วันหนึ่งนักศึกษา ๒ คน ลูกศิษย์วิชาศาสนาของข้าพเจ้าเกิดโต้เถียงกันอย่างรุนแรง ในเรื่องเกี่ยวกับศาสนา
คนหนึ่งเป็นชาวพุทธ คนหนึ่งเป็นชาวคริสต์ เรื่องที่เถียงกันก็เป็นเรื่องที่รู้ๆกันอยู่
ชาวพุทธอ้างว่าศาสนาของตนดีกว่า เพราะเน้นปัญญา ย้ำเหตุผล สอนให้พึ่งการกระทำของตนเอง อยากได้ผลอย่างใดให้ทำเหตุที่เหมาะสมที่จะให้เกิดผลเช่นนั้น
ชาวคริสต์ก็อ้างว่าศาสนาของตนดีกว่าเพราะเน้นศรัทธาย้ำความเชื่อสอนให้เชื่อ รักเคารพไว้วางใจในพระเจ้า แล้วพระองค์จะจัดการทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ต้องทำเองให้ลำบาก
เมื่อไม่สามารถจะตกลงกันได้ เขาทั้งสองได้มาหาข้าพเจ้าและขอให้ข้าพเจ้าชี้แจง
ข้าพเจ้าหัวเราะเบาๆ แล้วบอกเขาว่า" มีนกอยู่ ๒ ตัว ตัวหนึ่งมีขนาดใหญ่ ตัวหนึ่งมีขนาดเล็ก เมื่อบินมานานจนเหนื่อยอ่อน ทั้ง ๒ ตัวได้ร่อนลงจับบนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เพื่อพักผ่อน นกตัวใหญ่ลงจับกิ่งไม้ใหญ่ นตัวเล็กจับกิ่งไม้เล็ก
ครู่ใหญ่ผ่านไป เมื่อพักผ่อนหายเหนื่อยแล้ว นกตัวใหญ่ก็หันไปทางนกตัวเล็ก เห็นนกตัวเล็กจับอยู่บนกิ่งไม้เล็ก แล้วมันก็หันมาดูกิ่งไม้ที่ตัวเองจับอยู่ จากนั้นการเปรียบเทียบก็เกิดขึ้น มันเริ่มเห็นความแตกต่างของขนาดกิ่งไม้และขนาดตัวมันเอง มันเริ่มภูมิใจที่มันจับกิ่งไม้ใหญ่ และเริ่มการสมเพชเวทนานกที่จับกิ่งไม้เล็ก
"กิ่งไม้ของแกเล็กนิดเดียว" มันกล่าวพลางหัวเราะเยาะ " ดูกิ่งไม้ของฉันสิ มันช่างใหญ่โตสวยงาม แข็งแรงอะไรอย่างนั้น มาเถิดเจ้านกน้อย ทิ้งกิ่งไม้ที่น่าสงสารของเจ้า มาจับกิ่งของฉันดีกว่า"
ฝ่ายนกน้อยบนกิ่งไม้น้อย เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็โกรธขึ้นมาทันทีมันได้ตอบโต้ไปอย่างฉะฉานว่า " ไม่มีวันที่ฉัน จะไปจับกิ่งไม้ของแก กิ่งของฉันเล็กกระทัดรัดน่าเอ็นดู กิ่งของแกเสียอีกใหญ่เทอะทะน่าเกลียด"
ต่อจากนั้นการโต้เถียงก็ดำเนินไป สาระสำคัญก็อยู่ที่ ความใหญ่-เล็ก ของกิ่งไม้ทั้งสอง เท่านั้นเอง
ข้าพเจ้าหันไปทางลูกศิษย์ชาวคริสต์แล้วถามว่า " เธอคิดว่าเหตุผลที่นกทั้ง ๒ ตัวนำมาดูหมิ่นเหยียดหยามกันแล้วทะเลาะวิวาทกันนั้น เป็นเหตุผลที่สมควรไหม น่าจะทะเลาะกันไหม"
" ไม่เหมาะสมครับ " ศิษย์ชาวคริสต์ตอบ
" ไม่เหมาะสมครับ "ศิษย์ชาวพุทธตอบแบบเดียวกัน
" ทำไมเธอจึงเห็นว่าไม่เหมาะสมที่จะเอามาเป็นเรื่องโต้เถียงทะเลาะกัน "
ศิษย์ทั้งสอง มองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง แบบเกี่ยงให้กันตอบแล้วศิษย์ชาวคริสต์พูดขึ้น " เพราะเป็นการดีแล้ว การที่นกตัวใหญ่จับกิ่งใหญ่ นกตัวน้อยจับกิ่งน้อย ก็เหมาะสมกับสภาพของตนแล้วถ้านกตัวใหญ่ไปจับกิ่งเล็ก นกตัวเล็กไพล่ไปจับกิ่งใหญ่ จึงจะมีเหตุผลพอที่จะทะเลาะกัน "
" ถูกต้องทีเดียว " ข้าพเจ้าเสริม " ในเมื่อนกทั้งสองไปดูหมิ่นแล้วทะเลาะวิวาทกันในเรื่องที่ไม่น่าทะเลาะ เธอว่านกทั้งสอง โง่หรือฉลาด"
" โง่อย่างแน่นอน " ศิษย์ชาวพุทธตอบ
" ถ้านกทั้งสอง โง่ เธอทั้งสอง ก็โง่เหมือนกัน "
" อ้าว ทำไมละครับอาจารย์ " ศิษย์ชาวคริสต์ถามงงๆ
" ก็เพราะเธอทั้ง ๒ เอาเรื่องต่างศาสนากันมาทะเลาะกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สมควรทะเลาะกันเลย คนเราย่อมเลือกนับถือศาสนา ตามที่ตนชอบ ที่เหมาะสมกับอุปนิสัยจิตใจ ของตนเหมือนนกเลือกจับกิ่งไม้ที่เหมาะสมกับตน
คนเรา มี ๒ ด้าน คือด้านศรัทธา กับด้านปัญญา หรือด้านอารมณ์กับด้านเหตุผล
ด้านศรัทธาเป็นความเชื่อ เป็นการยอมรับ เป็นแบบนิ่งหรือ passive มีลักษณะอบอุ่น มั่นใจ มีความหวัง
ด้านปัญญาเป็นด้านวิชาการ หลักการ เหตุผล ตัวเลข ข้อเท็จจริง เป็นด้านกระทำการหรือ active มีลักษณะแห้งๆไม่อบอุ่น ไม่สนุก แต่เป็นสิ่งจำเป็นยิ่ง
ศาสนาในโลกนี้ บางศาสนาเน้นศรัทธา สอนให้เชื่อและยอมรับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มอบกายถวายชีวิตให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ปฏิบัติต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหมือนบุคคล หวังพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เคารพกราบไหว้บูชา สรรเสริญ บนบานบวงสรวง เสร็จแล้วคอยรับรางวัลแบบต่างๆตั้งแต่หายโรคจนถึงชีวิตนิรันดร์ในสวรรค์กับพระเจ้า ศาสนาแบบนี้เหมาะกับคนศรัทธาจริต ใจอ่อน เชื่อง่าย ไม่ชอบคิดอะไรมาก ศาสนาฝ่ายเทวนิยมเป็นศาสนาประเภทนี้
บางศาสนาเน้นปัญญา เน้นเหตุผล สอนไม่ยอมให้รับอะไรง่ายๆให้พิสูจน์สอบสวนก่อน การไม่เชื่อคำสอนทางศาสนาไม่ถือว่าเป็นบาปบาป แต่เป็นความรอบคอบสอนให้ยึดหลักเหตุผลและตนเอง เน้นกฏแห่งกรรมคือการกระทำของตนเอง ต้องการผลอย่างใดให้ประกอบเหตุอย่างนั้น โดยไม่ต้องหวังพึ่งอำนาจภายนอก ศาสนาประเภทนี้เหมาะสมกับคนประเภทพุทธจริต คือคนเจ้าปัญญา ชอบคิดเหตุคิดผล ไม่ยอมรับอะไรง่ายๆศาสนาอเทวนิยมเป็นศาสนาประเภทนี้
แต่อย่างไรก็ตาม ที่พูดว่าศาสนาพุทธเน้นปัญญา เน้นเหตุผล ก็มิได้หมายความว่า ชาวพุทธทุกคนเป็นคนเจ้าปัญญา มีเหตุผลทำอะไรตามเหตุผล มีชสวพุทธเป็นอันมากที่หนักทางด้านศรัทธาเชื่อพระรัตนตรัยในฐานะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ การปฏบัติตนทางศาสนาก็เต็มไปด้วยการกราบไหว้วิงวอน การบนบานบวงสรวงการหวังพึ่งพาพระรัตนตรัย
ที่ว่าศาสนาเทวนิยมเช่นศาสนาคริสต์เน้นศรัทธา ก็มิได้หมายความว่าชาวคริสต์ทุกคนมีแต่ศรัทธาไม่มีปัญญาเลย มีชาวคริสต์เป็นอันมากที่หนักแน่นในเหตุผล ไม่เชื่อพระเจ้าที่เป็นบุคคลแต่ถือว่าเป็นธรรมชาติ เน้นการปฏิบัติตนตามหลักธรรมชาติ ไม่แยกตนออกจากพระเจ้าธรรมชาติด้วยความนับถือตัวตน เพื่อที่จะได้รวมเป็นหนึ่งกับธรรมชาติซึ่งเป็นนิรันดร รักคนสัตว์และทุกสิ่งดุจพี่น้อง เพราะเกิดมาจากธรรมชาติอันเดียวกัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
ด้วยเหตุนี้ จึงกล่าวได้ว่า ชาวคริสต์บางคนมีลักษณะพุทธยิ่งกว่าชาวพุทธบางคนเสียอีก และชาวพุทธบางคนมีลักษณะคริสต์ยิ่งกว่าชาวคริสต์เสียอีก เพราะฉะนั้น คำว่าพุทธว่าคริสต์หรือชื่อใดๆก็ตาม เป็นแต่เพียงป้ายชื่อที่แขวนไว้ที่คอ เมื่อเอาป้ายชื่อออกเสียแล้วคนก็คือคน จึงไม่ควรไปให้ความสำคัญแก่ป้ายมากกว่าคน ถ้าเอาป้ายออกเสียการทะเลาะวิวาทกันเพราะป้ายก็ไม่มี "
ข้าพเจ้าบอกศิษย์ทั้งสองให้จับมือกัน แล้วสั่งว่า
" ต่อไปนี้อย่าทะเลาะกันอีกเพราะศาสนา จงเดินตามทางของตนไปอย่างสงบไม่ว่าจะเป็นทางปัญญาหรือทางศรัทธา ถ้าเดินดีๆก็ถึงเป้าหมายที่ตนมุ่งอย่างแน่นอน "
ศิษย์ทั้งสอง จากไปด้วยไมตรีจิตมิตรภาพเต็มเปี่ยมบนใบหน้า.....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น