เจริญพร ขอให้มีความสุขสมหวังและ ถึงความสิ้นทุกข์ในเวลาอันใกล้โดยง่ายเทอญ

ยินดีต้อนรับ สหธรรมิกผู้มีใจเป็นกุศลทุกๆท่านครับ

ขอเรียนเชิญ สหธรรมิกทุกๆท่านมาร่วมศึกษาและปฏิบัติธรรมของพระพุทธองค์ รวมทั้งแบ่งปันความรู้ ข้อคิด คำแนะนำ ด้วยใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาครับ

" ความมืดแม้ทั้งโลก ก็บดบังลำแสงเพียงน้อยนิดมิได้ "


สันโดษ

สันโดษ
สุขใด เสมอความสงบ ไม่มี

หน้าเว็บ

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
อดีตที่ผ่านมาเป็นบทเรียน อโหสิให้ทุกคน แต่อย่ามีเวรกรรมร่วมกันอีกเลย

ผู้ติดตาม

วันพุธที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2553

เข้าพึ่ง ลมหายใจเข้าของเราเอง




ตอนที่ 1 | 2 | 3


ท่านติช นัท ฮันห์
ธรรมสวัสดีสังฆะที่รัก วันนี้เป็นวันที่ 12 ตุลาคม ปี คศ. 2003 เรากำลังอยู่กันที่วัด Loving Kindness วัดแห่งความเมตตากรุณา ณ วัดบน (Upper Hamlet) ในช่วงงานภาวนาฤดูใบไม้ร่วง

มีพระสูตรอยู่พระสูตรหนึ่งที่ได้รับการแปลเป็นภาษาจีนในราวคริสตศตวรรษที่ 2 พระสูตรนี้มีชื่อว่า พระสูตร 42 บท แต่ละบทนั้นสั้นมาก ในขณะที่หลวงปู่ยังเป็นสามเณร หลวงปู่มีโอกาสได้เรียนพระสูตรนี้ในช่วงปีแรกของการเรียนภาษาจีน มีประโยคหนึ่งในพระสูตรที่กล่าวว่า "การปฏิบัติของฉันคือการปฏิบัติการไม่ปฏิบัติ" พระสูตรเขียนไว้ว่า

การปฏิบัติของฉันคือการฝึกการกระทำการไม่กระทำ
การปฏิบัติของฉันคือการปฏิบัติการไม่ปฏิบัติ
และบรรลุการบรรลุแห่งการไม่บรรลุ
เมื่อเราได้ยินคำสอนของ พระอาจารย์หลินยี่ เรากำลังได้ยินในสิ่งเดียวกัน เราควรเป็นมนุษย์ธรรมดา และไม่พยายามจะเป็นนักบุญ ถ้าเธอพยายามหาความศักดิ์สิทธิ์ที่น่าเคารพเลื่อมใส เธอกำลังสูญเสียความศักดิ์สิทธิ์นั้น ความศักดิ์สิทธิ์ที่น่าเคารพเลื่อมใสนั้นปรากฎอยู่ต่อหน้าเธออยู่แล้ว แต่เมื่อไรก็ตามที่เธอเริ่มจะค้นหา เธอจะสูญเสียความศักดิ์สิทธิ์นั้นในทันที เมื่อเธอเริ่มวิ่ง วิ่ง และวิ่งเพื่อไล่ไขว่คว้า แต่ไม่อาจจับฉวยอะไรไว้ได้ สิ่งที่เราได้เรียนจากพระอาจารย์หลินยี่นั้นไม่ใช่ชุดของความคิด เพราะนั่นคือสิ่งที่ท่านเกลียดเป็นที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งชุดความคิดที่เป็นนามธรรม ที่พยายามให้ค่าสัญลักษณ์กับสิ่งที่เป็นปรมัตถ์ หรือความสมบูรณ์ที่เธอกำลังวิ่งไล่ล่า นี่คือสิ่งที่พระอาจารย์พยายามบอกกับเราอยู่เสมอ ท่านสอนว่า เราควรใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายด้วยความเหมาะสม และทำตัวให้เป็นคนที่ไม่มีธุระ


ธุระของเธอคืออะไร เธออาจสาธยายว่าธุระของเธอคือการพยายามแปรเปลี่ยนตนเอง พยายามบรรลุธรรม หรือพยายามช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ โยนความคิดเหล่านั้นทิ้งไปให้หมด อย่าไปคิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นธุระของเธอ ถ้าเธอมัวแต่วิ่งไล่ล่าสิ่งเหล่านั้น เธอจะไม่สามารถเป็นตัวของตัวเองได้ เธอคือความมหัศจรรย์แห่งชีวิต และเธอกำลังถูกรายล้อมอยู่ด้วยความมหัศจรรย์แห่งชีวิต ให้เราเป็นคนที่ไม่มีองค์กรใดๆ ไม่มีโครงการใดๆ ไม่มีธุระใดๆ นั่นแสดงให้เห็นถึงการฝึกที่จะไม่บรรลุ ไม่มีอะไรให้บรรลุ

การฝึกของเราคือการเข้าพึ่งปัจจุบันขณะที่มีอยู่สำหรับเราเสมอ ปัจจุบันขณะนั้นเต็มไปด้วยความมหัศจรรย์แห่งชีวิต เราไม่ต้องวิ่งไปสู่อนาคตเพื่อให้ได้สิ่งเหล่านี้ เธอคือความมหัศจรรย์และที่กำลังรายล้อมรอบเธออยู่นั้นก็คือความมหัศจรรย์ที่เธอสามารถสัมผัสได้ เพียงเธอรู้วิธีที่จะหยุดและดำรงในปัจจุบันขณะอย่างเต็มเปี่ยมสมบูรณ์

เสียงระฆังแห่งสติ ) ) )


เข้าพึ่งลมหายใจเข้าของตนเอง

แล้วเราจะดำรงในปัจจุบันขณะอย่างเต็มเปี่ยมสมบูรณ์ได้อย่างไร วีธีหนึ่งที่เธอสามารถทำได้นั้นคือ การเข้าพึ่งลมหายใจของเธอเอง เธออาจถามว่าจะเป็นไปได้จริงหรือ บางคนอาจกล่าวว่าลมหายใจของเรานั้นมีอายุสั้นๆ เพียงชั่วครู่ บางครั้งก็เพียงแค่ 10 วินาทีเท่านั้น ควรแล้วหรือที่เราจะเข้าพึ่งสิ่งที่ดำรงอยู่เพียงชั่วครู่เช่นนั้น หลวงปู่ยังจำงานภาวนาที่เราจัดที่มอสโคเป็นครั้งแรกได้ มีครูที่นับถือศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์จากเกาหลีบางท่านที่อยู่ในงานได้กล่าวว่า "เราไม่ควรเข้าพึ่งพระพุทธเจ้า เพราะพระองค์นั้นสามารถสิ้นชีพได้ เราควรเข้าพึ่งพระเยซูคริสต์ เพราะพระองค์มีชีวิตอันเป็นอมตะ" การเข้าพึ่งลมหายใจของเรานั้นสั้นและคงอยู่ไม่นาน เมื่อพูดถึงการเข้าพึ่ง เรามักคิดว่าเราต้องเข้าพึ่งสิ่งที่แข็งแรงทนทาน เพื่อที่เราจะได้มีความสงบสุขและความปลอดภัยได้นานๆ หากเราต้องเลือกเข้าพึ่งในสิ่งที่มีอายุสั้นหรือมีอายุยาว เราคงเลือกเข้าพึ่งสิ่งที่มีอายุยืนยาวมากกว่า คำถามคือใครที่เราควรเข้าพึ่งพิง พระอาจารย์หลินยี่ได้กล่าวไว้ว่า เธอกำลังมองหาพระพุทธเจ้า แล้วเธอที่กำลังมองหาพระพุทธเจ้านั่นเล่าคือใคร เธอเป็นอะไรที่ยั่งยืนสักแค่ไหนกัน หรือเธออาจดำรงอยู่เช่นเดิมได้เพียงไม่กี่วินาที




เรามักคิดว่าเรายั่งยืนกว่าลมหายใจเข้าของเรา แต่นั่นไม่ใช่ความจริง เราเป็นดั่งลมหายใจของเราเอง ในพระสูตร 42 บทนั้น มีบทหนึ่งที่พระพุทธองค์ทรงถามพระสาวกว่าชีวิตมนุษย์นั้นยืนยาวสักเพียงใด สาวกรูปหนึ่งทูลตอบว่า 100 ปี สาวกอีกรูปหนึ่งทูลตอบว่า 50 ปี สาวกอีกรูปทูลตอบว่า 1 วันกับอีก 1 คืน และแล้วสาวกรูปหนึ่งก็ทูลตอบว่า อายุคนเรานั้นยาวเพียงหนึ่งลมหายใจของเราเอง พระพุทธองค์กล่าวกับสาวกรูปนั้นว่า ถูกต้องแล้ว ท่านได้เห็นความจริงแห่งชีวิตมนุษย์แล้ว ชีวิตคนเรานั้นยืนยาวเพียงแค่หนึ่งลมหายใจเท่านั้น แท้จริงแล้วอาจสั้นกว่านั้นเสียอีก เพราะในขณะที่เธอหายใจเข้า เธอได้กลายเป็นคนอีกคนแล้ว และ เธอ ที่อยู่ที่นั่นก่อนหายใจเข้า ก็มิได้เป็น เธอ หลังหายใจเข้าอีกต่อไปแล้ว เธออาจคิดว่าตนเองนั้นจะคงอยู่อย่างยืนยาว ดังนั้นเธอจึงพยายามที่จะเข้าพึ่งในสิ่งที่จะดำรงอย่างยืนยาวเช่นกันหรือดำรงอยู่ตลอดไป ถ้าเธอรู้ว่าผู้ที่เข้าพึ่งและสิ่งที่เราเข้าพึ่งนั้นแท้จริงแล้วคือหนึ่งเดียวกัน เธอย่อมสามารถเข้าใจถึงเหตุผลเมื่อเรากล่าวว่าให้เข้าพึ่งลมหายใจเข้าหนึ่งลมหายใจของเราเอง นี่เป็นสิ่งที่เป็นรูปธรรมมาก ในขณะที่เราหายใจเข้า เราสามารถอยู่กับลมหายใจเข้าของเรา เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่อย่างแท้จริง หากเรารู้วิธีที่จะเข้าพึ่งลมหายใจเข้า เราย่อมสามารถที่จะเข้าพึ่งลมหายใจออกของเราได้เช่นกัน

บางครั้งเรารู้สึกว่า เราไม่มีความหนักแน่น มั่นคง เราไม่เป็นตัวเอง เราถูกฉุดดึงไปด้วยสิ่งต่างๆ ความคิดต่างๆ โครงการต่างๆ ความกลัวและกิเลสต่างๆ เราไม่มีความสงบสุข นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงต้องเข้าพี่งพาลมหายใจเข้าของเรา เพราะการเข้าพึ่งพาลมหายใจเข้าคือการกลับมาเป็นตัวเองอีกครั้ง และนี่คือสิ่งที่เป็นไปได้ การเข้าพึ่งลมหายใจเข้าช่วยให้เธอกลับมาเป็นตัวเองได้ในทันที เธอจะรู้สึกปลอดภัยและมั่นคง เธอจะดำรงในปัจจุบันขณะ อยู่ในขณะนั้นได้อย่างเต็มเปี่ยม เธอจะตระหนักรู้ว่าเธอคือความมหัศจรรย์แห่งชีวิตและเธอสามารถสัมผัสกับความมหัศจรรย์แห่งชีวิตที่กำลังรายล้อมรอบเธออยู่ ลมหายใจเข้านั้นแสนมหัศจรรย์ ทำให้ฉันรู้สึกว่ากำลังอยู่ที่บ้านอย่างแท้จริง ลมหายใจเข้าทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันได้มาถึงแล้ว และทำให้ฉันรู้ว่าฉันไม่ต้องวิ่งไล่ไขว่คว้าอะไรทั้งสิ้น นี่คือเหตุผลว่าทำไมการเข้าพึ่งลมหายใจเข้าจึงเป็นการปฏิบัติที่แสนมหัศจรรย์ ทุกคนต่างหายใจเข้าและหายใจออกอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่เป็นเรื่องจำเป็นที่เราต้องประดิษฐ์ลมหายใจเพื่อที่จะเข้าพึ่งลมหายใจ เพราะลมหายใจของเราอยู่ที่นั่นอยู่แล้ว เพียงเธอน้อมใจกลับมาเบิกบานกับปัจจุบันขณะ เธอจะมีชีวิตชีวาในทันทีทันใด เธอจะเป็นตัวเธอเอง เธอจะสามารถบ่มเพาะความมั่นคงและความอิสระให้กับตัวเองได้ เธอจะไม่เป็นเหยื่ออีกต่อไป ไม่เป็นทาสของใคร การหายใจอย่างมีสติระลึกรู้นั้นเป็นการปฏิบัติที่สำคัญมากและเป็นการปฏิบัติการไม่ปฏิบัติ เพราะอย่างไรเธอก็ต้องหายใจเข้าและหายใจออกอยู่แล้ว เธอเพียงแต่นั่งและเบิกบานกับลมหายใจเข้าของตัวเองแม้นั่นอาจทำให้ดูไม่เหมือนนักปฏิบัติแต่เธอกำลังเป็นนักปฏิบัติตัวจริงคนหนึ่งเลยทีเดียว เธอต้องไม่ใช้ความพยายามมากเกินไปเธอเพียงแต่เบิกบานกับลมหายใจเข้าของตัวเอง นี่คือสิ่งที่พระอาจารย์หลินยี่ต้องการให้เราปฏิบัติ ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้นเพียงแค่เป็นตัวของเราเอง นั่งตรงนั้นเพื่อเบิกบานกับลมหายใจเข้า เพื่อที่เธอจะเป็นทุกสิ่งและเป็นอมตะ

เสียงระฆังแห่งสติ ) ) )


ตอนที่ 1 | 2 | 3

ในช่วงฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวระหว่างปี พ.ศ. 2546-2547 ที่ผ่านมา หลวงปู่ติช นัท ฮันห์ ได้นำคำสอนจากหนังสือ บันทึกของพระอาจารย์หลินยี่ ซึ่งเป็นพระสงฆ์ในศาสนาพุทธที่อยู่ในประเทศจีน ในช่วงคริสตศตวรรษที่ 9 สายการปฏิบัติของหมู่บ้านพลัมนั้นสืบทอดจากพระอาจารย์หลินยี่ ดังนั้นเราอาจเรียกตัวเองว่าเป็นลูกหลานทางจิตวิญญาณของท่านก็ย่อมได้ พระอาจารย์เป็นที่รู้จักในเรื่องของการลงไม้เพื่อปลุกลูกศิษย์ที่กำลังสุกงอมเพียงพอให้เข้าถึงความหลุดพ้น ไม้ของท่านถูกใช้อย่างเชี่ยวชาญชำนาญเพื่อถอดถอนความคิดเห็นต่างๆ ที่ลูกศิษย์ของท่านยึดติดหรือแบกไว้ รวมทั้งสิ่งต่างๆ ที่เป็นอุปสรรคขัดขวางต่อการใช้ชีวิตที่เรียบง่ายและเป็นอิสระ

คำสอนในหนังสือมักอยู่ในรูปของปฏิสัมพันธ์ระหว่างพระอาจารย์หลินยี่และคนที่มาขอความรู้จากท่าน ช่วงเวลาแห่งสัมพันธภาพเหล่านั้นเป็นดั่งช่วงเวลาแห่งการตื่น การตระหนักรู้ถึงความมืดบอดและรู้ถึงความสามารถที่จะใช้ชีวิตด้วยความอิสระและเบิกบาน ปฏิสัมพันธ์เหล่านี้มีทั้งความดุดัน ในขณะเดียวกันก็มีความอ่อนโยน เราเห็นถึงความยินดีเต็มใจที่จะเข้าไปมีส่วนร่วม ทุ่มเทตัวเองให้ผู้อื่นได้เข้าถึงความหลุดพ้น เพื่อเป็นมนุษย์อย่างแท้จริง

คำสอนของพระอาจารย์หลินยี่ในภาษาดั้งเดิมนั้นอาจจะยากและน่าสับสนสำหรับผู้ศึกษายุคปัจจุบัน หลวงปู่ติช นัท ฮันห์ จึงอธิบายแก่นของคำสอนทั้งหลายในวิธีที่ทำให้เราเข้าถึงความหมายได้ง่ายขึ้น หลวงปู่ทำให้เราเห็นว่าคำสอนต่างๆ นั้นเรียบง่าย และสามารถปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรมด้วยการหายใจและเดินในวิถีแห่งสติ

พระอาจารย์หลินยี่กล่าวกับเราว่า คนในอุดมคตินั้นคือคนที่เป็นอิสระ เป็นคนที่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย ปราศจากความเสแสร้ง ปราศจากความยุ่งเหยิง หรือธุระ เป็นคนที่ไม่มีธุระยุ่งเหยิง คำสอนของท่านเป็นดั่งธรรมโอสถสำหรับคนในยุคท่าน และยังคงใช้ได้ผลสำหรับคนในยุคปัจจุบัน เฉกเช่นเดียวกับยา คำสอนของท่านฆ่าโรคร้าย เหลือทิ้งไว้แต่มนุษย์ที่สมบูรณ์

บทความนี้เป็นปาฐกถาธรรมที่ท่านติช นัท ฮันห์ ได้แสดงไว้เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม คศ.2003 ที่วัด Loving Kindness วัดแห่งความเมตตากรุณา ณ วัดบน (Upper Hamlet) ในช่วงงานภาวนาฤดูใบไม้ร่วง

ที่มา : Mindfulness Bell ฉบับที่ 36 ฤดูร้อนปี คศ. 2004
แปลโดย : เนื้อนาแห่งปัญญาอันแท้จริง
ภาพประกอบ : วารยา ปิตะวรรณ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น