เจริญพร ขอให้มีความสุขสมหวังและ ถึงความสิ้นทุกข์ในเวลาอันใกล้โดยง่ายเทอญ

ยินดีต้อนรับ สหธรรมิกผู้มีใจเป็นกุศลทุกๆท่านครับ

ขอเรียนเชิญ สหธรรมิกทุกๆท่านมาร่วมศึกษาและปฏิบัติธรรมของพระพุทธองค์ รวมทั้งแบ่งปันความรู้ ข้อคิด คำแนะนำ ด้วยใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาครับ

" ความมืดแม้ทั้งโลก ก็บดบังลำแสงเพียงน้อยนิดมิได้ "


สันโดษ

สันโดษ
สุขใด เสมอความสงบ ไม่มี

หน้าเว็บ

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
อดีตที่ผ่านมาเป็นบทเรียน อโหสิให้ทุกคน แต่อย่ามีเวรกรรมร่วมกันอีกเลย

ผู้ติดตาม

วันเสาร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2553

ซูฮาร์โต+มาร์กอส=ทักษิณ

Board index ‹ Relax & Politic Zone ‹ Politics
เปลี่ยนขนาดตัวอักษร
Print view
ช่วยเหลือเข้าสู่ระบบ(Log in)


ขณะนี้ adslthailand.com ได้เปิดบอร์ดใหม่แล้ว โดยบอร์ดเก่านี้ไม่สามารถเปิดตั้งกระทู้ได้อีก
แต่ยังสามารถเปิดอ่านและตอบกระทู้ได้เท่านั้น ขอให้ท่านผู้ใช้งานเข้าใช้งานที่บอร์ดใหม่ได้ที่นี่
ทางเข้าบอร์ดใหม่

ซูฮาร์โต+มาร์กอส=ทักษิณ / Relax
Moderator: moderator

ตอบกลับ

2 ข้อความ • หน้า 1 จาก 1
ซูฮาร์โต+มาร์กอส=ทักษิณ / Relax
โดย Beer » 21 Oct 2005 07:56

ซูฮาร์โต+มาร์กอส=ทักษิณ




คลิกที่ Play Multimedia ด้านบนเพื่อฟังเสียงบทความนี้โดยเจ้าของคอลัมน์


เราคงไม่ต้องไปประเมินว่า สินทรัพย์ของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และเครือญาติมีอยู่เท่าไหร่ เมื่อไม่นานมานี้ หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทมส์ ได้เลื่อนการจัดอันดับให้นายกฯ ของเราเป็นมหาเศรษฐีที่ทรงอำนาจที่สุดคนหนึ่งในโลก จากอันดับที่ 21 มาอยู่อันดับที่ 14 เลื่อนขึ้นมา 7 อันดับ ด้วยทรัพย์สิน 56,000 ล้านบาท

แน่นอนว่า การประสบความสำเร็จทางธุรกิจของพ.ต.ท.ทักษิณ นี่เองที่ทำให้ประชาชนมีความคาดหวัง หลังจากเขาตั้งพรรคไทยรักไทยขึ้นมาพร้อมนโยบายที่เป็นรูปธรรม

เมื่อได้เข้ามาบริหารประเทศ รัฐบาลทักษิณมีนโยบายประชานิยมออกมาเป็นชุดๆเพื่อเอาอกเอาใจคนทั้งประเทศ แต่เมื่อระยะเวลาผ่านไปกลับพบว่า นโยบายเหล่านี้ไม่ต่างกับการทำโปรโมชันเพื่อส่งเสริมการขายสินค้า ซึ่งในฐานะการเมืองก็คือ การส่งเสริมฐานะของพ.ต.ท.ทักษิณเอง

นโยบายและวาทกรรมของพ.ต.ท.ทักษิณหลายครั้ง ได้สะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลชุดนี้ ยึดมั่นในแนวทางการใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือย การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจแบบเกินตัว สนับสนุนการบริโภคนิยมแบบสุดลิ่มทิ่มประตู ซึ่งตรงข้ามกับแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ดังนั้นเมื่อสมัยที่ 2 ของรัฐบาลผ่านมาเพียงไม่กีเดือน สังคมและสื่อมวลชนก็เริ่มออกมาตั้งคำถามต่อแนวนโยบายของรัฐบาลชุดนี้ เพราะนโยบายหลายอย่างเริ่มเห็นความล้มเหลว และสะท้อนให้เห็นว่า เอื้อที่จะตอบแทนผลประโยชน์ให้แก่บริษัทวงศ์วานว่านเครือ และรัฐวิสาหกิจซึ่งเป็นผลประโยชน์ของชาติก็ถูกนำมาแปรรูปเพื่อแบ่งปันกันในหมู่พวกพ้อง

ความชัดเจนในเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนที่หลายฝ่ายเคยตั้งคำถามและกังขาเริ่มปรากฏขึ้น

หลายคนจึงเริ่มนึกถึงอดีตประธานาธิบดี แห่งอินโดนีเซีย และอดีตประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์ มาร์กอส แห่งฟิลิปปินส์ ราวกับว่า สามคนนี้มีความละม้ายคล้ายคลึงกัน

อย่างไรก็ตามมีคนบอกว่า ซูฮาร์โต ก็คือ ซูฮาร์โต มาร์กอส ก็คือ มาร์กอส ทั้งสองคนมีความต่างกันอยู่ เพียงแต่ทักษิณเองที่ดันไปเหมือนกับมาร์กอสบวกกับซูฮาร์โตเข้าอย่างช่วยไม่ได้

ก่อนหน้านี้องค์การเพื่อความโปร่งใสระหว่างประเทศ(ทีไอ)เคยระบุว่า อดีตประธานาธิบดีซูฮาร์โต แห่งอินโดนีเซีย ครองอันดับหนึ่งผู้นำที่โกงกินมากที่สุดในโลก ทั้งนี้ตามบัญชีจัดอันดับ 10 ผู้นำทุจริตคอร์รัปชันที่สุดของโลกในรอบ 20 ปีที่ โดยมาร์กอส อดีตผู้นำของฟิลิปปินส์มาเป็นอันดับ 2

รายงานดังกล่าวประเมินว่า ตระกูลซูฮาร์โต(1967-98)โกงกินประเทศชาติไปราว 15,000-35,000 ล้านดอลลาร์ ระหว่างที่เขากุมอำนาจปกครองประเทศนานถึง 32 ปี นับตั้งแต่ปี 1967

ผู้ที่ติดอันดับที่ 2 ได้แก่ เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส อดีตประธานาธิบดีฟิลิปปินส์(1972-86) ซึ่งก้าวเข้ามาสู่อำนาจเมื่อปี 1972 ด้วยการคอร์รัปชันประเทศชาติไป 5,000-10,000 ล้านดอลลาร์

แต่เราต้องยอมรับว่า ความร่ำรวยของพ.ต.ท.ทักษิณนั้น มาจากการทำธุรกิจของเขา แม้ว่า การได้มาของธุรกิจนั้นจะถูกมองว่า เป็นการวิ่งเต้นจากผู้มีอำนาจในยุคเผด็จการรสช.

ในระหว่างที่มีอำนาจนั้น ประธานาธิบดีซูฮาร์โต ก็ถือเป็นหนึ่งในสิบอภิมหาเศรษฐีรวยที่สุดของโลกด้วยสินทรัพย์ส่วนตัว 16,000 ล้านดอลลาร์

นิตยสารฟอร์บส์ เคยรายงานไว้ว่า แหล่งสร้างความร่ำรวยให้แก่ประธานาธิบดีซูฮาร์โตคือหุ้นที่ซูฮาร์โตถือครองในบรรดาบริษัทธุรกิจระดับยักษ์ของอินโดนีเซีย โดยมีข้อมูลว่า รัฐบาลอินโดนีเซียจะเอื้อประโยชน์สูงสุด แก่บริษัทที่สัมพันธ์ใกล้ชิดกับท่านประธานาธิบดี

บรรดาเครือข่ายธุรกิจที่สร้างรายได้ปันส่วนแบ่งป้อนให้แก่ซูฮาร์โต จะได้รับสิทธิผูกขาดในหลายหลากธุรกิจภายใต้รูปแบบ ใบอนุญาต-สัมปทาน แต่เพียงผู้เดียว หรือเพียงสองสามราย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังปี 1982 รัฐบาลอินโดนีเซียบังคับใช้ระบบ "เทรดเดอร์รับอนุญาต" เพื่อผูกขาดการนำเข้าและการจัดจำหน่ายสินค้านำเข้าให้อยู่ในอำนาจของหน่วยงานรัฐเพียงบางหน่วย สิทธิผูกขาดเหล่านั้นจะทยอยถ่ายโอนสู่เครือข่ายธุรกิจในอุปถัมภ์

ประธานาธิบดีซูฮาร์โต สามารถพลิกฐานะจากลูกชาวนามาเป็นอภิมหาเศรษฐีของโลก เช่นเดียวกับพ.ต.ท.ทักษิณ ที่สามารถพลิกชีวิตจากการวิ่งแลกเช็คขึ้นมาเป็นมหาเศรษฐีในระยะเวลาไม่กี่ปี แต่ความจริงแล้วซูฮาร์โตไม่ได้ลงแรงประกอบการธุรกิจด้วยตัวเอง แต่เขาเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากตัวแทนธุรกิจใกล้ชิดที่โอบอุ้มคุ้มครองจากอำนาจรัฐนั่นเอง

ฮูโตโม มันดาลา บุตรา บุตรคนที่ 5 ของประธานาธิบดีซูฮาร์โต ก็มีธุรกิจหลายอย่างที่ร่ำรวยมาจากการได้สิทธิพิเศษ สัมปทานผูกขาด จากการอิงแอบอำนาจของบิดา

หลังซูฮาร์โต ผูกขาดตำแหน่งผู้นำอินโดนีเซียมา 32 ปี อินโดนีเซียเจอพิษเศรษฐกิจในปี 1998 การลุกฮือครั้งใหญ่ของประชาชนจึงปะทุขึ้น ทหารและตำรวจใช้กำลังปราบปรามอย่างรุนแรง แต่ยิ่งปราบเหมือนยิ่งปลุก การจลาจลลุกลามไปทั่ว จนซูฮาร์โตจำต้องประกาศสละเก้าอี้ในที่สุด

และในช่วงปลายปีนั้น นักศึกษาอิเหนาได้ลุกฮือขึ้นเรียกร้องรัฐบาลให้ดำเนินคดีโกงชาติกับอดีตประธานาธิบดีซูฮาร์โต

ส่วนยุคสมัยแห่งการเรืองอำนาจของมาร์กอสแห่งฟิลิปปินส์นั้น ประชาชนฟิลิปปินส์ต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจของเผด็จการเสียงข้างมาก มาร์กอสก็เช่นเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ เขาเริ่มต้นด้วยความคาดหวังของประชาชน ด้วยชัยชนะจากการเลือกตั้งอย่างท่วมท้น มาร์กอสบริหารประเทศผสมผสานความก้าวหน้า แต่แฝงไปด้วยผลประโยชน์ในการคอร์รัปชัน และการลิดรอนสิทธิมนุษยชน

ขณะที่บ้านเมืองระส่ำระสาย อีเมลด้า เริ่มบทบาทหน้าที่สตรีหมายเลข 1 เธอออกเดินทางไปทั่วโลกพบปะผู้นำประเทศ และจับจ่ายซื้อสินค้าอย่างฟุ่มเฟือย เธอเข้ามามีบทบาทในการบงการทางการเมืองทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง

มาร์กอสก็ไม่ต่างกับผู้มีอำนาจบางคน เขาอาศัยประชาธิปไตยเป็นฉากบังหน้ายุคของเขาถูกมองว่าเป็นยุคโคตรอภิมหาโกง ด้วยอิทธิพล “ปืน-เงินทอง-อันธพาล (gun-gold-goon)” ช่วงแห่งการเสวยอำนาจของเขาเต็มไปด้วยการกดขี่ข่มเหงฝ่ายตรงข้าม และประชาชน การทุจริตคอร์รัปชันระบาดไปทั่วทุกหย่อมหญ้า

ความฮึกเหิมของมาร์กอสมาจากการมีฐานเสียงสนับสนุนในสภาและในกองทัพอย่างล้นหลาม

ในระยะหลัง ชาวฟิลิปปินส์เริ่มตั้งคำถามต่อรัฐบาลมาร์กอส แต่ชนวนของการลุกฮือก็ยังไม่เกิดขึ้น เพราะพวกเขามัวแต่ตั้งคำถามว่าไม่เอามาร์กอสแล้วจะเอาใคร จนกระทั่งเบนินโย่ อาคิโน่ นักโทษการเมืองที่ลี้ภัยออกจากฟิลิปปินส์เดินทางกลับมาบ้านเกิด ทันทีที่ลงจากเครื่องบินและเท้าสัมผัสแผ่นดินเกิด อาคิโน่ ก็ถูกลอบสังหาร

ความตายของอาคิโน่นี่เองที่เป็นชนวนให้ประชาชนลุกฮือขึ้นมาขับไล่ระบอบมาร์กอส จนในที่สุดเขายอมปิดฉากอำนาจของตนลง แม้จะจัดให้มีการเลือกตั้ง มาร์กอสก็พ่ายแพ้อย่างหมดรูป เขา และ อีเมลด้า ถูกชาวฟิลิปปินส์ขับไล่ออกจากประเทศ ยุคสมัยแห่งอำนาจของ เฟอร์ดินานด์ และ อีเมลด้า สิ้นสุดลงตั้งแต่บัดนั้น

ไม่น่าเชื่อว่า เมื่อย้อนกลับไปมองมาร์กอสและซูฮาร์โตแล้วหันกลับมามองบ้านเรา ก็เริ่มเห็นเค้าลางแล้วใช่ไหมว่า รัฐบาลทักษิณจะมีจุดจบอย่างไร


โดย สุรวิชช์ วีรวรรณ 20 ตุลาคม 2548 17:58 น.

Beer
Forum Manager


ตอบ: 22636
สมัครสมาชิก: 24 Oct 2003 15:18
ที่อยู่: Bangkok
Top
โดย tanawat30 » 21 Oct 2005 09:59

ล้วงลึกไปถึง มาร์กาส ซูฮาโต้เลย ผมสนใจแต่ในบ้านเรา เลยวิเคราะห์ว่า สักวันคนจะลุกฮือ ก็ได้แสดงความเห็นไปกว่าเดือนแล้วครับ ก่อนที่จะเห็นบทความนี้เสียอีก

tanawat30
ADSL 1Mbps


ตอบ: 4037
สมัครสมาชิก: 09 Nov 2004 13:49

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น