ข้าหลวงเว่ยได้เรียนถามปัญหาข้อต่อไปกับพระสังฆปรินายกองค์ที่ ๖ อีกว่า
กระผมได้สังเกตุเห็นเขาทำกันทั่ว ๆ ไป ไม่ว่าคฤหัสถ์หรือบรรพชิตในการออกนามพระอมิตาภะ และตั้งอธิษฐานจิตขอให้ไปบังเกิดในดินแดนอันบริสุทธิ์ในทิศตะวันตก เพื่อขจัดความสงสัยของกระผม ขอพระคุณเจ้าจงกรุณาตอบให้แจ้งชัด ว่ามันจะเป็นไปได้หรือไม่ที่เขาเหล่านั้นจะพากันไปเกิดที่นั่น...?
พระสังฆปรินายกได้ตอบว่า…
ท่านทั้งหลายจงฟังอาตมาอย่างระมัดระวังสักหน่อย แล้วอาตมาจะได้อธิบาย...
เมื่อกล่าวตามสูตรที่สมเด็จพระภัควันได้ตรัสไว้ที่นครสาวัตถี เพื่อนำประชาสัตว์ไปสู่แดนบริสุทธิ์ทางทิศตะวันตกนั้น
มันก็เป็นที่กระจ่างชัดแล้วว่าแดนบริสุทธิ์นั้นอยู่ไม่ไกลไปจากที่นี่เลย เพราะตามระยะทางคิดเป็นไมล์ก็ได้ “หนึ่งแสนแปดพันไมล์” เท่านั้น
ซึ่งโดยแท้จริงแล้ว ระยะทางนี้หมายถึง อกุศล ๑๐ และมิจฉัตตะ ๘ ภายในตัวเรานั่นเอง
สำหรับผู้ที่มีจิตใจต่ำมันก็ต้องอยู่ไกลอย่างแน่นอน แต่สำหรับพวกที่มีใจสูงแล้ว เราอาจกล่าวได้ว่ามันอยู่ใกล้นิดเดียว...
แม้ว่าพระธรรมจะเป็นของคงเส้นคงวารูปเดียวกันทั้งนั้น แต่คน ๆ นั้นย่อมแตกต่างกันโดยจิตใจ
เพราะขนาดแห่งความฉลาดและความเขลาของมนุษย์มีอยู่แตกต่างกันนี่เอง จึงมีคนบางคนเข้าใจในพระธรรมได้ก่อนคนเหล่าอื่น
เมื่อพวกคนไร้ปัญญากำลังพาท่องนามของพระอมิตาภะ และอ้อนวอนขอให้ได้เกิดในแดนบริสุทธิ์อยู่นั้น คนฉลาดก็พากันชำระใจของเค้าให้สะอาดแทน
เพราะเหตุว่า ตามที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้นั้นมีอยู่ว่า... “เมื่อใจบริสุทธิ์แดนแห่งพระพุทธเจ้าก็บริสุทธิ์พร้อมกัน”
แม้ว่าพวกท่านทั้งหลายจะเป็นชาวตะวันออก ถ้าใจของท่านบริสุทธิ์ ท่านก็เป็นคนไม่มีบาป
อีกทางหนึ่งตรงกันข้าม ต่อให้เป็นท่านเป็นชาวตะวันตกเสียเอง ใจที่โสมมของท่าน หาอาจะช่วยให้ท่านเป็นคนหมดบาปได้ไม่
เมื่อคนชาวตะวันออกทำบาปเข้าแล้ว เขาออกนามอมิตาภะแล้วอ้อนวอนเพื่อให้เกิดทางทิศตะวันตก
ทีนี้ถ้าในกรณีที่คนบาปนั้นเป็นชาวตะวันตกเสียเองแล้ว เขาจะอ้อนวอนให้ไปเกิดที่ไหนเล่า
คนสามัญและคนเขลาไม่เข้าใจในจิตเดิมแท้และไม่รู้จักแดนบริสุทธิ์อันมีอยู่พร้อมแล้วในตัวของตัว
ดังนั้นเขาจึงปรารถนาที่จะไปเกิดทางทิศตะวันออกบ้าง ทางทิศตะวันตกบ้าง
“แต่สำหรับคนที่มีปัญญาแล้ว ที่ไหน ๆ ก็เหมือนกันทั้งนั้น”
ตามที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไวนั้น มีอยู่ว่า
“เขาจะเกิดที่ไหนไม่สำคัญ เขาคงเป็นสุข และบันเทิงเริงรื่นอยู่เสมอ”
ท่านทั้งหลาย เมื่อใจของท่านบริสุทธิ์จากบาปแล้ว ทิศตะวันตกก็อยู่ไม่ไกลจากที่ตรงนี้
มันลำบากนักก็อยู่ตรงที่ว่า “คนใจโสมมต้องการจะไปเกิดที่นั่นด้วยการตะโกนร้องเรียกหาพระอมิตาภะเท่านั้น”
ท่านผู้คงแก่เรียนทั้งหลาย...
ในเรื่องนี้สิ่งที่จะต้องทำเป็นข้อแรก ก็คือจัดการกับอกุศลสิบประการเสียให้หมดสิ้นไป
เมื่อนั้นก็เป็นอันว่า เราได้เดินทางเข้าไปแล้วหนึ่งแสนไมล์
ขั้นต่อไปเราจัดการกับมิจฉัตตะ ๘ เสียให้สิ้นสุด ก็เป็นอันว่าหนทางอีกแปดพันไมล์นั้นเราเดินผ่านทะลุไปแล้ว
เมื่อเป็นดังนี้แดนบริสุทธิ์จะหนีไปข้างไหน ก็ถ้าเราสามารถเห็นแจ้งชัดในจิตเดิมแท้อยู่เสมอ และดำเนินตนตรงแน่วอยู่ทุกขณะแล้ว พริบตาเดียวเท่านั้นเราก็ไปถึงแดนบริสุทธิ์ได้ แล้วพบพระอมิตาภะอยู่ที่นั่น “นะโม อมิตตาพุทธ…”
ถ้าท่านทั้งหลายเพียงแต่ประพฤติกุศลสิบประการเท่านั้น ท่านก็หมดความจำเป็นที่จะต้องไปเกิดที่นั่น
ในฝ่ายตรงกันข้าม ถ้าท่านไม่จัดการกับอกุศลสิบประการให้เสร็จสิ้นไปแล้ว พระพุทธเจ้าองค์ไหนเล่าที่จะพาท่านไปยังที่นั่น
ถ้าท่านเข้าใจในหลักธรรมอันกล่าวถึงธรรมชาติที่ไม่มีการเกิด ซึ่งหักเสียซึ่งวงกลมแห่งการเกิดและการตายของนิกายฉับพลันแล้ว มันจะพาท่านไปให้เห็นทิศตะวันตกได้ในอึดใจเดียว
แต่ถ้าท่านไม่เข้าใจ ท่านจะไปถึงที่นั้นด้วยลำพังการออกนามอมิตาภะได้อย่างไรกันหนอ...?
เพราะหนทางหนึ่งแสนแปดพันไมล์นั้นมันไกลไม่ใช่เล่น
เอาล่ะ ท่านทั้งหลายจะพอใจมั๊ย ถ้าอาตมาจะยกแดนบริสุทธิ์มาวางไว้ตรงหน้าท่านในเดี๋ยวนี้...?
ที่ประชุมได้ทำความเคารพแล้วตอบพระสังฆปรินายกว่า
ถ้าเราทั้งหลายอาจเห็นแดนบริสุทธิ์ได้ ณ ที่ตรงนี้แล้ว เราก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปรารถนาไปเกิดที่โน่น ขอพระคุณเจ้าจงได้กรุณาให้เราทั้งหลาย ได้เห็นแดนบริสุทธิ์นั้นโดยยกมาวางที่นี่เถิด
พระสังฆปรินายกได้กล่าวตอบว่า…
ท่านทั้งหลาย เนื้อกายของเรานี้เป็นนครแห่งหนึ่ง
ตา หู จมูก ลิ้นของเรานี้เป็นประตูเมือง
ประตูนอกมีสี่ประตู ประตูในมีหนึ่งประตู ได้แก่ “อำนาจปรุงแต่งสำหรับคิดนึก”
ใจนั้นเป็นแผ่นดิน จิตเดิมแท้เป็นเจ้าแผ่นดิน ซึ่งอาศัยอยู่ในมณฑลแห่งใจ
ถ้าจิตเดิมแท้อยู่ข้างใน ก็แปลว่าเจ้าแผ่นดินยังอยู่ แล้วกาย และใจของเราก็ชื่อว่า “ยังมีอยู่”
เมื่อจิตเดิมแท้ออกไปเสียแล้ว ก็ชื่อว่าเจ้าแผ่นดินไม่อยู่ กายและใจของเราก็ชื่อว่า “สาบสูญไปแล้ว”
เราต้องปฏิบัติเพื่อความเป็นพุทธะ ในภายในจิตเดิมแท้ และต้องไม่เสาะแสวงหาจิตเดิมแท้ในที่อื่น นอกจากตัวเราเอง
ผู้ที่ถูกความเขลาครอบงำ มองไม่เห็นจิตเดิมแท้นั้น จัดเป็นคนสามัญ
ผู้ที่มีความสว่าง มองเห็นจิตเดิมแท้ของตนเอง จัดเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง
ความเป็นคนมีความเมตตา กรุณา เป็นพระอวโลติเกศวร คือพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง ในจำนวนโพธิสัตว์สององค์ในแดนบริสุทธิ์ทางทิศตะวันตก
การเพลินในการโปรยทานคือ “พระมหาสถามะ” พระโพธิสัตว์อีกองค์หนึ่งซึ่งคู่กัน
ความสามารถทำให้ชีวิตบริสุทธิ์ คือ “องค์พระศากยมุณี” พระนามอีกพระนามหนึ่งของพระพุทธเจ้าพระองค์นี้
ความสม่ำเสมอคงที่และความตรงแน่วคือ “พระอมิตาภะ”
ความคิดเรื่องตัวตน หรือเรื่องความมี ความเป็น คือ “เขาพระสุเมร”
ใจที่สามารได้แก่ “มหาสมุทร”
กิเลส คือ “ระลอกคลื่น”
ความชั่ว คือ “มังกรร้าย”
ความเท็จ คือ “ผีห่า”
อารมณ์ภายนอกอันน่าเวียนหัว คือ “สัตว์น้ำต่าง ๆ”
ความโลภและความโกรธ คือ “โลกันตนรก”
อวิชชาและความมัวเมา คือ “สัตว์เดรัจฉานทั่วไป”
ท่านผู้คงแก่เรียนทั้งหลาย...
ถ้าท่านประพฤติในกุศลสิบประการอย่างมั่นคง แดนสุขาวดีก็จะปรากฏแก่ท่านในทันที
เมื่อใดท่านขจัดความเห็นว่าตัวตน และความเห็นว่าเป็นนั่น เป็นนี่ออกไปเสียดาย เขาพระสุเมรก็จะหักขมำพังทลายลงมา
เมื่อใดจิตไม่ย้อมด้วยความชั่วอีกต่อไป เมื่อนั้นน้ำในมหาสมุทรแห่งสังสาระก็เหือดแห้งไปสิ้น
เมื่อท่านเป็นอิสระอยู่เหนือกิเลส เมื่อนั้นลูกคลื่นและระลอกทั้งหลายก็สงบเงียบลง
เมื่อใดความชั่วร้ายไม่กล้าเผชิญหน้าท่าน เมื่อนั้นปลาร้ายและมังกรร้ายก็ตายสิ้น
ภายในมณฑลแห่งจิตนั้น มีองค์ตถาคตแห่งความตรัสรู้ ซึ่งส่องแสงอันแรงกล้าออกมาทำความสว่างที่ประตูภายนอกทั้งหกประตู และควบคุมมันให้บริสุทธิ์ แสงนี้แรงมากพอที่จะทะลุผ่านสวรรค์ชั้นกามาวจรทั้งหก
และเมื่อมันย้อนกลับเข้าภายในไปยังจิตเดิมแท้ มันจะขับธาตุอันเป็นพิษทั้งสามอย่างให้หมดไป และชำระล้างบาปชนิดที่จะทำให้เราตกนรกหรืออบายอย่างอื่น แล้วทำความสว่างไสวให้เกิดแก่เราทั้งภายในและภายนอก
จนกระทั่งเราไม่มีอะไรแตกต่างจากพวกที่เกิดในแดนบริสุทธิ์ทางทิศตะวันตก
“ที่นี่ถ้าหากว่าเราไม่ฝึกตัวเองให้สูงขนาดนี้แล้ว เราจะบรรลุถึงแดนบริสุทธิ์นั้นได้อย่างไรกัน…?”
เมื่อที่ประชุมได้ฟังเทศนาของพระสังฆปรินายกจบแล้ว ต่างพากันทราบถึงจิตเดิมแท้ของตน ของตนอย่างแจ้งชัด
ทุกคนพากันทำความเคารพ และอุทานออกมาเป็นเสียงเดียวกันว่า “สาธุ...”
เขายังได้พากันสวดมนต์ภาวนา ขอสรรพสัตว์ในสากลจักรวาลนี้ เมื่อได้ยินธรรมเทศนานี้แล้วจงเข้าใจได้อย่างซึมซาบในทันทีทันใดเถิด
พระสังฆปรินายกได้กล่าวเพิ่มเติมว่า...
ท่านผู้คงแก่เรียนทั้งหลาย ผู้ใดอยากทำการปฏิบัติทางจิต จะทำที่บ้านก็ได้ ไม่มีความจำเป็นสำหรับคนเหล่านั้นที่จะต้องอยู่ในสังฆาราม
พวกที่ปฏิบัติตนอยู่กับบ้านนั้นอาจเปรียบกันได้กับชาวบ้านทางทิศตะวันออกที่ใจบุญ
พวกที่อยู่สังฆารามแต่ละเลยต่อการปฏิบัตินั้น ไม่แตกต่างอะไรกับชาวบ้านที่อยู่ทางทิศตะวันตกแต่ใจบาป
จิตบริสุทธิ์ได้เพียงใด มันก็เป็นแดนบริสุทธิ์ทางทิศตะวันตก กล่าวคือ จิตเดิมแท้ของบุคคลนั้นเอง เพียงนั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น