เจริญพร ขอให้มีความสุขสมหวังและ ถึงความสิ้นทุกข์ในเวลาอันใกล้โดยง่ายเทอญ

ยินดีต้อนรับ สหธรรมิกผู้มีใจเป็นกุศลทุกๆท่านครับ

ขอเรียนเชิญ สหธรรมิกทุกๆท่านมาร่วมศึกษาและปฏิบัติธรรมของพระพุทธองค์ รวมทั้งแบ่งปันความรู้ ข้อคิด คำแนะนำ ด้วยใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาครับ

" ความมืดแม้ทั้งโลก ก็บดบังลำแสงเพียงน้อยนิดมิได้ "


สันโดษ

สันโดษ
สุขใด เสมอความสงบ ไม่มี

หน้าเว็บ

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
อดีตที่ผ่านมาเป็นบทเรียน อโหสิให้ทุกคน แต่อย่ามีเวรกรรมร่วมกันอีกเลย

ผู้ติดตาม

วันเสาร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

สมาธิที่เอื้อต่อวิปัสสนาต้องประกอบด้วยสติ




สมาธิที่เอื้อต่อวิปัสสนา

สมาธิที่เอือต่อวิปัสสนาต้องประกอบด้วยสติ

หลวงพ่อปราโมทย์ : เพราะฉะนั้นเราค่อยฝึกเอาไม่ได้ยากเท่าที่คิดหรอก มันยากเพราะว่าเราภาวนาไม่เข้าหลักเข้าเกณฑ์สักที ส่วนใหญ่ผู้ปฏิบัติที่เนิ่นช้า เพราะไปภาวนาเอาแต่ความสงบ ทำแต่สมถะอย่างเดียว ไม่มีปัญญา สมถะมีมาก่อนพระพุทธเจ้า และพระพุทธเจ้าท่านก็ยอมรับสมถะ เอามาใช้ประโยชน์ สมถะเป็นการฝึกจิตฝึกใจให้สงบ ให้ตั้งมั่น เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานขึ้นมา ต้องรู้นะ วัตถุประสงค์ของสมถะ ไม่ใช่แค่สงบ ถ้าทำสมถะมุ่งเอาแค่ความสงบของจิตใจอย่างเดียว แค่เอาความสุขของจิตใจอย่างเดียว ไม่เอื้อต่อการที่จะก้าวไปสู่การเจริญวิปัสสนาที่จะไปเห็นความจริงของกายของใจได้

สมถะ มีอยู่ ๒ พวก พวกหนึ่ง ทำสมถะไปแล้วเป็นมิจฉาสมาธิ จิตสงบเหมือนกันนะ แต่ว่าประกอบด้วยโมหะ ประกอบด้วยความหลง ประกอบด้วยโลภะ ประกอบด้วยราคะ มีความเพลิดเพลินยินดีพอใจในความสุขความสงบที่เกิดขึ้น ความสงบชนิดนี้ สมถะชนิดนี้ไม่เป็นไปเพื่อวิปัสสนา เป็นสมาธิที่มันที่อยู่ทั่วๆ ไป เช่น เราไปหัดนั่งสมาธิ นั่งแล้วก็เคลิ้มๆ สงบนะ หมดเวลาแล้วก็มีความสุข คล้ายๆหลับมาเต็มอิ่ม ตื่นขึ้นมามีความสุข ใจก็ยังเยิ้มๆ เคลิ้มๆ ติดความสุขของสมาธิออกมา สมาธิชนิดนี้ใช้ไม่ได้

มันมีสมาธิอีกชนิดหนึ่ง คือ สมาธิซึ่งประกอบด้วยสติ อย่างเราหายใจไปนะ หายใจออก หายใจเข้านะ รู้สึกตัวไป เห็นร่างกายมันหายใจไปเรื่อย หายใจไปรู้สึกตัวไป หายใจไปรู้สึก ไม่ให้ขาดสติ ไม่ให้เคลิ้มนะ ไม่ให้ขาดสติ หายใจแล้วรู้สึก หายใจแล้วรู้สึก ค่อยๆ ดู ค่อยๆ สังเกตไป ตัวที่หายใจอยู่นี่ ร่างกายมันหายใจ มันเป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า ค่อยๆ ฝึกไปเรื่อยๆ นะ หายใจไปนานก็สังเกตร่างกายเป็นของถูกรู้ ร่างกายมันหายใจเป็นของถูกรู้ จิตเป็นคนรู้ร่างกายที่หายใจ นี่ฝึกไปๆ จิตมันจะตั้งมั่นขึ้นมาเป็นผู้รู้ผู้ดู พอจิตตั้งมั่นขึ้นมาเป็นผู้รู้ผู้ดู มันไม่ใช่ผู้คิด ผู้นึก ผู้ปรุง ผู้แต่ง ผู้หลง แต่เป็นผู้ดูจริงๆ

มันเป็นผู้ดูแล้ว ต่อไปนี้เราไม่ได้ไปประคองจิตให้นิ่งอยู่กับผู้รู้ผู้ดู มีสติตามรู้ความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของกายของใจเรื่อยไป เราก็เจริญปัญญา เห็นความจริงว่ากายนี้ใจนี้ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา นี่เจริญปัญญาได้

เพราะฉะนั้น พวกเราต้องระมัดระวังในการทำสมาธิ ต้องเป็นสมาธิที่ประกอบด้วยสติ อย่าให้ขาดสติ สมาธิที่เป็นอกุศลมีอยู่ สมาธิไม่ใช่ไปเกิดกับจิตที่เป็นกุศลเสมอไป ไม่เหมือนสตินะ สติจะเกิดร่วมกับจิตที่เป็นกุศลเท่านั้น แต่สมาธินี่เกิดกับจิตอกุศลก็ได้ เพราะฉะนั้น เวลาที่ใจสงบแล้วประกอบด้วยโมหะ ลืมเนื้อลืมตัว เป็นไปได้ไหมที่จะสงบแล้วลืมตัว เป็นได้มากเลยนะ นั่งสมาธิแล้วก็เคลิ้มลืมตัวไปอย่างนี้ หรือนั่งแล้วก็ใจออกนอก เห็นแสงสว่าง เห็นเทวดา เห็นผี ออกนอกไป สมาธิชนิดนี้ไม่สามารถทำให้เรากลับมารู้จิตที่เป็นผู้รู้ผู้ดูได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น