เจริญพร ขอให้มีความสุขสมหวังและ ถึงความสิ้นทุกข์ในเวลาอันใกล้โดยง่ายเทอญ

ยินดีต้อนรับ สหธรรมิกผู้มีใจเป็นกุศลทุกๆท่านครับ

ขอเรียนเชิญ สหธรรมิกทุกๆท่านมาร่วมศึกษาและปฏิบัติธรรมของพระพุทธองค์ รวมทั้งแบ่งปันความรู้ ข้อคิด คำแนะนำ ด้วยใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาครับ

" ความมืดแม้ทั้งโลก ก็บดบังลำแสงเพียงน้อยนิดมิได้ "


สันโดษ

สันโดษ
สุขใด เสมอความสงบ ไม่มี

หน้าเว็บ

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
อดีตที่ผ่านมาเป็นบทเรียน อโหสิให้ทุกคน แต่อย่ามีเวรกรรมร่วมกันอีกเลย

ผู้ติดตาม

วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

พุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน : ศีล สมาธิ ปัญญา




บัดนี้สังขารของตถาคตเป็นเสมือนเรือรั่ว คอยแต่เวลาที่จะจมสู่ท้องธารเท่านั้น



อานนท์... เราเคยบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือ ว่าบุคคลย่อมต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่พึงใจเป็นธรรมดา หลีกเลี่ยงไม่ได้

อานนท์เอ๋ย... ชีวิตนี้มีความพลัดพรากเป็นที่สุด สิ่งทั้งหลายมีความแตกไป ดับไป สลายไป เป็นธรรมดา จะปรารถนามิให้มันเป็นอย่างที่มันควรจะเป็นนั้น "เป็นฐานที่ไม่ควรพึงหวังได้" ทุกสิ่งทุกอย่างดำเนินไป เคลื่อนไปสู่จุดสลายตัวอยู่ทุกขณะ...


และแล้วพระจอมศาสดาก็เสด็จไปยังพันธุคามและโภคะนครตามลำดับ ระหว่างนั้นทรงให้โอวาทภิกษุทั้งหลายด้วยพระธรรมเทศนาอันเป็นไปเพื่อโลกุตราริยธรรม กล่าวคือ ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ และวิมุตติญาณทัศนะ เป็นต้นว่า...

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย.... “ศีลเป็นพื้นฐาน”เป็นที่รองรับคุณอันยิ่งใหญ่ ประหนึ่งแผ่นดินเป็นที่รองรับแห่งสิ่งทั้งหลายทั้งที่มีชีพและหาชีพไม่ได้ เป็นต้นว่า พฤกษาลดาวัลย์ มหาสิงขร และสัตว์จตุบท ทวิบาทนานาชนิด

บุคคลผู้มีศีลเป็นพื้น ใจย่อมอยู่สบาย มีจิตปลอดโปร่ง เหมือนเรือนที่บุคคลปัดกวาด เช็ดถูเรียบร้อย ปราศจากเลือดและฝุ่นเป็นที่รบกวน

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย...ศีลนี้เองเป็นพื้นฐานให้เกิดสมาธิ คือความสงบใจ
สมาธิที่มีศีลเป็นเบื้องต้น เป็นสมาธิที่มีผลมาก มีอานิสงส์มาก
“บุคคลผู้มีสมาธิย่อมอยู่อย่างสงบ” เหมือนเรือนที่ฝาผนัง มีประตูหน้าต่าง ปิดเปิดได้เรียบร้อย มีหลังคาสำหรับกันลม แดด และฝน
ผู้ที่อยู่ในเรือนเช่นนี้ ฝนตกก็ไม่เปียก แดดออกก็ไม่ร้อนฉันใด
บุคคลผู้มีจิตเป็นสมาธิดีก็ฉันนั้น “ย่อมสงบอยู่ได้ไม่กระวนกระวาย”

เมื่อลมแดดและฝน กล่าวคือ โลกธรรมแผดเผา กระพือพัดซัดซาดเข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่า
สมาธิอย่างนี้ย่อมทำก่อให้เกิดปัญญาในการฟาดฟัน ย่ำยี และเชือดเฉือนกิเลส อาสวะต่าง ๆ ให้เบาบางและหมดสิ้นไป เหมือนบุคคลผู้มีกำลังจับศาสตราอันคมกริบแล้วถางป่าให้โล่งเตียนก็ปานกัน...

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย... ปัญญาซึ่งมีสมาธิเป็นรากฐานนั้นย่อมปรากฏดุจไฟดวงใหญ่ กำจัดความมืดให้ปราสนากานต์ มีแสงสว่างรุ่งเรืองอำไพ ขับฝุ่นละอองคือกิเลสให้ปลิวหาย “ปัญญาจึงเป็นประดุจประทีปแห่งดวงใจ…”

อันว่าจิตนี้เป็นธรรมชาติที่ผ่องใสอยู่โดยปกติ แต่เศร้าหมองไปเพราะคลุกเคล้าด้วยกิเลสนานาชนิด “ศีล สมาธิ และปัญญาเป็นเครื่องฟอกจิตให้ขาวดังเดิม” จิตที่ฟอกแล้วด้วยศีลสมาธิและปัญญาย่อมหลุดจากอาสวะทั้งปวง

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย... บุคคลผู้มีจิตหลุดพ้นแล้วจากอาสวะ ย่อมพบกับปิติ ปราโมทย์อันใหญ่หลวง รู้สึกว่าตนได้พบขุมทรัพย์มหึมา หาอะไรเปรียบเทียบไม่ได้ อิ่มอาบซาบซ่านด้วยธรรม ตนของตนเองนั้นแลเป็นผู้รู้ว่า... บัดนี้กิเลสานุศัยต่าง ๆ ได้สิ้นไปแล้ว ภพใหม่ไม่มีอีกแล้ว เหมือนบุคคลซึ่งตัดแขนขาดย่อมรู้ว่า... บัดนี้แขนของตนเองได้ขาดแล้ว (พุทธโอวาทก่อนปรินิพพาน)


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น