เจริญพร ขอให้มีความสุขสมหวังและ ถึงความสิ้นทุกข์ในเวลาอันใกล้โดยง่ายเทอญ
ยินดีต้อนรับ สหธรรมิกผู้มีใจเป็นกุศลทุกๆท่านครับ
ขอเรียนเชิญ สหธรรมิกทุกๆท่านมาร่วมศึกษาและปฏิบัติธรรมของพระพุทธองค์ รวมทั้งแบ่งปันความรู้ ข้อคิด คำแนะนำ ด้วยใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาครับ
ขอเรียนเชิญ สหธรรมิกทุกๆท่านมาร่วมศึกษาและปฏิบัติธรรมของพระพุทธองค์ รวมทั้งแบ่งปันความรู้ ข้อคิด คำแนะนำ ด้วยใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาครับ
" ความมืดแม้ทั้งโลก ก็บดบังลำแสงเพียงน้อยนิดมิได้ "
หน้าเว็บ
เกี่ยวกับฉัน
- Nitinandho
- อดีตที่ผ่านมาเป็นบทเรียน อโหสิให้ทุกคน แต่อย่ามีเวรกรรมร่วมกันอีกเลย
ผู้ติดตาม
วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
การทำงานของขันธ์ ๕
การทำงานของขันธ์ ๕
โดย Nitipat Nitinandho ณ วันที่ 27 พฤศจิกายน 2010 เวลา 21:00 น.
การทำงานของขันธ์ ๕
มันหยาบ....................
ช่องว่างในหินผาช่องว่างในหุบเหวมันหยาบแล้วก็ ใหญ่
แต่ลองคิดสิว่าช่องว่างในเม็ดเซลล์เรา
ในยีนส์ในดีเอ็นเอ ละเอียดมาก ๑ ในล้านมิล
แล้วลองคิดถึงถ้ำ
ช่องว่างในถ้ำเวลา
เราเอาหินเย็นๆเข้าไปอยู่ช่องมันก็ เย็น
หินร้อนเข้าไปอยู่ช่องมันก็ร้อน
ปฏิกิริยาในช่องว่างลองคิดสิ
ช่องว่างในเม็ดเซลล์ในยีนหรือดีเอ็นเอเรานี้ยิ่งกว่านั้นอีก
ธาตุ ๔ที่สร้างปฏิกิริยากันปฏิกิริยาเคมี
แล้วไหลมากระทบผ่านช่องว่าง
ละเอียดอ่อนกว่าไม่รู้กี่เท่า
เพราะมันตั้ง ๑ ในล้านมิล
ในช่องว่างนี้ก็เกิดการรับรู้ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นเข้ามา
เหมือนฟ้าร้อง ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า
มันเกิดจากไอร้อนบนผืนแผ่นดิน
ไอเย็นบนท้องฟ้ามากระทบกัน
ยังกลายเป็นพลังงานได้ เลย
แล้วข้างในนี้ละเอียดกว่าฟ้าผ่าไม่รู้กี่ล้านเท่า
มันก็เกิดเป็นการรับรู้ในช่องว่างระหว่างรูป กับ นามนี้
ที่เรียกว่าการรับรู้
ที่หลวงปู่ดูลย์เขียนในหนังสือ “จิต คือ พุทธะ” นี่
หลวงพ่อไม่ได้ว่าเปรียบเทียบความรู้
แต่ว่าเปรียบเทียบว่าที่ท่านพูดว่า
ที่สุดของความหลอกลวง ของรูป นาม
ก็คือวิญญาณ
คือใน รูปมันมีช่องอยู่
และในช่องว่างเกิดไอมากระทบกัน
เกิดการรับรู้และตัวรับรู้นี้มันก๊อปปี้สิ่งที่รู้เอาไว้
เรานึกถึงภาพที่ จุด จุด จุด เป็นรูปร่าง
สีแล้วจุดระหว่างรูปร่างมีไอปฏิกิริยามากระทบกันอย่างนี้
แล้วมันเริ่มทำงานด้วยตัวเองได้
พอรูปร่างนั้นถูกลบหายไป
ปฏิกิริยาระหว่างช่องว่างมันถอดก๊อปปี้มาอีกทีหนึ่ง
นี้คือที่สุดของความหลอกลวงของรูปและนาม
กลายเป็นความรู้สึกรับรู้ขึ้นมาเรียกว่า “วิญญาณ”
วิญญาณ เข้าไปรับรู้แล้วมันยึดไง
มีอุปาทานเข้าไปยึดมั่นในการรับรู้อย่างที่บอกว่า
แม้เสียงสะท้อนในหุบเขาก้องกลับไปกลับมา
แต่เสียงสะท้อนระหว่างช่องยิ่งละเอียดกว่านั้นอีก
เกิดเป็นสัญญาขึ้นรับรู้
รู้สึกมี สัญญาประเภทของการรับรู้
จะเท่ากับประเภทของสัญญาประเภทของวิญญาณ
จะเท่ากับประเภทของสัญญาทุกครั้ง
เหมือนพวกเรานั่งอยู่ในขณะนี้
มีเท้ากระทบพื้นรับรู้ และรู้สึกด้วยนะ
อันที่หนึ่งรับรู้อันที่สองรู้สึก เช่น
รู้สึก แข็งๆ เจ็บๆและก็จำได้จำความเจ็บได้
จำความแข็งได้เรียกว่าสัญญาแล้ว
เราเอาสองสิ่งนี้มาปรุงต่อเอามาคิดต่อคือ
มันจำไว้ ไงจำว่า แข็งๆเจ็บๆเป็นอย่างนี้
แล้วก็มา ปรุงว่าเราไม่ชอบ แข็งๆ
เราไม่ชอบเจ็บเจ็บๆ
ไอ้ดีไม่ดีมาทีหลัง เห็น ไหม
แล้วมันก็ป่วนเปลี่ยน
มันไม่ใช่จำว่าแข็งๆเจ็บๆอย่างเดียวนิ
มันรับรู้ผ่านอุปกรณ์ตั้งหลากหลายตั้ง ๖ตัว
อายตนะ ๖ มีกระบวนการรูปทรงของเมล็ดเซลล์
ช่องว่างตั้งหลากหลายเกิดกระบวนการอย่างนี้
ลูกตาเราก็มีเลนส์เรด้าหูเราก็มีอีกแบบหนึ่ง
มีจอรับภาพมีเลนส์ เรด้า อะไรต่างๆเหล่านี้เต็มไปหมดเลย
แล้วการรับรู้ต่างๆ ก็เต็มไปหมดเลย
ที่นี้รับรู้แล้วก็จำ จำแล้วก็นำมาคิดต่อ
ข้อมูลที่รับเข้ามาเพราะความไม่รู้
มันก็ไปคว้าว่า ตอนที่รับรู้ว่า เรารับรู้ เรารู้สึก เราได้ยิน
มันคิดคำว่าเรามา ตลอดมีเราที่ไหนกันเนี่ย
ความไม่รู้เราก็เห็นแต่เนื้อเรื่องที่มันคิดมันจำอยู่ตลอดเวลา
ไม่เคยเห็นสภาพเดิมว่าก่อนนั้นไม่เคยมีสิ่งนี้มาก่อนเลย
รับรู้มาว่า เราชอบ เราไม่ชอบ
อันนี้ดี อันนี้ไม่ดี ดีไม่ดีมัน
มีอยู่ก่อนหรือเปล่าเห็นไหม
เราปฏิบัติเพื่อเห็นความจริงในศาสนาพุทธ............
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น