เจริญพร ขอให้มีความสุขสมหวังและ ถึงความสิ้นทุกข์ในเวลาอันใกล้โดยง่ายเทอญ

ยินดีต้อนรับ สหธรรมิกผู้มีใจเป็นกุศลทุกๆท่านครับ

ขอเรียนเชิญ สหธรรมิกทุกๆท่านมาร่วมศึกษาและปฏิบัติธรรมของพระพุทธองค์ รวมทั้งแบ่งปันความรู้ ข้อคิด คำแนะนำ ด้วยใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาครับ

" ความมืดแม้ทั้งโลก ก็บดบังลำแสงเพียงน้อยนิดมิได้ "


สันโดษ

สันโดษ
สุขใด เสมอความสงบ ไม่มี

หน้าเว็บ

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
อดีตที่ผ่านมาเป็นบทเรียน อโหสิให้ทุกคน แต่อย่ามีเวรกรรมร่วมกันอีกเลย

ผู้ติดตาม

วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2554

สุมโน ภิกขุ' พระฝรั่งศิษย์หลวงพ่อชา ทิ้งชีวิตที่หรูหรา สู่วิถีแห่งความสันโดษ

> เป็นระยะเวลา 30 กว่าปีแล้วที่พระอาจารย์ สุมโน ภิกขุ พระฝรั่ง
> อดีตชาวเมืองชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา
> ได้สละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยสุขสบายในชีวิตฆราวาส
> แล้วหันเหตัวเองสู่เส้นทางแห่งจิตวิญญาณ
> เพื่อดำเนินชีวิตในวิถีทางที่สันโดษและเรียบง่าย
> ภายใต้ร่มเงาของพระพุทธศาสนา
>
> สิ่งที่ทำให้อดีตนักศึกษาด้านกฎหมายและนักธุรกิจด้านตีราคาที่ดินทั้งของรัฐและเอกชน
> ผู้เคยใช้ชีวิตระดับไฮคลาส เดินทางไปต่างประเทศด้วยเครื่องบินชั้นธุรกิจ
> ( B usiness Class) พักแต่โรงแรมระดับห้าดาว
> และมีเงินเหลือเฟือพอที่จะเที่ยวรอบโลก
> ได้ตัดสินใจทิ้งชีวิตที่หลายคนพยายามตะเกียกตะกายเพื่อจะไปให้ถึง
> เหตุเพราะเช้าวันหนึ่งเขาลืมตาตื่นขึ้นพร้อมกับความรู้สึกที่ว่าชีวิตช่างน่าเบื่อ
> ไม่มีอะไรที่ทำให้ต้องตื่นเต้นอีกต่อไปแล้ว
>
> พระอาจารย์ สุมโน ซึ่งอดีตเคยนับถือศาสนายิว บอกเล่าว่า
> รู้จักพระพุทธศาสนาครั้งแรกเมื่อตอนที่กำลังศึกษา อยู่ในชั้นมัธยมปลาย
> ด้วยความที่มีนิสัยเป็นคนชอบอ่านหนังสือและแสวงหาความรู้อยู่ตลอดเวลา
> กระทั่งวันหนึ่งจึงได้ไปเจอหนังสือบางเล่มที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนาวางอยู่บนโต๊ะในห้องสมุด
>
> แรกเริ่มพระอาจารย์ให้ความสนใจเรื่องการนำหลักการฝึกสมาธิของทางพระพุทธศาสนามาใช้ในการปรับปรุงและพัฒนาตัวเองมากกว่า
> ขณะเดียวกันก็ใช้เวลาศึกษาศาสนาหลายศาสนาและหลายนิกาย
> โดยเคยเข้าคอร์สที่มีการอบรมด้านพระพุทธศาสนาอยู่หลายคอร์ส
> และใช้เวลาปลีกวิเวกอยู่แต่ในห้องโดยไม่ไปไหนเลย เป็นเวลานาน 2-3 ปี
>
> ในวัย 32 ปี เมื่อได้ทิ้งชีวิตการเป็นนักธุรกิจแล้ว
> และเริ่มมีใจลึกซึ้งในพระพุทธศาสนา พระอาจารย์เห็นว่า
> การฝึกสมาธิอย่างเดียวช่วยอะไรได้น้อยมาก จึงมีความสนใจ
> อยากจะศึกษาพระพุทธศาสนาให้มากขึ้น
> แต่เวลานั้นยังไม่ได้มีความคิดที่จะบวช
> ช่วงเวลาที่ท่านกำลังจะเดินทางไปศึกษาพระพุทธศาสนาที่ประเทศอินเดียนั้น
> ระหว่างทางได้ไปแวะที่เมืองลอนดอน ประเทศอังกฤษ
> เพราะเพื่อนของพระอาจารย์ได้แนะนำให้รู้จักวัดแห่งหนึ่งที่นี่
> ซึ่งเมื่อสมัยที่ท่านไปเยือนครั้งแรกนั้นยังไม่ได้เป็นวัด
> แต่ต่อมาได้กลายมาเป็น วัดจิตตวิเวก
> ( วัดป่าสาขาวัดป่าหนองป่าพงแห่งแรกในประเทศอังกฤษ) ที่ช่วงเวลานั้นมี
> พระสุเมธาจารย์ หรือท่านสุเมโธภิกขุ เป็นเจ้าอาวาสรูปแรก
> เมื่อเริ่มแรกตั้ง วัดในพ.ศ. 2522
>
> พระอาจารย์ยังจำได้ว่า ทุกๆเย็น จะต้องนั่งรถลีมูซีนคันหรู
> เพื่อไปสวดมนต์ที่วัด ก่อนจะตัดสินใจนุ่งขาวห่มขาวอยู่นานถึงสามปี
> จึงทำให้ความตั้งใจที่จะไปอินเดียในครั้งนั้นเป็นอันต้องล้มเลิก
> และในที่สุดจึงตัดสินใจบวชเมื่ออายุได้ 35 ปี
>
> นอกจากวัดจิตตวิเวก พระอาจารย์ได้มีส่วนร่วมในการสร้างวัดอีกแห่ง คือ
> วัดอมราวดี แต่ด้วยสเกลที่มีขนาดใหญ่ ต้องใช้เวลาในการสร้างนาน
> จึงไม่อยากใช้เวลาให้หมดไปกับการเป็นช่าง
> แต่อยากศึกษาหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนามากกว่า
>
> วันหนึ่งเมื่อเดินทางสู่ประเทศไทย
> ทำให้พระอาจารย์มีได้มีโอกาสแวะเวียนไปกราบไหว้
> และเรียนรู้ธรรมะจากพระชื่อดังหลายรูปในประเทศไทย อาทิ ท่านพุทธทาสภิกขุ
> หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี หลวงพ่อพุธ ฐานิโย และ หลวงพ่อชา สุภัทโท
>
> โดยเฉพาะหลวงพ่อชา สุภัทโท แห่งวัดหนองป่าพง อำเภอวารินชำราบ
> จ.อุบลราชธานี ที่พระอาจารย์รู้สึกเลื่อมใสศรัทธามากเป็นพิเศษอยู่แล้ว
> เพราะเคยบวชและจำพรรษาอยู่ที่วัดสาขาของท่านที่อังกฤษ
> พระอาจารย์จึงไม่รีรอที่จะเดินทางสู่ภาคอีสาน ไปยังที่พำนักของหลวงพ่อชา
> เพื่อฝากตัวเป็นลูกศิษย์
> สิ่งที่พระอาจารย์ได้เรียนรู้จากหลวงพ่อชาและรู้สึกประทับใจคือ
>
> " ในทัศนะของหลวงพ่อ พระอาจารย์ชาเป็นพระที่มีจิตบริสุทธิ์มาก
> และสามารถระลึกรู้ในสิ่งต่างๆได้โดยไม่ต้องคิด ทำให้หลวงพ่อรู้สึกว่าทึ่ง
>
> มันจะมีคำว่าดี ถูกต้อง และความเหมาะสมใช่ไหม
> เวลาที่เราต้องเผชิญกับอะไรสักอย่าง เรามักจะคิดก่อนว่าต้องทำอย่างไรดี
> ทำอย่างไรถึงจะถูก พอเป็นอย่างนั้นมันจะเกิดการคิด เพราะเราต้องคิดถึงว่า
> ค่านิยม กาลเทศะ กับบุคคลเหล่านี้เราต้องทำอย่างไร พอมันเกิดการคิด
> มันต้องคำนึงถึงอดีต ไม่ใช่ปัจจุบันขณะแล้ว เราจึงคิดตัดสิน
> ว่าเราต้องทำอย่างไรจากสิ่งที่เราเคยได้ยินเคยได้เห็น
> แต่พระอาจารย์ชาท่านไม่ได้เป็นอย่างนั้น
> การแก้ปัญหาของท่านเป็นการรู้จากปัจจุบันขณะและใช้คำว่าเหมาะสม "
>
> เมื่อหลวงพ่อชามรณภาพ
> พระอาจารย์จึงออกธุดงค์ไปตามพื้นที่ต่างๆทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ
> กระทั่งสุดท้ายได้เลือกพำนักอยู่ที่ สำนักปฏิบัติธรรมถ้ำสองตา
> ในเขตพื้นที่เขาใหญ่ หลังจากที่เคยธุดงค์ไปพบเพียงแค่คืนเดียว
> ด้วยเห็นว่าเป็นสถานที่ที่เหมาะต่อการปฏิบัติ
> การเดินทางเข้าออกค่อนข้างลำบาก แม้แต่รถยนต์ ก็เข้าไม่ได้
> จึงทำให้ปลอดความวุ่นวายจากสิ่งต่างๆ นับ จากวันนั้นจนถึงวันนี้
> เวลาก็ได้ล่วงเลยมากว่า 20 ปีแล้ว
>
> " ตอนนี้แก่แล้ว ไปที่ไหนไม่ได้แล้ว " พระอาจารย์บอก
> เล่าด้วยอารมณ์ขันเมื่อถูกตั้งคำถามว่าทำไมจึงเลิกธุดงค์และเลือกสำนักปฏิบัติธรรมถ้ำสองตาเป็นที่พำนักสุดท้ายของชีวิต
>
> วัตรปฏิบัติของพระอาจารย์ที่สำนักปฏิบัติธรรมแห่งนี้
> ทุกวันจะต้องตื่นจากจำวัดตอนตีสี่ เพื่อนั่งสมาธิ อ่านหนังสือ เดินจงกรม
> และฟังธรรมะ แม้แต่ในยามที่ย่ำเท้าไปบนถนนสายเล็กๆที่ทุรกันดารสู่หมู่บ้าน
> เพื่อไปบิณฑบาต ระหว่างทางก็ยังต้องอาศัยฟังธรรมบรรยายผ่านเครื่องเล่น
> MP3
>
> ลูกศิษย์บางคนที่ใกล้ชิดพระอาจารย์บอกเล่าว่า
>
> " แม้หลวงพ่อจะมีความลึกซึ้งในหลักธรรมจนสามารถนำมาสอนผู้อื่นได้แล้ว
> แต่หลวงพ่อก็ยังต้องฟังธรรมบรรยายจากพระรูปต่างๆ เพื่อนำมาสอนผู้คนอยู่
> และน้อยครั้งมากที่หลวงพ่อจะเดินทางเข้าเมือง ขนาดหมอนิมนต์ให้มาทำฟัน
> ท่านก็ยังไม่มา "
>
> แต่พระอาจารย์สุมโนได้ใช้เวลาส่วนหนึ่งไปกับการเขียนหนังสือ เพราะเห็นว่า
> หน้าที่หนึ่งของพระคือการสืบทอดพระพุทธศาสนาและเผยแพร่หลักธรรมไปสู่ผู้คนให้มากที่สุด
> ที่ผ่านมานอกจากท่านจะมีผลงานแปลธรรมเทศนาของหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
> หลวงพ่อพุธ ฐานิโย และหลวงพ่อชา สุภัทโท แล้ว ยังมีผลงานเขียนชื่อ
> ธรรมะจากพระภูเขา ( Monk in the Mountain) จิตที่สว่างไสว( The B rightened
> Mind) และ พบลิงแค่ครึ่งทาง ( Meeting the Monkey Halfway)
> โดยเป้าหมายที่เหมือนกันของผลงานเขียนทั้งสามเล่มคือ
> ต้องการสอนให้ผู้คนรู้จักการเจริญสติ รู้จักการใช้ปัญญา
> เพราะถ้าคนเราไม่มีปัญญา มีแต่ตัวตนเกิดขึ้น ก็จะเกิดความเห็นแก่ตัว
>
> ส่วนเหตุที่ควรต้อง " พบลิงแค่ครึ่งทาง "
> ผลงานเขียนเล่มล่าสุดของพระอาจารย์ ซึ่งแปลและเรียบเรียงโดย อานุภาพ
> ทัดพิทักษ์กุล และจัดพิมพ์โดย บริษัท ฟรีมายด์ พับลิชชิ่ง จำกัด
> ได้บอกเอาไว้ว่า
>
> ในปรัชญาธรรมอันเก่าแก่ของเอเชียตะวันออก
> ลิงถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของจิตที่มีลักษณะไม่อยู่นิ่ง ยุกยิก
> คอยกระโดดจากสิ่งหนึ่งไปสู่อีกสิ่งหนึ่ง ไม่เชื่อฟัง
> ผันแปรเปลี่ยนแปลงง่าย และด้วย " จิตที่เหมือนลิง " นี้
> แนวทางการฝึกฝนจิตของโลกตะวันออก อาทิ การปฏิบัติกรรมฐาน โยคะ
> และการสวดท่องมนต์ ก็เป็นวิธีการต่างๆที่พยายาม จัดการกับจิตที่ซุกซน
>
> " ครึ่งทาง " หมายถึงอุบายอันชาญฉลาดในการบริหารจิต
> เป็นวิธีที่ไม่ตึงหรือแข็งกระด้างจนเกินไป และก็ไม่หย่อนยานจนเกินไป
> " ครึ่งทาง " เป็นทัศนคติที่ตั้งอยู่บนหลักการของความสมดุลเป็นกลาง
> ไม่ถูกกระทบโดยอาการไม่อยู่นิ่งของจิตที่กระโดดไปกระโดดมา
>
> " การพบ " แสดงออกถึงความอุตสาหะที่จะบรรลุเป้าหมาย
> มันหมายถึงความตั้งใจและความกระตือรือร้นในการทำจิตซึ่งเป็นสิ่งที่สงบได้ยาก
> ให้เกิดความตั้งมั่นและเป็นกลาง และด้วยความพยายามที่มุ่งมั่นนี
> ประกอบกับความพากเพียร ซื่อตรง ภายใต้การกำกับดูแลของปัญญา
> ทำให้เราสามารถเข้าถึงการเจริญในธรรมที่นำไปสู่หนทางอันถูกต้อง
> เพื่อที่เราจะได้ " พบลิงที่ครึ่งทาง " นั่นเอง
>
> ในวันที่พระอาจารย์สุมโน ภิกขุ เดินทางออกจากสำนักปฏิบัติธรรมถ้ำสองตา
> เพื่อมาบรรยายธรรมและเปิดตัวผลงานเขียน " พบลิงแค่ครึ่งทาง" ณ สวนโมกข์
> กรุงเทพฯ หลังจากที่ละทิ้งความสุขทางโลกมา 30 กว่าปี
> พระอาจารย์ซึ่งตอนนี้พูดภาษาไทยภาคกลางได้มากแล้ว
> ( แต่เว้าอีสานได้ชัดกว่า)
> ได้บอกถึงความแท้จริงในทัศนะของพระอาจารย์ให้ผู้คนได้ฟังว่า
>
> " ถ้าไม่มีความอยาก จะได้รับความสุขทันทีเลย "
>
> แล้วเราจะระงับซึ่งความอยาก ด้วยวิธีการอย่างไรบ้าง ? พระอาจารย์ได้กล่าวต่อไปว่า
> " ให้รู้ว่าความอยากมีแต่ความทุกข์ มากกว่าความสุข เพราะถ้าเรามีความอยาก
> เราก็ต้องไปดิ้นรนไปหาไปทำมา ตอนที่เรากำลังหากำลังทำอยู่ เรามีความสุข
> อย่างเช่นการ สะสมเงิน เพราะอยากจะได้แหวนเพชรสักวง ตอนที่ใกล้จะได้มา
> เรารู้สึกดีใจ พอไปที่ร้านถอยมันมาได้ ความสุขก็จบแล้ว
> เพราะช่วงเวลาที่เราอยากได้มันหมดไปแล้ว
> ทีนี้ก็จะดิ้นรนไปอยากได้อย่างอื่นต่อ "
>
> และเมื่อถูกถามว่า ถ้าโลกนี้ไม่มีความอยาก มีแต่การปล่อยวาง
> โลกจะไม่หยุดพัฒนา หยุดการเจริญรุดหน้าหรืออย่างไร พระอาจารย์ตอบว่า
>
> " เคยมีคนถามหลวงพ่อว่า ถ้าทุกคนบวชเป็นพระกันหมด โลกนี้จะพัฒนาไปอย่างไร
> หลวงพ่อบอกว่าไม่ต้องห่วง มีคนที่สมัครใจบวชเป็นพระ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคน
> เหมือนกับที่ไม่ใช่ทุกคนที่อยากเป็นช่างเสริมสวย(หัวเราะ)
>
> และในความเห็นของหลวงพ่อ โลกนี้ไม่ต้องเจริญ อีสานที่หลวงพ่อเคยอยู่
> มีคนบอกว่าความเจริญเป็นสิ่งดี โอ้.. อยากให้เมืองนี้เจริญ
> วารินชำราบเจริญ อุบลฯ เจริญ แต่หลวงพ่อคิดว่า
> ความเจริญไม่ใช่สิ่งดีเสมอไป
> เพราะถ้าเจริญแบบไม่มีปัญญาก็จะมีปัญหามากขึ้น อย่างเมืองไทยเจริญขึ้น
> แต่ความสุขกลับน้อยลงตลอด ไม่เหมือนประเทศภูฏาน ประเทศเขาไม่เจริญ
> แต่มีความสุข "
>
> แม้พระอาจารย์จะเป็นตัวอย่างหนึ่งของชาวต่างชาติจากประเทศตะวันตก
> ที่เดินทางมาใช้ชีวิตอยู่ในประเทศตะวันออก
> เรียนรู้และศึกษาจิตวิญญาณตะวันออก โดยเฉพาะพระพุทธศาสนา
> แต่พระอาจารย์ก็ไม่สามารถกล่าวได้ว่า
> ตนเองเป็นหนึ่งในคนตะวันตกจำนวนมากที่หันมาสนใจจิตวิญญาณตะวันออก
> เพราะอาจจะเป็นหนึ่งในคนจำนวนน้อยก็ได้ หรือแม้แต่เวลานี้ก็ตาม
> ถามว่าคนตะวันตกสนใจจิตวิญญาณตะวันออกมากขึ้นหรือไม่
> พระอาจารย์ก็ไม่อาจทราบได้
> เพราะไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศตะวันตกมานานแล้ว
>
> " หลวงพ่อไม่ได้อยู่ในประเทศตะวันตกมาสามสิบกว่าปีแล้ว
> หลวงพ่อรู้แต่ว่าเมื่อก่อนคนตะวันตกอยากมาเมืองไทยเพราะสนใจในประเพณีวัฒนธรรม
> เป็นแบ็คแพ็คเกอร์มาเที่ยว หรือนั่งเครื่องบินไปเที่ยวทะเล
> เที่ยวเกาะสมุยโน่น แต่ไม่ค่อยมีใครมาวัด มาอีสาน มีแต่มาเอาอย่างเดียว
> ไม่มีใครอยากให้อะไร "
>
> หลายปีที่ผ่านมา อาจทำให้พระอาจารย์รู้จักประเทศไทย
> และเห็นความเป็นไปของประเทศไทยในหลายๆด้าน แต่พระอาจารย์ก็ออกตัวว่า
> ไม่อยากจะวิพากษ์วิจารณ์ประเทศไทยหรือคนไทยมากเท่าใดนัก
> มีเพียงบางสิ่งที่ทำให้รู้สึกเป็นห่วงคนไทยคือ
> มีคนไทยจำนวนไม่น้อยที่กำลังตกอยู่ในวังวนของความอยากและการโฆษณา
> ชวนเชื่อ ที่ทำให้รู้สึกว่าชีวิตนี้ยังไม่พอ และยังไม่ดีพอเสียที
>
> " ทุกคนอยากมีรถคันใหม่ อยากมีโทรศัพท์ อยากมีโน่นอยากมีนี่
> มีความอยากไปในทางโลกเสียมากกว่
> และการโฆษณาก็ทำให้พวกเขาคิดว่าชีวิตฉันยังไม่พอ
> และรู้สึกว่าฉันยังไม่ดีพอ ฉันต้องรวยให้มากกว่านี้ หรือฉันต้องสวย
> ต้องขาวให้มากกว่านี้ "
>
> ปี พ.ศ. 2553 ที่เพิ่งผ่านพ้นไป ประเทศไทยต้องประสบ
> กับปัญหาภัยธรรมชาติเป็นอย่างมาก
> ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่าเป็นเพราะมนุษย์นี่เองที่เป็นฝ่ายเบียดเบียนธรรมชาติ
> ซึ่งพระอาจารย์ได้แนะวิธีที่จะช่วยให้เราเบียดเบียนธรรมชาติให้น้อยที่สุดว่า
>
> " ต้องรักษาศีลห้าก่อน เพราะถ้าไม่รักษาศีลห้า
> เราก็จะเป็นฝ่ายเบียดเบียนธรรมชาติ ปัญหาที่อยากแก้ก็จะไม่สามารถแก้ได้
> และอยากให้ทุกคนมีสมาธิ เพราะสิ่งเหล่านี้มันจะทำให้จิตใจของเราสบาย
> มีความอยากน้อยลง มีสติ แล้วปัญญาก็จะเกิดขึ้น
>
> ถ้าเราไม่มีปัญญา เราก็จะไม่เข้าใจอดีต และทำในสิ่งที่
> ผิดพลาดเหมือนเดิมไปตลอด เหมือนเราเคยเสียใจ เพราะอกหักจากผู้ชายคนนี้
> ถ้าเราไม่ใช้ปัญญาทำความเข้าใจว่าทำไม เราก็จะอกหักได้อีกเรื่อยๆ ดังนั้น
> ปัญญาช่วยให้เรา สามารถพิจารณาได้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว
>
> จริงๆแล้วจิตเดิมของมนุษย์นั้นประภัสสร นั่นคือบริสุทธิ์
> รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด แต่เพราะว่าจิตของเรารับอะไรเข้ามาเยอะ
> กิเลสมันเลยเข้ามาทำให้จิตใจเราขุ่นมัว
> เราก็เลยไม่มีปัญญาพอที่จะมองเห็นเหตุของปัญหา
> แต่ไปหลงและยึดเอาค่านิยมภายนอกมากกว่า ภัยธรรมชาติ ที่มันเกิด
> มันเป็นเพราะความอยากของเราที่มันไปเป็นตัวเบียดเบียนธรรมชาติ
> ถ้าเราไม่อยากเบียดเบียนธรรมชาติ เราต้องถามตัวเราเองก่อนว่า
> เราพร้อมที่จะเสีย สละไหม เช่น ถ้าเราไม่มีโรงงานนิวเคลียร์
> เราก็จะไม่มีไฟฟ้าที่ผลิตจากโรงานนิวเคลียร์มาใช้นะ
>
> ทุกวันนี้เราพึ่งพาไฟฟ้าเพราะอะไร เพราะเราต้องการความสะดวกสบาย
> เวลาเราเบื่อ แทนที่เราจะนั่งสมาธิ เราต้องเปิดไฟ ดูทีวี หรือ
> อ่านหนังสือ ตอบสนองตัวเองด้วย สิ่งบันเทิง
> แต่ถ้าเราพยายามอยู่กับตัวเองให้ได้บ้าง บางครั้ง
> สิ่งบันเทิงเหล่านี้ก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็น เมื่อเราไม่ได้เปิดไฟ ใช้
> มันน้อยลง เราก็จะเบียดเบียนธรรมชาติน้อยลงไปด้วย "
>
> ดังนั้นพรปีใหม่ที่พระอาจารย์อยากมอบคนไทย
> ไม่มีอะไรที่มากกว่าการลดความอยาก
> เพื่อความสุขที่แท้และใช้ปัญญาแก้ไขปัญหา
>
> " เพราะปัญญาเท่านั้นที่จะทำให้เราหลุดพ้นจากตัวเราเอง "
>
> ( จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 122 มกราคม 2554 โดย พรพิมล)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น