แสดงธรรมโดย พระราชนิโรธรังสี (เทสก์ เทสรังสี)
วัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย
คำปรารภ
เรื่องแนวปฏิบัติธรรมที่มีชื่อว่า "โมกขุบายวิธี" ซึ่งสำเร็จเป็นเล่มเล็กๆ ปรากฏอยู่ในมือของท่านได้นี้ เพราะอาศัยคำปรารภของผู้หวังดีในแนวปฏิบัติธรรมทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ โดยเฉพาะเจ้าพระคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ธมฺมธโร พิมพ์) เจ้าอาวาสวัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน พระนคร สมัยเมื่อท่านยังดำรงสมณศักดิ์ที่ พระญาณดิลก รักษาการวัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ ได้ขอให้เขียนแนวปฏิบัติธรรม แต่ข้าพเจ้าไม่อาจจะรับสนองเจตนาดีของท่านได้ เพราะรู้ตัวดีว่าไม่ใช่นักเขียน ทั้งประกอบด้วยอ่อนการศึกษา แม้กระนั้นต่อมาก็ยังมีท่านผู้ปรารถนาดีขอให้เขียนเรื่องทำนองนั้นเรื่อยๆ มา
เมื่อข้าพเจ้ามาพิจารณาดูระยะกาลจวบกับอายุพรรษาค่อนข้างมาก อยู่ไปอีกไม่กี่มากน้อยก็คงจะตาย ควรจะทำประโยชน์อะไรไว้ในพระพุทธศาสนาบ้าง ทั้งประกอบด้วยในสมัยนี้ก็มีนักปฏิบัติธรรมเจริญก้าวหน้ามากพอ จึงตัดสินใจเขียนเรื่องนี้ขึ้น พอเขียนแล้วอ่านดูชักจะนอกแบบนอกตำราไป นี่ก็อยู่ที่ศึกษาน้อยหรืออ่อนการศึกษานั่นเอง แต่ท่านผู้หวังดียังคงรบเร้าให้เขียนในแนวนั้นร่ำไป จึงจำใจต้องเขียน ครั้นเขียนเสร็จแล้วได้ส่งต้นฉบับถวายเจ้าพระคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์เพื่อกรุณาช่วยแก้ในอรรถพยัญชนะที่ควรจะแก้ ซึ่งท่านก็ได้กรุณาแก้ไขต่อเติมและจัดระเบียบถ้อยคำให้สละสลวยขึ้น
เรื่อง "โมกขุบายวิธี" นี้ แสดงแนวปฏิบัติธรรมโดยเฉพาะ ซึ่งผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลายได้ดำเนินอยู่ในสายนี้ทั้งสิ้น แต่บางคนเห็นแล้วพูดหรือบอกคนอื่นไม่ถูกเพราะไม่ชำนาญก็มี ไม่สนใจก็มี ไม่อยากพูดเพราะรำคาญก็มี ส่วนผู้สนใจ แต่ไม่ทราบว่าอะไรเป็นอะไร ใช่หรือมิใช่ จะถือปฏิบัติหรือจะทิ้งก็ทำไม่ถูก เพราะเป็นของเกิดในใจ ยากที่จะทำด้วยกายและพูดด้วยวาจา หากไม่มีอาจารย์ หรือมีแต่ไม่เคยปฏิบัติด้วยตนเองมาก่อน ก็ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร บางทีเห็นเป็นเรื่องแปลกแล้วกลับเข้าใจว่าเป็นของดี ส่งเสริมกันจนเสียผู้เสียคนไปก็มี
ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงได้รวบรวมแนวปฏิบัติ พร้อมทั้งผลที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติและวิธีแก้ไขเท่าที่สามารถรวบรวมมาได้ หวังว่าคงจะเป็นเครื่องมือแก้ไขได้บ้างไม่มากก็น้อย ข้อเขียนนี้หากจะมีการคลาดเคลื่อนจากหลักปริยัติแล้ว ก็ขอท่านผู้รู้หลักนักปราชญ์ได้ให้อภัยด้วย เพราะทางการปฏิบัติธรรมเป็นของกว้างขวางมาก ยากที่ผู้ไม่คงแก่เรียนจะสงเคราะห์เข้าใจในหลักปริยัติได้ถูกต้อง
ตามที่ท่านเจ้าพระคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ได้โปรดกรุณาช่วยตรวจแก้ปรับปรุงจัดการให้เรื่อง "โมกขุบายวิธี" นี้สำเร็จเป็นหนังสือขึ้นมาได้โดยเรียบร้อยนั้น ข้าพเจ้าจึงจารึกพระคุณท่านไว้ในดวงใจโดยมิลืมเลือน หากประโยชน์อันใดจะพึงเกิดมีแต่เรื่อง "โมกขุบายวิธี" นี้ ข้าพเจ้าขอน้อมถวายบูชาพระคุณท่านด้วยความเคารพยิ่ง
พระนิโรธรังสี คัมภีรปัญญาจารย์
วัดเจริญสมณกิจ
จังหวัดภูเก็ต
๑ มีนาคม ๒๕๐๕
โมกขุบายวิธี
อารัมภบท
สุสฺสูสํ ลภเต ปญฺญํ
ผู้ฟังดี ย่อมเกิดปัญญา
พระพุทธศาสนาคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหมด พุทธศาสนิกชนทั้งหลายย่อมทราบกันดีอยู่แล้วว่าพระพุทธองค์ได้ประกาศมาแม้นานเป็นเวลา ๔๕ ปีซึ่งว่าโดยปิฎกมี ๓ ปิฎก ว่าโดยขันธ์มีถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แต่เมื่อรวมใจความลงในหลักใหญ่ก็มีอยู่ ๓ ประการ คือทรงสอนให้ละความชั่วทั้งปวง ทรงสอนให้บำเพ็ญความดี และทรงสอนให้ชำระจิตของตนให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง ซึ่งทั้งสามหลักนี้ท่านผู้รู้ทั้งหลายทั่วไปยอมรับรองว่าถูกต้องใช้ได้
เป็นที่น่าปลื้มใจแก่พุทธศาสนิกชนอย่างยิ่ง ที่พากันได้พระศาสดาผู้วิเศษเพราะโดยพระชาติ พระองค์เป็นกษัตริย์อุภโตสุชาต โดยพระวงศ์เป็นโคตมโคตร เมื่อจะเสด็จออกบรรพชามิใช่เพราะไร้ญาติขาดมิตร คิดเลี้ยงตัวเองและตระกูลไม่ไหว ที่จริงนั้นพระองค์ทรงบริบูรณ์ด้วยมไหศวรรย์สมบัติ เพียบพร้อมด้วยเบญจกามคุณที่มีอยู่ในโลกนี้ทุกอย่าง เสด็จออกบรรพชาด้วยการหลั่งพระอัสสุชลธารของพระราชบิดาและพระประยูรญาติแท้ๆ
ในด้านศิลปวิทยาเล่า เมื่อยังทรงพระเยาว์ก็ปรากฏว่าพระองค์เป็นยอดเยี่ยมในราชตระกูล คู่ควรแก่ตำแหน่งรัชทายาท ส่วนพระรูปลักษณ์ก็ถูกต้องตามมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ ซึ่งพวกพราหมณ์นิยมกันนักในสมัยนั้นว่า ผู้มีมหาปุริสลักษณะครบถ้วนเห็นปานนั้น ต้องมีคติเป็น ๒ คือ หากอยู่ครองฆราวาส จักได้เป็นจักรพรรดิราช มีอำนาจครองชมพูทวีป มีมหาสมุทรทั้งสี่เป็นขอบเขต ถ้าออกบรรพชา จักได้เป็นศาสดาเอกในโลก หามีศาสดาอื่นทั้งในมนุษย์และเทวดาเสมอเหมือนได้ไม่
พระองค์เสด็จออกบรรพชาด้วยทรงปรารภปัญหาชีวิตที่กำลังเผชิญหน้าของเหล่าคณาจารย์อยู่ในสมัยนั้น คือ ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ซึ่งเป็นเหตุผลที่สำคัญอันนักปราชญ์ไม่อาจตำหนิติโทษได้ โดยทรงยกปัญหาชีวิตนั้นขึ้นมาขบคิดหาวิธีแก้ไข ด้วยพยายามทดลองตรวจสอบตามหลักวิชาที่ทรงศึกษามาด้วยพระองค์เองและทรงบำเพ็ญทุกรกิริยาที่คณาจารย์พากันเชื่อถือว่า เป็นอุบายแก้ปัญหาชีวิตได้จริง
เมื่อพระองค์ตั้งสติทรงประคองพระองค์ ทรงทดลองบำเพ็ญทุกรกิริยาให้แรงกล้าด้วยวิธีต่างๆ เช่น ทรงผ่อนกลั้นลมหายใจเข้า-ออก ครั้นลมเดินไม่สะดวกทางช่องพระนาสิกและช่องพระโอษฐ์ ก็เกิดเสียงดังอู้ทางช่องพระกรรณ ให้ปวดพระเศียร เสียดพระอุทร ร้อนในพระกายเป็นกำลัง แม้อย่างนั้นทุกขเวทนาก็ไม่อาจครอบงำพระหฤทัยให้กระสับกระส่ายได้ ยังทรงมีพระสติตั้งมั่นไม่ฟั่นเฟือน เร่งปรารภความเพียรไม่ย่อหย่อน แต่ครั้นพระองค์ทรงบำเพ็ญไปๆ ทรงเห็นว่านี่ไม่ใช่ทางตรัสรู้ จึงทรงเปลี่ยนวิธีเป็นอดพระกระยาหารตามที่เขาเข้าใจกันว่าอาหารเป็นเหตุเกิดของกิเลส เริ่มผ่อนเสวยแต่วันละน้อยๆ บ้าง เสวยพระกระยาหารละเอียดบ้าง จนพระวรกายเหี่ยวแห้ง พระฉวีวรรณเศร้าหมอง พระอัฐิปรากฏทั่วพระวรกาย เมื่อทรงลูบพระกาย เส้นพระโลมามีรากเน่าหลุดร่วงจากขุมพระโลมา พระกำลังน้อยถอยลง จะเสด็จไปข้างไหนก็ซวนล้ม
เมื่อพระองค์ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา ทรมานพระกายให้ลำบาก เป็นกิจยากที่ผู้มีศรัทธาทั้งหลายทั้งในอดีตและปัจจุบันหรืออนาคตจะทำให้ยิ่งไปกว่าพระองค์ได้แล้ว ทรงลงสันนิษฐานว่านี่ไม่ใช่ทางตรัสรูแน่แล้ว และทรงหวนระลึกถึงคราวพระประยูรญาติทรงกระทำการแรกนาขวัญในเวลาบ่ายที่พระองค์ประทับนั่งขัดสมาธิเจริญอานาปานสติอยู่หลังม่านภายใต้ต้นหว้าอันปราศจากพระพี่เลี้ยงและนางนมใดๆ ทั้งหมด ยังปฐมฌานให้บังเกิดขึ้นจนเกิดอัศจรรย์บันดาลให้เงาต้นหว้าตรงอยู่ดุจในเวลาเที่ยงนั้นว่าอาจเป็นทางตรัสรู้ได้กระมัง จึงทรงเลิกทุกรกิริยาเสียด้วยประการทั้งปวง กลับเสวยพระกระยาหารคือข้าวสุกขนมกุมมาสโดยปกติ
ฝ่ายฤๅษีเบญจวัคคีย์ซึ่งเชื่อกันว่า เมื่อพระองค์เสด็จออกทรงผนวชแล้วจะได้เป็นพระพุทธเจ้าแน่ และพากันคอยเฝ้าอยู่ปฏิบัติทุกเช้าค่ำด้วยหวังว่าพระองค์ได้บรรลุธรรมใดแล้วจักทรงสั่งสอนให้ตนบรรลุธรรมนั้นบ้าง แต่ครั้นเห็นพระองค์ทรงละทุกรกิริยาเสีย กลับเสวยพระกระยาหารตามเดิม ต่างก็หมดศรัทธาผิดหวัง ได้พากันหลีกไปเสียจากที่นั้น
เมื่อพระองค์เสวยพระกระยาหารบำรุงพระวรกายให้กลับมีกำลังขึ้นได้อย่างเดิมแล้ว ทรงเริ่มความเพียรเป็นไปในจิตจนได้ฌาน ๔ ญาณ ๓ โดยลำดับ ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขึ้นในโลก ในปีก่อนพุทธศก ๔๕ และแล้วทรงประกาศสัจธรรมแก่เวไนยสัตว์ ซึ่งมีหลัก ๓ ประการดังกล่าวมาข้างต้นนั้น รวมความว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นพระศาสดาที่ดีเลิศ เพราะประกอบด้วยองค์คุณ ๖ ประการ คือ
๑.เป็นผู้เลิศด้วยชาติและตระกูล
๒.ทรงมีความสามารถชั้นยอดเยี่ยม
๓.เสด็จออกทรงผนวชด้วยเหตุผลที่สมควร
๔.ได้ทรงทดสอบตามหลักวิชาในวิธีต่างๆ ด้วยพระองค์เองจนสิ้นสงสัย
๕.เมื่อตรัสรู้ไม่ใช่เพราะหลักวิชาเหล่านั้น แต่เป็น "สยัมภูญาณ" ตรัสรู้ด้วยพระปรีชาสามารถของพระองค์เอง
๖.แม้ตรัสรู้แล้วก็ไม่ทรงเห็นแก่ประโยชน์ส่วนพระองค์ ยังได้ทรงแสดงหลักคำสอนเป็นหลักใหญ่ไว้ ๓ ประการ และทรงวางโครงการสอนให้เข้าถึงหลักนั้นอีก ๕ ประการอย่างมีระเบียบ
ข้อที่น่าภูมิใจยิ่งก็คือ พระศาสดาของเรามีพระประวัติเป็นหลักฐานแน่นอน ชาวโลกไม่ว่าจะเลื่อมใสในพระองค์หรือไม่ ต่างก็ทราบกันดีอยู่แล้วว่าพระองค์เป็นโอรสนัดดาของใคร อุบัติในตระกูลไหน เป็นชาติอะไร เสด็จออกทรงผนวชแล้วมีพระจรรยาอย่างไร ซึ่งทั้งนี้เมื่อมีคนอื่นถามถึงเราก็ไม่ต้องหนักใจตอบได้ทันที เพราะพระประวัติของพระองค์ นอกจากมีหลักฐานยืนยันอยู่แล้ว ยังมีลีลาน่าอ่านน่าสนใจ มีทั้งคดีโลกและคดีธรรมครบถ้วนอยู่ในตัว
อันคำสั่งสอนที่พระองค์ทรงประกาศนั้น มีเหตุผลสมควรแก่การปฏิบัติ ทนต่อการวิจัยของผู้รู้ทั้งหลาย เป็นนิยยานิกธรรมนำพาให้ผู้รู้แล้วปฏิบัติตามเป็นคนดีได้ทันตาเห็น แต่น่าเสียดายยิ่งนักที่พระพุทธศาสนาประหนึ่งเพชรน้ำหนึ่ง เป็นของดีมีคุณวิเศษ แต่มีคนนิยมนับถือน้อย ไม่สมควรกับว่าคนสมัยนี้สมองใส เชื่อแต่สิ่งที่มีเหตุผล และในจำนวนที่นับถือนั้น หากจะกลั่นเอาแต่ผู้นับถือเข้าถึงหลัก ๓ ประการได้จริงๆ ก็ยิ่งจะเหลือน้อยนิดเดียว น่าแปลกมากว่า ของดีแต่มีคนนิยมน้อย
ความจริงพระศาสดาเป็นผู้ดีเลิศ แม้คำสั่งสอนของพระองค์ก็เป็นนิยยานิกธรรมนำผู้รู้แล้วปฏิบัติตามให้บรรลุมรรคผลได้จริง แต่มีผู้นับถือได้บรรลุมรรคผลจำนวนน้อย นั้นย่อมเป็นเพราะความเห็นของผู้นับถือผิดเพี้ยนปฏิบัติไม่ตรงกับคำสอน ถ้าคำสั่งสอนของพระองค์เป็นของผิดเพี้ยนแล้ว พุทธสาวกที่ปฏิบัติตามก็จะไร้ผลไปทั้งหมด แต่นี่ยังมีผู้ได้บรรลุมรรคผลอยู่ทั้งในอดีตและปัจจุบัน แม้คำสอนก็ยังมีอายุยั่งยืนมาตั้งสองพันกว่าปี ซึ่งทั้งนี้และทั้งนั้นย่อมเป็นพยานยืนยันว่าคำสอนของพระองค์ไม่ใช่ของปลอม แต่เป็นหลักสัจธรรมที่ดีจริง มีสาระมั่นคงอยู่ในตัวของมันเองอยู่ตลอดกาล
ดังนั้น ปัญหาสำคัญจึงอยู่ที่ผู้รับฟังและผู้รับการอบรมมีความเห็นผิดเพี้ยนฟังไม่เข้าใจในข้อเท็จจริงของหลักธรรม เช่น พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนว่าร่างกายของคนเรานี้เป็นก้อนทุกข์ มีชาติเป็นต้นและมีมรณะเป็นที่สุด เป็นของน่าเกลียด ควรเบื่อหน่าย ควรปล่อยวาง ไม่ควรยึดถือว่าเป็นของตน เพราะมันไม่เป็นไปในอำนาจของตน แต่มีใครบ้างที่ฟังถูก เข้าใจตามความจริงนั้น เพราะความเห็นผิดเพี้ยนนั่นเอง จึงฟังผิดคิดออกนอกทางตั้งหน้าแต่บำรุงบำเรอก้อนทุกข์ฝืนธรรมดา ด้วยความลุ่มหลงมัวเมานานัปการ ฝันหาแต่ความสุขในทุกข์โดยผิดทาง ต้องได้รับความทุกข์โดยทวีคูณ เมื่อเรามีความเห็นผิดเพี้ยนเป็นทุนอยู่แล้ว แม้จะฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่เป็นสัจธรรม ก็จะกลายเป็นผิดเพี้ยนไปหมด ไม่สามารถทำความเข้าใจในสัจธรรมให้ถูกต้องได้ "ของปลอมจะเป็นวัตถุหรือคำสั่งสอนของใครก็ตามย่อมไร้ค่า หากใครมีของปลอมไว้มากก็ทุกข์มาก ..."
ดังนั้น การเผยแพร่สัจธรรมให้เข้าถึงจิตของคน จึงเป็นของทำได้ยากทุกยุคทุกสมัย เนื่องด้วยสัมปทาทั้ง ๓ ไม่พร้อมมูล คือ
ผู้สอนไม่เข้าใจถึงแก่นธรรม และไม่มีอุบายสอนให้คนอื่นเข้าใจในธรรมนั้นด้วย ๑
ผู้รับฟังไม่ตั้งจิตแน่วแน่ให้เข้าถึงภูมิธรรมพอที่จะรับฟังคำสอนนั้นได้ ทั้งยังมีความเห็นผิดเพี้ยนเป็นทุนอยู่ ๑
และคำสอนที่เขานำมาสอนนั้นเป็นของปลอม ๑
แท้จริงพระพุทธเจ้าเมื่อจะทรงประกาศสัจธรรมนั้น ทรงหนักพระหฤทัยว่าจะไม่มีผู้เข้าใจในสัจธรรม เพราะเป็นของลึกซึ้งละเอียดยิ่งนัก ยากที่คนผู้มีกิเลสหนาจะตามรู้ได้ แต่อาศัยพระมหากรุณาคุณ เมื่อทรงพิจารณาโดยรอบคอบแล้วก็ทรงทราบได้ว่า สัมปทาทั้ง ๓ ยังมีอยู่พร้อม จึงทรงประกาศสัจธรรมถึงสิ่งที่มีอยู่ในตัวเราทุกคน คือ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์ และทางที่จะทำให้ถึงความดับทุกข์ หลังจากนั้นได้ทรงประมวลหลักคำสอนทั้งหมดมาประกาศในท่ามกลางพระอริยสงฆ์ ๑,๒๕๐ รูป ดังจะบรรยายต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น