เจริญพร ขอให้มีความสุขสมหวังและ ถึงความสิ้นทุกข์ในเวลาอันใกล้โดยง่ายเทอญ

ยินดีต้อนรับ สหธรรมิกผู้มีใจเป็นกุศลทุกๆท่านครับ

ขอเรียนเชิญ สหธรรมิกทุกๆท่านมาร่วมศึกษาและปฏิบัติธรรมของพระพุทธองค์ รวมทั้งแบ่งปันความรู้ ข้อคิด คำแนะนำ ด้วยใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาครับ

" ความมืดแม้ทั้งโลก ก็บดบังลำแสงเพียงน้อยนิดมิได้ "


สันโดษ

สันโดษ
สุขใด เสมอความสงบ ไม่มี

หน้าเว็บ

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
อดีตที่ผ่านมาเป็นบทเรียน อโหสิให้ทุกคน แต่อย่ามีเวรกรรมร่วมกันอีกเลย

ผู้ติดตาม

วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ดร.ประมวล เพ็งจันทร์ : 66 วันเดิน 1,000 กิโลเมตร


แสงสว่างบนทางเท้าของอ.ประมวล


ดร.ประมวล เพ็งจันทร์ : 66 วันเดิน 1,000 กิโลเมตร

. . .

1 ปีก่อนผู้ชายธรรมดา ๆ คนหนึ่งได้ตัดสินใจยุติบทบาทอาจารย์มหาวิทยาลัยในวันคล้ายวันเกิดปีที่ 51 เพื่อออกเดินเท้าจากเชียงใหม่กลับสู่บ้านเกิดที่เกาะสมุย สุราษฎร์ธานี ด้วยเงื่อนไข ไม่พกเงินติดตัว-ไม่เดินไปหาคนรู้จักหากคนรู้จักอยู่ที่ไหนก็จะหลีกเลี่ยง-ไม่ร้องขออาหาร เว้นแต่จะมีผู้หยิบยื่นให้เองโดยไม่เดือดร้อน-ไม่เบียดเบียนใครหรือสิ่งใด-ไม่กำหนดเวลา-ไม่วางแผนการเดินทาง หรือกำหนดเส้นทางที่แน่ชัด

..

66วันผ่านไป อดีตอาจารย์ภาควิชาปรัชญาฯ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่คนเดิมเดินกลับมาเหมือนปาฏิหาริย์ นำมาซึ่งการถ่ายทอดเรื่องราวผ่านระยะทางกว่า 1,000 ก.ม.ในหนังสือ "เดินสู่อิสรภาพ"แทนจดหมายขอบคุณผู้ให้ชีวิตใหม่แก่เขาตลอดเส้นทางกว่า 166 คน และบอกเล่าความหมายและคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ตลอดการก้าวย่างทั้งภายนอกและการเดินทางภายใน..
...

ฉากชีวิตของ ดร.ประมวล เพ็งจันทร์ เริ่มต้นบนเกาะสมุย จังหวัดสุราษฏร์ธานี ผ่านชีวิตเด็กรับจ้างกรีดยางที่เรียนจบเพียงชั้นป.4 ไฟไหม้สวนยางทั้งแปลงของตนเมื่ออายุ 15 ปี การตัดสินใจบวชเณรเพื่อก้าวให้พ้นจากความรุนแรงทางการเมืองที่เกิดขึ้นในเดือนตุลาคม 2514 จนเรียนจบเปรียญ 5 เข้าเรียนมหาจุฬาฯ ย้ายไปเรียนมหามกุฏฯ และตัดสินใจเปลี่ยนวิถีชีวิตอีกครั้งเพราะสะเทือนใจกับเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ 2519 เดินทางไปเรียนต่อที่ประเทศอินเดีย จนจบปริญญาตรี-โท-เอก สาขาปรัชญา ซึมซับอารยธรรมอินเดียเป็นเวลานานถึง 10 ปีเศษ ก่อนกลับมาช่วยสอนที่มหาวิทยาลัยสงฆ์ มหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย และสอบบรรจุเป็นอาจารย์ที่ภาควิชาปรัชญาและศาสนา คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่นานกว่า 16 ปี

..

อาจารย์ประมวลเคยเล่าในวงเสวนาครั้งหนึ่งว่ามักมีคนถามว่าทำไมถึงเดินซึ่งเขาจะอธิบายไปว่าการเดินเป็นวิถีที่ศักดิ์สิทธิ์ในความคิดของตน สามารถพาไปสู่สิ่งที่ตนคาดหวังได้ ซึ่งอาจจะตอบคำถามได้ไม่หมดแม้จะเคยศึกษาเรียนรู้ทางด้านวิชาการมามากแล้วก็ตาม

..

"ผมคิดว่าเวลาที่จะมีชีวิตอยู่มันเหลือไม่มากนักและผมได้รับอิทธิพลจากวัฒธรรมอินเดียที่เคยอยู่มา เมื่อถึงวัยหนึ่งที่สำนึกรู้ว่าตนมีเวลาเหลืออยู่ในโลกไม่มากแล้ว ก็ต้องเตรียมตัวที่จะละโลกนี้ไป ที่อินเดียเรียกว่าเข้าสู่ยุค "วานปรัสถ์" ไปอยู่ในป่า หรือไม่ยึดติดในสภาวะที่มีอยู่ ผมเลยใช้การเดินเพื่อออกจากสภาวะที่มีอยู่"

โดยกำหนดสิ่งที่เป็นเป้าหมายในการเดินว่า ขอเดินเพื่อข้ามให้พ้นไปจากสภาวะที่มีอยู่ในใจตนเองคือความรู้สึกเสียดาย หวงแหนที่มีอยู่ในสิ่งต่าง ๆ ที่เราครอบครองอยู่ ไม่ว่าจะเป็นร่างกายหรือทรัพย์สินภายนอกเดินไปจากความรู้สึกกลัว เกลียดรังเกียจ เคียดแค้นชิงชังอะไรบางสิ่งบางอย่าง และความปรารถนาสูงสุดคือ การเดินออกจากความกลัวที่อยู่ในใจตัวเอง

..

"ผมมีเจตนาที่จะเดินข้ามพ้นความเสียดาย ความเกลียด ความกลัว โดยหวังว่าจะข้ามพ้นไปพบกับความเสียสละ จาคะ ความรู้สึกซึ่งเป็นมิตรไมตรี ความมีเมตตา ความรู้สึกซึ่งเป็นความรู้ ที่ทำให้เราไม่หวาดกลัวคือปัญญา ซึ่งผมจะไปถึงเมื่อไรก็ไม่ทราบ แต่ผมขอเพียรพยายามอย่างยิ่งที่จะไป"



"วันหนึ่งเมื่อผมต้องการยุติการเป็นครูผมบอกว่าชีวิตผมน่าจะเป็นที่เรียนรู้ต่อไปมากกว่าการมานั่งฟังผมพูดผมพยายามจะบอกนักศึกษาว่าความเป็นครูของผมไม่ได้อยู่ที่สอนด้วยการพูดต่อไปแล้วแต่อยู่ที่ว่าต่อไปนี้ผมจะทำสิ่งที่พวกคุณคิดว่ามันดีก็ทำตามได้ผมยืนยันที่จะทำในสิ่งที่เรียกว่าการมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขโดยไม่จำเป็นต้องแสวงหาลาภยศสรรเสริญ หรือวัตถุสิ่งของภายนอกผมอยากยืนยันว่าความสุขที่แท้จริงของการมีชีวิตอยู่ มันคืออะไร"



..

จากความตั้งใจนี้อาจารย์ประมวลจึงตัดสินใจลาออกจากราชการในวันที่ 23 ตุลาคม 2548 ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของตนเองโดยเขามอบอำนาจการตัดสินใจให้ภรรยา(อาจารย์สมปอง เพ็งจันทร์)เลือกวันเริ่มต้นชีวิตใหม่ให้กับตนเองและเริ่มต้นฝึกเดินจากบ้านของตนที่ต.แม่เหียะจ.เชียงใหม่สู่วัดพระธาตุดอยสุเทพตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคม 2548 การฝึกเดินครั้งแรกค่อนข้างทุลักทุเล เพราะเมื่อเดินลงจากดอยสุเทพแล้วกลับบ้านไม่ได้เนื่องจากรถเยอะมากจนไม่สามารถข้ามถนนได้ต้องโบกรถโดยสารให้ไปส่งที่บ้านโดยภรรยาถึงกับต้องอุ้มเข้าบ้านและนวดให้ทั้งคืน รุ่งเช้าจึงเป็นไข้และเว้นไป 1 วันจึงตั้งต้นฝึกเดินต่อจนกระทั่งเดินได้พอสมควรและเชื่อว่าจะเดินได้ภรรยาจึงอนุญาตให้เดินออกจากบ้านในวันที่ 16 พฤศจิกายน 2548

..

สัมภาระมีเพียงเป้หนึ่งใบที่บรรจุยาขวดน้ำหมวกเสื้อผ้าหนึ่งชุดสมุดบันทึกปากกา และไปรษณียบัตรที่เขียนถึงภรรยาทุก ๆ วันเพื่อสื่อสารว่ายังมีชีวิตอยู่

..


"บทเรียนที่ได้จากการก้าวเดินจึงเป็นบทเรียนที่ผมค่อนข้างภูมิใจแต่ไม่ได้บอกว่าสิ่งนี้ดีประสบการณ์ที่ได้จากการก้าวเดินแบบนี้เริ่มต้นจากการเผชิญสิ่งง่ายๆ ที่เราไม่เคยคิดว่าจะมาเป็นปัญหากับชีวิตมากขนาดนี้เช่นเรื่องอาหารเพราะผมตั้งใจจะไม่ขออาหารจากผู้ใดผู้หนึ่งด้วยการไปบอกว่าผมหิวกระหายดังนั้นกว่าเขาจะรู้ว่าเราหิวโหยจนแทบขาดใจตายอยู่แล้ว ก็ต้องสังเกตเอาเองและเมื่อมีคนให้อาหารผมทานเพียงแค่มื้อแรกที่ได้รับผมก็รู้เลยว่าการกินอาหารที่ผ่านมาตลอดชีวิต มันได้แต่กินอาหารอย่างเดียว ได้แต่เสพรสอาหารแต่ไม่ได้เสพรสชาติชีวิตมนุษย์อย่างแท้จริง"


..

ความหมายของอาหารมื้อแรก

วันแรกของการออกเดินอ.ประมวลพบบทเรียนแรกจากการอดเมื่อถึงเขตอำเภอสันป่าตอง เกิดอาการอ่อนล้าขณะที่น้ำในกระบอกก็หมดตนรู้สึกหน้ามืดเหมือนจะเป็นลมคอแห้ง น้ำลายขม และหูอื้อไม่ได้ยินเสียงอะไรขณะนั้นเขาพบเพิงขายก๋วยเตี๋ยวซึ่งมีม้าหินขัดตั้งอยู่จึงขออนุญาตเจ้าของเพิงขายก๋วยเตี๋ยวนั่งพักตรงนั้นและได้รับไมตรีจิตจากเจ้าของเพิงทำก๋วยเตี๋ยวให้ทานเมื่อทราบว่าเขาเดินเพื่ออะไร

"ผมรู้ว่าก๋วยเตี๋ยวชามนั้นเขาเต็มใจทำจริง ๆเพราะมันเต็มชามเลย ทั้งเส้นก๋วยเตี๋ยว ทั้งลูกชิ้นทั้งอะไรที่มีอยู่เขาใส่มาจนเต็มแล้วผมก็ได้รู้ว่าการได้ทานก๋วยเตี๋ยวชามนั้นมันมหัศจรรย์และวิเศษที่สุดเพราะก่อนหน้านั้นผมรู้สึกว่าเพียงแค่วันแรกชีวิตของผมก็กำลังจะมอดดับสลายเสียแล้วแต่พอได้ทานก๋วยเตี๋ยวเท่านั้นเองสิ่งที่มันเฉาไป มันก็ค่อย ๆ พื้นคืนมา"

"ผมขอบคุณคนให้ก๋วยเตี๋ยวที่ช่วยต่อชีวิตให้ผมยังได้มีต่อไปการทานอาหารเพียงแค่มื้อแรกก็สุดแสนมหัศจรรย์กับการที่มีชีวิตอยู่เพราะมันเป็นสิ่งที่ทำให้เราตระหนักรู้ว่าอาหารที่ทานเข้าไปนั้นมันมีความหมายมากกว่าที่เราเคยทานมาไม่รู้สักเท่าไรและอาหารแต่ละมื้อที่ทานไปมีมิติแห่งความหมายทั้งนั้นจนผมรู้สึกเสียดายว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมากินอาหารไม่รู้กี่ร้อยกี่พันมื้อแล้วทำไมจึงไม่ได้ความรู้สึกไม่ได้อารมณ์ประเภทนี้เลย"


เฉียดตายเพิ่มความหมายชีวิต

ครั้งแรกของประสบการณ์เฉียดตายระหว่างการก้าวเดินของอ.ประมวลคือขาขึ้นดอยอินทนนท์ ซึ่งเขาเล่าว่าเหมือนชีวิตกำลังจะขาดรอนๆเขาใช้คำว่าเกือบปลงชีวิตเสียแล้ว เพราะทั้งใจสั่น หน้ามืดจะเป็นลมต้องล้มตัวลงนอนที่ข้างถนนปรากฎว่าไม่ตายเพราะมีรถปิคอัพทะเบียนชลบุรีคันหนึ่งจอดรับเขาเพื่อไปส่งถึงยอดดอยในระยะทางอีกเพียง 2 ก.ม.เท่านั้น ซึ่งนั่นทำให้เขาได้เรียนรู้ความสุขจากขาลงดอยที่เปรียบได้กับขาลงของชีวิตเพราะไม่ต้องแบกน้ำหนักจากสิ่งใดๆ เท่ากับขาขึ้น

..

ครั้งที่สองคือเมื่อเดินถึงจังหวัดราชบุรีเนื่องจากวันนั้นอดข้าวมาทั้งวัน และยังต้องเดินบนถนนใหญ่ที่อากาศร้อนจัดและเต็มไปด้วยควันพิษทำให้รู้สึกวิงเวียนหูอื้อตาลาย ไม่สามารถทรงตัวได้ เขาคิดว่าตัวเองจะตายอีกครั้ง แต่ก็ยังมีคนมาพบและนำตัวขึ้นรถกระบะโดยที่อ.ประมวลพยายามพูดได้แค่เพียงคำว่าเพชรบุรีอยู่หลายครั้งก่อนหมดสติไป..

..

บทเรียนจากเงิน

บทเรียนที่ดีมากอีกครั้งหนึ่งคือเหตุการณ์ที่จ.กำแพงเพชรเมื่อชายหนุ่มคนหนึ่งจอดรถรับเขาขึ้นรถและเมื่อรู้เจตนาที่แท้จริงในการเดินก่อนจากกันจึงรีบซุกเงิน200 บาทให้ในซอกเป้ แล้วขับรถหนีไป

"ผมพบว่าสตางค์ 200 บาทนี้เข้ามาเป็นตัวแทรกในชีวิตผมที่มหัศจรรย์มาก เพราะเมื่อเดินมาจนถึงสี่แยกสลกบาตร จ.กำแพงเพชร ผมเกือบยอมจำนนต่อความหิวกระหายและนำเงิน 200 บาทที่ได้มานั้นไปซื้อน้ำดื่มแต่เผอิญโชคดีที่ไฟเขียวตรงสี่แยกนั้นขึ้นมาก่อน ผมเลยรีบวิ่งออกไปจากตรงนั้นคนขับมอเตอร์ไซค์คงนึกว่าผมรีบวิ่งข้ามถนนแต่ความจริงผมรีบวิ่งหนีอารมณ์ตัวเองที่อ่อนแอมากเพียงแค่มีเงิน200 บาทอยู่ในกระเป๋าทำให้ผมเกือบพ่ายต่อปฏิญญาที่ตัวเองวางไว้"

..

ร่องรอยของความดีงามระหว่างรอยเท้า


ก้าวต่อก้าวนับพันกิโลเมตรสิ่งที่ประจักษ์ใจผู้ก้าวเดินคือไมตรีจิตของผู้คนในสังคมที่ยังมีอยู่จริง เช่น สองสามีภรรยาคนเก็บขยะที่เมตตาเลี้ยงอาหารที่ อ.บางสะพาน เด็กวัดไร้บ้านที่ขออนุญาตรูปยักษ์ให้ตนได้นอนในศาลาวิหารและหาอาหารมาให้กิน คนขับมอเตอร์ไซค์ตามเพื่อนำสตางค์มาให้แต่ไม่ได้รับ เพื่อนต่างศาสนาที่เอื้อเฟื้ออาหารและยาเมื่อรู้ว่าใช้วิธีการเดินเพื่อฝึกตนเช่นเดียวกัน หรือแม้แต่หมาหนังกลับที่นอนแอบอิงอาศัยไออุ่นซึ่งกันและกันกับอ.ประมวล จนทำให้เขาสัมผัสคุณค่าของการมีชีวิตอยู่เพื่อผู้อื่น..

..


คืนดินสู่ผืนดินเกิด


วินาทีที่ถึงจุดหมายปลายทางเกาะสมุย อ.ประมวลเคยเล่าว่าไปถึงเรือข้ามฟากบ้านดอน-เกาะสมุยในวันที่ 24 ม.ค.2549 ขณะนั้นมีความรู้สึกดีใจเป็นล้นพ้น เมื่อเดินจากสะพานไปเหยียบแผ่นดินเกาะสมุย ตนก้มลงสัมผัสแผ่นดินที่เกาะสมุยด้วยความรู้สึกดีที่สุด วันนั้นเป็นวันที่ฝนตก ก้มศีรษะลงไปไม่ถนัด ต้องใช้มือจับแผ่นดินแล้วเอามาวางที่กระหม่อมตัวเอง มือเปียกน้ำที่เอามาสัมผัสกับศีรษะสะดุ้งด้วยความรู้สึกที่มหัศจรรย์ จากนั้นจึงเดินกลับบ้าน คุกเข่าลงในที่ที่เป็นบันไดบ้านเดิม และนำดินที่เก็บมาจากไต้ถุนบ้านเมื่อตอนออกจากบ้านอายุ18ปีมาคืนยังที่เดิม ตนรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกและร้องไห้ เป็นอารมณ์ที่ดีที่สุดช่วงหนึ่งของชีวิต เสียงป้าที่เรียกให้ไปอาบน้ำแล้วมากินข้าวก็ทำให้ตนรู้สึกถึงการกลับบ้านจริง ๆ อีกครั้ง

..

ค้นพบแสงสว่างบนทางเท้า



รับมือกับความท้อแท้


เมื่อถามถึงความท้อแท้ที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง เขาตอบว่าความท้อเกิดขึ้นน้อยมาก เพราะตนมีหลักเกณฑ์ในการกำจัดความท้อแท้อยู่แล้ว เนื่องจากก่อนออกเดินทางตนทราบว่าอะไรคืออุปสรรคที่จะมารบกวน ซึ่งได้แก่ ความรู้สึกท้อแท้ หวาดกลัวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น ดังนั้นเขาจึงเตรียมจิตให้ไม่ว่อกแว่กกับเรื่องในอดีตซึ่งจะทำให้เกิดความห่วงใยผูกพันและไม่ปรุงแต่งเรื่องในอนาคตที่ทำให้รู้สึกคาดหวัง และกดดันท้อแท้ พร้อมตั้งจิตเป็นเชิงอธิษฐานว่าจะก้าวทีละก้าวด้วยจิตใจที่เบิกบาน กับอารมณ์ที่เป็นปัจจุบัน

..

มื้อที่อดสอนมื้อที่อิ่ม


"เคยอดข้าวนานที่สุดเกือบ 2 วันเต็ม ผมพยายามเรียนรู้อารมณ์ที่เกิดจากการอดว่าเริ่มจากการกระหายหิวซึ่งเป็นเรื่องปรกติเมื่อเราไม่ได้กินอาหาร ทำให้ได้ไคร่ครวญว่าการมีอาหารกินเป็นสิ่งมีค่าประเสริฐมาก เพราะฉะนั้นต่อไปถ้าได้มีอาหารกินจะต้องรู้ค่าของการกินอาหาร และรู้ค่าของอาหาร นอกจากนั้นความรู้สึกกลัวอันตรายในภาวะที่ไม่ได้กินอาหารยังทำให้ตระหนักรู้ว่าถ้าร่างกายของเราจะจบลงเพราะไม่มีอาหารกิน ก็ไม่ใช่เป็นสิ่งที่น่ากลัวอะไร เพราะเป็นไปตามความปรารถนาของตนที่ต้องการเดินจนกว่าชีวิตจะหาไม่แล้ว

..

อย่างไรก็ตาม วินาทีที่ฝืนเดินจนเหนื่อยแทบขาดใจตายก็ได้สอนให้เขาเรียนรู้อีกครั้งว่าการเดินให้ตายไม่ใช่สิ่งประเสริฐอะไรเลยเพราะครั้งหนึ่งเคยเดินด้วยความรู้สึกที่อยากก้าวย่างจนถึงวาระจิตสุดท้าย แต่ปรากฎว่ายังไม่ยอมตาย จึงพบว่าความจริงแล้วตนไม่ควรหยาบคายต่อร่างกายของตัวเอง แต่ควรดูแลและทนุถนอมร่างกาย เพื่อเดินด้วยจิตใจที่เบิกบานจะดีกว่า

..

"ถ้าร่างกายนี้มีความจำเป็นต้องหยุดพักเราก็ต้องพัก เพราะร่างกายเป็นอุปกรณ์ที่ให้เราใช้เหมือนเราขับรถ ถ้ารถร้อนจัดเราก็ต้องหยุดให้รถคลายความร้อน แต่ถ้ายังฝืนขับไป รถอาจจะร้อนจนน็อกไปซึ่งวิธีทำเช่นนั้นไม่ใช่เป็นวิสัยของคนขับรถที่ฉลาดเลย"

..


ถูกครหาว่าสุดโต่ง



"ผมไม่ได้คิดถึงเรื่องสุดโต่งเพราะผมไม่ได้ปฏิเสธสิ่งที่มันอยู่ขั้วตรงกันข้าม ผมไม่ได้ปฏิเสธการมีชีวิตอยู่อย่างสะดวกสบาย แต่คิดว่าในขณะหนึ่งเราควรเรียนรู้ว่าชีวิตที่มันอยู่คนละขั้วนี่มีความหมายอย่างไร เช่น เราตระหนักถึงความหิวเพื่อรู้ค่าของความอิ่ม เราเรียนรู้การเหน็ดเหนื่อยเพื่อรู้ค่าของการได้หยุดพัก เพราะฉะนั้นเวลาเดินไปเราจะรู้เลยว่าการได้หยุดพักก็เป็นคุณค่าอันประเสริฐสำหรับการเดินทางเราจะไม่สามารถเดินทางได้ถึงเป้าหมายเลย ถ้าไม่มีโอกาสหยุดพัก เพราะฉะนั้นการหยุดพักก็เท่ากับการเดิน การเดินเท่ากับการได้หยุดพัก และถ้าเดินถึงเป้าหมายก็ต้องขอบคุณทุก ๆ ก้าว ทั้งที่ขณะก้าวย่างและขณะที่ก้าวหยุดเมื่อผมเดินถึงบ้าน จึงต้องขอบคุณชีวิตของผมที่มีทั้งสุข ทุกข์ สำเร็จ ล้มเหลว"


..


"ถ้าพูดในแง่การประเมินค่าก็มีทั้งดีและชั่ว ถ้าเรามีสิ่งหนึ่งที่เป็นความชั่ว ก็ทำให้เราได้เรียนรู้ว่าความชั่วมีผลเช่นไร และส่งผลให้เราตระหนักถึงคุณค่าของความดี เพื่อให้มีพละกำลังที่จะทำความดี หรือเวลาเราประสบความล้มเหลว เราก็เห็นคุณค่าของความสำเร็จ เวลาประสบความสำเร็จเราก็เห็นบทเรียนจากความล้มเหลว คำว่า 2 ขั้วจึงเป็นการประสานให้เป็นเนื้อเดียวกัน การหยุดกับการเดินจึงเป็นสิ่งเดียวกัน และมีคุณค่าต่อเป้าหมายเหมือนกัน"


..


ปรารถนารับใช้เพื่อนมนุษย์


"เป้าหมายต่อจากนี้ผมมีความปรารถนาจะรับใช้เพื่อนมนุษย์ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้หากมีกิจกรรมใด ๆ ที่ผู้อื่นไม่ปรารถนาจะทำ แต่มันมีความจำเป็นต้องทำ ผมจะอาสาทำสิ่งนั้น ซึ่งคำตอบขึ้นอยู่กับสังคมว่าผมเหมาะสมจะทำอะไรได้บ้าง ผมไม่สามารถทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ได้มากนัก แต่สามารถทำสิ่งเล็ก ๆ ที่บางครั้งคนอื่นอาจจะมองผ่านเลยไป เช่นเมื่อครู่นี้คนที่มานั่งฟังผม ซึ่งอายุมากแล้วเข้ามาบอกผมว่าเขาเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากอาจมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานผมก็ตั้งใจที่จะเดินไปคุยและอยู่เป็นเพื่อนเขา สิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งยิ่งใหญ่เลย แต่ผมเข้าใจว่ายามที่เรารู้สึกว่าโดดเดี่ยวว้าเหว่น่ากลัว ถ้ามีเพื่อนมนุษย์สักคนเข้ามาก็เหมือนกับเราอยู่ในท่ามกลางความมืด แล้วรู้ว่ามีเพื่อนอีกคนอยู่ด้วย ซึ่งจะทำให้เราอบอุ่นขึ้นมา ทั้งที่ความมืดยังเหมือนเดิม แต่เท่ากับว่าเราจะคลายความกลัวลง ผมอยากเป็นเพื่อนในท่ามกลางความมืด"

...


จิตงดงามคือความสุข



"สิ่งที่ได้รับจากการก้าวเดินเพียงต้องการบอกทุกคนว่าความจริงแล้วความสุขเป็นสิ่งที่ง่ายมาก เพียงแค่เรามีจิตที่งดงาม เพียงแค่เรามีจิตที่ปรารถนาดีต่อผู้อื่นการกระทำของเราก็จะเป็นไปเพื่อความเกื้อกูลซึ่งการเกื้อกูลเป็นสิ่งที่งดงามมาก แม้กระทั่งบางครั้งที่ผมเดินผ่านกลุ่มเด็กวัยรุ่นแก๊งค์มอเตอร์ไซค์ซิ่ง คิดว่าผมเป็นคนบ้าและอยากจะแกล้งคนบ้าเพื่อความสนุกสนาน ผมก็คิดว่าถ้าผมเป็นคนบ้าแล้วเขาสนุก ผมก็ควรจะเป็นคนบ้า แกล้งทำเป็นบ้าตกใจกลัว เขาก็หัวเราะเอิ๊กอ๊ากแล้วขี่มอร์เตอร์ไซค์ซิ่งไป แน่นอนตรงนี้อาจจะมีคนตำหนิว่าวัยรุ่นเหล่านั้นไม่รู้จักการให้เกียรติผู้อื่น แต่ผมเข้าใจว่าเขามีอารมณ์อย่างนั้นเพราะอยากสนุก แล้วทำไมล่ะ เราไม่สามารถจะเป็นคนบ้าเพื่อความสนุกของเขาได้หรืออย่างไรมันยากอะไรนักหนาที่เราจะเป็นคนบ้า แล้วผมก็มีความสุขที่เห็นเขามีความสุขที่ได้แหย่คนบ้าเล่น หรือบางครั้งเราจะเป็นคนโง่ก็ได้ ถ้าการโง่ของเราทำให้ผู้อื่นเขารู้สึกเขามีค่าขึ้นน่ะครับ"



credit เรื่อง : นิตยสาร Smart Job

และ http://www.dhammajak.net/index.php?option=com_content&id=1006&task=view&Itemid=61&mosmsg=%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%9A%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B8%93%E0%B8%AA%E0%B8%B3%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B0%E0%B9%81%E0%B8%99%E0%B8%99%21

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น