เจริญพร ขอให้มีความสุขสมหวังและ ถึงความสิ้นทุกข์ในเวลาอันใกล้โดยง่ายเทอญ

ยินดีต้อนรับ สหธรรมิกผู้มีใจเป็นกุศลทุกๆท่านครับ

ขอเรียนเชิญ สหธรรมิกทุกๆท่านมาร่วมศึกษาและปฏิบัติธรรมของพระพุทธองค์ รวมทั้งแบ่งปันความรู้ ข้อคิด คำแนะนำ ด้วยใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาครับ

" ความมืดแม้ทั้งโลก ก็บดบังลำแสงเพียงน้อยนิดมิได้ "


สันโดษ

สันโดษ
สุขใด เสมอความสงบ ไม่มี

หน้าเว็บ

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
อดีตที่ผ่านมาเป็นบทเรียน อโหสิให้ทุกคน แต่อย่ามีเวรกรรมร่วมกันอีกเลย

ผู้ติดตาม

วันเสาร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ผมกำลังเดินสู่ความตาย


ผมกำลังเดินสู่ความตาย

โดย Nawaporn Tansiri ณ วันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2011 เวลา 6:57 น.


ฉันได้รู้จักทนงเมื่อประมาณ ๑ ปีก่อน ตอนนั้นเขามาเพื่อขอใบส่งตัวไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลจุฬาฯ เขาป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว ได้ยาเคมีบำบัดหลายครั้ง แต่ตอนเริ่มป่วยเขาทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ จึงไปเริ่มรักษาที่นั่น


จนกระทั่งได้รับยาเคมีบำบัดครบ ทนงจะมาขอตรวจเลือดที่โรงพยาบาลที่บ้านเป็นระยะ และจะนำผลเลือดไปรพ.จุฬาฯ เขาเป็นคนหนุ่มอารมณ์ดี ยิ้มง่าย รอนานก็ไม่เคยบ่น และมาโรงพยาบาลเพียงคนเดียวทุกครั้ง


วันหนึ่งผลเลือดของทนงมีเม็ดเลือดขาวต่ำผิดปกติ ฉันเริ่มสงสัยว่าโรคของเขาจะกลับมาหรือไม่ หลังจากตรวจไขกระดูกแล้วจึงเห็นว่า ไขกระดูกของเขาเริ่มที่จะกลายเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวอีกครั้ง หลังจากที่คุยกันถึงสิ่งที่อาจจะตามมาแล้ว ฉันตัดสินใจให้ทนงนำผลไปที่รพ.จุฬาฯ ก่อนวันนัด


จากนั้นไม่นาน เขาก็กลับมาพร้อมกับตกลงว่า เขาจะไม่ขอรับการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดอีก เพราะเขาทราบดีว่า โอกาสที่จะหายนั้นน้อยมาก และยังเสี่ยงกับผลข้างเคียงที่เกิดจากยา ซึ่งมักทำให้ทรมานและรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตหลังให้ยาได้


ฉันได้แนะนำเขาถึงเรื่องการดูแลตัวเอง การสังเกตอาการที่เขาต้องมาโรงพยาบาลทันที ไม่ว่าจะดึกดื่นแค่ไหนก็ตาม ทนงก็เข้าใจเป็นอย่างดี ตลอดเวลาเขาไม่เคยแสดงความหวาดกลัว หรือกังวลกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับเขาแต่อย่างใด เขาบอกฉันอย่างง่ายๆ และธรรมดามากว่า “ผมเข้าใจ ไม่เป็นไร ก็มันรักษาไม่ได้”


หลังจากนั้นไม่นาน ทนงเริ่มมีอาการเหงือกทั้งปากบวมมาก จนกระทั่งบดบังฟันทำให้เคี้ยวข้าวลำบาก อีกทั้งยังมีเลือดออกตามเหงือกที่บวมมากๆ นั้นด้วย มันเป็นเพราะมะเร็งที่ลุกลามมากยิ่งขึ้น เม็ดเลือดขาวของเขาเพิ่มจำนวนขึ้นเป็นหลักแสน เขาเริ่มมีไข้ และนอนโรงพยาบาลด้วยอาการของโรคปอดติดเชื้อ


เขามีไข้เป็นๆ หายๆ ไอจนเหนื่อย กินได้แต่โจ๊กที่ปั่นแล้ว กับนม หรืออาหารเหลวๆ แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงก็คือ ความเป็นคนยิ้มง่าย ไม่กังวล ไม่เคยแสดงความกลัวกับความเจ็บป่วยที่เขาทราบดีว่า จุดจบของมันจะเป็นอย่างไร


แม่มาเฝ้าทนงขณะที่เขานอนโรงพยาบาล ฉันถึงนึกขึ้นได้ว่า ตลอดเวลาฉันรู้แต่เพียงว่า ทนงเข้าใจเรื่องความเจ็บป่วยของเขาเป็นอย่างดี แต่ฉันไม่เคยคุยกับแม่ของเขาเลย


ป้ามาเฝ้าทนงตลอดเลยหรือจ๊ะ


จ้ะ (ป้ายิ้มอย่างอารมณ์ดี)


ป้ามีลูกกี่คนจ๊ะ


มีสาม ทนงมีพี่ฝาแฝด แต่ตายไปหมดแล้ว เหลือทนงคนเดียวจ้ะ


(ฉันอึ้งไปพักหนึ่ง) เป็นอะไรถึงตายคะ


คนนึงตายตั้งแต่สามเดือน ส่วนอีกคนตายตอนอายุ ๑๘ เป็นโรคเนื้องอกในสมอง


เอ่อ ค่ะป้า แล้วตอนที่ทนงป่วยไปรักษาที่กรุงเทพฯ ป้าไปด้วยไหมจ๊ะ


ไม่ไปจ้ะ เขาไปของเขาเอง อ้อ แต่บางทีพ่อเขาก็ไปบ้าง


ฉันเริ่มถอยทัพ เห็นทีงานนี้ฉันจะต้องสืบจากทนงก่อน ว่าคนใกล้ชิดเขารู้เพียงใด และรู้สึกอย่างไรกับความเจ็บป่วยและความตายของเขาที่กำลังมาถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนป่วยนั้นเป็นลูกคนสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่ และอีกไม่ช้าเขาก็จะจากพ่อและแม่ไป.............ตลอดกาล


แล้วโอกาสก็มาถึง ตอนที่แม่ของเขาออกไปซื้อกับข้าว


แม่รู้เรื่องโรคของทนงมั้ย


รู้ครับ แม่ก็รู้ว่าโรคผมรักษาไม่หาย


แล้วแม่ว่าอย่างไร


แม่ก็บอกว่า ไม่หายก็ไม่หาย แม่เขาทำใจได้ครับ


เออ เอากับเขาสิ ความวิตกกังวลของฉันเริ่มหายไป แต่เกิดความสงสัยเข้ามาแทนที่ว่า “ความตาย” ที่ใครๆ ต่างก็กลัวแม้แต่จะพูดถึง กลับไม่ทำให้คนป่วยและครอบครัวของเขาหวาดกลัวอย่างที่ฉันกังวลไว้เลย


หมอถามหน่อยสิว่า ตอนที่พี่ชายตาย ตอนนั้นทนงอายุเท่าไร่


๑๓ ครับ (ตอนนี้ ๒๕ ปี)


ตอนนั้นกลัวไหม


ก็กลัวครับ แต่จะทำอย่างไรได้ เกิดมาก็ต้องตายทุกคน.....


แล้วตอนนี้ ทนงกลัวตายไหม


ไม่กลัวแล้วครับ ในเมื่อโรคมันรักษาไม่ได้ มันก็ต้องตายครับ


เคยคิดไหมว่า ตายแล้วจะไปไหน


อืม...ไม่รู้เหมือนกันครับ แต่ก็คงไปโผล่ที่ไหนซักที่หนึ่ง...... (แล้วก็ยิ้มอย่างเคย)


..................................................


เมื่อฉันก็ได้คุยกับแม่ของเขาแต่เพียงลำพัง แม่ก็เป็นอย่างที่ทนงบอกไว้ รู้และเข้าใจดีว่าลูกคนสุดท้ายที่เหลืออยู่ จะอยู่กับแม่ได้อีกไม่นาน แม่ทำใจและยอมรับได้ แม่บอกว่า ตอนที่ทนงรักษาที่โรงพยาบาลจุฬาฯ เขาเล่าให้แม่ฟังว่า คนไข้รุ่นที่ให้ยาเคมีพร้อมๆ กันนั้น จากทั้งหมด ๕ คน ตอนนี้ตายไปแล้ว ๒ คน ที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ยังโทรศัพท์เล่าเรื่องของตนให้เพื่อนฟัง และให้กำลังใจกันอยู่เป็นประจำ


ทนงบอกได้ไหมว่า ทำไมถึงไม่กลัวตาย เผื่อหมอจะได้บอกตัวเอง และไปแนะนำคนไข้คนอื่นบ้าง


อืม...ผมเห็นคนตายบ่อยมั้งครับ เพื่อนผมที่รักษาอยู่ด้วยกัน บางคนรักษาไม่ได้ก็ต้องตาย ลุงคนที่นอนป่วยอยู่ข้างๆ ผม ผมก็ไปช่วยดูแลแกบ่อยๆ สุดท้ายแกก็อาการไม่ดี แล้วก็ตายจากผมไป ผมก็คิดอยู่ว่า วันหนึ่ง ผมก็คงเป็นอย่างนั้นบ้าง


......................................................


เราทุกคนมีความตายเป็นที่สุดรอบไม่ใช่หรือ?


ฉันเองทำงานในโรงพยาบาล เห็นคนป่วยและคนตายอยู่ทุกวัน แต่ถึงคราวคนใกล้ชิดหรือแม้แต่ตัวเองเจ็บป่วย ก็ยังกลัวที่จะตายอยู่ดี สิ่งที่ต่างจากทนงก็คือ ฉันไม่เคยคิดว่าคนที่ตายจะเป็นฉันนั่นเอง ฉันเข้าใจอย่างซาบซึ้งแล้วว่า มรณสติที่พระอาจารย์ไพศาลพร่ำสอนนั้น มีคุณประโยชน์และจะช่วยตัวเรา ณ เวลานั้นได้อย่างไร


พรุ่งนี้ทนงจะกลับบ้าน หลังจากที่อาการโรคปอดติดเชื้อดีขึ้นแล้ว ฉันไปเยี่ยมขณะที่เขากำลังกินข้าวเย็น ข้าวที่ผ่านการปั่นจนเละ กับหมูบดน้อยๆ ที่เขากินเป็นประจำทุกวันและทุกมื้อ ทำให้ฉันถามตัวเองว่า อย่าว่าแต่เรื่องความตายเลย ถ้าเป็นตัวฉันเอง กินแต่อาหารอย่างนี้แล้วยังสามารถยิ้มอย่างเขาได้หรือไม่

1 ความคิดเห็น:

  1. ในรูปคือรูปโยมพ่อ เหม่อมองทะเลประมาณ 9เดือนก่อนจะเสียชีวิต โยมพ่อมีความรู้มากมาย และไม่ค่อยมีใครจะปิดบังความจริงได้ โยมพ่อสังหรณ์ใจว่าจะเสียชีวิต แต่ก็ไม่ได้อะไรมาก นอกจากทำงานเพื่อสังคมรับใช้ศาสนาและครอบครัวอย่างเต็มที่ อย่างที่บอก เมื่อโยมพ่อทราบอาการของตัวเอง โยมพ่อปฏิเสธการรักษา และขอตายอย่างไม่ทรมานด้วยอาการแพ้เคมีหรือคีโมที่เรารู้จักกันดี...โยมพ่อขอไว้ อย่าให้ป๋าทรมานมากเลยนะ.....คือเสียงที่ทำให้พวกเราทุกคนตัดสินใจ...ตามคำเรียกร้องของเจ้าของชีวิต ....เจริญพร

    ตอบลบ