว่ามันอาจจะเป็นประโยคปลอบใจ...
เป็นประโยคที่ใช้อธิบายถึงการเริ่มต้นใหม่ที่ดีที่เป็นไปได้หลังจากความผิดหวังครั้งยิ่งใหญ่ไม่กี่ครั้งในชีวิตของคนเรา
แถมยังคิดว่าเรามีสิทธิ์ที่จะเลือกที่จะมองประตูบานเก่าไม่หันไปทางไหน เพราะแค่ความทรงจำแห่งความสุขก็เป็นสิ่งที่ค่ามีความหมายมากพอแล้ว...
จนกระทั่งเวลาได้ทำให้ฉันเข้าใจ
เมื่อประตูแห่งความสุข"บานนั้น" กลายเป็นเพียงความทรงจำที่ซีดจางไปตามกาลเวลา
และฉันได้ออกเดินไปพบกับประตูบานใหม่หลายบาน โดยตั้งใจบ้าง ไม่ตั้งใจบ้าง
บางครั้งก็ไขว่คว้าหาประตูแห่งความสุข เพื่อที่จะลืมประตูบานที่เพิ่งปิดลง
บางครั้งประตูก็เปิดรออยู่ก่อนฉันจะหันไปเจอ...
ฉันมัวแต่มองประตูที่ปิดลงไปแล้วอย่างอาลัยอาวรณ์อยู่นาน
หลายต่อหลายครั้ง...ฉัน "ยึดติด" กับความสุขในบานประตูที่อยู่ตรงหน้ามากเกินไป
เหมือนฉันไม่เคยจดจำว่าประตูบานที่ผ่านมามันเคยได้ปิดลงตรงหน้าอย่างกะทันหัน
แล้วจะไว้ใจอะไรได้กับประตูแห่งความสุขบานใหม่ที่จะปิดลงตรงหน้าเมื่อไรก็ไม่รู้
กลับกลายเป็นว่าฉันคาดหวังมากยิ่งขึ้นว่าประตูแห่งความสุขบานใหม่มันจะไม่ปิดลงง่ายๆ เหมือนกับประตูความสุขบานที่ผ่านมาที่ทำให้ฉัน "ผิดหวัง"
เมื่อหลายสิ่งหลายอย่างซีดจางลงไปตามกาลเวลา
คนที่เคยเปรียบเหมือนคนสำคัญกลับเป็นคนที่ฉันลืมจะนึกถึง...
เรื่องที่เคยทำให้สุขใจอย่างเปี่ยมล้น ความสำเร็จในหนึ่งเวลากลับกลายเป็นเหมือนสายน้ำที่ไหลผ่านเลยไป
หากจะเก็บไว้นึกถึง ก็รังแต่จะอึดอัดใจในบางครั้ง...
นั่นล่ะฉันจึงเริ่มเข้าใจทีละนิด...
"เมื่อประตูแห่งความสุขปิดลง ประตูแห่งความสุขบานอื่นก็จะเปิดขึ้น
แต่เราก็มัวแต่มองประตูที่ปิดลงไปแล้วเนิ่นนาน จนกระทั่ง...
เรามองไม่เห็น ประตูแห่งความสุขบานอื่น ที่เปิดไว้รอ..."
ถ้อยความนี้ไม่ใช่เพียงแค่คำปลอบใจให้กำลังใจเมื่อเราถูกประตูแห่งความสุขปิดลงต่อหน้าต่อตา...
หากแต่มันบอกความจริงอะไรหลายๆอย่าง
อย่างแรก...
เราไม่อาจคาดหวังไม่ให้ประตูบานใหม่ปิดลง หรือแม้แต่คาดหวังว่ามันจะให้ความสุขที่มากกว่าและยั่งยืนกว่าประตูบานเก่า...
อย่างที่สอง...
"การยึดติด" กับสิ่งหนึ่งที่คิดว่าเป็นความสุขนั้นกลับกลายเป็นความทุกข์อย่างร้ายกาจ
ประตูแห่งความสุขในเวลาหนึ่ง เมื่อมันปิดลงแล้ว มันก็กลายเป็นประตูแห่งความทุกข์ได้ทันที
แต่คนเราคิดไปเองว่านั่นเป็นประตูแห่งความสุขบานเดียวและนิรันดร์...
การที่ยังคงมองมันอย่างเสียดายเนิ่นนานอยู่นั้นเพราะเราลืม "ปัจจุบัน" ไป ว่ามันไม่ใช่ประตูแห่งความสุขอีกต่อไปแล้ว
มันเป็นกำแพงปิดกั้นไม่ให้เราได้พบ "ความสุข" อื่นที่รอเราเดินเข้าไปสัมผัส...
ไม่อาจเห็นประตูบานอื่นที่เปิดรออยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล

อย่างที่สาม...
การที่ประตูบานหนึ่งปิดลงนั้นไม่ใช่จุดจบของความสุข
แต่ขณะเดียวกันการเดินเข้าไปในประตูบานใหม่ก็ไม่ใช่จุดเริ่มต้นของความสุขที่ยั่งยืนตลอดไปเช่นกันความสุขความทุกข์ต่างผลัดเปลี่ยนเวียนกันเข้ามาไม่ขาด
เราเดินเข้าเดินออกประตูแห่งความสุขได้หลายบานรอบตัวตามหนทางชีวิตที่นำพาเราไป
ไม่อาจฝืนยืนอยู่ที่ใดที่หนึ่งและต้านประตูความสุขไม่ให้ปิดลงได้เมื่อถึงเวลาของมัน...
จะมีประโยชน์อะไรกับการเฝ้ามองประตูบานเก่าอยู่เนิ่นนาน และพยายามเปิดมันออกอีกครั้ง
อย่างที่สี่...
เมื่อเวลาผ่าน... เราจะนึกดีใจที่ประตูแห่งความสุขบานหนึ่งเคยปิดลงและทำให้ชีวิตได้ก้าวไป
ทำให้เราได้หันไปพบประตูแห่งความสุขบานใหม่...ไม่ว่าความสุขบานใหม่นั้นจะเปิดอยู่นานแค่ไหน แต่ความสุขในประตูบานใหม่มันมักจะหอมหวานกว่าเก่า...
ดูเหมือนว่าหากเรายอมรับ และพร้อมจะถอยห่างจากประตูบานเดิม ความผิดหวังที่เคยมีจะนำพาไปสู่สิ่งที่ดีกว่าเดิมในที่สุด
...ฉันได้เห็นความจริงข้อนี้ทั้งกับตัวฉันเองจากหลายเรื่องราวที่ผ่านมาและจากคนรู้จัก
เมื่อใจปลดปล่อยจากประตูบานหนึ่ง หลายครั้งหลายคราสิ่งที่ดีก็ก้าวเดินเข้ามาในชีวิตคนเรา...
และเมื่อเร็วๆนี้ฉันได้ฟังผู้ป่วยอัมพาตครึ่งซีกคนหนึ่งพูดว่า "ดีใจที่ผมป่วย" (มันทำให้เขาได้ศึกษาธรรมะ)
...ไม่ผิดจากที่หนังสือ "เข็มทิศชีวิต" ของคุณ ฐิตินาถ ณ พัทลุงบอกกล่าวไว้...
ทบทวนไปมาผ่านวันเวลาและประสบการณ์ในเรื่องราว(ทางใจ)ต่างๆแล้ว
ถ้อยความที่ว่านี้บอกกล่าวความจริงของชีวิตได้เป็นอย่างดี
เหมือนเป็นประโยคสัจจธรรมคลาสสิคประโยคหนึ่งที่พอจะใช้เตือนใจตัวเองได้
ยามพลั้งเผลอเสียใจที่ประตูแห่งความสุขบางบานกำลังปิดลง...
เพียงแค่ยอมรับ เผชิญหน้า เข้าใจความจริง และเปิดใจรับสิ่งใหม่ที่พร้อมจะเดินเข้ามาเราก็จะมองเห็นความสุขได้ไม่ยากเลย...
เพราะอันที่จริงแล้ว เราต่างมีประตูแห่งความสุขในตัวเอง
...
มันอยู่ที่ใจเรานี่ไง!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น