หากหกล้ม อย่าก้มหน้าหนี... |
>> หากหกล้ม อย่าก้มหน้าหนี... ถึงแม้เราจะล้มลง...ขอจงรู้ว่า... นั่นคือการเริ่มต้นของชีวิตที่เข้มแข็ง เพียงแต่เงยหน้าขึ้น...แทนการก้มหน้าหนี... และต้องยืนขี้น แทนการนั่งแช่อยู่กับที่ ถึงจะล้มสักกี่ครั้ง... ก็ไม่อาจฉุดรั้งให้ชีวิตแพ้พ่ายได้ในวันนี้... ในชีวิตที่ผ่านมา...เรามองเห็นเด็กวิ่งเล่นแล้วหกล้มมานักต่อนักแล้ว... แต่ยังไม่เคยเห็นเด็กคนไหนที่หกล้มแล้วเขาจะนอนแช่อยู่อย่างนั้น ข้ามคืนข้ามวันโดยที่ไม่ยอมลุกขึ้นมา... อย่างมากก็ร้องให้เพราะความเจ็บปวด... แต่นั่นก็เป็นความรู้สึกธรรมดาของเด็กทุกคน... เพราะเขาเป็นเด็กตัวเล็กที่อ่อนแอคนหนึ่งก็เท่านั้นเอง... นั่นคือภาพสะท้อน...ที่ทำให้มองเห็นสัจธรรมในชีวิต... วันหนึ่งเมื่อเด็กโตขึ้นมาการหกล้มของพวกเขา ไม่ใช่แค่การหกล้ม อาจจะเป็นเรื่องของชีวิต... เช่น หน้าที่การงาน การเรียน ความรัก ครอบครัว เพื่อน สังคม เป้าหมายชีวิต... หรืออีกหลายเรื่องก็แล้วแต่ชีวิตของแต่ละคน... ทุกความต้องการในชีวิตของเรา ไม่ใช่จะสำเร็จหรือผ่านไปได้อย่างราบรื่นทุกเรื่อง... บางเรื่องเราอาจล้มเหลว...บางอย่างเราอาจจะผิดหวัง... ซึ่งจะสะท้อนป็นภาพเปรียบเทียบ เหมือนกับประสบการณ์ที่เคยหกล้ม . เมื่อครั้งยังเป็นเด็กที่กำลังวิ่งเล่นในสนาม... เมื่อเด็กหกล้มแล้ว เขาก็รีบลุกขึ้นมา วิ่งใหม่ได้อย่างมีความสุขอีกครั้ง... ฉันใดก็ฉันนั้น เมื่อเราหกล้มหรือผิดพลาด ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ... ก็อย่าจมอยู่กับความล้มเหลวนั้น ยืนขึ้นแล้วเริ่มต้นกันใหม่ ... จงเป็นอย่างก้อนหินที่แข็งแรง ทนทานหนักแน่น... ไม่ใช่เป็นแค่เพียงก้อนน้ำแข็งที่ละลาย และเหลวกลายเป็นน้ำ... คุณอาจจะเป็นคนหนึ่งที่อยู่ในสถานการณ์แบบนี้... ให้ลองยืนขึ้นอีกครั้ง...แล้วกำหมัดของคุณให้แน่นพอ... เพื่อเรียกพลัง ของการเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ให้กลับ... จงจำไว้ว่าคุณ... ไม่คู่ควรกับความฝันและความสำเร็จที่ตั้งใจไว้... ถ้าคุณล้มเหลว แต่กลับให้มันเป็น ความล้มเหลว.. บทความโดย....สันทัด ขุนหมุด |
เจริญพร ขอให้มีความสุขสมหวังและ ถึงความสิ้นทุกข์ในเวลาอันใกล้โดยง่ายเทอญ
ขอเรียนเชิญ สหธรรมิกทุกๆท่านมาร่วมศึกษาและปฏิบัติธรรมของพระพุทธองค์ รวมทั้งแบ่งปันความรู้ ข้อคิด คำแนะนำ ด้วยใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาครับ
หน้าเว็บ
เกี่ยวกับฉัน
- Nitinandho
- อดีตที่ผ่านมาเป็นบทเรียน อโหสิให้ทุกคน แต่อย่ามีเวรกรรมร่วมกันอีกเลย
ผู้ติดตาม
วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
หากหกล้ม อย่าก้มหน้าหนี..
เฉียบ แสบ และสะใจ !!!
|
ดอกไม้ 5 ชนิด...พิชิตโรค
|
เมื่อลูกถูกน้ำร้อนลวก
เมื่อลูกถูกน้ำร้อนลวก
เมื่อลูกถูกน้ำร้อนลวก
เมื่อลูกถูกน้ำร้อนลวก (Woman's Story)
คุณแม่จะทำอย่างไรดี หากลูกน้อยเล่นซุกซนจนถูกน้ำร้อนลวก...วันนี้เรามีวิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้นมาแนะนำกันค่ะ ความรุนแรงของการถูกน้ำร้อนลวกมี 3 ระดับ ได้แก่
ชั้นหนังกำพร้า ผิวหนังชั้นนี้เป็นผิวบาง ๆ อยู่ชั้นนอกสุด อาการบาดเจ็บในชั้นนี้เกิดจากระดับความร้อนที่ไม่สูงนัก และสัมผัสผิวในช่วงเวลาไม่นาน ทำให้มีอาการบวมแดง อาจรู้สึกแสบ ๆ บริเวณที่ถูกลวก และจะหายได้เร็วและไม่เป็นแผลเป็น
ชั้นหนังแท้ ชั้นนี้จะมีต่อมไขมัน ต่อมเหงื่อ รากผมและขน นอกจากจะทำให้เกิดอาการบวมแดงแล้ว ผิวที่โดนความร้อนอาจขยายตัวพอง มีน้ำใส ๆ อยู่ข้างใน เป็นปฏิกิริยาลดความร้อนอัตโนมัติของร่างกาย ซึ่งผิวหนังอาจลายและบวม อาการปวดจะรุนแรงมากกว่าชั้นแรกรักษาหายยากกว่า และอาจเกิดแผลเป็นได้
ชั้นใต้ผิวหนัง หากมีความร้อนสูงมาก อย่างน้ำมันเดือด ๆ หรือไฟมาสัมผัสผิวหนังเป็นเวลานาน ก็อาจจะทำให้ชั้นใต้ผิวหนังถูกทำลาย ซึ่งถือเป็นความรุนแรงมากที่สุด เพราะชั้นนี้มีกล้ามเนื้อ เส้นประสาท เส้นเลือด และกระดูกอยู่ อาจเกิดความเจ็บปวดมาก หรือไม่รู้สึกอะไรเลยหากเส้นประสาทถูกทำลายจนหมด และจะทิ้งรอยแผลเป็นไว้ให้อย่างแน่นอน
วิธีปฐมพยาบาล
ขจัดแหล่งความร้อน เช่นถอดเสื้อที่เปียกน้ำร้อนไม่ให้ความร้อนสัมผัสกับผิวเป็นเวลานาน หากมีเครื่องประดับให้ถอดเครื่องประดับบริเวณนั้นออก เพื่อป้องกันการแน่นครับหลังผิวหนังเกิดดอาการพองตัวขึ้น
ลดอุณหภูมิของผิวที่โดนความร้อนด้วยความเย็น เช่น ราดน้ำเย็น เอาน้ำเย็นใส่ถุงมาประคบ จะช่วยลดอาการพองน้ำได้ ไม่ควรนำน้ำปลา ยาสีฟัน หรืออาหารในตู้เย็นมาประคบ เพราะจะทำให้แผลเกิดการติดเชื้อได้
ทำความสะอาดแผล โดยใช้น้ำสบู่อ่อน ๆ ล้างให้สะอาด ไม่ควรเจาะแผลที่พองให้แตก เพราะอาจทำให้ติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
สมานแผล ใช้ยาสำหรับรักษาแผลน้ำร้อนลวก หรือใช้ว่านหางจระเข้ล้างให้สะอาดปิดแผล จะช่วยบรรเทาอาการได้มาก
ทางที่ดีผู้ใหญ่ควรระวังความปลอดภัยให้เด็กเป็นพิเศษ ไม่วางภาชนะใส่ของร้อนไว้ใกล้มือเด็ก และควรปิดภาชนะให้แน่นหนาทุกครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุในขณะที่เด็กกำลังเล่นซน...
ข้อดีของคนโสด
ท่านรู้ว่าไม่แต่งงานเดี๋ยวจะพาลมิให้มาเกิด
เกิดมาทำไมไม่หาสุขอันล้ำเลิศ
เกิดมาอย่าเสียชาติเกิด
แต่งงานเถิด คุณหนุ่มคุณสาว
เมื่อประมาณสามสิบสี่สิบปีก่อนเสียงเพลง "เป็นโสดทำไม" ของสุรพล สมบัติเจริญ
โด่งดังและเป็นเพลงที่ชาวบ้านร้องกันได้จนติดปาก
สมัยก่อนนั้นค่านิยมของสังคมบ้านเราไม่ว่าแห่งหนตำบลไหน
ต้องการให้คนหนุ่ม-สาว ในหมู่บ้านมีเหย้ามีเรือนเมื่อถึงวัยอันเหมาะสม
บ้านไหนถ้าลูกหลานถึงวัยที่สมควรจะมีครอบครัวแล้วยังไม่มีคู่อยู่เป็นโสด
ผู้ใหญ่ก็พยายามจะจัดการเลือกคู่ให้ เพราะไม่อยากให้ชาวบ้านนินทากันว่า
หนุ่มหรือสาวบ้านนี้หาคู่ครองไม่ได้ ไม่เป็นฝั่งเป็นฝาเสียที
นี่คงเป็นวัฒนธรรมที่ใช้ได้ในสมัยก่อนนั้น เนื่องจากครอบครัวชาวไทย
มักจะมีผู้ชายเป็นผู้หาเลี้ยงครอบครัว ทำนา ทำสวน ทำไร่ หรือประกอบกิจทำมาค้าขายเป็นหลัก
ส่วนผู้หญิงก็มักจะเป็นแม่บ้านแม่เรืิอนดูแลปรนนิบัติผู้เป็นสามีอยู่กับบ้านกับเรือน
ไม่มีและไม่จำเป็นต้องวิเคราะห์เจาะลึกกันมากในการเลือกคู่ครอง
ขอเพียงถูกตาต้องใจกันเท่านั้น ก็สามารถร่วมหัวจมท้ายกันได้ตลอดไป
กาลเวลาผ่านไป วัฒนธรรมในเรื่องการมีครอบครัวของคนในปัจจุบันก็เปลี่ยนไป
จะเห็นได้ว่าผู้หญิงในยุคใหม่นี้ ไม่ได้รอเป็นแม่บ้านอย่างเดียวเหมือนเดิม
หลายคนและเป็นจำนวนมากต้องออกทำงานเช่นเดียวกับที่ผู้ชายทำ
เรียกแบบฝรั่งๆก็ว่าเป็น Working Women
ผู้หญิงบางคนก็มีตำแหน่งใหญ่โตสามารถบังคับบัญชาลูกน้องที่เป็นผู้ชายได้
คงเป็นด้วยเหตุผลนี้อย่างหนึ่งจึงมักจะเห็นว่าผู้หญิงในปัจจุบันอยู่เป็นโสด
ไม่มีครอบครัว เพราะผู้หญิงสมัยนี้ไม่ได้มีเวลาว่างๆอยู่กับบ้านทำกับข้าว
รีดผ้า ซักผ้า ถูบ้าน เพียงอย่างเดียวเหมือนเดิมแล้ว
บางคนใช้เวลาในแต่ละวันอยู่กับที่ทำงาน
จนลืมไปเลยว่าตัวเธอเองอายุอานามปาเข้าไปเท่าไรแล้ว
มีคนพูดเปรียบเปรยผู้หญิงเหล่านี้ว่า
"สงสัยจะได้แต่งกับงานมากกว่าได้แต่งกับคน"
เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องธรรมดาในสังคมบ้านเราไปแล้ว
ส่วนผู้ชายในสมัยนี้จะมาสวมบทบาทช้างเท้าหน้าแบบเดิมๆก็คงไม่ได้
จะหาสาวมาเป็นภรรยาสักคนไม่ใช่เจอหน้าถูกใจก็ส่งผู้ใหญ่ไปสู่ขอได้เลย
ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะเห็นคนโสดเพิ่มมากขึ้นในบ้านเรา
หรือจะว่าไปอาจพูดได้ว่าเป็นแบบนี้ไปทั่วโลกแล้วก็ว่าได้
จะบอกว่าชีวิตคนโสดเหล่านี้ไม่มีความสุขชีวิตไม่สมบูรณ์แบบ
คงพูดอย่างนั้นไม่ได้
คนที่มีครอบครัวบางคน ก็ไม่ใช่ว่าชีวิตจะสดใสตลอดชีวิตสมรส
บางคนชีวิตคู่กับรันทดไม่ได้เป็นอย่างใจคิดก็มีให้เห็น ถึงกับพึมพำว่า
"รู้อย่างนี้ขออยู่เป็นโสดจะดีกว่า"
ปัญหาการหย่าร้างในปัจจุบันก็เพิ่มสูงขึ้นแต่เรื่องนี้ขอไม่กล่าวถึง
ที่เขียนทั้งหมดวันนี้ เพียงอยากให้ใครก็ตามที่ยังเป็นโสด
อย่าได้ไปคิดว่านี่คือปมด้อย ข้อบกพร่อง ของเราที่หาคู่ไม่ได้
บางทีเชื่อหรือไม่ อาจมีคนหลายๆคนแอบอิจฉาในความโสดของคุณอยู่ก็ได้
(ลุงแอ๊ดคนหนึ่งล่ะ)
มีเพลงอีกเพลงหนึ่ง เนื้อหาของเพลงตรงกันข้ามกับเพลง
"เป็นโสดทำไม"
ที่กล่าวถึงเบื้องต้น เพลงนี้คงเหมาะและเป็นไปตามยุคสมัยใหม่
ฟังแล้วก็น่าจะเป็นกำลังใจให้เหล่าคนโสดได้เป็นอย่างดี
เพลงนี้ชื่อเพลง "ข้อดีของคนโสด" โดย โอ วรต
เพลง ข้อดีของคนโสด – โอ วรต Feat.ต้น กัปตันโลมา
อัลบั้มใหม่ เพลงใหม่ โอ วรต ข้อดีของคนโสด
เนื้อเพลงเขาแต่งไว้ดังนี้
7เดือนกับ15วันที่ฉันใจลอยและซึมเหม่อ
ไม่มีแรงหายใจตั้งแต่เลิกคบเธอ
เพื่อนมาเจอะบอกเออไม่ค่อยดี
นั่งโซฟาก็จ้องตาอยู่กับหมากับแมวทุกวันนี้
ได้แต่สงสารมันอยู่ด้วยกันหลายปี
ขืนฉันตายตอนนี้มันคงเสียใจ
คิดมุมใหม่มองไปรอบๆ ด้าน
อยู่คนเดียวนานๆ ก็มีข้อดีอีกตั้งมากมาย
ได้นั่งดูหนังอย่างสบายอารมณ์
ไม่ต้องแย่งผ้าห่มแบ่งขนมให้ใคร
เพลงเปิดได้ดังๆฟังแต่ที่ชอบใจ
อารมณ์ไหน ก็ไม่มีใครมาห้ามปราม
ได้ยืนหุงข้าวทอดไข่ดาวคนเดียว
จูงหมาเดินไปเที่ยวกลับก็มาอาบน้ำ
คิดถึงเพื่อนก็โทรได้ฮัลโหลนานๆ
มีความเหงาเป็นของตัวเองบ้าง
สิ่งเหล่านี้ก็คงเป็นนิยาม ข้อดีของคนโสด
ได้นอนเล่นเกมส์อย่างสบายอารมณ์
หนาวก็ดึงผ้าห่มไม่ต้องห่มให้ใคร
เป็นเจ้าของห้องน้ำแช่ได้ตามสบาย
ไม่มีใครบอกให้ไวๆอย่าใช้นาน
ได้ซักผ้าเป็นกินข้าวเย็นคนเดียว
ได้เป็นนักท่องเที่ยวเดินอยู่ตรอกข้าวสาร
ที่ไหนก็ได้ไปไม่มีใครโทรตาม ที่แอบเหงามันก็พอมีบ้าง
สรุปแล้วทั้งหมดนี่คือนิยาม ข้อดีของคนโสด
ท้ายนี้ก็ไม่มีอะไรมาก อยากบอกว่าอิจฉาคนโสดนะครับ
ไม่ว่าเราจะโสดหรือไม่โสด ก็ขอให้เราใช้ชีวิตอย่างมีความสุข
ให้ได้ทุกๆวันและตลอดไป
ความสำเร็จของชีวิตอยู่ที่เราสามารถทำให้ตัวเราเองและคนรอบข้างมีความสุขหรือไม่
ไม่ใช่วัดกันที่ว่า โสดหรือไม่โสด
วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
การถือสัญชาติหลายสัญชาติทำได้หรือไม่ตามกฎหมายไทย
การถือสัญชาติหลายสัญชาติทำได้หรือไม่ตามกฎหมายไทย
โดยหลักเมื่อกฎหมายใช้คำว่า บิดา ต้องถือเอาโดยชอบด้วยกฎหมาย คือจดทะเบียนสมรสกับมารดา หรือจดทะเบียนรับรองบุตร เพราะคำว่า บิดา กับคำว่า บุพการีมีความหมายที่ต่างกัน แต่ในเรื่องนี้ พรบ. สัญชาติฉบับแก้ไขเพิ่มเติมได้มีการบัญญัติรองรับว่า หมายถึงบิดาตามความเป็นจริง แม้ว่าจะมิได้จดทะเบียนสมรสกับมารดาก็ตาม หรือไม่ได้รับรองบุตรก็ตาม ดังนั้น หากท่านไปอ่านตำรา หรือบทความที่บอกว่า บิดาต้องเป็นบิดาโดยชอบด้วยกฎหมายก็อย่าไปเข้าใจว่าผู้เขียน เขียนผิด เพราะเป็นเช่นนั้นจริงๆ ก่อนจะมีการแก้ไขกฎหมาย
2 ผู้เกิดในราชอาณาจักรไทย
3. หญิงต่างด้าว สมรสกับชายไทย ได้สัญชาติตามสามี
4. การขอแปลงสัญชาติ โดยมีคุณสมบัติตามมาตรา 10
มาตรา ๑๐ คนต่างด้าวซึ่งมีคุณสมบัติครบถ้วนดังต่อไปนี้ อาจขอแปลงสัญชาติเป็นไทยได้
(๑) บรรลุนิติภาวะแล้วตามกฎหมายไทยและกฎหมายที่บุคคลนั้นมีสัญชาติ
(๒) มีความประพฤติดี
(๓) มีอาชีพเป็นหลักฐาน
(๔) มีภูมิลำเนาในราชอาณาจักรไทยต่อเนื่องมาจนถึงวันที่ยื่นคำขอแปลงสัญชาติเป็นไทยเป็นเวลาไม่น้อยกว่าห้าปี
(๕) มีความรู้ภาษาไทยตามที่กำหนดในกฎกระทรวง
ข้อยกเว้น (4) (5) ของมาตรา 10
มาตรา ๑๑ บทบัญญัติในมาตรา ๑๐ (๔)และ(๕) มิให้นำมาใช้บังคับ ถ้าผู้ขอแปลงสัญชาติเป็นไทย
(๑) ได้กระทำความดีความชอบเป็นพิเศษต่อประเทศไทย หรือได้ทำคุณประโยชน์ให้แก่ทางราชการซึ่งรัฐมนตรีเห็นสมควร
(๒) เป็นบุตร ภริยา หรือสามีของผู้ซึ่งได้แปลงสัญชาติเป็นไทย หรือของผู้ได้กลับคืนสัญชาติไทย
(๓) เป็นผู้ได้เคยมีสัญชาติไทยมาก่อน
(๔) เป็นสามีของผู้มีสัญชาติไทย
หมายความว่า มาตรา 11 (1)-(4) คือ
- ทำความดี
- เป็นบุตร ภริยา หรือสามี ของผู้ซึ่งได้แปลงสัญชาติ เป็นไทย เช่น นางกิมง้วนได้รับการแปลงสัญชาติไทยมาก่อน และสมรสกับนายกิมเฮง นายกิมเฮงถือเป็นบุคคลตามนี้
- หรือมีสัญชาติไทยมาก่อน
- หรือเป็นสามีของหญิงที่มีสัญชาติไทย
บุคคลเหล่านี้ได้รับยกเว้น ไม่ต้องมีภูมิลำเนาในราชอาณาจักรไทยเป็นเวลา 5 ปี หรือไม่ต้องมีความรู้ภาษาไทยตามกฎกระทรวงก็สามารถขอแปลงสัญชาติได้เลย แต่ต้องบรรลุนิติภาวะตามกฎหมาย มีการงานเป็นหลักแหล่ง มีความประพฤติดี เช่น นายสตีฟ แต่งงานกับนางขาว นายสตีฟ ขอสัญชาติได้ แม้จะไม่มีภูมิลำเนาในราชอาณาจักรมาก่อนหน้านี้ถึงห้าปีก็ตาม
5. ขอแปลงสัญชาติโดยมีผู้ขอแปลงสัญชาติแทน ได้แก่ บุตรซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะ และ ผู้ปกครองดูแล ไม่ว่าจะเป็นบิดามารดา ผู้อนุบาลหรือผู้รับบุตรบุญธรรมขอแปลงสัญชาติให้
การอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้สละสัญชาติไทย ให้อยู่ในดุลพินิจของรัฐมนตรี
2. ผู้ซึ่งถือสัญชาติตามบิดาหรือมารดา ถ้าประสงค์จะถือสัญชาติอื่น ให้สละสัญชาติไทย คำว่า "ให้" เป็นบทบังคับเด็ดขาด ว่าต้องสละสัญชาติไทย แต่อย่างไรก็ดี หากไม่สละก็ไม่มีบทลงโทษ แต่อาจถูกบังคับถอนสัญชาติถ้ามีเหตุตามกฎหมาย ซึ่งถ้าไม่มีการถอนสัญชาติ ก็ยังคือได้อยู่ กรณีนี้เป็นการขาดสภาพบังคับอย่างเด็ดขาดทางกฎหมาย เป็นจุดอ่อนของกฎหมายนี้ ตามมาตรา 14 ส่วนที่มาตรา 14 บัญญัติในตอนท้ายว่า "เว้นแต่ในระหว่างประเทศไทยมีการรบหรืออยู่ในสถานะสงคราม รัฐมนตรีจะสั่งระงับการสละสัญชาติไทยรายใดก็ได้" นั้นเป็นเพราะ หากเราให้ถอนสัญชาติแล้ว เราจะตามตัวกลับมารับโทษยาก ไม่ใช่ไม่ได้ แต่ยาก แต่ถ้าให้ถือสัญชาติไว้จะเป็นผลดีในการตามตัวหรือขอตัวข้ามแดนได้
3. ชายหรือหญิงที่สมรสกับคนต่างด้าว จะสละสัญชาติไทยก็ทำได้ หากมีความประสงค์ ถ้าไม่ประสงค์ไม่สละก็ได้ แต่ต้องดูกฎหมายที่ประเทศนั้นว่าเขายอมหรือไม่ บางประเทศหากจะถือสัญชาติเขาต้องสละสัญชาติเดิม แต่บางประเทศก็ไม่บัญญัติไว้
มาตรา ๑๖ หญิงซึ่งเป็นคนต่างด้าวและได้สัญชาติไทยโดยการสมรส อาจถูกถอนสัญชาติไทยได้เมื่อปรากฏว่า
(๑) การสมรสนั้นได้เป็นไปโดยปกปิดข้อเท็จจริง หรือแสดงข้อความเท็จอันเป็นสาระสำคัญ การสมรสโดยไม่ประสงค์จะเป็นสามีภริยากันค่ะ รับจ้างแต่งว่างั้นเหอะ
(๒) กระทำการใด ๆ อันเป็นการกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงหรือขัดต่อประโยชน์ของรัฐ หรือเป็นการเหยียดหยามประเทศชาติ
(๓) กระทำการใด ๆ อันเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
การถอนสัญชาติไทยตามวรรคหนึ่งให้เป็นอำนาจของรัฐมนตรี
2. ผู้ซึ่งเกิดในราชอาณาจักรไทย แต่มีบิดา หรือ มารดาเป็นคนต่างด้าว อาจถูกถอนสัญชาติได้ ตามมาตรา 17
มาตรา ๑๗ ผู้ซึ่งมีสัญชาติไทยเพราะเกิดในราชอาณาจักรไทยโดยมีบิดาหรือมารดาเป็นคนต่างด้าวอาจถูกถอนสัญชาติไทยได้ เมื่อปรากฏว่า
(๑) ไปอยู่ในต่างประเทศที่บิดาหรือมารดามีหรือเคยมีสัญชาติเป็นเวลาติดต่อกันเกินห้าปีนับแต่วันที่บรรลุนิติภาวะ
(๒) มีหลักฐานแสดงว่าใช้สัญชาติของบิดาหรือมารดาหรือสัญชาติอื่นหรือฝักใฝ่อยู่ในสัญชาติของบิดาหรือมารดาหรือสัญชาติอื่น
(๓) กระทำการใดๆ อันเป็นการกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงหรือขัดต่อประโยชน์ของรัฐหรือเป็นการเหยียดหยามประเทศชาติ
(๔) กระทำการใดๆ อันเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
การถอนสัญชาติไทยตาม (๑) หรือ (๒) ให้รัฐมนตรีเป็นผู้สั่ง ส่วนการถอนสัญชาติไทยตาม (๓) หรือ (๔) เมื่อพนักงานอัยการร้องขอ ให้ศาลเป็นผู้สั่ง
3. ผู้ซึ่งได้สัญชาติไทย โดยรัฐมนตรีสั่งเฉพาะราย ตามมาตรา 7 ทวิ วรรคสอง อาจถูกถอนสัญชาติ โดยดุลยพินิจรัฐมนตรีเช่นกัน (เขาให้เขามีสิทธิถอน)
มาตรา ๑๘ เมื่อมีพฤติการณ์อันเป็นการสมควรเพื่อความมั่นคงหรือประโยชน์ของรัฐ รัฐมนตรีมีอำนาจถอนสัญชาติไทยของผู้ซึ่งได้สัญชาติไทยตามมาตรา ๗ ทวิ วรรคสอง
4. ผู้ซึ่งได้สัญชาติโดยการแปลงสัญชาติ โดยรัฐมนตรีมีอำนาจถอน เมื่อมีเหตุตามมาตรา 19
มาตรา ๑๙ รัฐมนตรีมีอำนาจถอนสัญชาติไทยแก่ผู้ซึ่งได้สัญชาติไทยโดยการแปลงสัญชาติ เมื่อปรากฏว่า
(๑) การแปลงสัญชาตินั้นได้เป็นไปโดยปกปิดข้อเท็จจริงหรือแสดงข้อความเท็จอันเป็นสาระสำคัญ
(๒) มีหลักฐานแสดงว่าผู้แปลงสัญชาตินั้นยังใช้สัญชาติเดิม ผู้ที่ได้รับการแปลงสัญชาติ ห้ามถือสัญชาติเดิมค่ะ อันนี้ของเราเหมือนกับหลายๆ ประเทศ
(๓) กระทำการใด ๆ อันเป็นการกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงหรือขัดต่อประโยชน์ของรัฐ หรือเป็นการเหยียดหยามประเทศชาติ
(๔) กระทำการใด ๆ อันเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
(๕) ไปอยู่ในต่างประเทศโดยไม่มีภูมิลำเนาในประเทศไทยเป็นเวลาเกินห้าปี
(๖) ยังคงมีสัญชาติของประเทศที่ทำสงครามกับประเทศไทย
การถอนสัญชาติไทยตามมาตรานี้ จะขยายไปถึงบุตรของผู้ถูกถอนสัญชาติไทยในเมื่อบุตรนั้นยังไม่บรรลุนิติภาวะและได้สัญชาติไทยตามมาตรา ๑๒ วรรคสองด้วยก็ได้ และเมื่อรัฐมนตรีสั่งถอนสัญชาติไทยแล้วให้นำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงทราบ
เขตอำนาจศาลโลก
วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
เขตอำนาจศาลโลก
ในการวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทระหว่างรัฐนั้น คู่กรณีจะต้องเป็นรัฐด้วยกัน เช่น ประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา โดยรัฐบาลของประเทศนั้นๆ ถ้าไม่ใช่รัฐบาลไม่อาจนำคดีขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้ ดังนั้น ฝ่ายการเคลื่อนไหวทางการเมืองต่างๆ เช่น พธม. หรือ นปช. เอกชนหรือนิติบุคคลจะเป็นคู่กรณีในศาลโลกไม่ได้ ไม่อาจเป็นโจทก์ยื่นฟ้องร้องต่อศาลโลกให้วินิจฉัยได้เลย
ตามที่มีการกล่าวอ้างว่า หน่วยงานหรือกลุ่มบุคคลใดจะฟ้องร้องประเทศไทย รัฐบาลไทยต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศไม่อาจทำได้เลย เพราะศาลยุติธรรมระหว่างประเทศจะพิจารณาคดีในกรณีคู่พิพาทเป็นรัฐหนึ่งกับอีกรัฐหนึ่งเท่านั้น (เหมือนคำว่า สงครามที่หมายถึงการรบระหว่างรัฐหนึ่งกับอีกรัฐหนึ่ง มิใช่การต่อสู้ของคนในรัฐเดียวกัน)
อย่างไรก็ดี พึงเข้าใจด้วยว่า การนำคดีขึ้นสู่ศาลโลกนั้น ต้องได้กระทำโดยสมัครใจของคู่กรณีทั้งสองฝ่ายรัฐ (รัฐพิพาท) เพื่อให้ศาลโลกใช้อำนาจวินิจฉัยชี้ขาดกรณีนั้น ดังเช่นคดีเขาพระวิหารที่เราและกัมพูชาเคยจูงมือกันนำคดีขึ้นสู่ศาลมาแล้ว
การดำเนินคดีในศาลอาญาระหว่างประเทศ
วันศุกร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2554
การดำเนินคดีในศาลอาญาระหว่างประเทศ ฉบับเข้าใจง่าย
การเข้าเป็นภาคีสมาชิกอนุสัญญาระหว่างประเทศนั้นมีขั้นตอนตามกฎหมาย แต่ผู้เขียนขออธิบายง่ายๆ ไม่เน้นถ้อยคำภาษากฎหมายระหว่างประเทศมากนัก เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจได้ง่ายๆ ดังนี้
การที่ประเทศต่างๆ ร่วมกันทำสนธิสัญญาระหว่างกัน โดยมีประเทศใดประเทศหนึ่งเป็นตัวตั้งตัวตีนั้น ประเทศต่างๆ ที่พึงพอใจต่ออนุสัญญาดังกล่าวจะมาลงนาม เข้าชื่อ ว่าฉันสนใจ ขอเข้าร่วมด้วย หลังจากลงนามกันแล้ว ต้องมีการทำสัญญากันอีกชั้นหนึ่ง เรียกว่า การให้สัตยาบัน ดังนั้น ลำพังเพียงแต่ลงนามครั้งแรก ยังไม่ถือว่าเป็นภาคีสมาชิก เมื่อให้สัตยาบันแล้ว แต่ละประเทศ ต้องไปดำเนินการออกกฎหมายภายในประเทศ ให้สอดคล้องกับสัญญาที่ได้ลงนาม เรียกว่า ออกกฎหมายอนุวัติการณ์ตามสนธิสัญญาที่เราไปลงนามไว้
ยกตัวอย่างเช่นกรณีการก่อการร้าย การก่อการร้ายนี้ เราให้สัตยาบันและออกกฎหมายอนุวัติการไว้แล้ว โดยแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๕ เพิ่มเติมเข้าไป ว่าด้วยการก่อการร้าย จึงถือว่า เราได้ดำเนินการครบถ้วนแล้ว ที่เหลือหากต้องการให้ส่งผู้ร้ายข้ามแดน เราต้องดำเนินการขอตัวผู้ร้ายไปยังประเทศที่เป็นภาคี กรณีมอนเตฯ
มีรัฐธรมนูญภายในประเทศ ห้ามส่งตัวพลเมืองของตนเองไปรับโทษยังประเทศอื่น ไม่ใช่ประเด็นว่าการกระทำของ ทักษิณเป็นการก่อการร้ายหรือไม่
อุปมาเหมือน เวลาเรารักชอบใครสักคน ตกลงคบหากัน เราจะบอกรักกัน นั่นคือการลงนาม เสร็จแล้วคบหาดูใจกัน ในช่วงนี้ยังไม่มีความผูกพันต่อกัน จะคบจะเลิกยังไงก็ทำได้ เมื่อตกลงกันได้ว่าจะแต่งงานกัน ทั้งสองฝ่ายต้องมาทำการจดทะเบียนสมรสกัน อุปมาเหมือนการให้สัตยาบัณในสนธิสัญญา ในช่วงนี้ความผูกพันทางกฎหมายเริ่มขึ้นแล้ว ก่อนจะจดทะเบียนสมรสทั้งสองฝ่ายต้องจัดการปัญหาหน้าที่การงาน ให้ลงตัวจัดสรรบ้านช่องห้องหอสำหรับที่จะอยู่ร่วมกัน อุปมาเหมือนเตรียมออกกฎหมายอนุวัติการณ์ แล้วจึงมาจดทะเบียนสมรสกัน เมื่อจดทะเบียนสมรสเสร็จแล้ว ทั้งสองฝ่ายก็ย้ายมาอยู่ร่วมกัน อุปมาเหมือนการออกกฎหมายภายในประเทศอนุวัติการณ์ให้เป็นไปตามสนธิสัญญาระหว่างประเทศ ดังนั้น หากมีการลงนามแต่มิได้ให้สัตยาบัณ ก็ยังไม่อาจถือว่าเป็นคู่สัญญา โดยเฉพาะในสนธิสัญญาพหุภาคี ซึ่งมีสมาชิกหลากหลายมากมาย
ประเทศต่างๆ 108 ประเทศจึงเข้าร่วมลงนามในธรรมนุญกรุงโรม รวมถึงประเทศไทย แต่ประเทศไทย ไม่ได้เข้าให้สัตยาบัณอีกครั้งหนึ่ง ดังนั้น ประเทศไทยจึงไม่ถือว่าเป็นภาคีสมาชิกธรรมนุญกรุงโรม ไม่อยู่ในบังคับของศาลอาญาระหว่างประเทศ
แต่อย่างไรก็ดี ประเทศที่ลงนามในสนธิสัญญาแล้วแต่ยังมิได้ให้สัตยาบัน ก็ต้องไม่กระทำการใด ๆ อันเป็นการขัดหรือแย้งกับวัตถุประสงค์แห่งสนธิสัญญาที่ได้ลงนามไป ปัจจุบัน สหรัฐอเมริกา และอิสราเอล ได้เพิกถอนการลงนามของตน และแถลงว่าขอถอนตัวจากการลงนาม กล่าวง่ายๆ คือ ไม่ยอมรับ และไม่ให้ความสนใจกับอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศอีกต่อไป จึงไม่เคยมีกรณีที่สหรัฐอเมริกานำใครขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศหรือถูกฟ้องในศาลอาญาระหว่างประเทศเลย
คำคม สร้างกำลังใจ
" แม้ไม่ได้ทุกอย่างที่หวังไว้
ก็มั่นใจในคุณค่ามหาศาล
หนึ่งส่วนจากเศษฝันเมื่อวันวาน
อาจสร้างงานเกียรติยศปรากฎไกล..."
Beowulf: จุดอ่อนของผู้ชาย
Beowulf: จุดอ่อนของผู้ชาย
เคยได้ยินไหมครับ ที่เขาว่า พระเจ้าสร้างผู้หญิงขึ้นจากกระดูกซี่โครงซี่หนึ่งของผู้ชาย
ผู้ชายถึงรู้สึกเสมอว่า เวลามีผู้หญิงอยู่ใกล้แล้วเหมือนเจอชิ้นส่วนที่ขาดหาย
แต่อย่าถามนะ ว่าแล้วทำไมผู้ชายบางคนถึงไม่ชอบผู้หญิง แต่ชอบผู้ชาย
สงสัยพระเจ้าหยิบซี่โครงผิด
เบวูลฟ์ สร้างจากนิทานปรัมปราของเดนมาร์ค ว่าด้วยกษัตริย์ผู้แข็งแกร่ง ฉลาด กล้าหาญ นาม เบวูลฟ์
แต่ไปพ่ายให้แก่อำนาจความงามของอิสตรี ที่แสดงโดยแอนเจลีน่า โจลี
จะว่าไป ก็เข้าใจเลือก เพราะโจลี เธอติดอันดับผู้หญิงในฝันของผู้ชายโดยเฉลี่ย
หนังเรื่องนี้ ว่ากันว่า เป็นอนิเมชั่นที่เนียนและสมจริงที่สุดที่เคยสร้างกันมา
เนียนจนผมตั้งคำถามว่า ทำไมจะต้องทำเป็นอนิเมชั่นให้ลำบาก
แต่พอดูๆไป ก็เริ่มถึงบางอ้อ ... อ้อ..... เพราะมันเป็นนิทานแฟนตาซี ประการหนึ่ง
ยังไงก็ต้องทำ Computer Graphic เยอะแยะอยู่แล้ว
สอง เพราะมันเป็นเรื่องที่ต้องมีฉากวาบหวิวของเรือนร่างคุณโจลี
แถมด้วยฉากต่อสู้ ปีศาจที่ต้องดูโหดๆ ถ้าทำเป็น Realistic เกินไปก็จะดูโป๊มาก โหดมากไป
สุดท้าย อันนี้ผมตีความเอง คือ มันอาจจะเป็น Symbolic อย่างหนึ่ง ของ โรเบิร์ต เซเมคิส
คือไอ้ปีศาจที่ คุณโจลี เธอแสดงเนี่ย มันมีลักษณะเป็นนามธรรมไม่ใช่ว่าใครจะมองเห็นได้ทุกคน
มันต้องคนที่มีอำนาจ ได้ครอบครอง จอกรูปมังกรทองเสียก่อน
คล้ายๆกับจะบอกว่า .. ผู้ชายที่เก่ง มีอำนาจ รวย มักจะมีจุดอ่อนเรื่องผู้หญิงนี่แหละ
สมัยเด็กๆ ตอนอ่านเรื่องเล่าช่วงที่พระพุทธเจ้าท่านจะทรงตรัสรู้
จำได้ว่า ช่วงนั้น จะมีพญามารต่างๆ ออกมาแสดงอิทธิฤทธิ์ เพื่อหน่วงรั้งกันท่าไม่ให้เจ้าชายสิตธัตถะตรัสรู้ได้สำเร็จ
หนึ่งในนั้น ก็แปลงเป็นผู้หญิงที่เรือนร่างงามงดหมดจด อ้อนแอ้น ยั่วยวนที่สุด แบบเดียวกับคุณโจลี ในเรื่องเลย
ตอนจบของเรื่อง เบวูลฟ์ ผมจะไม่บอกก็แล้วกัน ไม่อยากสปอยล์
แต่เป็นตอนจบที่เข้าใจได้ว่า "มาร" ไม่เคยสูญพันธุ์จากโลก
แต่จะคอยมาล่อลวง หลอกหลอน ให้เราอยู่เวียนว่ายตายเกิดเป็นเพื่อนมันไปอีกนาน
ขึ้นชื่อว่าเป็นมารระดับ "พญา" ก็เชื่อมือได้ว่า ท่านไม่ธรรมดาแน่นอน
ครูบาอาจารย์ผมท่านเคยเล่าว่า ที่จริงเหล่าพญามารนี่ เป็นผู้มีบุญมากนะครับ
บางตนนี่ ถึงกับเป็นว่าที่พระพุทธเจ้าองค์ต่อๆไปเลยเชียวนะ ทำเป็นเล่นไป
อย่างพระเทวฑัต ญาติของพระพุทธเจ้าเอง และคู่ปรับเบอร์หนึ่งของท่าน
ก็เป็นผู้มีฤทธาบารมีมาก แต่แพ้กิเลสมารของตัวเอง คือตัวอิจฉา อิจฉาว่าพระพุทธเจ้าเก่งกว่า
อิจฉาว่าพระพุทธเจ้า ได้สัมมาสัมโพธิญานก่อนท่าน ไม่ยินดีที่เห็นคนอื่นได้ดีกว่า ว่างั้นเถอะ
ฉะนั้น จะเป็นนักรบ เป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่อย่างเบวูลฟ์ เป็นนักบวช เป็นผู้มีฤทธิ์
ถ้ายังไม่ได้มรรคผล นิพพาน ท่านว่า.. อย่าพึงประมาท
ขาดสติ นิดเดียว นรกก็เป็นที่หมายอันมั่นใจได้แน่นอน
ที่ว่าเก่ง ว่าแน่ อย่างพระเฑวฑัต ก็เป็นเหยื่อกิเลสมารจนอิจฉาจนตามัว ทำบาปหนักถึงธรณีสูบ
แต่วันหนึ่งข้างหน้า แต่อีกน๊านนนนนน นานนน นะ ท่านก็จะได้เป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งด้วย
ราชินี ถามเบวูลฟ์ตอนหนึ่งว่า .. ปีศาจเนี่ย สวยมากเลยเหรอ เบวูลฟ์?
เบวูลฟ์บอกว่า "ไม่ใช่แค่สวยสะคราญ แต่ยังมาพร้อมข้อเสนอที่ยากจะปฏิเสธได้"
อาจารย์ผมท่านเคยบอกว่า กิเลสมาร เป็นเจ้านายที่เป็นนักรัฐศาสตร์ชั้นเยี่ยมที่สุด
คือถ้าทำตามมัน มันจะโยนความสุขให้ก้อนนึงทันที เป็นการตอบแทน
แต่เป็นความสุข ชั่วคราวนะ แถมยังเสพติดได้ด้วย ให้คุณอยากไปเรื่อยๆ
เมื่อไหร่ที่คุณคิดจะหนีมัน จะปลดแอกจากมัน หรือคิดหือ มันจะลงโทษคุณทันที ไม่รีรอ
จะติดเหล้า ติดบุหรี่ ติดเกม ติดยา ติดช๊อปปิ้ง ติดอะไรก็แล้วแต่
มันยึดหลักปฏิบัติต่อคุณโดยเสมอภาคหมด
ถ้ามันไม่แน่จริง ไม่มีคนเป็นทาสมันครึ่งค่อนโลกแบบนี้หรอก
พญามารท่านก็ไม่ได้ยกเว้นผมนะครับ ผมก็ต้องสู้กะท่านเหมือนกัน
ความสุขอยู่ที่ความสบายใจ... คุณว่าจริงไหม?
ความสุขอยู่ที่ความสบายใจ... คุณว่าจริงไหม?
น่าแปลกใจที่คนส่วนใหญ่ในปัจจุบัน ค้นหาความสุข และทำให้ตัวเองมีความสุขได้น้อยลงไปในทุก ๆ วัน
ที่น่ากังวลไปมากกว่านั้นก็คือ คนส่วนใหญ่ก็ได้สร้างความทุกข์ขึ้นมาโดยที่ตัวเองไม่ทันรู้ตัว
พอรู้สึกตัวเองอีกทีก็ทุกข์มากซะแล้ว... ก็เลยกลุ้มใจ ขาดสติ รอยยิ้มเหือดหาย
ผู้เขียนอยากเห็นคนไทยยิ้มได้มากขึ้น มีความสุขได้มากขึ้น ความทุกข์น้อยลงค่ะ...
วันนี้ ผู้เขียนได้รับอีเมลล์จากเพื่อนผู้ใจดี ส่งต่อข้อความดี ๆ ที่ทำให้รู้สึกดีและขอโอกาสนี้
ขอกล่าวขอบคุณผู้ที่เขียนบทความดี ๆ นี้ ส่งผ่านมาทางอีเมลล์ เพราะทำให้ผู้อ่านปิติ อิ่มใจ
และรู้วิธีในการปั้นความสุขได้ง่ายมากขึ้น
ผู้เขียนเห็นว่าบทความนี้เป็นประโยชน์สำหรับผู้อ่าน ที่กำลังไม่สบายใจ ได้หันมามอง
มีสติ เกิดมุมมองในการดำเนินชีวิตอย่างง่าย ๆ แต่ก็สามารถสร้างรอยยิ้ม
ดูใจเรา ปรับใจเราให้สบาย ด้วยวิธีคิดที่เราสามารถทำได้หลังจากอ่านข้อความดี ๆ นี้ได้ทันที
ลองดูนะคะ... ว่าเราจะรู้สึกดีได้มากขนาดไหน
คนที่มีความสุขที่สุดในโลกไม่ใช่คนที่ร่ำรวย
คนที่มีความสุขที่สุดในโลกไม่ใช่คนที่ประสบความสำเร็จ
แต่คนที่มีความสุขที่สุดในโลกคือ คนที่มีความสบายใจเท่านั้นเอง
ความหมายของความสบายใจ คือ
1) เต็มไปด้วยความเชื่อมั่น เชื่อว่าคุณมีดี คุณน่าคบหา และคุณทำได้
2) รู้จักตัวเอง ยอมรับในข้อบกพร่องของตัวเอง และพร้อมจะปรับปรุงเสมอ
3) ไม่ดื้อดึง ถ้าวันวานคุณเคยทำผิดพลาด คุณก็ยินยอมเปลี่ยนแปลงและรับฟังคนอื่น
4) เห็นค่าของตัวเอง คุณไม่คิดว่าตัวเองช่างไร้ค่า คุณจึงมีความสุขในใจเสมอ
5) วิ่งหนีความทุกข์ เมื่อรู้ตัวว่าตกลงไปในความทุกข์ คุณก็รีบหาทางหลุดพ้น ไม่จมอยู่กับมัน
6) กล้าหาญเสมอ คุณกล้าเปลี่ยนแปลงและกล้ารับมือกับสิ่งแปลกใหม่หรือปัญหาต่างๆ
7) มีความฝันใฝ่ เมื่อชีวิตมีจุดหมาย คุณก็จะเดินไปบนถนนชีวิตอย่างมีความหวัง ไม่เลื่อนลอย
8) มีน้ำใจอาทร คุณพบความสุขในใจเสมอถ้าเป็นผู้ให้แก่ผู้อื่น โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน
9) นับถือตัวเอง ไม่ดูถูกตัวเองด้วยการลดคุณค่าและทำในสิ่งที่เสื่อมเสียต่อตัวเอง
10) เติมสีสัน สร้างรอยยิ้มให้ชีวิตของคุณและคนรอบข้าง รู้จักหยอกล้อคนอื่น ๆ และตัวเองด้วย
ความสุขนั้นคือพอใจกับวิถีชีวิตของตัวเอง และวางฝันของตัวเองตามกำลังที่ตนทำได้
การได้รับวัตถุและความสำเร็จในหน้าที่การงาน ทำให้คุณพึงพอใจและยกระดับฐานะของคุณเท่านั้น เป็นการสร้างเสริมความสุขเพียงภายนอก และมันมิได้อยู่กับคุณอย่างมั่นคงถาวรตลอดไป
เพราะคนเรานั้นย่อมมีความต้องการเพิ่มขึ้นเสมอ ไม่มีวันหยุดนิ่ง
ความสุขที่แท้จริงเกิดจากข้างในจิตใจของคนเรา และถ้าจิตใจของคุณไม่ว่าง เต็มไปด้วยอารมณ์อันตรายต่าง ๆ ความสุขก็จะเกิดขึ้นได้ยากยิ่ง เพราะความสุขนั้นมักเกิดขึ้นท่ามกลางความสงบเสมอ
ชีวิตของคนเรานั้นไม่ยืนยาวนัก คุณสามารถหาความสุขให้ตัวเองได้ตั้งแต่เดี๋ยวนี้
ไม่ต้องมุ่งหวังยามแก่เฒ่าจึงค่อยอยู่อย่างสงบสุขอย่างที่หลายคนเชื่อกัน
เราจะสามารถมีความสุขที่สุดในโลกได้ในตอนนี้ ถ้าเราเริ่มจากตัวเราเอง
สำหรับผู้เขียน เป้าหมายในอนาคต
มีความสำคัญต่อการพัฒนาตัวเรา ต่อความใฝ่ฝันและความสำเร็จของเราค่ะ
แต่สิ่งที่งดงามกว่านั้น คือการที่เราให้ความสนใจกับตัวเราเอง ทำให้ตัวเราเบา
และสบายใจได้มากขึ้น ปั้นความสุข รอยยิ้ม หยอกล้อกับชีวิตซะบ้าง
มีเสียงหัวเราะที่สนุกสนาน
ทำให้ชีวิตเรามีความสุขในระหว่างทางที่เราเดินไปสู่เป้าหมายด้วยนะคะ...
ด้วยความปรารถนาดีค่ะ...
ทวีวรรณ กมลบุตร
วันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2554
สวรรค์อยู่แค่เอื้อม
สวรรค์อยู่แค่เอื้อม
ชายคนหนึ่งได้สนทนากับขุนนางในวันหนึ่งที่คฤหาสน์ของเขา เขาได้กล่าวแก่ขุนนางเจ้าของคฤหาสน์แห่งนั้นว่า "นายท่าน ข้าอยากรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่สวรรค์กับนรกมีเหมือนกัน"
ขุนนางคนนั้นได้พาเขาไปยังประตูสองบาน เขาเปิดประตูบานหนึ่งและให้ชายคนนั้นมองเข้าไป กลางห้องมีโต๊ะกลมตัวใหญ่ตัวหนึ่งตั้งอยู่ บนโต๊ะมีหม้อตุ้มซุปใบใหญ่มากอยู่หม้อหนึ่งตั้งอยู่ตรงกลางโต๊ะ กลิ่นหอมของมันชวนรับประทานจนทำให้เขาน้ำลายสอ คนที่นั่งอยู่รอบโต๊ะล้วนเป็นคนผอมโซ พวกเขาดูเหมือนเป็นคนอดอยาก พวกเขาทุกคนถือช้อนด้ามยาวมากเพื่อจะได้ตักซุปในหม้อ แต่เพราะด้ามช้อนยาวกว่าช่วงแขนของพวกเขา พวกเขาจึงไม่สามารถหันช้อนกลับมาป้อนเข้าปากตัวเองได้ ชายผู้นั้นรู้สึกขนลุกกับภาพที่เห็นความทุกข์ยากที่คนเหล่านั้นได้รับ ขุนนางกล่าวว่า "เธอได้เห็นนรกแล้ว"
พวกเขาเดินต่อไปยังอีกห้องหนึ่งที่อยู่ติดกัน แล้วเปิดประตูออก ในห้องมีทุกอย่างเหมือนกับที่มีในห้องแรก คือมีโต๊ะกลมตัวใหญ่ที่มีหม้อต้มซุปใบใหญ่วางอยู่ตรงกลางซึ่งมีกลิ่นหอมชวนรับประทานเช่นเดียวกัน คนที่นั่งอยู่รอบโต๊ะก็มีช้อนด้ามยาวเหมือนกัน แต่ทุกคนในห้องนี้ได้รับการบำรุงอาหารอย่างดีและอวบอ้วน พวกเขาหัวเราะและพูดคุยกันอย่างมีความสุข ขุนนางกล่าวว่า "ที่นี่คือสวรรค์"
ชายคนนั้นกล่าวว่า "ข้าไม่เข้าใจ"
ขุนนางยิ้ม แล้วกล่าวว่า "มันง่ายมาก สิ่งเดียวที่พวกเขาต้องมีก็คือ ความสามารถในการเรียนรู้ที่จะป้อนอาหารให้กันและกัน ในขณะที่คนเห็นแก่ตัวจะนึกถึงแต่การป้อนตัวเองเท่านั้น"
ชายคนนั้นหันกลับไปมองอีกครั้งหนึ่ง เขาจึงเพิ่งสังเกตเห็นว่า คนในห้องนี้ตักซุปแล้วไม่ได้พยายามหันช้อนกลับมาป้อนตัวเองเลย แต่กลับป้อนให้คนอื่นๆ แทน
Source: rafed.net