เจริญพร ขอให้มีความสุขสมหวังและ ถึงความสิ้นทุกข์ในเวลาอันใกล้โดยง่ายเทอญ
ยินดีต้อนรับ สหธรรมิกผู้มีใจเป็นกุศลทุกๆท่านครับ
ขอเรียนเชิญ สหธรรมิกทุกๆท่านมาร่วมศึกษาและปฏิบัติธรรมของพระพุทธองค์ รวมทั้งแบ่งปันความรู้ ข้อคิด คำแนะนำ ด้วยใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาครับ
ขอเรียนเชิญ สหธรรมิกทุกๆท่านมาร่วมศึกษาและปฏิบัติธรรมของพระพุทธองค์ รวมทั้งแบ่งปันความรู้ ข้อคิด คำแนะนำ ด้วยใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาครับ
" ความมืดแม้ทั้งโลก ก็บดบังลำแสงเพียงน้อยนิดมิได้ "
หน้าเว็บ
เกี่ยวกับฉัน
- Nitinandho
- อดีตที่ผ่านมาเป็นบทเรียน อโหสิให้ทุกคน แต่อย่ามีเวรกรรมร่วมกันอีกเลย
ผู้ติดตาม
วันพุธที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2553
อิสรภาพแห่งใจ4
ตอนที่ 1 | 2 | 3 | 4 | 5
การเกิดขึ้นนั้นหมายถึง
จากที่ไม่มีอะไร
เธอได้เกิดเป็นอะไรสักอย่างหนึ่ง
จากที่ไม่เคยเป็นใคร
เธอเกิดขึ้นมาเป็นใครคนหนึ่ง
เมฆไม่เคยเป็นแบบนั้น
ก่อนที่จะเกิดขึ้นมาเป็นเมฆ
เมฆได้เป็นอะไรสักอย่างมาก่อนแล้ว
เช่น เป็นมหาสมุทร
เป็นไอร้อนที่สร้างขึ้นจากพระอาทิตย์
ฉะนั้นเมฆไม่ได้มาจากสิ่งที่ไม่มีอะไร
แล้วกลายมาเป็นเมฆ
ธรรมชาติของเมฆจึงเป็นธรรมชาติ
ของการไร้การเกิดไร้การตาย
ก้อนเมฆไม่เคยตาย
ก่อนที่พระพุทธองค์จะปรินิพพานไป พระพุทธองค์ได้สอนบทคาถาที่สวยงามที่มีชื่อเป็นภาษาบาลีของเถรวาท ในพระสูตรมหาปรินิพพานว่า
"สังขารเป็นอนิจจัง ทุกสิ่งทุกอย่างที่ประกอบขึ้นมาเป็นอนิจจัง
เป็นปรากฏการณ์ที่จะต้องผ่านการเกิดและการตาย
เมื่อธารแห่งการเกิดและการตายนั้นจบสิ้นลง
นิพพานก็กลายเป็นแหล่งแห่งความสุข"
เมื่อความคิดเห็นเรื่องการเกิดและการดับได้ถูกถอดถอนออกไป การดับสิ้นซึ่งความคิดเห็นนั้นเราเรียกว่า ความสุข เราอาจแบ่งบทคาถานี้ออกเป็น 2 ส่วน ส่วนต้นคือสองประโยคแรกซึ่งหมายถึง ภาวะที่ยังมีการเกิดการดับ สองประโยคสุดท้ายคือเป็นความจริงอันสูงสุด หรือปรมัตถ์ธรรม สองประโยคแรกนี้พูดถึงความเป็นจริงเปรียบเทียบ หมายถึงปรากฏการณ์ต่างๆ สรรพสิ่งต่างๆ ที่ประกอบขึ้นมานั้นเป็นอนิจจัง เพราะทั้งหมดจะต้องผ่านการเกิดการตาย เวียนว่ายอยู่ในนั้น เป็นประโยคที่พูดอยู่ในโลกธรรม ส่วนสองประโยคสุดท้ายพูดถึงความเป็นจริงอันสูงสุด หรือปรมัตถ์ธรรม
เมื่อเราได้ถอดถอนความคิดเห็นเรื่องของการเกิดการดับ เราก็จะพบความสุขที่แท้จริง เพราะว่าการเกิดการดับเป็นเพียงความคิดเห็น ไม่ใช่ความเป็นจริง เมื่อเราฝึกอย่างลึกซึ้ง เราจะมองเห็นว่าภาพข้างนอกเหมือนกับมีการเกิดการตายอยู่ แต่เมื่อมองอย่างลึกซึ้งเธอจะเห็นว่า ไม่มีการเกิด-การตาย ไม่มีการเกิด-การดับ
เมื่อเรามองไปที่เมฆบนท้องฟ้า เราจะเห็นว่าเมฆไม่เคยตาย เมฆไม่เคยดับไป เมฆนั้นไม่เคยตายไปจากความไม่มีอะไรไปเป็นสิ่งที่มีอะไร แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่เมฆนั้นจะเกิดขึ้นมา เพราะว่ามีการเกิดขึ้นนั้นหมายถึง จากที่ไม่มีอะไร เธอได้เกิดเป็นอะไรสักอย่างหนึ่ง จากที่ไม่เคยเป็นใคร เธอเกิดขึ้นมาเป็นใครคนหนึ่ง เมฆไม่เคยเป็นแบบนั้น ก่อนที่จะเกิดขึ้นมาเป็นเมฆ เมฆได้เป็นอะไรสักอย่างมาก่อนแล้ว เช่น เป็นมหาสมุทร เป็นไอร้อนที่สร้างขึ้นจากพระอาทิตย์ ฉะนั้นเมฆไม่ได้มาจากสิ่งที่ไม่มีอะไรแล้วกลายมาเป็นเมฆ ธรรมชาติของเมฆจึงเป็นธรรมชาติของการไร้การเกิดไร้การตาย
เสียงระฆังแห่งสติ ))) ))) )))
เข้าใจทุกข์ก็พ้นทุกข์
ในตอนแรกๆ เราคิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอนิจจัง มันต้องผ่านการเกิดการตาย แต่ว่าในสองประโยคสุดท้ายนั้น การเกิดการตายเป็นแต่เพียงความคิดเห็น และเมื่อสามารถข้ามพ้นความคิดเห็นของการเกิดและการตายได้ เราก็จะพบแหล่งของความสุข และเธอจะไม่กลัวความเป็นอนิจจังและการเกิดการตายอีกต่อไป
นั่นคือบทคาถาที่มีความงดงามมากที่สุดคาถาหนึ่ง ในคำสอนของพระพุทธองค์ เพราะฉะนั้น เมื่อเรามองอย่างลึกซึ้งในเรื่องความเป็นอนิจจัง ความเป็นอนิจจังจึงหมายถึง การเป็นดั่งกันและกัน หมายถึงความเป็นอนัตตา และนั่นก็คือสิ่งที่เราควรจะทำสมาธิ เราไม่ควรยึดติดว่าเป็นความจริงอันสูงสุด เป็นความคิดเห็นอันสุดยอด
เรามีแนวโน้มที่จะเสาะแสวงหาความน่ายินดีความพึงพอใจในตัวเรา ในตัวเรามีสิ่งที่เรียกว่า "มนัส" เป็นสภาพหนึ่งของจิตใต้สำนึกที่พยายามวิ่งหนีความทุกข์ และยึดติดกับความอยาก ความน่ายินดี ความพึงพอใจในรูป รส กลิ่น เสียง เมื่อเราไม่มีปัญญาเห็นแจ้งที่เกิดจากการเจริญสติและสมาธิ เรากำลังอนุญาติให้มนัสบงการชีวิตของเราด้วยการวิ่งหนีออกจากความทุกข์ วิ่งหนีออกจากความเจ็บปวด แล้วพยายามวิ่งตามความอยากอยู่เสมอ
เรารู้ว่าความทุกข์นั้นเป็นสิ่งสำคัญที่เราสามารถเรียนรู้ได้ แต่ถ้าเราไม่สามารถโอบกอดความทุกข์ของเรา และมองเข้าไปสู่ธรรมชาติของความทุกข์นั้น เราจะไม่สามารถเห็นหนทางที่นำไปสู่การเยียวยา และหลุดพ้นออกจากความทุกข์
มนัสจะพยายามทำให้เราเพิกเฉยกับความเป็นจริงเช่นนี้ คือ หลีกหนีความดีงามของความทุกข์ มนัสจึงไม่สามารถเห็นบทบาทของโคลนตมที่มีต่อดอกบัว มนัสเชื่อว่าดอกบัวเกิดขึ้นได้โดยไม่ต้องมีโคลนตม มนัสนั้นจึงไม่เห็นอันตรายที่เกิดจากการวิ่งตามความอยาก
มนัสนั้นดึงดูดความอยากมากมายและเมื่อได้มาซึ่งความอยากเหล่านั้นแล้ว เรากลับเป็นทุกข์มากยิ่งขึ้น เหมือนกับกระดูกเปล่าที่สุนัขพยายามกัดแทะอย่างไม่เคยพึงพอใจ และมนัสก็ไม่สามารถเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้ เพราะฉะนั้น การทำสมาธิหมายถึง การมีปัญญารู้แจ้งในคุณดีงามของความทุกข์ และมีปัญญาที่จะเห็นถึงอันตรายของการวิ่งเสาะแสวงหาสิ่งที่เราอยากได้ เราต้องช่วยเพื่อนมนุษย์ให้เห็นสิ่งเหล่านี้
เรารู้ว่าความทุกข์นั้นเป็นสิ่งสำคัญ
ที่เราสามารถเรียนรู้ได้
แต่ถ้าเราไม่สามารถ
โอบกอดความทุกข์ของเรา
และมองเข้าไปสู่ธรรมชาติ
ของความทุกข์นั้น
เราจะไม่สามารถเห็นหนทาง
ที่นำไปสู่การเยียวยา
และหลุดพ้นออกจากความทุกข์
เมฆที่อยู่บนท้องฟ้านั้น
ก็เป็นธรรมชาติแห่งนิพพาน
อยู่ในธรรมชาติของ
การไร้การเกิดไร้การตาย
เมฆนั้นจึงไม่ต้องไปเสาะแสวงหานิพพาน
เพราะเมฆนั้นเป็นนิพพานอยู่แล้ว
เพราะฉะนั้นนิพพานไม่ใช่ข้อสัญญา
แต่เป็นธรรมชาติอันแท้จริง
ที่เราจะต้องตื่นรู้ด้วยการถอดถอน
ความคิดเห็นเกี่ยวกับนิพพาน
ไร้ความตาย ไร้ความกลัว
การทำสมาธิเพื่อมองอย่างลึกซึ้ง ให้เห็นถึงธรรมชาติของการไร้การเกิดไร้การตาย คือการเข้าถึงธรรมชาติแห่งนิพพาน นิพพานหมายถึงการถอนรากของความคิดเห็นในเรื่องการเกิดการตาย
นิพพานนั้นไม่ใช่คำสัญญาที่เกิดขึ้นหากเราทำบุญด้วยการปฏิบัติในตอนนี้ แต่นิพพานนั้นอยู่ที่นี่ ณ ขณะนี้แล้ว ดำรงอยู่ในการปฏิบัติของเรา นิพพานหมายถึงการถอดถอนความคิดเห็นทั้งหลาย รวมถึงความคิดเห็นสองขั้วเรื่องการเกิด-การดับ เราไม่เพียงจะต้องถอดถอนความคิดเห็นเรื่องความเป็นอมตะ ความคิดเห็นเรื่องความเป็นอนิจจังก็ต้องถอดถอนด้วย
เมื่อเราการถอดถอนความคิดเห็นเกี่ยวกับการเกิดการดับแล้ว เราก็จะได้พบกับนิพพานซึ่งคือความสุขอันแท้จริงและการไร้ซึ่งความกลัว เราสามารถฝึกที่จะแทงทะลุผ่านความคิดเห็นแห่งการเกิดและการตาย การเป็นอยู่และการไม่เป็นอยู่ การมีและการไม่มี
นิพพานก็ไม่ใช่สิ่งที่เราพยายามเสาะแสวงหาเช่นเดียวกัน เพราะทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ตรงนั้นแล้วในธรรมชาติแห่งนิพพาน และเธอก็เป็นนิพพานอยู่แล้ว ความเป็นจริงของเธอคือการไร้การเกิดไร้การตาย ไร้การมาไร้การไป เราอยู่ในนิพพานอย่างสมบูรณ์แล้ว เราจึงไม่เป็นเหยื่อของการเสาะแสวงหาอีกต่อไป
เมฆที่อยู่บนท้องฟ้านั้นก็เป็นธรรมชาติแห่งนิพพาน อยู่ในธรรมชาติของการไร้การเกิดไร้การตาย เมฆนั้นจึงไม่ต้องไปเสาะแสวงหานิพพาน เพราะเมฆนั้นเป็นนิพพานอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นนิพพานไม่ใช่ข้อสัญญา แต่เป็นธรรมชาติอันแท้จริงที่เราจะต้องตื่นรู้ ด้วยการถอดถอนความคิดเห็นเกี่ยวกับนิพพาน ...๐
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น