เจริญพร ขอให้มีความสุขสมหวังและ ถึงความสิ้นทุกข์ในเวลาอันใกล้โดยง่ายเทอญ

ยินดีต้อนรับ สหธรรมิกผู้มีใจเป็นกุศลทุกๆท่านครับ

ขอเรียนเชิญ สหธรรมิกทุกๆท่านมาร่วมศึกษาและปฏิบัติธรรมของพระพุทธองค์ รวมทั้งแบ่งปันความรู้ ข้อคิด คำแนะนำ ด้วยใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาครับ

" ความมืดแม้ทั้งโลก ก็บดบังลำแสงเพียงน้อยนิดมิได้ "


สันโดษ

สันโดษ
สุขใด เสมอความสงบ ไม่มี

หน้าเว็บ

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
อดีตที่ผ่านมาเป็นบทเรียน อโหสิให้ทุกคน แต่อย่ามีเวรกรรมร่วมกันอีกเลย

ผู้ติดตาม

วันเสาร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2554

ฉบับที่ ๔ การหยั่งรู้อนาคต


ฉบับที่ ๔ การหยั่งรู้อนาคต

ชาวพุทธส่วนใหญ่
เมื่อร่ำเรียนภาคทฤษฎี
และรู้จักคำว่า "อนาคตังสญาณ"
หรือความสามารถในการหยั่งรู้อนาคต
ก็มักเข้าใจผิดกันว่า
อย่างนี้คืออนาคตต้องถูกกำหนดไว้ตายตัวแล้ว
เช่น พระพุทธเจ้าหยั่งทราบว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร
ก็แปลว่าอนาคตต้องเกิดขึ้นแน่ๆไม่อาจเป็นอื่น

ความจริงแล้วญาณหยั่งรู้ทั้งหลายในแบบพุทธ
ยืนพื้นอยู่บนเหตุผล
กล่าวคือเมื่อมีเหตุปัจจัยอย่างหนึ่ง
ก็ย่อมเกิดผลลัพธ์สมกัน

ญาณหยั่งรู้อนาคตที่สมบูรณ์ตามหลักพุทธศาสนา
จึงไม่ใช่เอาแต่นั่งเทียนเห็นนิมิต
ผู้ที่กล่าวอ้างได้เต็มปากว่ามีความสามารถหยั่งรู้อนาคต
นอกจากจะมีอนาคตังสญาณแล้ว
จำต้องประกอบพร้อมด้วยญาณอีกสองชนิด
รวมเรียกว่าญาณ ๓ ได้แก่

๑) อตีตังสญาณ ญาณหยั่งรู้กรรมในอดีตของบุคคล
อันเป็นรากของผลลัพธ์ในปัจจุบันของบุคคลนั้นๆ
คือทราบว่าเมื่อวาน วานซืน เดือนก่อน ปีก่อน หรือชาติก่อน
ใครไปทำอะไรที่ไหนเอาไว้ จึงมาเป็นอย่างนี้
และนอกจากเรื่องเกี่ยวกับบุคคลแล้ว
ญาณนี้ยังครอบคลุมไปถึงเหตุการณ์ต่างๆในอดีตอีกด้วย

๒) ปัจจุปปันนังสญาณ ญาณหยั่งรู้เรื่องในปัจจุบัน
คือทราบว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับบุคคลหนึ่งๆ
และเป็นการทราบได้โดยไม่จำเป็นต้องเจอหน้ากันเสียก่อน
นอกจากเรื่องเกี่ยวกับบุคคลแล้ว
ญาณนี้ยังครอบคลุมไปถึงเหตุการณ์ต่างๆในปัจจุบันอีกด้วย

๓) อนาคตังสญาณ ญาณหยั่งรู้เรื่องราว
ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตของบุคคลหนึ่งๆ
คือทราบว่าพรุ่งนี้ มะรืนนี้ เดือนหน้า ปีหน้า หรือชาติหน้า
จะเกิดอะไรขึ้นกับบุคคลนั้นๆ
อันเป็นผลลัพธ์ของกรรมที่ทำไว้ในปัจจุบันหรืออดีต
และนอกจากเรื่องเกี่ยวกับบุคคลแล้ว
ญาณนี้ยังครอบคลุมไปถึงเหตุการณ์ต่างๆในอนาคตอีกด้วย


สรุปคือญาณทั้งสามผูกกับเรื่องของกรรม
ตลอดจนเหตุผลทางธรรมชาติเช่นดินฟ้าอากาศ
สมนัยกับหลักสำคัญทางพุทธศาสนา
อันยืนพื้นอยู่บนความจริงที่ว่า
"สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม" และ
"ธรรมทั้งปวงย่อมเกิดแต่เหตุ" คือไม่มีเรื่องบังเอิญ

ปัญหาคือบางคนนี่นะครับ
มีแต่อนาคตังสญาณ
แต่ขาดอตีตังสญาณ
แล้วก็ไม่รู้เรื่องกรรมวิบาก
เหมือนอย่างหมอดูระดับโลกบางคน
ก็มีสิทธิ์เชื่อได้ว่าเป็นบัญชาสวรรค์
หรืออีกนัยหนึ่งคือเชื่อว่าอนาคตเป็นพรหมลิขิต
ที่ตนเห็นก็เพราะเบื้องบนแสดงนิมิตให้ดู
อะไรทำนองนั้น

อนาคตังสญาณนอกพุทธศาสนามีจริง
แต่อธิบายอะไรต่ออะไรไม่ได้จริง
จึงเหมือนเรื่องโคมลอยมากกว่า
และนำมาซึ่งความงมงายแก่ผู้เชื่อด้วย
เพราะต้องเอาแต่เชื่อโดยขาดเหตุขาดผล

รู้แต่ว่าต้องเชื่อ
ไม่รู้ว่าทำไมต้องเชื่อ!

แม้แต่พระพุทธเจ้า
ถ้าท่านจะทำนายอนาคต
ท่านไม่ตรัสห้วนๆว่าจะเกิดอะไรขึ้น
แต่ท่านจะตรัสเป็นเหตุเป็นผล
ในชั้นพระไตรปิฎกซึ่งเป็นบันทึกแรก
อันมีหลักฐานยืนยันมั่นคงที่สุดนั้น
ไม่เคยมีการทำนายแบบหมอดูนั่งเทียน
แล้วก็ไม่เคยมีการทำนายฝันให้ใครด้วย
ถ้ามีก็ปรากฏอยู่ในชั้นรองลงมา
หรือไม่ก็เกิดจากการตื่นข่าวร่ำลือกันไปเอง



ใครเป็นคนกุเรื่องก็ปล่อยให้เป็นบาปของเขาไป
พวกเราอย่าถือเอาโดยไม่พิจารณา
อันจะเป็นการกล่าวตู่พระพุทธองค์โดยไม่รู้ตัวต่อๆกัน
การกล่าวตู่นั้น พระผู้มีพระภาคให้นับหมด
ถ้าท่านไม่ได้พูด แต่กลับไปหาว่าท่านพูด
ไม่ว่าจะเป็นการกุเรื่องขึ้นเอง
หรือจะเป็นการพูดตามคนอื่นก็แล้วแต่

ช่วงนี้กำลังลือกันหนาหู
บอกว่าแม้แต่พระพุทธเจ้าก็ยืนยันว่าเดี๋ยวโลกแตก
คือถ้าจะแตกจริง รบราฆ่าฟันเป็นสงครามโลกจริง
ก็ปล่อยให้เป็นไปตามนั้นเถิด
แต่อย่าเอาพระพุทธเจ้าไปเกี่ยวข้องด้วยเลย

ผมเคยเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้
ในเตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว
ขอนำมาลงให้อ่านที่ตรงนี้อีกครั้งนะครับ

ถาม - มีพุทธทำนายว่ากึ่งพุทธกาล (พ.ศ.๒๕๐๐) สัตว์โลกจะพบแต่ความยากลำบากทุกชาติทุกศาสนา ตามธรรมชาติอันหมุนเวียนของโลกที่หมุนไปใกล้ความแตกสลาย ยักษ์หินที่ถูกสาปเป็นเวลานานจะตื่นขึ้นมาอาละวาด พระธรรมจะเริ่มเปล่งแสงรัศมีฉายแสงส่องโลกอีกวาระหนึ่งก็ต่อเมื่อมีธรรมิกราชโพธิญาณบังเกิดขึ้น อยู่ในความอุปถัมภ์ของพระเถระผู้ทรงฤทธิ์ ทั้งสองพระองค์สถิต ณ เบื้องตะวันออกของมัชฌิมประเทศ จะเสด็จมาเสริมสร้างศาสนาของตถาคตให้รุ่งเรืองสืบไปถึงห้าพันปี คำทำนายนี้จะทำให้ผู้สดับได้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ผู้ใดรู้แล้วไม่เชื่อนับว่าเป็นกรรมของสัตว์ที่ต้องสิ้นสุดไปตามกรรมชั่วของตน อยากทราบว่าคุณดังตฤณมีความเห็นอย่างไร พุทธทำนายนี้มีที่มาที่ไปอย่างไร เชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน?

เป็นเรื่องน่าช่วยจดจำกันครับ ว่าพระพุทธเจ้าจะทรงทำนายสิ่งใดๆก็ตาม ท่านต้องมีเหตุผลกำกับไปด้วยทุกครั้ง เช่นหากใครสงสัยว่าเมื่อใดพระอรหันต์จะหมดจากโลก ท่านจะไม่ระบุเวลา แต่จะชี้ให้เห็นเป็นเงื่อนไขว่าตราบใดยังมีภิกษุปฏิบัติธรรมตามที่พระองค์สอนสั่ง ตราบนั้นโลกจะไม่ว่างจากพระอรหันต์ หรือถ้าสงสัยว่าเมืองใดจะล่มสลาย พระองค์ก็จะตรัสเป็นเงื่อนไขว่าเมื่อใดเหล่าเจ้าผู้ครองนครเสียความสมัครสมานสามัคคี เมื่อนั้นเมืองจะถึงกาลพินาศ

เช่นกัน ตามพระไตรปิฎกซึ่งถือเป็นสมุดบันทึกอันเชื่อถือได้ของชาวพุทธนั้น จะเห็นว่ามิใช่พุทธลีลาที่จะทำนายอนาคตของศาสนาแบบฝากความหวังไว้กับใครคนใดคนหนึ่ง พระพุทธเจ้าทรงชี้ว่าถ้าพระองค์เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานไป ศาสนาพุทธจะยังคงสืบทอดต่อได้อย่างมั่นคง เพราะพระองค์บัญญัติวินัยสงฆ์ไว้อย่างเป็นระเบียบดีแล้ว อีกทั้งพระองค์จัดตั้ง 'บริษัทพุทธ' ซึ่งมีผู้ร่วมดำเนินการอยู่ ๔ พวก ได้แก่ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา (รวมกล่าวง่ายๆคือฝ่ายนักบวชและชาวบ้านหญิงชาย)

แม้ที่เลื่องลือกันมากว่าพระพุทธเจ้าเคยทำนายสุบินนิมิต (ความฝัน) ของพระราชาองค์หนึ่ง ก็ไม่ปรากฏหลักฐานอยู่ในพระไตรปิฎก แต่จะอยู่ในหลักฐานชั้นรองๆลงมา สรุปว่าเรื่องเกี่ยวกับพุทธทำนายอนาคตแบบไม่มีเหตุผลประกอบนั้น เป็นเรื่องสมควรฟังหูไว้หู จะกระเดียดไปทางไม่เชื่อไว้ก่อนก็ไม่ผิดบาปอะไร เพราะโดยพุทธลีลาแล้ว แม้พระองค์ท่านมีญาณหยั่งรู้อนาคตจริง ก็จะตรัสถึงอนาคตอย่างมีเหตุผล มีที่มาที่ไป ซึ่งคนฟังจะได้รับประโยชน์ และเมื่อจะเชื่อก็ได้ชื่อว่าเชื่ออย่างมีเหตุผล มิใช่เชื่ออย่างงมงายหาคำอธิบายยาก

กล่าวถึงคำทำนายที่คุณยกมาเป็นคำถามนี้ เท่าที่ทราบปรากฏขึ้นมาลอยๆหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ครับ เขาถึงได้ทำนายถูกไงว่าจะเกิดสงครามใหญ่ จะเข้ายุคข้าวยากหมากแพง สำหรับที่มาของคำทำนายก็อ้างว่าได้มาจากเสาหินขนาดใหญ่ซึ่งเป็นศิลาจารึกของพระเจ้าอโศกผู้มีพระชนม์ประมาณสองร้อยปีหลังพุทธกาล

โปรดไถ่ถามกันดูเองเถิด มีใครเคยเห็นจารึกพุทธพยากรณ์ที่ว่านี้ด้วยตาตนเองหรือถ่ายรูปมาบ้าง และมีผู้เชี่ยวชาญภาษาโบราณท่านใดเป็นผู้แปลหรือให้การรับรองว่าแปลออกมาแล้วได้ใจความต่อเนื่องราบรื่นสละสลวยอย่างนี้

สำหรับเสาพระเจ้าอโศกนั้น ถ้าใครเคยไปอินเดียจะเห็นนะครับว่าข้อความบนเสาเลอะเลือน ขาดหาย ไม่มีความต่อเนื่องนัก อย่างไรคงถอดความไม่ได้ชัดเจนเหมือนพุทธทำนายปลอมที่เขียนขึ้นใหม่นี้หรอก

อีกประการหนึ่ง น่าสงสัยว่าพระเจ้าอโศกท่านไปคัดข้อความยาวๆแบบนี้มาจากไหน? เพราะแม้ในชั้นอรรถกถาซึ่งเป็นภาคขยายความพระไตรปิฎกก็ไม่มี

อีกข้อสังเกตหนึ่ง พระเจ้าอโศกท่านเป็นคนในยุค ๒๐๐ ปีหลังพุทธกาล คงไม่ใช่ธุระของท่านหรือคนสมัยนั้นที่จะไปสนใจเหตุการณ์อันจะเกิดขึ้นในอีกสองพันปีต่อมา และหากจะกล่าวว่าเป็นเหตุการณ์สำคัญ ก็ต้องกล่าวว่าเหตุการณ์สำคัญกว่านั้นมีอยู่ เช่นที่พุทธศาสนาถูกรุกรานจนสาบสูญไปจากประเทศต้นกำเนิด และกระจัดกระจายไปเจริญตามแหล่งอารยธรรมต่างๆทั่วโลก เป็นต้น

และที่จะลืมไม่ได้เป็นอันขาด คือองค์พระเจ้าอโศกเอง ท่านเป็นผู้อุปถัมภ์ศาสนาพุทธเจ้าใหญ่ที่สุด เพราะถ้าไม่มีท่านส่งคนไปเผยแผ่พระสัทธรรมนอกอินเดีย ป่านนี้พุทธศาสนาก็ล่มสลายหายสูญจากโลกนี้ไปแล้ว

ฉะนั้น ถ้าพระพุทธเจ้าจะทรงตรัสทำนายเพื่อเชิดชูบุคคลสำคัญของศาสนา ท่านก็น่าจะไม่ลืมตรัสถึงพระเจ้าอโศกเป็นแน่แท้ พระเจ้าอโศกอยู่ใกล้พุทธกาลเพียงสองร้อยปีเศษ แต่ 'ธรรมิกราช' ในพุทธทำนายปลอมอยู่ห่างมาถึงสองพันปี กลับได้รับการเชิดชูขึ้นมาเฉยๆ




สรุปคือเป็นพุทธทำนายปลอมร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ ตัวคำทำนายจะจริงหรือไม่จริงขอให้ยกไว้ อย่างไรก็ไม่สมควรนำมาอ้างอิงกันอย่างเด็ดขาดว่านี่เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ เป็นธรรมดาที่มนุษย์ทั้งหลายจะแสวงหาและปั้นแต่งฮีโร่ขึ้นมารับผิดชอบโลก แต่ความจริงก็คือพระพุทธเจ้าไม่สรรเสริญ ไม่สนับสนุน และไม่ยกใครขึ้นมาเชิดชูแล้วอนุญาตให้พวกเราฝากพระพุทธศาสนาไว้ในมือคนๆนั้น มีแต่จะทรงให้ร่วมมือร่วมใจกัน ช่วยกันสืบทอดและเผยแผ่ตามกำลังของแต่ละคน การเสาะหาฮีโร่เพียงคนเดียวมาเป็นศูนย์กลางของทุกสิ่งนั้น นอกจากจะทำให้แนวคิดร่วมมือร่วมใจลดลงแล้ว ยังเป็นการเปิดโอกาสให้มนุษย์เจ้าเล่ห์ทั้งหลายกุเรื่องขึ้นมาตามใจชอบอีกด้วย!

ดังตฤณ
กรกฎาคม ๕๒

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น