เจริญพร ขอให้มีความสุขสมหวังและ ถึงความสิ้นทุกข์ในเวลาอันใกล้โดยง่ายเทอญ

ยินดีต้อนรับ สหธรรมิกผู้มีใจเป็นกุศลทุกๆท่านครับ

ขอเรียนเชิญ สหธรรมิกทุกๆท่านมาร่วมศึกษาและปฏิบัติธรรมของพระพุทธองค์ รวมทั้งแบ่งปันความรู้ ข้อคิด คำแนะนำ ด้วยใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาครับ

" ความมืดแม้ทั้งโลก ก็บดบังลำแสงเพียงน้อยนิดมิได้ "


สันโดษ

สันโดษ
สุขใด เสมอความสงบ ไม่มี

หน้าเว็บ

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
อดีตที่ผ่านมาเป็นบทเรียน อโหสิให้ทุกคน แต่อย่ามีเวรกรรมร่วมกันอีกเลย

ผู้ติดตาม

วันอังคารที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2554

หยดน้ำแห่งแรงบันดาลใจ (๕)



ตามติดชิดแน่แท้ กอดมั่นแน่แม้หลับฝัน

เป็นมิตรกับวิญญาณ เคียงทุกข์สุขทุกเวลา

ทำชั่วชั่วเดินแนบ นอนอิงแอบพลิกซ้ายขวา

ทั่วฟ้าป่านาวา ไฟร้อนรุ่มกลุ้มสุมใจ

คุณธรรมคือมิตรแท้ บุญช่วยแผ่พิสุทธิ์ใส

ศักดิ์สิทธิ์มิตรภายใน นอนแนบกายใจสวยพราว.

จงมีสติในการใช้ชีวิตประจำวัน

ฉะนั้น เราต้องหัดสังเกตรู้จักสภาวธรรมในตัวเราบ้าง ด้วยการรู้สึกตัวให้พวกเรามีสติในชีวิตประจำวัน ทุกวิถีของพุทธศาสนาที่แท้จริง ต้องสามารถเอาความรู้นั้น เอาวิธีการนั้นมาใช้กับชีวิตประจำวันของเราให้ได้ใน ๒๔ ชั่วโมง ถึงจะเป็นความรู้ที่อุดมสมบูรณ์และเกิดประโยชน์อย่างแท้จริง และให้เรารู้จักกระบวนการที่มันเกิดขึ้นภายในตัวเรา ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงตรัสและชี้ชัดลงไปว่า มีอยู่แต่ทางสายเดียว เป็นทางสายเอกที่จะเดินทางไปสู่จุดหมายมันได้คือการมีสติปัฏฐานสี่

ฉะนั้น พวกเราอย่าทิ้งสติที่มีอยู่ในชีวิตประจำวัน จากกายที่เคลื่อนไหว การรู้จักอิริยาบถใหญ่ รู้จักอิริยาบถย่อย เพื่อให้สติรู้จักสภาวะต่างๆ ของรูปธรรม และให้เห็นลึกเข้าไปถึงรูปปรมัตถ์พิจารณาตั้งแต่ลมหายใจ เป็นของเราจริงหรือเปล่า สายน้ำที่เราดื่มแต่ละครั้ง สาธิตเลยแล้วกันนะ สาธิตการดื่มน้ำ ไม่ใช่หลวงพ่อและก็ไม่ใช่น้ำ แต่ว่าอาศัยน้ำหล่อเลี้ยงให้เกิดพลังงานในร่างกาย เห็นไหมถ้าเราตามดูชีวิตประจำวันเราได้ลึกๆ ก็จะเห็นว่าน้ำก็ไม่ใช่เรา เราก็ไม่ใช่น้ำ แต่เราอาศัยเป็นธาตุที่หล่อเลี้ยงร่างกายเพื่อให้เกิดพลังงาน

การตามการรู้กายและใจกับสติปัฏฐานสี่นี่ ทำให้เกิดฉันทะ ความรักที่อยากจะดู ความรักที่อยากจะเรียนรู้ ความรักที่จะพัฒนาและเกิดกระบวนการความงอกงามของสติที่มีความสุข มีความชื่นบาน ชุ่มชื่นตลอดเวลา การตามดูกาย การตามดูเวทนา การตามดูจิต จะทำให้เราหายสงสัย ได้รู้จักธรรมชาติในตัว เรียกว่ามีความรู้สึกตัว จะได้ไม่ถูกครอบงำกลายเป็นอารมณ์ของความเกลียดความโลภที่ไม่รู้จักพอ แต่เมื่อไรที่เราเริ่มรู้จักธรรมในตัวเอง ก็จะรู้ว่าจิตเป็นประภัสสรอยู่แล้ว ตัวมันเองมีความสว่าง สะอาด สงบ มีความสุขอยู่ด้วยตัวของมันเอง แต่เพราะมันไม่รู้มันก็ถูกครอบงำด้วยกระบวนการของข่าวสาร ความไม่ชอบบ้าง หลงไปบ้าง ชิงชังบ้าง รังเกียจบ้าง อยากให้เป็นดังใจบ้าง

ธรรมชาติมันเป็นของมันอยู่อย่างนี้ ถึงเราไม่เกิดมา หมามันเห่าอยู่อย่างนั้น ถ้าเกิดมาแล้วไม่ชอบหมาเห่านี่ หาเรื่องทุกข์ฟรีนะ ต้องจัดการกับศัตรูให้ถูกตัว ไม่ใช่จัดการกับหมานะ จัดการกับความไม่ชอบของเราต่างหาก เพราะความไม่ชอบคือศัตรูที่แท้จริงที่ทำให้เราสูญเสียความสุขไป เราควรคืนศักยภาพดังเดิมให้แก่ตัวเรา คืนสันติภาพให้แก่ตัวเรา และคืนสันติภาพให้แก่โลก

แต่ถ้าเราก่อสงครามในหัวใจ ตั้งแต่ความชิงชัง อวิชชา เป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร ทำให้ปรุงแต่ง ความเคียดแค้น อวดเก่ง สงครามที่ได้สร้างแล้วในหัวใจเรา มันจะขยายสงครามนั้นไปสู่คนข้างๆ ให้มีการต่อว่ากัน ใครถูกใครผิด ต้องชนะต้องแพ้ จะต้องทำลายใคร ขยายไปสู่สังคม ถึงประเทศ เป็นสงครามของโลกในที่สุด

การตัดสินใจต้องไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น

เราศึกษาหลักธรรม และปฏิบัติธรรมก็เพื่อนำมาใช้ในการเลือกคิด เลือกพูด เลือกทำให้ถูกต้องตามสถานการณ์ปัจจุบันที่เกิดขึ้น การตัดสินใจที่ทันสมัยทำอย่างไร การตัดสินใจของเรา ถ้าตัดสินใจไปแล้วนำความเดือดร้อนไปสู่ผู้อื่น นำความเดือดร้อนมาสู่ตัวเรา ต้องถือว่าการตัดสินใจนั้นผิดพลาด และหากตัวเรายังตัดสินใจให้ตัวเองเดือดร้อนเลย คนรอบข้างจะไม่เดือดร้อนได้อย่างไร

หลายครั้งที่วัดมีคนพาคนไปฝาก ต้องยอมรับ บางทีวัดนี่เหมือนต้นโพธิ์ คนที่เขาไม่ชอบก็เอาไปทิ้ง คนเกเรบ้าง ลูกที่พ่อแม่เลี้ยงไม่ไหว ติดยาเสพติด เที่ยวเตร่ เอาไปฝากไว้ บางทีเราก็รู้นะว่าเขาไม่ดี แต่เราต้องรับเอาไว้ เพราะอะไรรู้ไหม การตัดสินใจนี่สำคัญมาก เราตัดสินใจดูแล้วว่า ถ้าปล่อยเขาออกจากบ้านไปก็จะเดือดร้อนอีก ๘ คน ชุมชนนั้นอีก ๓๐๐ คน เราตัดสินใจอย่าให้เขาไปเบียดเบียนคนอื่นเลย อะไรที่เราทนได้ เราก็เสียสละ ที่ให้เขาได้เรียนรู้คือ การเสียสละนั่นเอง

การตัดสินใจควรเป็นไปเพื่อไม่เบียดเบียนผู้อื่น และเราก็ต้องไม่เบียดเบียนตัวเรา เราต้องกะเทาะด้วยปัญญา ไม่ได้ทำด้วยความอยากได้ แต่กระทำด้วยปัญญาพอเหมาะพอดี ในภาษาพุทธเราเรียกว่า สังขารอุเบกขาญาณ การเป็นกลางต่อการปรุงแต่งตามกำลังที่เราทำได้ เพราะเราบังคับทุกสิ่งไม่ได้

มีคนกรุงเทพคนหนึ่ง ไปอยู่ที่วัดแถวชัยนาท อยู่กรุงเทพก็ไม่ค่อยได้ทำงานหนักอย่างการแบกอิฐ แบกปูน แบกหิน เขาเคยแต่ใช้พลังงานคิดสร้างสรรค์ เป็นจิตรกรด้วย ขณะที่อยู่ที่วัดเห็นแม่ชีเด็กๆ อายุ ๑๓ - ๑๔ ปี ไปเข็นรถเหล็กที่เขาผสมปูน เอามาล้าง ค่อยๆ กวาดหิน กวาดปูนออก เห็นแล้วมันสะเทือนใจ เห็นถึงความงดงามในหัวใจ เขาไม่เคยทำหรอกแต่เข้าไปช่วยทำ เพราะไม่ต้องไปเลือกทำงานที่ยิ่งใหญ่ แต่ทำงานจากคุณภาพของจิตใจที่ยิ่งใหญ่ต่างหาก ให้เรารู้จักว่าไม่ต้องเลือกทำแต่โปรเจคใหญ่ๆ เท่านั้น ทำงานอะไรก็ได้ด้วยคุณภาพของหัวใจที่ยิ่งใหญ่ ก็จะสามารถเอื้อประโยชน์แผ่มหาศาลได้

สิ่งเล็กน้อยสร้างความงาม แต่ความงามไม่ใช่สิ่งเล็กน้อย

ขอเล่าแถมอีกเรื่องหนึ่งบางทีเด็กๆ ไม่เข้าใจว่า งานเล็กๆ นี่มันจะได้อะไรขึ้นมา มันต้องงานใหญ่ๆ ซิ ตอนหลวงพ่อเป็นฆราวาส เคยไปบรรยายกับพระอาวุโสท่านหนึ่ง ท่านบวชพระมา ๒๐ พรรษาแล้ว นั่งรับกาแฟกันและก็คุยกัน พระอาวุโส ๒๐ พรรษาที่เป็นอาจารย์ใหญ่นั้น หยิบแก้วกาแฟที่หลวงพ่อซึ่งเป็นฆราวาสไปล้างให้ต่อหน้าต่อตาเลย หลวงพ่อเป็นฆราวาสบอกว่า ผมล้างเองครับ ท่านเป็นพระผู้ใหญ่เอาแก้วฆราวาสไปล้างได้อย่างไร ท่านบอกว่าไม่เป็นไรหรอก ใครล้างก็เหมือนกัน เล็กน้อยมากเลยนะโยม แค่ล้างแก้วกาแฟใบเดียวเท่านั้น สิ่งเล็กน้อยสร้างความสวยงาม ความงามของจิตใจ แต่ความงามของจิตใจไม่ใช่เล็กน้อยนะ หลังจากท่านล้างแก้วกาแฟไปแล้ว ท่านได้ความรัก เวลาที่ได้ความรัก ท่านได้อะไรรู้ไหม ได้ทั้งหมดของชีวิต ได้ทั้งหมดของความรู้สึกที่ดีงาม ภายหลังเวลาที่เราทราบข่าว ต้องหาโอกาสไปช่วยท่านทุกครั้งเลย เพราะท่านได้หัวใจเราไปแล้ว ได้ความรักจากเราไป แก้วกาแฟใบเดียว ลองคิดดูให้ดี

อีกครั้งหนึ่ง ตอนนั้นหลวงพ่อบวชใหม่ๆ แล้วไปบรรยายที่พุทธมณฑล บังเอิญมาเจอกับพระรูปนั้นอีก ท่านมาสอน มีห้องแอร์อยู่ห้องเดียว ผู้จัดก็เตรียมห้องแอร์ไว้ให้ท่าน ท่านรู้ว่าหลวงพ่อลงมาบนเขา เคยชินอากาศเย็นๆ ท่านเรียกหลวงพ่อให้มานอนแอร์เถอะ ผมไม่ชอบอากาศเย็นๆ ผมชอบอยู่กับเด็กๆ กว่าจะนอนตี ๓ ตี ๔ โน่น หลวงพ่อก็ไม่เฉลียวใจอะไร ตกลงคืนนั้น ท่านไม่ได้นอนหรอก ข้างนอกอากาศร้อน ยุงก็กัด ท่านต้องไปเคาะห้องของวิทยากรที่เป็นผู้ชายขอหลบเข้าไปนอนด้วย ความอาทรซึ่งดูเหมือนเล็กน้อยของท่าน เห็นไหมท่านได้ความรัก ได้หัวใจของเราทั้งหมด

การทำเช่นนี้ทำให้เกิดความดีงามในโลกนี้ อย่าคิดว่าจะต้องรองานที่ยิ่งใหญ่ ต้องรอช่วยเหลือมนุษยชาติแบบซุปเปอร์แมน ถ้าเขาเดือดร้อนต้องเหาะลงไปช่วยแบบสไปเดอร์แมน ทำสิ่งเล็กน้อยเหล่านี้ก็ได้ เหมือนงานศิลปะ เมื่อเกิดจุดเล็กๆ หยดสีลงไป เกิดเส้นเล็กๆ ที่ตวัดลงเบาๆ ไปทีละจุด สิ่งเล็กน้อยเหล่านี้สร้างความสวยงาม แต่ความสวยงามไม่ใช่สิ่งเล็กน้อยใช่ไหม ความงามนี้เป็นความยิ่งใหญ่แต่เกิดจากสิ่งเล็กน้อยเท่านั้นเอง

เป้าหมายของชีวิต คือความสุขของมนุษยชาติ

ฉะนั้น ในชีวิตของเราเราต้องรู้จักเลือกที่จะทำให้เป็น อย่าไปรอคอยว่าต้องทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในหัวใจด้วยการมีความสุข มีความพอใจที่จะได้ดูแลผู้อื่น เป้าหมายของเรา ไม่ใช่เป้าหมายเพื่อความสุขของตัวเรา หากมีเป้าหมายเพื่อความสุขของตัวเรา สังคมจะพัง ประเทศชาติจะพินาศ โลกจะวิบัติ แต่ถ้าเมื่อไรเมล็ดพันธุ์เล็กๆ ของพวกเราทุกคนมีเป้าหมายชัดเจนว่า เป้าหมายของเราคือความสุขของมนุษยชาติ ไม่ต้องมีคนรับรู้ ไม่ต้องมีคนเห็น แต่หัวใจของเราพร้อมตลอดเวลาที่จะใช้พลังงานที่ได้มาฟรีเหล่านี้คืนให้กับธรรมชาติ เพราะไม่มีเรา มีแต่กระแสของสายสัมพันธ์ที่เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ

ฉะนั้น หลวงพ่อขอตอกย้ำอีกครั้งหนึ่งสำหรับเยาวชนในการตัดสินใจเราต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนก่อนในชีวิต เพื่อที่เราจะมีจุดเริ่มต้น แต่ถ้าเดินทางผิดชีวิตเรามืด เป้าหมายเราจะไปไม่ถึง ถ้าเป้าหมายของเราคือความสุขของมนุษยชาติทั้งหมด การดูแลผู้อื่นคือการดูแลตัวเรา เพราะถ้าผู้อื่นมีความสุข สังคมมีความสุข ไม่มีค้ายาบ้า ยาเสพติด ไม่มีคนติดยาเสพติดในบ้านเรา ตัวเราก็ไม่ต้องหวาดระแวงว่าจะเจอโจรผู้ร้าย เจอความเลวร้ายที่จะประดังเข้าสู่ชีวิตเรา ฉะนั้น ถ้าเป้าหมายของเราเพื่อผู้อื่น ตัวเราเองก็มีความสุข การดูแลผู้อื่นคือการดูแลตัวเรา การดูแลตัวเราก็คือการดูแลผู้อื่น

แต่ถ้าเราไม่ดูแลตัวเรา เราพลาดไปหนึ่งคน สังเกตไหมแค่คนเลวเกิดขึ้นในสังคม ไม่ต้องเลวมากหรอก เอาแค่ติดยาบ้าก็ได้ คนกินยาบ้าคนหนึ่งบอกไม่เกี่ยวกับใคร ฉันจะกินยาบ้ามันเรื่องของฉัน เข้าไปในบ้าน พ่อแม่เดือดร้อนไหม พี่น้องเดือดร้อนไหม เข้าไปในร้านกาแฟ ร้านกาแฟเดือดร้อนไหม เข้าไปในโรงเรียน โรงเรียนเดือดร้อนไหม ขึ้นไปบนรถเมล์ รถเมล์เดือดร้อนไหม เดือดร้อนทั่วไปหมด เพราะมันถักทอเป็นสายใยถึงกันและกันหมด แค่คนจะสูบบุหรี่ บอกว่าเรื่องของฉันไม่เกี่ยวกับใคร ไม่จริงนะ คนข้างๆ เดือดร้อน หลวงพ่อเวลาคนมาคุยสูบบุหรี่ จะรู้สึกอึดอัดมากเลย เพราะควันบุหรี่ที่เขาพ่นออกมานี่นำพิษเข้าสู่ร่างกายเรา เขาบอกไม่เกี่ยวกับใคร ไม่จริงหรอก เห็นไหมมันทำลายสังคมอย่างอัตโนมัติและเงียบเชียบ ตัวเราก็เหมือนกัน ต้องตระหนักในทุกๆ เรื่องทุกย่างก้าวในการเดินทางของเราต้องดูแลตัวเราให้มีสันติสุขในหัวใจอย่างรู้เท่าทัน อย่างมีสติสัมปชัญญะในสติปัฏฐาน.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น