เจริญพร ขอให้มีความสุขสมหวังและ ถึงความสิ้นทุกข์ในเวลาอันใกล้โดยง่ายเทอญ
ยินดีต้อนรับ สหธรรมิกผู้มีใจเป็นกุศลทุกๆท่านครับ
ขอเรียนเชิญ สหธรรมิกทุกๆท่านมาร่วมศึกษาและปฏิบัติธรรมของพระพุทธองค์ รวมทั้งแบ่งปันความรู้ ข้อคิด คำแนะนำ ด้วยใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาครับ
ขอเรียนเชิญ สหธรรมิกทุกๆท่านมาร่วมศึกษาและปฏิบัติธรรมของพระพุทธองค์ รวมทั้งแบ่งปันความรู้ ข้อคิด คำแนะนำ ด้วยใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาครับ
" ความมืดแม้ทั้งโลก ก็บดบังลำแสงเพียงน้อยนิดมิได้ "
หน้าเว็บ
เกี่ยวกับฉัน
- Nitinandho
- อดีตที่ผ่านมาเป็นบทเรียน อโหสิให้ทุกคน แต่อย่ามีเวรกรรมร่วมกันอีกเลย
ผู้ติดตาม
วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2554
กมฺ มุนา วตฺตตี โลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม (พุทธภาษิต)
กมฺ มุนา วตฺตตี โลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
Franc
หลายวันมานี้ ไปวัดเกือบทุกวัน เพราะมีญาติเสียชีวิต จากอุบัติเหตุ ญาติข้ามถนน แล้วถูกรถบรรทุกทับเสียชีวิตทันที ณ ที่เกิดเหตุ ทิ้งลูกชายไว้เป็นลูกกำพร้า เนื่องจากสามีของผู้เสียชีวิตในครั้งนี้ ก็เสียชีวิตไปหลายปีก่อน ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เช่นกัน ผู้ที่เห็นเหตุการณ์หรือได้ฟังเรื่องราวก็รู้สึกสลดใจไปตาม ๆ กัน ผู้หญิงตัวเล็กนิดเดียว ถูกรถที่มีน้ำหนักหลายตันทับ แถมสามีก็เคยเสียชีวิตด้วยเหตุการณ์ที่คล้ายๆ กันอีก อะไรหนอ ดลบันดาลให้เป็นเช่นนี้
วันนี้ได้ฟังพระเทศน์ก่อนการฌาปนกิจ พระเทศน์สรุปใจความได้ว่า เคยเห็นหน้าผู้ตายอยู่เนือง ๆ เนื่องจากเวลาบิณฑบาตช่วงเช้ามืด มักจะเห็นผู้ตายข้ามถนนเป็นประจำ ผู้ตายเป็นคนสู้ชีวิต (ทำมาหากินเลี้ยงตนเองและครอบครัว) ขณะนี้อายุก็ไม่มากเพียงสี่สิบเอ็ดปี เรียกได้ว่า ยังไม่ได้ทันได้ทำบุญสร้างกุศลอย่างเต็มที่ แต่ก็มาจากโลกนี้ไปเสียก่อนด้วยอุบัติเหตุ อะไรทำให้เป็นเช่นนั้น
กรรมทำให้เป็นเช่นนั้น
กมฺ มุนา วตฺตตี โลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
อาจเป็นไปได้ว่า ชาติก่อนๆ ผู้ตายอาจเคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิตมามาก เช่น อาจเคย ค้าขายเนื้อสัตว์ ฆ่าเอง ขายเอง มาในชาตินี้ กรรมจึงได้มาตัดรอน
เราทั้งหลายที่มีชีวิตอยู่นี้ แม้ไม่รู้ว่าในชาติก่อนได้ทำกรรมใดไว้บ้าง แต่เราก็เลือกได้ที่จะไม่ตั้งตนอยู่ในความประมาท ควรมีความขยันหมั่นเพียร ทำความดี รักษาศีล ทำกุศลให้มาก เพื่อที่จะเป็นต้นทุนของเราไปในภายภาคหน้า
สำหรับญาติมิตรที่มีความโศกเศร้าเสียใจ ก็ต้องคิดว่า ทุกคนก็ต้องตายเช่นกัน บางครั้งคนเราก็ตายทีเป็นหมื่นเป็นแสน อย่างตอนสึนามิ บางทีก็ตายเป็นร้อย อย่างอุบัติเหตุหมู่ทั้งหลาย ไม่มีใครหนีความตายไปได้ เมื่อคิดได้ว่า ความตายรออยู่ตรงหน้า ไม่ช้าก็เร็ว เราก็จะคลายจากความเศร้าโศกได้ สักวันหนึ่งเราก็จะเป็นเช่นนั้น และเราไม่ควรตั้งตนอยู่ในความประมาท
ยาทิสํ วปเต พีชํ ตาทิสํ ลภเต ผลํ หว่านพืชเช่นไร ก็ย่อมได้ผลเช่นนั้น (พุทธภาษิต)
Create Date : 22 กุมภาพันธ์ 2550
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
ลานธรรมจักร :: » กฎแห่งกรรม
kanawat_ny
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
“กมฺมุนา วตฺตตีโลโก...สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม”
พระพุทธศาสนสุภาษิตบทนี้เป็นคำตอบที่ชัดแจ้ง สำหรับปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นมากมาย ว่าทำไมโลกทุกวันนี้จึงร้อนนัก เต็มไปด้วยความเลวร้ายต่าง ๆ นานาที่ไม่เคยมีมาก่อน ทั้งมรสุมใหญ่ ทั้งน้ำไฟทำลาย ทั้งโจรร้ายเข่นฆ่า ทั้งความเมตตากรุณาสิ้นจากจิตใจ ทั้งความขาดแคลนทุกข์ยากทั่วไปทั้งแผ่นดิน ความกตัญญูก็สิ้นสูญหมด ลูกหลานทรยศแม่พ่อพี่ป้าน้าอาปู่ย่าตายาย ถึงทุบตีเข่นฆ่าทำทารุณกรรม ครูอาจารย์ก็ทำร้ายได้ทั้งร่ายกายและจิตใจศิษย์น้อย ๆ ทำชีวิตให้พลอยสิ้นสุด จนถึงเกิดเป็นปัญหาว่า....
ทำไมเมืองพระพุทธศาสนาจึงเป็นเช่นนี้ได้ ?
ทำไมความเดือนร้อนชั่วร้ายจึงมากมายนัก ?
ทำไมผู้คนจึงลำบากยากแค้นนัก ตกอยู่ในสภาพที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงนัก
“กมฺมุนา วตฺตตีโลโก...สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม” นี่คือคำตอบ
กรรม..คือการกระทำทั้งที่ดีและไม่ดี..
กรรมหมายถึงการกระทำ ซึ่งมีความหมายเป็นกลาง คือ มีทั้งที่ดีและที่ไม่ดี
การกระทำที่ดีเป็นกรรมดี การกระทำที่ไม่ดีเป็นกรรมไม่ดี แต่ที่นำมาใช้นั้นเข้าใจว่า กรรม คือ ความไม่ดีสถานเดียว เช่น เมื่อมีอะไรร้าย ๆ เกิดแก่ผู้ใดผู้หนึ่ง ก็จะกล่าวว่ากรรมของเขา คือ ความไม่ดีของเขา
“สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม” ที่เป็นคำในพระพุทธศาสนสุภาษิต มีความหมายว่า คนและสัตว์ทั้งหลาย ที่เป็นไปต่าง ๆ นานา ทุกข์ก็มี สุขก็มี ดีก็มี ชั่วก็มี มิได้เกิดแต่ผู้ใดอื่น มิได้เกิดแต่อะไรอื่น มิใช่เกิดแต่เหตุใดทั้งนั้น นอกจากกรรมที่ตนได้กระทำแล้วเองเท่านั้น
อำนาจแห่งกรรมของตนเอง
ผู้ที่เป็นมนุษย์ในชาตินี้ อาจเกิดเป็นสัตว์ในชาติหน้าได้ ด้วยอำนาจแห่งกรรมของตนเอง ที่เพียงพอแก่ความเป็นสัตว์ ซึ่งมีต่าง ๆ ประเภท ทั้งหมู หมา กา ไก่ วัด ช้าง ม้า ที่อำนาจกรรมอาจนำให้มนุษย์ไปเกิดได้ประเภทนั้น ๆ
ในพระพุทธศาสนามีเรื่องเล่าถึงพระภิกษุรูปหนึ่งในสมัยพุทธกาล ที่ประพฤติดี ประพฤติชอบมาตลอด ก่อนแต่จะมรณภาพได้จีวรมาผืนหนึ่งซักตากไว้บนราว ด้วยมีใจผูกพันยินดีที่จะไครองจีวรใหม่ เกิดมรณภาพในช่วงเวลาก่อนจะทันได้ใช้จีวร เพื่อนภิกษุจะถือจีวรนั้นเป็นของตน สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงห้ามไว้ มีพระพุทธดำรัสให้รอก่อน 7 วัน
เพราะขณะนั้นพระภิกษุผู้เป็นเจ้าของได้ไปเกิดเป็นเล็นเกาะติดอยู่กับผ้าจีวร อายุของเล็นอยู่นานเพียง 7 วัน จากนั้นจะได้ไปเสวยผลแห่งกรรมดีที่พระภิกษุรูปนั้นได้ประกอบกระทำไว้เป็นอันมาก นี้เป็นเรื่องแสดงอำนาจของกรรทางใจที่ใหญ่ยิ่ง อาจนำให้พระภิกษุไปเกิดเป็นสัตว์ได้
ทุกสิ่งเป็นไปตามอำนาจแห่งใจ
ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกสิ่งสำเร็จด้วยใจ มนุษย์ต้องไปเกิดเป็นสัตว์ก็เพราะอำนาจแห่งใจ มีเรื่องของพระภิกษุสำคัญองค์หนึ่งในพระพุทธศาสนา ท่านเป็นพระอาจารย์ใหญ่ฝ่ายวิปัสสนาธุระ ได้เล่าไว้และมีผู้นำมาเขียนให้ได้อ่านกันต่อมา ท่านเล่าว่า ท่านต้องไปเกิดเป็นไก่หลายชาติ เหตุเพราะมีใช้ผูกพันในแม่ไก่ กว่าจะรอดกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ก็นานนักหนา
ต่อมาเมื่อได้มาเกิดเป็นมนุษย์ ได้ปฏิบัติธรรมคำทรงสอนของสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า มีความรู้สึกรู้ไกลไปในอดีตหลายภพชาติ จึงประจักษ์ในอำนาจของจิต ว่ายิ่งใหญ่นัก สามารถทำให้มนุษย์ไปเกิดเป็นสัตว์ได้ และทำให้สัตว์วนเวียนอยู่ในภพภูมิที่ต่ำนักหนาได้ ควรจะสลดสังเวชและควรจะกลัวอำนาจของจิตที่ตั้งไว้ผิดยิ่งนัก
ความไม่เข้าใจในเรื่องของกรรม
สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม แม้จะเป็นจริงเช่นนี้ แต่มีผู้ที่เชื่อว่าเป็นจริงเพียงจำนวนน้อยนัก เพราะไม่มีภาพให้เห็นว่า เมื่อชีวิตออกจากร่างของคนคนหนึ่งไป ก็ไปเป็นอีกร่างหนึ่งได้ เช่น หมู หมา กา ไก่ ความไม่ได้เห็นชัด ๆ ด้วยตาเนื้อเช่นนี้ทำให้คนส่วนมากยากจะเชื่อว่าคนก็เกิดเป็นสัตว์ได้ สัตว์ก็เกิดเป็นคนได้
คนฐานะสูงก็เกิดเป็นคนฐานะต่ำได้ คนฐานะต่ำก็เกิดเป็นคนฐานะสูงได้ คนร่างกายดี ๆ ก็เกิดเป็นคนแขนด้วนขาด้วนได้ คนพิการแขนด้วนขาด้วนก็เกิดเป็นคนมีแขนมีขาได้ คนหน้าตาน่าเกลียดผิดพรรณเศร้าหมอง ก็เกิดเป็นคนสวยคนงามได้ คนสวยคนงามก็เกิดเป็นคนน่าเกลียดน่าชัง ผิดพรรณเศร้าหมองได้ ยิ่งกว่านั้นคนก็เกิดเป็นเทวดาได้ และเทวดาก็เกิดเป็นคนได้
ความไม่เห็นด้วยตาเนื้อ ประกอบกับความไม่มีความเข้าใจในเรื่องกรรม และการให้ผลของกรรม ที่ทำให้คนส่วนมากไม่กลัวการเกิดใหม่ ว่าจะนำไปสู่สภาพหรือภพชาติที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก เช่นเป็นสัตว์นรก
ผู้ไม่เชื่อเรื่องมโนกรรม...น่าสงสารที่สุด
ใจสำคัญที่สุด ใจต้องคิดไปก่อน เป็นมโนกรรม...กรรมทางใจ อะไร ๆ จึงจะเป็นผลตามมา จะดีหรือจะชั่วก็แล้วแต่ใจจะคิดดีหรือคิดชั่ว ผู้ที่ไม่เชื่อเรื่องกรรมที่เกดจากใจคิด เป็นผู้ที่น่าสงสารที่สุด เพราะเขามีโอกาสที่จะตกอยู่ในสภาพที่เลวร้าย น่าสลดสังเวชยิ่งนัก
สภาพที่เกิดแต่ใจคิดนำไปนั้น เกิดได้ทั้งในภพชาติปัจจุบันนี้ ตลอดไปจนถึงภพชาติข้างหน้า อย่างที่ว่าแม้คนก็เกิดเป็นสัตว์ได้ แม้คนก็เกิดเป็นเทวดาได้ และแม้สัตว์ก็เกิดเป็นคนได้ แม้สัตว์ก็เกิดเป็นเทวดาได้
การระวังใจ...สำคัญยิ่งนัก
การระวังใจจึงสำคัญยิ่งนัก ปล่อยใจให้คิดสูงส่งงดงามไปด้วยบุญกุศล ชาตินี้ก็เป็นสุขเบิกบานด้วยอำนาจของบุญกุศลที่ใจคิดถึง ละชาตินี้ไปแล้วจะได้มีชาติใหม่ที่งดงาม ควรแก่ความงดงามของความคิดที่อยู่ในจิตใจ
ผู้พรั่งพร้อมด้วยสมบัติทั้งกายและทางใจที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน คือ ผู้ที่เป็นไปตามอำนาจของใจในอดีต อันย่อมมีผลสืบเนื่องถึงอำนาจของใจในภพชาติใหม่ด้วย ส่วนผู้ที่ปล่อยใจให้คิดต่ำทรามชั่วร้าย...ด้วยบาปอกุศล ชาตินี้ก็เป็นทุกข์เร่าร้อนด้วยอำนาจของบาปอกุศลที่ใจคิดถึง ละไปแล้วจะได้มีชาติใหม่ที่ต่ำทรามบกพร่อง ควรแก่ความต่ำช้าของความคิดที่มีอยู่ในจิตใจ
ผู้ขาดแคลนทั้งรูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ ที่เห็นกันอยู่ไม่น้อยในปัจจุบัน คือ ผู้เป็นไปตามอำนาจของใจในอดีต อันย่อมมีผลสืบเนื่องถึงอำนาจของใจในภพชาติใหม่ด้วย จึงพึงระวังความคิดให้อย่างยิ่ง ให้งดงามด้วยบุญกุศลไว้เสมอ จะได้ไม่ต้องมีสภาพที่ไม่เป็นที่พึงปรารถนา
ความคิด...เป็นเหตุแห่งสุขและทุกข์
ความคิดเป็นเหตุแห่งความทุกข์ และความคิดก็เป็นเหตุแห่งความสุขได้ พึงรอบคอบในการใช้ความคิด คิดให้ดี คิดให้งาม คิดให้ถูก คิดให้ชอบ แล้วชีวิตในชาตินี้ก็จะงดงาม สืบเนื่องไปถึงภพชาติใหม่ได้ด้วย
ระวังความคิดให้ดีที่สุด เพราะความคิดที่ผูกพันในสิ่งไม่สมควรที่ทำให้พระภิกษุองค์หนึ่งต้องไปเกิดเป็นเล็น อีกองค์หนึ่งต้องไปเกิดเป็นไก่อยู่หลายภพหลายชาติ เราทั้งหลายหาได้มีบุญสมบัติเสมอพระภิกษุทั้งสองนั้นไม่ ความคิดที่ผิดพลาดของเราจะมินำเราไปเป็นอะไรที่น่ากลัวเหลือเกินหรือ
: สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
ปลงธรรมสังเวช เราจะตายด้วยกันทั้งนั้น
ปลงธรรมสังเวช เราจะตายด้วยกันทั้งนั้น
วันที่ 21 มกราคม 2544 ความยาว 57.23 นาที
สถานที่ : วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ
เทศน์อบรมพระและฆราวาส ณ วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ
เมื่อวันที่ ๒๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๔(บ่าย)
ปลงธรรมสังเวช เราจะตายด้วยกันทั้งนั้น
การถ่ายรูปนี่มันมากเหลือเกินนะ ทำลายธรรมเวลาเทศนาว่าการ จำให้ดีทุกคนนะ ธรรมไม่ใช่ตุ๊กตาเครื่องเล่นของเด็ก อย่าเอามาเล่นในสถานที่มหามงคลอย่างนี้นะ นี่หลวงตาพูดเอง มันต้องอย่างนั้น พอดี
ขอให้ปลงธรรมสลดสังเวชในบรรดาชาวพุทธเราทุกถ้วนหน้า คือท่านเจ้าคุณเทพโมลี ท่านได้มรณภาพลงไปเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว วันนี้เป็นวันปลงศพหรือถวายเพลิงท่าน พี่น้องชาวไทยเราซึ่งเป็นชาวพุทธควรจะรับความสลดสังเวชอย่างถึงใจในวันนี้ เพราะความตายนี้ประกาศมาตั้งกัปตั้งกัลป์แล้ว ไม่ค่อยมีใครตื่นเนื้อตื่นตัวกันเลย ตื่นตั้งแต่ความไปตามความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา ตื่นไม่มีเวลาวันหยุดวันหย่อน ตื่นตั้งกัปตั้งกัลป์มาแล้ว ยังจะตื่นต่อไปอีกไม่มีขอบเขตเหตุผลอันใดเลย นี่คือความตื่นโลกตื่นไปตามกิเลสตัณหา ความที่จะตื่นในอรรถในธรรม ปลงธรรมสังเวชว่า โลกทั้งโลกนี้คือโลกเกิดโลกตายไม่ค่อยได้คิดกันบ้าง อย่าพากันดีดกันดิ้นจนเกินเหตุเกินผล จนลืมเนื้อลืมตัวว่าป่าช้าไม่มีกับเราทุกคนๆ ทั้งๆ ที่ป่าช้ามีอยู่อย่างเต็มตัว อย่างนี้เรียกว่าเป็นความประมาทมากสำหรับชาวพุทธของเรา
วันนี้เป็นวันที่กระเทือนให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบทั่วถึงกัน ถ้าใครยังไม่มองเห็นให้มาดูหน้าเมรุนี้ นี้คือศพของท่านเจ้าคุณเทพโมลี ท่านตายแล้ว ท่านไปตามบุญตามกรรมของท่านที่บำเพ็ญบารมีมามากน้อย ท่านไม่มาแบ่งสันปันส่วนเอาบุญเอาบาปกับพวกเรา ท่านเป็นผู้บำเพ็ญตัวของท่านโดยดีมาตลอดเวลา บุญกุศลเป็นสมบัติอันล้นค่าที่จะค้ำชูจิตใจของท่านให้ไปสถานที่ดีคติที่เหมาะสม ท่านไม่ได้มาหวังเอาวกๆ เวียนๆ กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา จากพวกเราแหละ เรื่อง กุสลา ธมฺมา นั้นเป็นเครื่องเตือนจิตใจของพี่น้องชาวไทยเราทั่วหน้ากัน ได้พากันระลึกแล้วหรือยัง
กุสลา ธมฺมา คือหมายความว่า ธรรมที่ยังบุคคลให้มีความเฉลียวฉลาด อกุสลา ธมฺมา สิ่งที่ทำบุคคลให้โง่ ถ้าใครเจริญทาง อกุสลา ธมฺมา ก็โง่เข้าไปโดยลำดับ โง่ไม่มีหยุดสิ้นสุดยุติลงได้ โง่ตั้งกัปตั้งกัลป์ กอบโกยเอาความทุกข์ไปจากความโง่ตั้งกัปตั้งกัลป์ ตลอดไปเรื่อยๆ ถ้าผู้มี กุสลา ภายในใจ ระลึกถึงเรื่องความเป็นความตาย ระลึกถึงบาปถึงบุญในหัวใจของเรา พอที่จะได้เป็นข้อคิดต่างๆ บ้างตามสายธรรมพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนมาเป็นเวลานาน เราจะพอมีเครื่องยึดเครื่องเกาะในจิตใจของเรา
เวลานี้พวกเราทั้งหลายมีอะไรเป็นเครื่องเกาะเครื่องยึด พิจารณาดูซิ โลกนี้กว้างขนาดไหน โลกนี้มีกี่พันล้านมนุษย์ที่อยู่ร่วมกันนี้ ตลอดถึงสัตว์ ดินฟ้าอากาศ ต้นไม้ ภูเขา มีมากขนาดไหน เป็นสาระอะไรบ้างสำหรับหัวใจเราที่จะเกาะจะยึดพอเป็นฝั่งเป็นฝา ให้หลุดรอดพ้นจากภัยคือความทุกข์ทั้งหลายไปได้ มองแล้วมันไม่มี มันมีแต่ดินเป็นดิน น้ำเป็นน้ำ ลมเป็นลม ไฟเป็นไฟ ตลอดต้นไม้ภูเขาดินฟ้าอากาศ มันเป็นเรื่องของเขาโดยสมบูรณ์ เขาไม่มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรจากพวกสัตว์ทั้งหลายเรานี้เลย ส่วนที่มีส่วนได้ส่วนเสียจริงๆ ก็คือบาปคือบุญ การทำดีทำชั่ว นี้แลเป็นตัวสำคัญมาก ขอให้เอา กุสลา ความฉลาดจับเข้าไปในจุดนี้ ท่านทั้งหลายจะรู้เนื้อรู้ตัวว่าเราเกิดเป็นอะไร เกิดเป็นมนุษย์หรือเกิดเป็นอะไร
มนุษย์นั้นตั้งชื่อให้เป็นเทวดาก็ได้ อยู่ในเรือนจำก็ไม่อดไม่อยาก ตั้งชื่อเทวดาก็ตั้งได้ แต่บาปกรรมที่เจ้าของทำลงไปนั้นมีเป็นธรรมชาติ ที่เหนืออำนาจของทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีอันใดที่จะเหนืออำนาจกรรมไปได้เลย ท่านจึงแสดงไว้เป็นพระบาลีว่า นตฺถิ กมฺมสมํ พลํ ไม่มีอานุภาพใดที่จะเหนืออานุภาพแห่งกรรมดีกรรมชั่วของสัตว์ที่ทำไว้แล้วได้เลย ใครจะทำดีทำชั่วขนาดไหน กฎธรรมชาติคืออำนาจนี้จะต้องบีบบังคับอยู่ภายในนั้น แล้วพาไปดีจนได้ไม่สงสัย พาไปชั่วได้ไม่สงสัย ด้วยอำนาจแห่งกรรมดีกรรมชั่ว
เพราะฉะนั้นจงให้พากันระลึกถึง กุสลา ธมฺมา ที่ท่านจะสวดในวันนี้ ถ้าระลึกไม่ได้วันไหนขอให้ระลึกวันนี้ว่า กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา อพฺยากตา ธมฺมา ท่านสวดมาเสียมากมายขนาดไหน แม้แต่ผู้สวดเองอย่างหลวงตาบัวนี้ก็เคยสวด ไปกินข้าวต้มขนมเขามามากมาย ไม่ทราบว่า กุสลา ธมฺมา หมายความว่ายังไง ผู้มาถวายก็ทำเป็นพิธี พอทำเป็นพิธี กุสลา ธมฺมา มาติกา แล้ว เวลาพระท่านสวดมนต์ก็คุยโม้กันเต็มบ้านเต็มเมือง มันเป็นสภาโม้ในสถานที่ กุสลา ธมฺมา เราทั้งหลายรู้ไหมว่า ชาวพุทธมันกลายเป็นชาวผีไปแล้วเวลานี้
ศาสนาพระพุทธเจ้าเลิศเลอขนาดไหน ท่านทั้งหลายอยากทราบให้ปฏิบัติตัวลงไป สวากขาตธรรม พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชอบแล้ว ชอบอะไร บุญเป็นบุญ บาปเป็นบาป นรกเป็นนรก สวรรค์เป็นสวรรค์ พรหมโลก นิพพาน เป็นพรหมโลก นิพพาน เปรตผีประเภทต่างๆ เต็มทั่วไตรโลกธาตุเป็นมากี่กัปกี่กัลป์ พากันระลึกรู้หรือเปล่าว่า พระพุทธเจ้าสอนว่ายังไง เราจะเพียงว่าเกิดว่าตายเฉยๆ ไม่ได้คิดอะไร แล้ว กุสลา ธมฺมา ก็ทำเป็นพิธี ตายแล้วก็พอเป็นพิธี ไปถวายทาน กุสลา ธมฺมา คุยโม้กัน เป็นโอกาสอันดีสำหรับคนที่โง่เขลาเบาปัญญาและมืดบอดที่สุด จะไปสนทนากัน เป็นโอกาสอันดีงามในเวลาที่พระท่านมาสวด กุสลา ธมฺมา เป็นอย่างนี้เสียส่วนมาก เฉพาะอย่างยิ่งกรุงเทพเป็นที่หนึ่ง
ไม่ว่าสถานที่ใดหลวงตาเคยไปเทศน์ไปสวด กุสลา กินข้าวต้มขนมกับเขาเหมือนกัน แต่เราไม่อยากยินดีกินข้าวต้มแหละ ไปมีตั้งแต่เรื่องคุยโม้ ระบายทุกข์ต่อกันนะนั่น ใครมาจากที่ไหนก็ระบายทุกข์ต่อกัน คนนั้นได้ทุกข์ทางนั้น คนนี้ทุกข์ทางนี้ ตั้งแต่วันตื่นนอนขึ้นมาขวนขวายไขว่คว้าหาตั้งแต่ความสุขๆ ครั้นเวลาได้แล้วมีตั้งแต่ความผิดหวังๆ มาเต็มหัวอก เวลามีโอกาสมาคุยกัน ระบายตั้งแต่เรื่องความทุกข์ความร้อนแต่ละบุคคลๆ มาหากัน มีแต่แบบนั้นแหละ กุสลา ธมฺมา แปลว่าอะไร มันไม่ได้สนใจฟังนะ แล้วเราจะหวังเอาอะไรเป็นที่พึ่ง พิจารณาซิ
เราจะพึ่งยศก็ตั้งขึ้นเฉยๆ ประสายศ ตั้งขึ้นฟากจรวดดาวเทียมก็ตั้งได้ ไอ้ยศไอ้ชื่อ ชื่ออย่างนั้นชื่ออย่างนี้ตั้งเลยจรวดดาวเทียมก็ได้ แต่ตัวของเรามันหาบบาปหาบกรรมด้วยความโง่เขลาเบาปัญญา ด้วยการสร้างความชั่วนี้กอบโกยตลอดเวลา ความทุกข์อันนี้จะเผาหัวใจเรา ได้พากันคิดแล้วยัง นี่คือธรรมของพระพุทธเจ้าเตือนพี่น้องทั้งหลาย ประกาศก้องมาเฉพาะพระพุทธเจ้าของเรานี้ได้ ๒๕๐๐ กว่าปีนี้แล้ว โก นุ หาโส กิมานนฺโท นิจฺจํ ปชฺชลิเต สติ อนฺธกาเรน โอนทฺธา ปทีปํ น คเวสถ ก็เมื่อโลกสันนิวาสนี้เป็นฟืนเป็นไฟของความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา เผาไหม้สัตว์ตลอดมานี้ ยังหัวเราะรื่นเริงเป็นบ้ากันอยู่เหรอ เมื่อไรท่านทั้งหลายจะหาที่พึ่ง นั่นฟังซิ นี่ละภาษิตอันนี้เป็นพุทธพจน์ที่ทรงแสดงไว้แล้ว
เราทั้งหลายเป็นยังไง ยัง โก นุ หาโส กิมานนฺโท อยู่เหรอ รื่นเริงบันเทิงไปหาอะไร ตายแล้วจะไปที่ไหนได้รู้แล้วยัง คติความตายความเป็นอยู่ของเจ้าของ จะเกาะอะไร ถ้าเกาะเงิน-เงินก็พัง พอชีวิตจิตใจหายลงไปเท่านั้น เงินซึ่งสมมุติขึ้นเป็นกระดาษบ้าง เป็นแร่ธาตุต่างๆ บ้าง ตั้งชื่อตั้งนามขึ้นว่าเป็นเงินเป็นทอง เป็นข้าวเป็นของเป็นเพชรนิลจินดา มันก็เป็นแร่ธาตุธรรมดาๆ เรานั้น มันวิเศษวิโสอะไรเกลื่อนแผ่นดินอยู่นี้ เรามาเสกสรรปั้นยอพอได้อาศัยไปในการเกี่ยวข้องสังคมซึ่งกันและกัน ให้เป็นความสะดวกในการจับจ่ายซื้อขายเพียงเท่านั้น ไม่ได้หมายถึงว่าจะให้เป็นตัวเป็นตน ฝากเนื้อฝากตัวไปกับสมบัติเงินทองข้าวของเหล่านี้ แล้วไปสวรรค์นิพพานเลย มันเป็นไปไม่ได้นะ
สมบัติเหล่านี้พาให้ลงนรกก็ได้มากมาย คนที่มีเงินทองข้าวของมากๆ มันลืมเนื้อลืมตัว ทุกสิ่งทุกอย่าง เมียอยากได้ ๔๐-๕๐-พันคนมันก็หาได้ ผู้หญิงก็เหมือนกันตัวเก่ง ผู้ชายนี่เอาเท่าไรมาเป็นผัวมันเป็นได้ทั้งนั้น เพราะเรามีเงินมากมีสมบัติมาก มียศถาบรรดาศักดิ์สูง ยิ่งเขายกยอให้เป็นคุณหญิงคุณนายด้วยแล้วยิ่งเป็นบ้าสดๆ ร้อนๆ ก็ผู้หญิงด้วยกัน ตั้งไม่ตั้งมันก็เป็นผู้หญิง ผู้ชายก็เหมือนกันนั่นแหละ นี่หลักธรรมชาติพี่น้องทั้งหลายฟังเสียนะ ธรรมในหลักธรรมชาติท่านแสดงอย่างนี้ ท่านไม่แสดงแบบโลกที่ประจบประแจงเลียแข้งเลียขา
เห็นกันแล้ว ดีนะๆ ดีอะไร ไฟไหม้หัวใจมันอยู่ทั้งวันทั้งคืนยืนเดินนั่งนอน ตั้งแต่ตื่นนอนมาจนกระทั่งหลับมันหาความสุขที่ไหนมาติดหัวใจ มันไม่เคยมี ถ้าว่าเงินก็อยู่ในกระเป๋า อยู่ในบ้านในเรือน ฝากตามธนาคารต่างๆ มันก็อยู่ตามนั้นๆ เจ้าของก็แบกกองทุกข์ตลอดเวลา มีความหมายอะไรกับสมบัติเหล่านั้นถ้าเจ้าของไม่ฉลาด หาสมบัติเหล่านั้นมาเป็นประโยชน์ มีมากมีน้อยเฉลี่ยเผื่อแผ่เพื่อเพื่อนเพื่อฝูงเพื่อชาติบ้านเมือง ให้เป็นประโยชน์แก่คน อันนั้นเป็นสมบัติ สมบัติแปลว่าความถึงพร้อม ถึงพร้อมที่จะให้เจ้าของได้รับความสมบูรณ์พูนผล เป็นกุศลผลบุญขึ้นจากการบำเพ็ญของเรา ได้มาแล้วลืมเนื้อลืมตัว นั้นเงินเป็นเครื่องสังหารเป็นเพชฌฆาตฆ่าคนที่มั่งมีมากๆ ให้ขาดสะบั้น ลงนรกก็ลงได้คนพวกนี้
ยกตัวอย่างเช่นเศรษฐี นี่เหล่านี้ท่านผู้เรียนมาๆ ด้วยกันรู้ด้วยกันเถียงกันไม่ได้นะ เศรษฐีมีเงินมาก เรายกมาเพียง ๓ สกุล เศรษฐีมีเงินมากไปที่ไหนล่อไปหมด เอาเงินไปหว่านให้ผู้หญิงคนนั้นให้ผู้หญิงคนนี้ หว่านแล้วก็ล่อเข้ามาเป็นคนบำรุงบำเรอ พวกลูกพวกผัวครอบครัวเหย้าเรือนโคตรวงศ์ของเขาเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้กันทั้งโคตรทั้งแซ่ ไม่ได้คำนึงเลย ได้ผู้หญิงคนนั้นด้วยการหลอกลวงโดยการเงินการทองของเราเราเป็นที่พอใจ ทีนี้เวลาตายไปแล้วลงนรก ท่านแสดงไว้ว่า พื้นฐานแห่งผิวนรกนั้น จากนี้ลงไปถึงก้นนรก พวกสัตว์ ๓ ประเภทที่ตกนรกนี้หมุนตัวลงไปได้ ๖ หมื่นปี ภาษาบาลีก็มีแต่ไม่นำมาแสดง จะแสดงแต่เนื้อๆ ที่เป็นอรรถเป็นธรรมเข้าใจกันแล้วแก่พี่น้องทั้งหลายเท่านั้น
เวลาลงจากพื้นมนุษย์เราไปนี้ ลงไปจมตั้งแต่ผิวนรก ลงไปถึงพื้นนี้ เสวยทุกขเวทนาอย่างสาหัส ลงไปเป็นเวลา ๖ หมื่นปี ๖ หมื่นปีทิพย์กับ ๖ หมื่นปีเราธรรมดานี้ต่างกันอย่างไรบ้าง ฟังซิ แล้วก็ไปจมอยู่ในนรกนั้น ๖ หมื่นปีแล้วก็ฟื้นขึ้นมา ใน ๖ หมื่นปีนั้นชั่วฟ้าแลบก็ไม่มีที่ว่าจะได้รับความสุขบ้างนิดหน่อย จากนั้นก็ขึ้นมา ลอยขึ้นมาก็ไฟบาปไฟกรรมนั้นก็เผาขึ้นมาจนกระทั่งถึงผิวนรกอีกเป็น ๖ หมื่นปี รวมสามหกเป็น ๑๘ หมื่นปี นี่ที่สัตว์นรกที่เก่งๆ มีเงินมากสมบัติมาก เอาเงินเอาทองไปหลอกลวงผู้หญิงเอามาเป็นหญิงบำเรอมาเป็นเมียของตัวเอง แล้วทำความเดือดร้อนแก่สกุลของเขาหมดทั้งโคตรทั้งแซ่ ล่มจมไปด้วยความเดือดร้อนวุ่นวาย ตัวนี้ก็มาเป็นผลให้เป็นความล่มจมถึงกับต้องไปตกนรก
ไหลลงไปนรก ๖ หมื่นปีด้วยความแผดเผาแห่งกรรมอันสาหัสนั้น แล้วไปอยู่ในนรกอีก ๖ หมื่นปี แล้วฟื้นขึ้นมาก็ไหลขึ้นมาอีก ๖ หมื่นปี เดี๋ยวนี้ยังหมุนอยู่ ๑๘ หมื่นปีนี้ยังไม่ได้ขึ้นจากนรก ท่านทั้งหลายเก่งกล้าสามารถไปหาเอาผัวไปหาเอาเมีย ไปหามาบำเรอ จากนี้ไปถึงบ้านแล้วมันมีเท่าไรผู้หญิงเหล่านี้ เต็มบ้านเต็มเมืองอยู่นี้มีมากขนาดไหน ถ้ายังไม่พอใจไปหาเอาหมาตามไร่ตามนาตามสวนเขามาเป็นผัวเป็นเมียอีกก็ยังได้ เอ้า ตายแล้วให้มันไปคูณกันอีกสักเท่าไร ๑๘ หมื่นปีนี้พวกหาผัวมากหาเมียมาก เพราะมีเงินมากลืมเนื้อลืมตัว หลงเนื้อหลงตัว ลืมยศหลงยศ ลืมรายร่ำรายรวยเลยไม่คิดถึงเรื่องนรก เวลามันเผาแล้ว ๑๘ หมื่นปี แล้วเป็นยังไง
นี่เพียงมนุษย์เพียงเท่านี้ ท่านไม่ได้กล่าวไว้ในคัมภีร์นะว่า พวกเหล่านี้เขาไปหาเอาหมูเอาหมามาเป็นเมียเพิ่มเติมอีก ถึงขนาดนั้นเขาตกนรกถึง ๑๘ หมื่นปี ถ้าเราได้หมามาเป็นเมียเป็นผัวเราเข้าอีกแล้วจะกี่หมื่นปี คูณกันเข้าไปซิจะเป็นยังไง เรายังกล้าหาญอยู่หรือเวลานี้ ชาวพุทธของเราแท้ๆ มันเป็นยังไง มันหมดแล้วหรือเรื่องบาปเรื่องบุญในความรู้สึกของเรานั้น ถ้ายังไม่หมดให้ระลึกหนา พระพุทธเจ้าตรัสรู้มาในโลกอันนี้ นับตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งถึงวันตาย หนึ่งองค์ สององค์ สามองค์ นับไม่จบ ตรัสรู้มานานเท่าไรกี่กัปกี่กัลป์ มาเป็นองค์ศาสดาสอนโลก สอนแบบเดียวกันหมด
เห็นบาปว่าบาป เห็นบุญว่าบุญ เห็นนรกว่านรก สวรรค์เป็นสวรรค์ นิพพานเป็นนิพพาน พรหมโลกเป็นพรหมโลก เปรตผีประเภทต่างๆ เต็มท้องฟ้ามหาสมุทรในไตรโลกธาตุนี้ ทรงสอนตามความรู้ความเห็นอย่างแท้จริง ไม่มีพระพุทธเจ้าพระองค์ใดสอนแหวกแนวกันเลย สอนแบบเดียวกันนี้มานานเท่าไร เรายังไม่รู้สึกตัวของเราอยู่หรือ เรายังจะหลับหูหลับตาอยู่อย่างนี้ตลอดไปไม่คิดถึงเรื่องบุญเรื่องบาปอะไรบ้างเหรอ บุญบาปที่เราไม่คิดถึงนั้นแหละ ส่วนมากก็คือบาปมันจะเผาหัวใจเรา
เวลานี้เราเอาอะไรเป็นเครื่องรับรอง เงินไม่ใช่รับรองเราไม่ให้ไปตกนรกนะ ให้ไปสวรรค์ ถ้าเราไม่แปรสภาพสมบัติเงินทองข้าวของเหล่านั้นมาเป็นสิริมงคลแก่ตน โดยการบริจาคหรือโดยการเฉลี่ยเผื่อแผ่ ให้เป็นผลเป็นประโยชน์แก่สัตว์และบุคคลส่วนรวมทั่วๆ ไปแล้วก็เป็นผลเป็นประโยชน์ นี้จะพาเราไปสวรรค์ได้ไม่สงสัย จนกระทั่งถึงนิพพานก็ไปได้ด้วยอำนาจแห่งทาน
พระพุทธเจ้าพระองค์ใดทรงแสดงไว้เรื่องของทานทั้งนั้น เป็นอันดับหนึ่ง ไม่ได้แสดงว่าความตระหนี่ถี่เหนียว ความเห็นแก่ตัว ความคดความโกงความรีดความไถนี้ว่าเป็นสิริมงคลทำโลกให้ร่มเย็น นอกจากทำโลกให้ล่มจมโดยถ่ายเดียว เพราะความตระหนี่ถี่เหนียว ความเห็นแก่ตัว ความคดความโกงความรีดความไถ พอได้พอเอา ได้แง่ไหนเอาทั้งนั้น นี้พาจม สำหรับความดีที่เราสร้างได้จากสมบัติของเราที่มีมากน้อยนี้ พาไปสวรรค์ไปนิพพานพรหมโลกถึงหมด นี่คือความดี เราจะแปรสภาพสมบัติเงินทองของเราที่มีอยู่เวลานี้ ยังมีอำนาจเต็มที่ ไปในทางใด ให้พิจารณาเสียแต่บัดนี้
อย่าพากันกอบกันโกยกันรีดกันไถ การกว้านการกวาดเข้ามาหาว่าเป็นของตนๆ เวลาตายแล้วนี้ละคือฟืนคือไฟนรกมันจะเผาสัตว์โลกผู้เก่งๆ ตัวเหนืออำนาจของกรรมนี้ เวลาตายลงไปแล้วอำนาจของกรรมไม่มีใครเหนือได้ละสัตว์ โลกธาตุนี้ไม่มี เพราะกรรมเป็นธรรมชาติที่หนาแน่นมากเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง กรรมดีก็มีอำนาจมาก กรรมชั่วก็มีอำนาจมาก ถ้าเราทำให้เป็นกรรมชั่วก็จมได้คือเราไม่ใช่ใครละ ใครเก่งๆ เอ้า สร้างลงไป อย่าท้าทายพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ที่ตรัสรู้สอนโลกมาด้วยความถูกต้องดีงามนั้นว่าเป็นของไม่ถูกต้อง แล้วลบล้างให้หมด
บรรดาพระพุทธเจ้า ว่าบาปมี บุญมี นรกสวรรค์มี พรหมโลกนิพพานมี เปรตผีประเภทต่างๆ มี นั้นลบให้หมด ให้มีเหลือตั้งแต่อันธพาลเราคนเดียวที่เลิศเลอในโลกเรานี้ สร้างความชั่วให้เต็มเหนี่ยวของตัวเอง แล้วไปอยู่เหนืออำนาจของกรรม ไปขึ้นขี่บนหัวกรรมของพระพุทธเจ้าที่สอนไว้ทุกองค์ได้ไหม ถ้าเราไม่สามารถที่จะไปขึ้นขี่บนหัวของกรรมที่มีอำนาจได้แล้ว เราอย่าท้าทายพระพุทธเจ้า อย่าท้าทายพระธรรม อย่าท้าทายพระสงฆ์ ซึ่งเป็นธรรมชาติที่ให้ความร่มเย็นแก่โลก เป็นมหามงคลแก่โลกมานานแสนนานแล้ว เพียงความคิดความเห็นของเรา มีแต่ความพินาศฉิบหายแก่ตัวของเรา ทำความพินาศฉิบหายแก่ตัวของเราและผู้เกี่ยวข้องตลอดทั่วไป เรียกว่าตลอดทั่วถึง ใครทำความชั่ว กระจายไปได้หมดนั่นแหละความชั่ว เรื่องกรรมต้องเป็นอย่างนั้น
วันนี้ได้พูดถึงเรื่อง กุสลา ธมฺมา ให้พี่น้องทั้งหลายไประลึก อย่าพากันไปเป็นบ้าสวด ฟังเพลิน คุยระบายความทุกข์ตามสถานที่ต่างๆ ฟังแล้วฟังไม่ได้เลยนะ ชาวพุทธเรานี่มันกลายเป็นชาวผีไปนานสักเท่าไรแล้วเวลานี้ มันรู้ตัวหรือยังว่าพระพุทธเจ้ากระเทือนโลกมานานแสนนานตั้งกัปตั้งกัลป์ องค์ปัจจุบันนี้ก็ ๒๕๐๐ กว่าปี เป็นธรรมที่เลิศเลอสุดยอดแล้ว มันเห็นเป็นความแปลกประหลาดในหัวใจอะไรหรือไม่ หรือเห็นตั้งแต่ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา ที่จะเผาหัวใจนั้นว่าเป็นของดิบของดีเหรอ ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วช่วยไม่ได้นะ
พระพุทธเจ้าจะมากี่หมื่นกี่แสนกี่ล้านๆ องค์ก็ไม่มีทางที่จะแก้ไขได้ช่วยได้ ถ้าเราไม่ช่วยตัวเองเสียตั้งแต่บัดนี้ จากคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงสั่งสอนไว้ด้วยความถูกต้องแม่นยำ ถ้าเราปฏิบัติตนตั้งแต่บัดนี้ต่อไปแล้ว ชั่วก็ตามคนเรา เมื่อไม่รู้มันก็ชั่วทำชั่วได้ แล้วแก้ไขให้เป็นคนดีก็ได้ คนดีก็เพิ่มเติมส่งเสริมในความดีของตนให้มีหนักแน่นมั่นคงขึ้นไปก็ทำได้มนุษย์เรา เวลามีชีวิตอยู่นี้ แต่เวลาตายไปแล้วจะนิมนต์พระมาทั่วประเทศไทย กุสลา ธมฺมา ก็ไม่มีความหมายอะไรเลย ถ้าเจ้าของไม่รีบแก้ไขเจ้าของเสียตั้งแต่บัดนี้
กุสลา ธมฺมา ท่านสวดให้คนเป็นฟัง ให้รู้ได้สติสตังพินิจพิจารณา ไปประพฤติปฏิบัติแก้ไขตนเองต่างหาก ท่านไม่ได้สอนให้ กุสลา ธมฺมา เพื่อคนตายนะ ถ้าสอน กุสลา ธมฺมา เพื่อคนตายให้เป็นผลประโยชน์ตามความต้องการแล้ว ไม่จำเป็นอะไรแหละ บ้านหนึ่ง เมืองหนึ่ง หรือจังหวัดหนึ่งนี้ นิมนต์หลวงตามาสักองค์นึงมาไว้ประจำจังหวัดนั้นๆ เช่น กรุงเทพอย่างนี้เป็นเมืองใหญ่ เอามาไว้สัก ๕ องค์ หลวงตาอยู่ย่านนั้นองค์หนึ่ง อยู่ย่านนี้ ๕ องค์ เวลาคนตายก็นิมนต์หลวงตาเหล่านั้นมา องค์ใดก็ได้สำเร็จด้วยกันหมด มา กุสลา ธมฺมา ยกคนคนนี้ให้เขาไปสวรรค์นิพพานด้วยนา ไปกันหมดแล้วศาสนาก็ไม่มีความหมาย บุญกุศลก็ไม่มีความหมาย สร้างหาอะไร สู้หลวงตาองค์เดียวไม่ได้
แต่นี้มันไม่เป็นอย่างนั้นซี นิมนต์มากว้านมาทั่วประเทศไทยไม่เกิดประโยชน์ ถ้าเจ้าของหาสาระไม่ได้เสียอย่างเดียวเท่านั้น ไม่มีอะไรเป็นประโยชน์ เพราะฉะนั้นจงให้พากันสร้างคุณงามความดีเสียตั้งแต่บัดนี้ อย่าพากันนอนจมอยู่เฉยๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไรเวลานี้ หลวงตาพูดจริงๆ หลวงตาเปิดอกให้พี่น้องทั้งหลายฟังด้วยการปฏิบัติมา ตั้งแต่เริ่มแรกออกมาปฏิบัติ ทีแรกหัวใจนี้ก็เป็นธรรมดาเหมือนพี่น้องชาวไทยเราทั่วประเทศดินแดนนั่นแหละ เขาหนาขนาดไหนเราก็หนาขนาดนั้น มีความรู้สึกอะไรก็เหมือนโลก เชื่อบาป เชื่อบุญ เชื่อนรกสวรรค์ ก็เชื่อไปอย่างนั้นแหละ ลุ่มๆ ดอนๆ สุ่มสี่สุ่มห้า แต่เวลาเชื่อความอยากความทะเยอทะยานที่จะสร้างฟืนสร้างไฟให้ตัวเองนี้ไม่มีวันจืดจาง หนาแน่นเข้าทุกวันๆ ท่านเหมือนเรา เราเหมือนท่าน
เวลาเข้ามาศาสนา เข้ามาปฏิบัติศาสนา รู้เนื้อรู้ตัวด้วยอรรถด้วยธรรมที่ทรงสั่งสอนไว้แล้ว แล้วก็เข้าอกเข้าใจ หมุนตัวเข้าสู่ทางด้านปฏิบัติ ปฏิบัติกำจัดกิเลสออกทางด้านจิตตภาวนา เวลาเทศน์ใครอย่ามาคุยอย่ามาพูดนะ อย่ามาเป็นข้าศึกต่อกันนะ เวลาออกปฏิบัติภาวนาจิตใจไม่เคยมีความสงบร่มเย็นเลย ตั้งแต่เกิดมาความสุขประเภทที่เป็นความสงบจากจิตตภาวนาไม่เคยมี เพราะไม่เคยทำ ทีนี้เวลามาภาวนา ออกจากภาคปริยัติแล้วขึ้นภาคปฏิบัติ ฟัดกันกับกิเลสบนเวทีคือภูเขา อันนั้นเป็นส่วนนอก ภายในคือระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกันบนหัวใจนี้ตลอด เป็นเวลา ๙ ปีเต็ม แทบจะสลบไสลตลอดมา เพราะมุ่งต่อมรรคผลนิพพานอย่างยิ่ง สุดท้ายก็พ้นมือไปไม่ได้
ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติตั้งแต่จิตยังไม่เคยสงบ มันก็สงบให้เห็น สงบจนกระทั่งเกิดความแปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นภายในจิตใจ เกิดความเชื่อความเลื่อมใสแน่นหนามั่นคงในการที่จะประกอบภาวนาต่อไป จนกระทั่งมุ่งใจว่าออกคราวนี้แล้วเราจะเอาตัวของเราให้ถึงพระอรหันต์ในชาตินี้ แล้วจะให้ถึงนิพพานในชาตินี้ ขอแต่ว่าให้มีครูบาอาจารย์องค์ใดองค์หนึ่งมาชี้แจงบอกเราให้เป็นความแน่ใจเถิดว่า มรรคผลนิพพานยังมีอยู่โดยสมบูรณ์ ก็พอดีเข้าไปเจอกับหลวงปู่มั่น พอไปเจอหลวงปู่มั่น เหมือนกับว่าท่านเอาเรดาร์จับไว้เลย กับคนนิสัยอย่างเรานิสัยผาดโผนโจนทะยาน มุ่งหน้าต่อมรรคผลนิพพาน
พอไปถึงปั๊บ หือ ท่านมาอะไร ท่านมาหามรรคผลนิพพานเหรอ ดินฟ้าอากาศฟ้าแดดดินลมไม่ใช่มรรคผลนิพพาน ท้องฟ้ามหาสมุทรไม่ใช่มรรคผลนิพพาน ตลอดทั่วแดนโลกธาตุไม่ใช่มรรคผลนิพพาน ไม่ใช่กิเลส กิเลสที่แท้จริง มรรคผลนิพพานที่แท้จริงอยู่ที่หัวใจ ให้กำจัดกิเลสที่มืดบอดบังคับอยู่ในหัวใจ ไม่ให้มองเห็นบุญเห็นบาปนี้ออก ให้กระจ่างภายในจิตใจแล้ว มรรคผลนิพพานจะเกิดขึ้นในสถานที่นั่นนั้นเอง นี่เราสรุปความเลย เพราะท่านชี้แจงอย่างเด็ดขาด ชี้ออกมาว่า นี่น่าๆ มรรคผลนิพพาน อยู่ที่หัวใจดวงนี้
หัวใจดวงนี้เหมือนกันกับน้ำที่เต็มบึงนั้นแล แต่อาศัยจอกแหนมันปกคลุมหุ้มห่อให้หาน้ำไม่เห็น น้ำจึงประหนึ่งว่าไม่มีในสระนั้น ทั้งๆ ที่น้ำเต็มอยู่ในสระ ทีนี้เวลาเปิดจอกเปิดแหนคือการภาวนา ชำระจอกแหนคือกิเลสทั้งหลายออก ให้จางออกไปๆ ก็เริ่มมองเห็นน้ำ มองเห็นความสงบนั้นแหละคือมองเห็นน้ำ เริ่มเห็นความสงบ เห็นความเย็นใจ เริ่มขึ้นๆ ปรากฏขึ้น กระจ่างแจ้งขึ้นภายในใจ เรียกว่าจอกแหนค่อยบางไปๆ ได้แก่กิเลส พอจางลงไปจากหัวใจแล้ว ทีนี้ธรรมเหมือนกับน้ำที่อยู่ในบึงได้แก่หัวใจของเรา ก็เริ่มประกาศขึ้นมา แจ้งขึ้นมาๆ ทีนี้จิตก็ฟัดใหญ่เลย
พูดถึงเรื่องสมาธิเราพูดอย่างอาจหาญ เราไม่มีความสะทกสะท้านในสามแดนโลกธาตุนี้ว่าจะไม่เป็นจริงอย่างนั้น มันครองอยู่แล้วในหัวใจ อย่างเต็มหัวใจตลอดมาเป็นเวลา ๕๑ ปีนี้แล้ว จึงได้ประกาศให้พี่น้องทั้งหลายทราบว่า ธรรมจริงหรือไม่จริง ทีนี้เวลามันกระจ่างขึ้นมาเรื่อยๆ พูดถึงเรื่องสมาธิ เอา นั่งฟาดทั้งวันก็ได้ ไม่ได้สนใจกับอะไรเลย มีแต่ความแน่วสงบเย็น ไม่มีอะไรที่เข้ามากวนได้เลย เพียงเท่านี้ก็พอกินแล้ว พออยู่พอกินพอเป็นพอไป การกินอยู่หลับนอนการใช้การสอยไม่เป็นกังวลทั้งนั้น อยู่ไหนอยู่ได้ ขอให้ใจมีความสงบร่มเย็น พอใจ นี่คือธรรมเป็นเครื่องอยู่ของใจ
ไม่ได้สนใจกับว่าต้องมีเงินเท่านั้น มียศเท่านี้ มีลาภเท่านั้น มีบ้านมีเรือนกี่ห้องกี่หับกี่ตึกกี่ห้องไม่ต้องไปพูด นั้นเป็นเรื่องภายนอก หัวใจกับธรรมที่เป็นความสงบเย็นใจอยู่ด้วยกันพอแล้วทั้งวันทั้งคืน การอยู่ไม่ลำบาก การนอนไม่ลำบาก อยู่ไหนอยู่ได้ นอนไหนนอนได้ ล้มลงที่ไหนหลับ ตื่นขึ้นมาก็ครองธรรมๆ มีแต่ความสง่างามภายในจิตใจ ลืมวันลืมคืนลืมปีลืมเดือนไปหมด มีแต่ความสว่างกระจ่างแจ้งภายในใจ ท่านทั้งหลายฟังหรือยังอย่างนี้ นี่ละถอดออกมาจากหัวใจมาสอนพี่น้องทั้งหลายฟัง เราไม่ได้สอนเล่นๆ นะ เพราะฉะนั้นอะไรมายุ่งจึงไม่ได้นะ ธรรมเป็นของจริงอย่างนั้น
ทีนี้เวลากระจ่างขึ้นมา จากนั้นก็ก้าวออกทางด้านปัญญา สมาธิก็ว่าเต็มภูมิแล้ว ไม่สงสัยเรื่องสมาธิ ใครจะมาหลอกไม่ได้ง่ายๆ เรื่องสมาธิ เพราะมันเป็นมาเสียตั้ง ๕ ปีเต็ม อยู่ไหนอยู่ได้สบายๆ มีแต่ความสง่างามด้วยภูมิของสมาธิ แต่ยังไม่เลิศเพราะเป็นภูมิของสมาธิก็เต็มภูมิของตัวเอง ถ้าเป็นน้ำก็เรียกว่าแก้วเล็ก มันก็เต็มแก้วของมัน พอจากนั้นก็ก้าวออกทางด้านปัญญา ปัญญาพิจารณาถึงเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ กิเลสตัณหา มันติดมันพันกับอะไรกิเลส มันจึงมาทำความทุกข์ให้แก่เรา พิจารณาก็ไม่พ้นจาก เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี้ไปได้แหละ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี้คือภูเขาภูเรา
ภูเขาได้แก่ต้นไม้ภูเขา อันนั้นไม่ติด อันนั้นไม่แบก อันนั้นไม่หาม อันนั้นไม่เป็นทุกข์ แต่ภูเรา คือแบกผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อหนัง เอ็น กระดูก ผสมกันเข้าแล้วเรียกว่าคน เรียกว่าสัตว์ เรียกว่าหญิงว่าชาย อันนี้คือภูเรา ติดมาก แก้ไขได้ยากมาก พระพุทธเจ้าจึงเอาอาวุธนิวเคลียร์นิวตรอนใส่เข้ามาว่า เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี่สอนพระ ให้นำอันนี้ไปคลี่คลายพิจารณา นี้แลคือภูเรา ติดตรงนี้ สร้างกองทุกข์ขึ้นที่ตรงนี้ พิจารณาตรงนี้กระจ่างออกไปด้วยปัญญา กระจ่างด้วยปัญญา แยกธาตุแยกขันธ์เห็นชัดตามเป็นจริงไปโดยลำดับ ผมเป็นผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เป็นส่วนชิ้นของมันๆ หาเป็นสัตว์เป็นบุคคลเป็นตนเป็นตัวเป็นของเขาของเรา สวยงามที่ไหนไม่ได้เลย
เมื่อจิตกระจ่างแจ้งขึ้นด้วยปัญญาแล้วไม่ต้องบอก อุปาทานถอนเรื่อยๆ จนครบรอบในอวัยวะซึ่งเป็นด้านวัตถุ คือพวกเกสา โลมา เป็นต้นนี้ กระจายออกไปหมด อุปาทานถอนพรวด จากนั้นก็เหลือแต่นามธรรม มีแต่ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ พิจารณา กิเลสถอดออกไปหมดเรื่องอุปาทาน กามกิเลสขาดสะบั้นออกไปในขณะที่จิตใจได้ถอนจากอุปาทานคือรูปกายนี้ไป จากนั้นก็ขัดเกลากันไปโดยลำดับเรื่อยๆ ตั้งแต่ขั้นแรกของพระอนาคามี
พระอนาคามีท่านบรรลุขั้นแรกเป็นยังไง นี่ที่ได้ระดับกันสำหรับผู้บำเพ็ญธรรมในขั้นธรรมะธรรมดาๆ ยกเว้นท่านที่เป็นขิปปาภิญญาเสีย ถ้าขิปปาภิญญานั้นพุ่งทีเดียวถึงเลย อย่างเราเขียนหนังสืออย่างนี้ละ คนฝึกหัดเขียนหนังสือ เช่นเขียนว่าท่าน ต้องระลึกถึง ทอทะหาน สระอา แล้วก็นอหนู แล้วก็ไม้เอก อ่านเรียกว่า ท่าน นี่คือผู้เริ่มอ่านเริ่มฝึกหัดเขียน เริ่มฝึกหัดฟัง ทีนี้เวลาเขียนไปนานๆ แล้วประกอบกับผู้ที่เป็นขิปปาภิญญา พอบรรลุปึ๋งนี้ขาดสะบั้น ว่าท่านมาพร้อมกันหมด ทั้งตัว ทอสระอา นอหนู ไม้เอก มาพร้อมกันเลย นี่ผู้สำเร็จเป็นพระอนาคามีขั้นขิปปาภิญญา ท่านพุ่งทะลุถึงกันเป็นท่าน มาทันที สมบูรณ์หมด
แต่ผู้ที่ยังไม่เป็นอย่างนั้น ก็ฝึกซ้อมกันไป พอได้ขั้น ทอ สระอา นอหนู สะกดไม้เอก แล้วก็อ่านเป็นท่าน ตายแล้วก็ไปอยู่ชั้นอวิหา เลื่อนขึ้นไปชำนาญขึ้นไป ก็ไปอยู่ชั้นอตัปปา ชั้นสุทัสสา สุทัสสี อกนิฏฐา นี่เรียกว่าท่านฝึกซ้อมขั้นอนาคาของท่านให้เต็มภูมิ เวลานี้ยังไม่เต็มภูมิ เบื้องต้นสอบได้ ถ้าตายก็ไปเกิดในขั้นอวิหา ถัดจากนั้นจิตละเอียดเข้าไปก็ไปเกิดในขั้นอตัปปา สุทัสสา สุทัสสี จนกระทั่งถึงอกนิฏฐาแล้วก้าวเข้าสู่นิพพาน นี่เรียกว่าระดับของกามกิเลสที่สิ้นซากไปโดยลำดับลำดา จนกระทั่งสิ้นสุด ถึงอกนิฏฐาเต็มภูมิแล้วก้าวเข้าสู่นิพพาน
เหล่านี้อยู่ที่ไหน เห็นแต่ในตำรับตำรา เขียนไว้ท่านก็เขียน แต่คนไม่ปฏิบัติจะไปรู้ได้ยังไง มันจะเป็นแบบแปลนแผนผังอยู่อย่างนั้น เหมือนกับเราสร้างแปลนบ้านของเรานี้ เอากี่แปลน ใส่ไว้ในห้องเต็มอยู่นั้น มีแต่แปลนเต็มห้อง มันไม่สำเร็จเป็นรูปเป็นนามเป็นบ้านเป็นเรือนตึกรามบ้านช่องขึ้นมาได้ ต้องไปดึงเอาแปลนนั้นออกมา เราต้องการแปลนไหน เราจะสร้างบ้านสร้างเรือนสูงต่ำกว้างแคบขนาดไหน เอาแปลนออกมากางแล้วสร้างตามแปลน ก็สำเร็จเป็นบ้านเป็นเรือนตามแปลนนั้นขึ้นมาโดยลำดับลำดา จนกระทั่งเป็นบ้านเรือนอันสมบูรณ์นี้ฉันใดก็เหมือนกัน พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้แล้ว สวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว ชอบอะไร คือแปลนของศาสนา รวมแล้วก็เรียกว่า แปลนบาป แปลนบุญ แปลนนรก แปลนสวรรค์ แปลนนิพพาน แปลนเปรต แปลนผี ทั่วแดนโลกธาตุ รวมอยู่ในแปลนแห่งสวากขาตธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้วนี้ทั้งนั้น ถ้าเรานำมาปฏิบัติธรรมเหล่านี้จะไปไหน
ก็เหมือนอย่างแปลนอยู่ในห้องของเรา ดึงออกมาซิ เราต้องการแบบไหน ฉบับไหน บ้านขนาดไหน เอา ดึงออกมาสร้าง เมื่อผู้สร้างแปลนรับรองความสมบูรณ์แบบในแปลนนั้นแล้ว มาสร้างก็เป็นไปตามแปลน อันนี้แปลนของพระพุทธเจ้าเป็นแปลนสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้วไม่มีอะไรสงสัย พระพุทธเจ้านิพพานไปนานเท่าไรมีปัญหาอะไร มันมีปัญหาอยู่กับแปลนที่เราเรียนมาแล้ว เราจะปฏิบัติตามหรือไม่ปฏิบัติตามเท่านั้น ถ้าไม่ปฏิบัติตามก็เป็นหนอนแทะกระดาษอยู่นั้น เรียนไปไม่สนใจปฏิบัติ มันจะเป็นมรรคเป็นผลขึ้นมายังไง คำว่าสมาธิก็มีแต่ชื่อความจำเฉยๆ ความจริงไม่มีในใจเป็นประโยชน์อะไร
คำว่าสมาธิ เรียนสมาธิมาแล้วออกปฏิบัติตามสมาธิ ทางแห่งการดำเนินเพื่อจิตเป็นสมาธิ ท่านก็บอกไว้แล้วว่า เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี่คือทางเดิน แปลน พิจารณาตามนี้แล้วก็เหมือนกับสร้างบ้านสร้างเรือน ค่อยรู้แจ้งเห็นจริงขึ้นมาเรื่อย เห็นผม เห็นขน เห็นเล็บ เห็นฟัน เห็นเนื้อ หนัง เอ็น กระดูก ตับ ไต ไส้พุง แยกออกจากสัตว์จากบุคคล ไม่มีใครเป็นเขาเป็นเรา เป็นหญิงเป็นชาย ฟาดลงไปแล้วก็เป็นธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ นี่แจงแปลนออกไป สร้างไปๆ มันจะเป็นบ้านแห่งความสงบขึ้นมา จิตก็เป็นสมถจิต เป็นสมาธิจิตขึ้นมา เป็นขั้นๆ
จากนั้นก็พิจารณาทางด้านปัญญา เพิ่มขึ้นสูงขึ้น แยกธาตุแยกขันธ์กระจัดกระจายออกไปจนกระทั่งรู้แจ้งแทงทะลุธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ขาดกระจายออกไปด้วยอำนาจแห่ง เรียกว่า อนาคามีผล อนาคามีมรรค อยู่ในนี้เสร็จเลย นี่อำนาจแห่งธรรมขาดกระจายออกไป จากนั้นก็ก้าวเดินขึ้นไปเรื่อยๆ เป็นนามธรรม รูปคือพิจารณาร่างกายนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว เวทนา คือกายเวทนา ความสุข ความทุกข์ ความเฉยๆ ในกายก็มีในใจก็มี แต่เมื่อเวลาพิจารณายังไม่ถึงถี่ถ้วนแล้วก็มันมีทั้งกายทั้งใจนั้นแหละ เรื่องเวทนาทั้งสามนี้ เวลาพิจารณาเข้าไปก็แจงอันนี้เข้าไป พิจารณาให้เห็นเป็นเงาๆ เข้าไป สิ่งเหล่านี้เป็นเงาทั้งนั้นๆ ติดตามด้วยปัญญาๆ ปัญญาโดยลำดับ
ปัญญาที่คมกล้าที่เป็นไปโดยอัตโนมัติของตัวเอง เป็นปัญญาที่ขั้นจากกามกิเลสไปแล้ว พิจารณาเรื่องกามกิเลสเป็นปัญญาชุลมุนวุ่นวายมากเหมือนฟ้าดินถล่ม เพราะปัญญาขั้นกามกิเลสนี้เป็นขั้นที่หนักหนามากทีเดียว ภูเขาทั้งลูกสู้ไม่ได้ ปัญญาจะมาใช้กับเรื่องกามกิเลส จะมาทำเหยาะๆ แหยะๆ ไม่ได้ ต้องเป็นฟ้าดินถล่มแบบเดียวกัน จนกระทั่งถึงกามกิเลสพังลงไปแล้ว ปัญญาขั้นนี้ก็หมดความหมายไป เหลือแต่ปัญญาขั้นกลางๆ ที่เป็นน้ำซับน้ำซึม ไหลรินอยู่ทั้งแล้งทั้งฝน พิจารณาสภาวธรรมทั้งหลายเป็นอัตโนมัติโดยตัวเอง โดยไม่ต้องมีอะไรเป็นเครื่องบังคับบัญชาให้เป็นไป นี่เรียกว่าธรรมก้าวเดินแล้ว
ธรรมถึงขั้นนี้เป็นธรรมที่ก้าวเดินแล้ว ยังไงก็ไม่อยู่ เพราะฉะนั้นพระอนาคามีเวลาท่านตายแล้วท่านจึงไม่กลับมาเกิดอีก อะไรจะพาให้ท่านกลับมาเกิด เครื่องดึงดูดก็ไม่มีอะไรเกินกามกิเลส กามกิเลสดึงดูดได้มากเท่าไรได้ไม่พอ หนักหน่วงที่สุดคือกามกิเลส เวลาฟาดมันขาดสะบั้นลงไปแล้วเหมือนบ้านร้าง จิตใจนั้นมีแต่คุณธรรม พินิจพิจารณาแปลกๆ ต่างๆ มีแต่เรื่องอรรถเรื่องธรรม เพื่อจะถอดถอนตนไปโดยลำดับเท่านั้น พิจารณาที่จะเป็นการกดถ่วงตัวเองเหมือนกามกิเลสแต่ก่อนไม่มี ทีนี้จิตก็ดีดขึ้นๆ ละซิ
พอพิจารณาถึงพวกเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งเป็นเงาๆ เทียมอยู่กับจิต พิจารณาตามเข้าไป ตามเงาเข้าไป เข้าไปถึงตัวจิต เมื่อเข้าถึงตัวจิต จิตนั้นแลเป็นมหากษัตริย์อยู่ในพระราชวังไม่ทำงานอะไร ตัวทำงานจริงๆ ที่ผาดโผนโจนทะยานมากได้แก่กามกิเลส ตัวนี้ตัวสำคัญมาก ทำฟ้าดินถล่มได้ ทำคนเราให้ฉิบหายวายปวงไปได้ พินาศฉิบหายไม่มีชิ้นเหลือ ก็ด้วยอำนาจแห่งกามกิเลสตัวนี้แล ทำโลกให้พินาศฉิบหายได้ เมื่อตัวนี้ขาดสะบั้นลงไปแล้ว ไม่มีอะไรที่จะเป็นภัยต่อโลก หนักมากยิ่งกว่ากิเลสตัวนี้ ทีนี้มีแต่ก้าวเข้าไปสู่ความดิบความดี ละเอียดถี่ถ้วนเข้าไปโดยลำดับ จิตก้าวเข้าไปเป็นอัตโนมัติๆ นี่เรียกว่าธรรมมีในใจ
แต่ก่อนกิเลสมีในใจ คิดแง่ใดมุมใดเป็นกิเลสนำหน้าๆ ทั้งหมดเลย วัฏจักรที่ออกจากวัฏจิต จิตคิดเรื่องอะไรเป็นเรื่องกิเลส เรื่องความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหาไปหมด เวลาชำระสะสางมันไปได้เต็มสติกำลังแล้ว อันนี้ขาดลงไปๆ สติปัญญาที่เป็นธรรมอัตโนมัติก็เกิดขึ้นแทนที่ ทีนี้ก็เป็นอันเดียวกัน อันเดียวกันฉันใด คือกิเลสนี้แต่ก่อนเป็นวัฏจักร สร้างเนื้อสร้างตัวของมันในหัวใจของสัตวโลก ให้เกิดแก่เจ็บตาย หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงอย่างนี้ตลอดตั้งกัปตั้งกัลป์มาไม่มีสิ้นสุดยุติลงได้เลย
พอตัวนี้ขาดสะบั้นลงไปแล้ว กามกิเลสนี้ตัวสำคัญ ตัวสร้างภพสร้างชาติมากที่สุดคือตัวกามกิเลส พอตัวนี้ได้ขาดสะบั้นลงไปแล้ว ทีนี้ก็เป็นสติปัญญาอัตโนมัติ คือเป็นไปเองๆ ชำระกิเลสนี้ไม่ต้องมีวันมีคืนมีปีมีเดือน ไม่มีอิริยาบถ อยู่ที่ไหนเป็นเรื่องการชำระสะสางกิเลสโดยอัตโนมัติของสติปัญญาสร้างเนื้อสร้างตัวในขั้นนี้ตลอดไป จนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้น ทีนี้เมื่อสร้างไปโดยอัตโนมัติ จากสติปัญญาอัตโนมัตินี้แล้วก็กลายเป็นมหาสติมหาปัญญาเชื่อมโยงถึงกันไปเลย ขั้นสติปัญญาอัตโนมัตินี้ ถ้าหากว่าเราฟันไม้ก็ฟันเป็นบทเป็นบาท ป๊อกๆ แป๊กๆ แต่ทำไม่ถอย แต่ขั้นมหาสติมหาปัญญาแล้วเป็นสติปัญญาที่ซึมซาบไปตลอดเลย นี่เรียกมหาสติมหาปัญญา ทั้งสองประเภทนี้ได้กลมกลืนกันแล้วกิเลสไม่มีทางอยู่เลย
กิเลสคือเป็นความจริงสภาพหนึ่ง มันจะมีมากน้อย เวลาหยาบ ไฟคือตปธรรมได้แก่สติปัญญาเผาลงไปอย่างรุนแรง เช่นเผากามกิเลสนี้เผาแบบฟ้าดินถล่ม พออันนี้พังลงไปแล้วก็เผาแบบกลาง กิเลสแบบกลาง แล้วไฟก็ไฟแบบกลาง คือสติปัญญาธรรมนั้นแหละเป็นไฟเผาไปเรื่อยๆ กิเลสละเอียดขนาดไหน ไฟก็ไหม้ตามกันไปตามความละเอียดของเชื้อไฟคือความจริงทั้งหลายมีกิเลสเป็นสำคัญ จนกระทั่งกิเลสมุดมอดไม่มีอะไรเหลือแล้วไฟก็ดับเอง ไม่มีอะไรเหลือแล้วจะเผาอะไรไฟ ไฟก็เผาเชื้อ เมื่อหมดเชื้อแล้วมันก็ดับเอง
อันนี้กิเลสเป็นเชื้อของไฟคือธรรม เมื่อกิเลสสิ้นซากลงไปแล้ว ไม่มีอะไรเหลือแล้ว ไฟคือธรรมที่จะเผาไหม้ก็ไม่มี นั้นแหละท่านว่าบรรลุบรมสุข ท่านทั้งหลายจะหาบรมสุขครั้งไหน เวลานี้ไปหาที่ไหน หรือหาตามโรงลิเกละครระบำรำโป๊ หามามีเมียมากผัวมาก นั่นเหรอเป็นของวิเศษวิโส พิจารณาให้ดีนะเรื่องเหล่านี้ ธรรมะสอนอย่างนั้นจริงๆ พี่น้องทั้งหลายพิจารณา อย่าลืมเนื้อลืมตัว
เกิดมาตายทิ้งเปล่าๆ ตายจากนี้แล้วมันจะไปเกิดอีก ตัวเชื้อของมันคืออวิชชา นั่นละวัฏจิตวัฏจักรคืออวิชชา แล้วก็สร้างตัวขึ้นมาด้วยกิเลสตัณหา พาเกิดพาตาย ล่มจมอยู่ในนรกมีน้อยเมื่อไร ท่านแสดงไว้ว่ามีกี่หลุม หลุมหนึ่งบริษัทบริวารของในนรกนั้น นรกแต่ละหลุมมีบริวารกี่หลุมๆ ท่านแสดงไว้แล้วในมหาวิบากเต็มไปหมด เห็นด้วยกันทุกคนเรียนมาแล้ว เป็นแต่ความจริงล้วนๆ ไม่มาหลอกลวงสัตว์โลก แต่กิเลสมันหลอกลวงตลอดเวลาว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีๆ สิ่งที่มีคืออะไร มีแต่ความอยากความทะเยอทะยาน ความลบล้างความจริง มันลบล้างของมันไปตลอดเวลา นี่ละสัตว์โลกจึงไม่มีความอิ่มพอในความหลงความงมงายและความทุกข์ความทรมาน ไปที่ไหนมีแต่ความทุกข์เดือดร้อนเต็มบ้านเต็มเมือง เราไปหาที่ไหนเมืองไหนว่ามีความสุขความเจริญ ไปหาซิน่ะ เอาเหล่านี้ไปหามาแข่งธรรมสักหน่อย
ถ้าธรรมพระพุทธเจ้าเป็นของปลอมจริงๆ แล้วจะไม่ยอมรับพระพุทธเจ้าจะไม่ให้มีในโลกนี้ต่อไป จะให้มีกิเลสครองบ้านครองเมือง พาให้โลกได้รับความสุขความเจริญ แต่กิเลสไปที่ไหนมันเป็นไฟทั้งนั้นมันเจริญที่ไหน พิจารณาซิ ธรรมไปที่ไหนมีแต่ความเจริญรุ่งเรืองผาสุกร่มเย็น แม้ที่สุดผัวเมียอยู่ด้วยกัน จะทุกข์จนหนโลกขนาดไหนก็ตาม เมื่อมีความซื่อสัตย์สุจริตจงรักภักดีฝากเป็นฝากตายต่อกัน ด้วยความเป็นผู้มีผัวเดียวเมียเดียวเท่านั้น ผู้นี้มีความสุขมากกว่ามหาเศรษฐีที่มีเมียเป็นร้อยคนเป็นไหนๆ นี่ละกิเลสมีเมียมากเท่าไรจะหาความสุข มันมีแต่ฟืนแต่ไฟมาเผาไหม้สกุลแหลกเหลวไปหมด ถ้าธรรมมีผัวเดียวเมียเดียว อัปปิจฉตา นั่นฟังซิ ให้มีความมักน้อย ผัวเดียวเมียเดียวพอแล้ว เท่านี้เป็นความสุข ถึงจะทุกข์บ้างก็ทุกข์ธรรมดา ไม่กระทบกระเทือนถึงเรื่องจิตใจระหว่างสามีภรรยาไม่ลงรอยกัน ระแคะระคายกัน อันนั้นเป็นความทุกข์มาก
นี่ละเรื่องของกิเลสมันสร้างตั้งแต่ความทุกข์ขึ้นมา ถ้าธรรมแล้วมีผัวเดียวเมียเดียวพอ ไม่ต้องไปหายุ่งมาจากที่ไหนอีกมาเผากัน ใครๆ มันก็มีเท่ากันไปหาอุตริมาทำไม ของไม่จริงมันหาอวดว่าเป็นของจริง ของจริงมันลบล้างว่าเป็นของปลอมไปหมด ผัวเดียวเมียเดียวนี้มันบกพร่องที่ตรงไหน มันสมบูรณ์แบบแล้ว ผู้ชายคนหนึ่งมันมีอันเดียวเห็นไหม ผู้ชายคนหนึ่งมันมี ๑๐ ควย ๒๐ ควยมีไหม แล้วผู้หญิงคนหนึ่งมันมี ๓๐ หี ๔๐ หีมีไหม มันก็มีหีเดียวควยเดียวเหมือนกับผัวเมียเดียวนั่นแหละไม่ผิดแปลกอะไร เอามาแข่งกันหาอะไร นี่คือธรรมพระพุทธเจ้าตีหน้าผากมันตรงนั้นซิ มันจะไปยุ่งได้ยังไง ของเขากับของเรามันก็เท่ากันๆ ดีดดิ้นไปหาอะไร เพียงเท่านี้อยู่เป็นสุขแล้ว ไม่ต้องดีดต้องดิ้น นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าให้เกิดความสุข
ถ้าเป็นเรื่องของกิเลสแล้วไม่พอ คนนี้ไม่พอ ถึงได้เมียเดียวก็ตาม มันมีมา ๑๐ คนมันจะมีมา ๑๐ หีจะว่าอย่างนั้นนะ ผู้ชายมีคนเดียวควยเดียวก็ตาม เมื่อมี ๑๐ ชายขึ้นมามันจะมี ๑๐ ควย มันจะเอา ๑๐ ควยมาอวด นี่กิเลสมันแข่งธรรมมันแข่งอย่างนั้น ขอให้พี่น้องทั้งหลายจำทุกคน นี่ละของจริงกับของปลอม มันโต้ตอบกันอยู่เวลานี้ โลกของเราจึงได้รับความทุกข์ร้อน เราไปหาซิเอามาแข่งธรรมพระพุทธเจ้าว่า โลกไหนที่มีความสุขเกินกว่าธรรมของพระพุทธเจ้าที่สอนไว้แล้วนี้ที่ไหน ไปโลกไหนมีแต่โลกกิเลสตัณหา มีแต่โลกฟืนโลกไฟเผาไหม้ไปหมด
ไม่ว่าคนมีคนจนคนโง่คนฉลาด กิเลสซึ่งเป็นตัวฟืนตัวไฟเผาไหม้อยู่ภายในจิตในใจ มันหาความสุขไม่ได้นะ อยู่ที่ไหนก็สุมกันอยู่ภายในหัวอกๆ ครั้นเวลามาหากันก็ประดับประดาตกแต่งร้านค้า คือสังขารร่างกายตบแต่งให้สวยงามสุภาพชน แต่งเนื้อแต่งตัวหรูหราฟู่ฟ่า ตามบ้านตามเมืองประดับประดาตกแต่ง มันตกแต่งตั้งแต่ภายนอก ส่วนภายในคือหัวใจนั้นมีแต่ไฟ ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา ไฟดีดไฟดิ้นเผาอยู่ในหัวใจตลอดทุกคนๆ ไม่มีใครเว้น เว้นแต่ผู้มีธรรมมากน้อย ถ้ามีธรรมมากน้อยจะเป็นคนจนก็ตามคนมีก็ตาม มีความสุขได้คนเรา ถ้าไม่มีธรรมแล้วไปไหนอย่าเอามาอวดพระพุทธเจ้า โลกนี้คือโลกล่มจมด้วยความทุกข์ทั้งนั้นแหละ ถ้าไม่มีธรรมแล้วใครอย่าอวดว่าตัวเป็นคนเก่งคนดิบคนดี ไม่มีดี มีตั้งแต่การเสกสรรปั้นยอกันอย่างนั้นแหละ
นี่พูดถึงเรื่องอรรถเรื่องธรรมให้พี่น้องทั้งหลายได้ฟังว่า ศาสนาของพระพุทธเจ้าท่านเป็นยังไง นี่ก็ได้รื้อมาเทศน์ให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ที่กล่าวมาสักครู่นี้ถึงว่าสติปัญญาอัตโนมัติจนกระทั่งถึงมหาสติมหาปัญญา ฟาดกิเลสขาดสะบั้นลงไปจากจิตใจนี้ หลวงตาได้ปฏิบัติมาแล้วนะ ได้รู้ได้เห็นตามนี้แล้วจึงมาแสดงให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ไม่ได้มาโกหกโลกนะเวลานี้ เราไม่เคยมีโกหกโลก เราสอนโลกด้วยความเมตตาล้วนๆ ไม่มีการว่าแบ่งสันปันส่วนอะไรจากพี่น้องทั้งหลายนี้เลย เราสอนด้วยความเมตตา เพราะฉะนั้นการพูดด้วยความเมตตาจึงพูดได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยตามหลักความจริง ไม่อ้อมค้อม นี้คือธรรม
ภาษาของธรรมต้องพูดอย่างตรงไปตรงมา ถ้าภาษาของกิเลสแล้วอ้อมแอ้มๆ ประจบประแจงเลียแข้งเลียขาไปอย่างนั้น ภายในมันไม่ได้จริง มันหลอกกัน สำหรับธรรมนี้ตรงไปตรงมา ผิดบอกว่าผิด ถูกบอกว่าถูก นี้เราก็ได้ปฏิบัติตัวของเรามาอย่างนี้แล้ว เต็มกำลังความสามารถเป็นเวลา ๙ ปี ถ้าว่าติดคุกมันเลยคุกไปเสียแล้วละ เขาติดคุกติดตะรางกี่ปีก็ตาม เขาไม่ได้มีความทุกข์หนา มีแต่โลกเขาไม่ยอมรับ โลกเขาไม่นิยม โลกเขาไม่นับถือ ก็เรียกว่าอับเฉา เป็นคนขี้คุกขี้ตะรางนักโทษเขาว่าไปอย่างนั้น ความจริงเขาไม่ได้ทุกข์อะไรมากนัก จักตอกเหลาตอกวันหนึ่งได้ ๕ เส้นพอฆ่าเวล่ำเวลาให้ผ่านไปๆ พอถึงวันออกจากคุกจากตะรางเท่านั้น
แต่เราฆ่ากิเลสเราไม่ได้เป็นอย่างนั้น พอตื่นนอนขึ้นมานี้ฟัดกันแล้วกับกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลง ราคะตัณหามีอยู่ภายในใจ สติปัญญาอยู่ภายในใจ ฟัดกันตลอดเวลาเลย ความอดความอิ่มนี้ไม่ต้องพูดแหละ ความทุกข์ความทรมานแสนสาหัส จนกระทั่งฟาดกิเลสขาดสะบั้นลงไปจากจิตใจ ตั้งแต่เริ่มจิตเป็นสมาธิถึงขั้นปัญญา ปัญญาเฉลียวฉลาดแหลมคมปราดเปรื่องเต็มหัวใจ กิเลสตัวไหนขาดสะบั้นพังไปหมด จนกระทั่งจ้าขึ้นมาเต็มหัวใจในวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ หลังวัดดอยธรรมเจดีย์ จังหวัดสกลนคร เวลา ๕ ทุ่มพอดีเป๋ง นั่นเป็นวันตัดสินเด็ดขาดกับภพกับชาติ ที่เคยเกิดแก่เจ็บตายหามกองทุกข์ตลอดมาตั้งกัปตั้งกัลป์ ได้สิ้นสุดยุติลงแล้วในคืนวันนั้นด้วยธรรมบทว่า
ญาณญฺจ ปน เม ทสฺสนํ อุทปาทิ ที่พระพุทธเจ้าประกาศท้าทายพระเบญจวัคคีย์ทั้งห้า มันก็มาเข้าในหัวใจของเราเต็มดวง ญาณความรู้ความเห็นอันเลิศเลอได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา อกุปฺปา เม วิมุตฺติ ความหลุดพ้นของเราไม่มีการกำเริบแล้ว อยมนฺติมา ชาติ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว บัดนี้เราจะไม่มาเกิดตายแบกหามกองทุกข์อีกต่อไปแล้ว นี่ประกาศป้างขึ้นมาในจิตของคืนวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ เวลา ๕ ทุ่มเป๋งพอดี
ตั้งแต่บัดนั้นมาเราไม่เคยได้มีความคิดแย็บหนึ่งแม้เม็ดหินเม็ดทรายว่า กิเลสได้ขาดสะบั้นลงไปจากใจของเรา ด้วยความประจักษ์ใจประหนึ่งว่าฟ้าดินถล่มในคืนวันนั้น ระหว่างกิเลสกับธรรมขาดสะบั้นจากกัน คือวัฏจักรกับวิวัฏฏจิตขาดสะบั้นจากกันในคืนวันนั้นแล้ว ได้ปรากฏกิเลสขึ้นมาแม้เม็ดหินเม็ดทรายพอให้เราเกิดความสงสัย ไม่เคยมีจนกระทั่งป่านนี้ เพราะฉะนั้น จึงกล้าเทศน์ธรรมของจริงให้พี่น้องทั้งหลายฟังอย่างเต็มหัวใจไม่สะทกสะท้าน ในสามแดนโลกธาตุนี้เราไม่เคยหวั่นกับอะไร เราพูดตามหลักความจริง
พระพุทธเจ้าปฏิบัติมารู้ได้เห็นได้ ธรรมสอนโลกสอนเพื่อให้รู้ให้เห็นเพื่อมรรคผลนิพพานโดยลำดับลำดา ผู้ทรงมรรคผลนิพพานตามพระพุทธเจ้ามามีสาวกเท่าไร พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาเท่าไร แล้วสาวกบรรลุธรรมขึ้นมาเท่าไร ล้วนแล้วตั้งแต่ทรงธรรมเป็นธรรมชาติอันเดียวที่พ้นจากกิเลสด้วยกันๆ เป็นธรรมธาตุๆ เต็มสมบูรณ์แบบด้วยกัน เมื่อจิตก็เป็นธรรมชาติจิตอันเดียวสมควรแก่มรรคผลนิพพานด้วยกันแล้ว ปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าให้ถูกต้องตามสวากขาตธรรมแล้ว เมื่อรู้แล้วเห็นแล้วทำไมจะพูดไม่ได้
กิเลสเต็มโลกธาตุทำไมมันออกเพ่นพ่านตีบ้านตีเมืองตลอด ไม่มีใครขยะแขยงมันบ้างว่ามันเป็นพิษต่อโลกต่อสงสาร ธรรมนี้เป็นคุณต่อโลกต่อสงสารตลอดมาตั้งกัปตั้งกัลป์ เฉพาะอย่างยิ่งพระพุทธเจ้าของเราที่มาตรัสรู้ในแดนมนุษย์นี้แล้ว ๒๕๐๐ กว่าปี ท่านประกาศกังวานมาตั้งแต่พระพุทธเจ้าถึงสาวกอรหันต์ เป็นสรณะของพวกเรามานี้นานเท่าไหน ทำไมหลวงตาบัวจะพูดไม่ได้ ธรรมอันเดียวกัน ปฏิบัติอย่างเดียวกัน รู้อย่างเดียวกัน เห็นอย่างเดียวกัน พูดไม่ได้มีอย่างเหรอ ถ้าพูดไม่ได้ก็แสดงว่าศาสนานี้หมดแล้วจะไม่มีอะไรเหลือ เหลือตั้งแต่กิเลสครองบ้านครองเมือง พร้อมกับเอาไฟเผาบ้านเผาเมืองให้เดือดร้อนวุ่นวายระส่ำระสายตลอดเวลา หาที่ยุติไม่ได้ตลอดไป ไม่ว่าแต่ตลอดมาเลย
ถ้ามีธรรมเข้าสกัดลัดกั้นแล้วจะมีทางออกทางเดินคนเรา แม้ภพชาติจะยืดยาวขนาดไหนก็ตาม เมื่อมีคุณงามความดีประพฤติปฏิบัติตัวให้เป็นคนดีแล้ว จะต้องมีความดีเข้าแทรกเข้าแซง มีสกัดลัดต้อน ภพชาติของตนที่ยืดยาวขนาดไหนก็จะหดย่นเข้ามา ความทุกข์มีมากขนาดไหน อำนาจแห่งบุญแห่งกุศลจะค่อยตัดทอนให้หดย่นเข้ามาๆ ผลสุดท้ายก็ลงในขั้นแน่ใจ เช่นอย่างพระโสดา ท่านสำเร็จเป็นพระโสดาแล้ว อย่างหยาบท่านจะกลับมาเกิดเพียง ๗ ชาติเท่านั้น อย่างกลางมาเกิดเพียง ๓ ชาติ อย่างสุดยอดเรียกว่าอย่างอุกฤษฏ์ก็มาเกิดเพียงชาติเดียว บรรลุถึงนิพพานไปเลย
นี่เรียกว่าบุญกุศลเป็นเครื่องตัดทอนความชั่วช้าลามก ตลอดถึงวัฏจักรที่เราจะแบกหามไปเป็นเวลานาน ให้ขาดสะบั้นเข้ามาๆ จนกระทั่งถึงชาติเดียวแล้วบรรลุมรรคผลนิพพานขึ้นมา ตัดภพชาติกองทุกข์ทั้งหลายด้วยอำนาจแห่งบุญแห่งกรรมที่เราสร้างมาอันดีงามนี้นะ ไม่ใช่ตัดมาได้ด้วยอำนาจแห่งการสร้างบาปมาก โลภมาก โกรธมาก ราคะมาก ตัณหามาก สร้างบาปสร้างกรรมไว้มาก นี้ไม่ได้พาเราไปสวรรค์นิพพานนะ จะพาจมลงในกองทุกข์ตั้งกัปตั้งกัลป์หาวันฟื้นฟูไม่ได้ ขอให้พี่น้องทั้งหลายได้จดจำเสีย
ธรรมพระพุทธเจ้าพึ่งเกิดมานี่หรือ สอนมานานแล้ว หัวใจมันไปอยู่ที่ไหนจึงไม่ยอมรับธรรม มันจะยอมรับตั้งแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้ไม่มีวันอิ่มพอนั้นเหรอ ให้เตือนตัวเองนะ สิ่งเหล่านี้ให้ถามตัวเองบ้าง ธรรมพระพุทธเจ้าประกาศกังวานอยู่นี้ นี้พูดจริงๆ พูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง จิตใจมันสว่างจ้าครอบโลกธาตุแล้วนี่ ไม่ได้มาพูดเฉยๆ นะ พูดอย่างจริงจังถอดออกมาจากหัวใจมาสอน สอนนี้ สาธุ เราไม่ได้ไปหาคลำเอาตามคัมภีร์นั้นคัมภีร์นี้ คัมภีร์ในคือหลักธรรมชาติอันถูกต้องดีงามพระพุทธเจ้าตรัสรู้มาก่อนแล้ว พระไตรปิฎกเกิดทีหลัง พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก พระอภิธรรมปิฎก พระสุตตันตปิฎก ท่านจาระไนออกไปจากธรรมชาติที่เป็นของจริงภายใน เรียกว่าพระไตรปิฎกใน
พระพุทธเจ้าตรัสรู้พระไตรปิฎกใน พระอรหันต์ตรัสรู้พระไตรปิฎกใน ผู้มาได้ยินได้ฟังแล้วจดจารึกออกไปจึงแยกเป็นปิฎกนั้นปิฎกนี้ ปิฎก แปลว่า ภาชนะ ปิฏกๆ แปลว่า ภาชนะ แยกออกเป็นรับรองพระวินัย รับรองพระสูตร รับรองพระปรมัตถ์ ท่านถึงแยกออกเป็น ๓ พระไตรปิฎก แต่ก่อนท่านไม่ได้พูดว่าปิฎกใดๆ ธรรมตรัสรู้ปึ๋งขึ้นมาภายใน นั้นแหละคือธรรมแท้ พระอรหันต์ท่านก็ตรัสรู้ธรรมอย่างนั้น แล้วก็แยกออกมา นี้เวลาเทศนาว่าการเราจึงไม่ไปหาคัมภีร์ที่ไหน ถอดออกมาจากหัวใจนี้เลย เพราะได้ผ่านกันอยู่ที่นี่ สนามรบทั้งความโง่ความฉลาดอยู่ที่หัวใจ ระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกัน กิเลสทำคนให้โง่ ธรรมนั้นทำคนให้ฉลาด ฟัดกันที่หัวใจ เมื่อกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้ว ความฉลาดหรือไม่ฉลาดมันก็รู้ตัวของมันเอง นำธรรมประเภทนี้เองมาสอนพี่น้องทั้งหลายเวลานี้
เราไม่ได้ไปด้นเดาเกาหมัดที่ไหนมาสอนนะ เราอาจหาญเต็มที่ที่จะมาสอนโลกเวลานี้ เอ้า ใครขัดข้องตรงไหนถามมาเรื่องมรรคผลนิพพาน เราพูดจริงๆ อย่างนี้นะ มันครองไว้หมดเต็มหัวใจครอบโลกธาตุจะว่าอะไร ถ้าเป็นแสงแพรวพราวเหมือนพระอาทิตย์นี้เผาคนในวัดอโศการามนี้แหลกหมด มันเผาไปหมด แต่นี้ธรรมไม่ใช่ไฟ มันเย็นฉ่ำไปหมด เขาไม่เย็น-เย็นแต่เราก็พอแล้ว พวกนั้นจะร้อนขนาดไหนก็ตามคนอื่น ร้อนเพราะมีผัวมากเมียมากเราไม่สนใจ เราไม่มีผัวมีเมียกับใคร เรามี เอโก ธมฺโม ธรรมอันเดียวครองใจแล้วเราเป็นที่พอใจ สบายไปเลย
ท่านทั้งหลายได้ฟังหรือยังวันนี้ ธรรมของจริง พระพุทธเจ้าสอนโลกมานานแสนนาน ยังเห็นว่าเป็นโมฆะอยู่เหรอ ยังเห็นว่าเป็นเศษกระดาษอยู่เหรอ เห็นว่าเป็นตำราอยู่เหรอ ไม่เห็นว่าเป็นธรรมเหรอ เห็นเป็นของจริงตั้งแต่ความโลภ ความโกรธ ความหลง ราคะตัณหา ที่เอาไฟเผากันทั้งโลกเวลานี้เหรอ นี้เหรอของจริง ถ้ามันมากกว่านี้แล้วโลกนี้จะพินาศฉิบหายถ้าไม่มีใครยอมรับความจริง
วันนี้เทศนาว่าการก็รู้สึกว่าเหน็ดเหนื่อย เพราะเทศน์ไปๆ ตอนก่อนมาเทศน์นี้ก็ได้เทศน์ที่กุฏิแล้ว นั่นละธรรมมันเข้าถึงใจมันผึงออกเองนะ มีเท่าไรพุ่งออกมาๆ พอเทศน์แล้วเครื่องมือคือร่างกายมันอ่อนเปียกจนจะเทศน์ไม่ได้ กลับมานี้จึงมาพยุง เรียกว่าดับเครื่องครู่หนึ่งประมาณ ๓๐ นาทีแล้วจึงได้มาเริ่มติดเครื่องใหม่ เพราะฉะนั้นเครื่องนี้จึงไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ทั้งๆ ที่ธรรมนี้เต็มหัวใจตลอดเวลา แต่การแสดงออกมาให้พี่น้องทั้งหลายทราบ ต้องอาศัยเครื่องมือคือร่างกายนี้ กำลังร่างกายอ่อนเปียกลงไปแล้วเวลานี้ การเทศนาว่าการจึงไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย สมใจที่มีความเมตตาต่อพี่น้องทั้งหลาย อยากเทศนาว่าการของจริงแห่งธรรมพระพุทธเจ้า ที่ทรงไว้ในหัวใจคงเส้นคงวาตลอดมาได้ ๕๑ ปีนี้ไม่สะทกสะท้านต่อสิ่งใด จึงได้แสดงให้พี่น้องทั้งหลายฟัง
ใครจะฟังเป็นมงคลก็ให้ฟัง ใครฟังอยากให้เป็นไฟเผาตัวเองก็ให้เพิ่มเข้าไป อันนี้ไม่มีใครช่วยได้นะ เราเกิดมาเราต้องช่วยตัวเองทุกคนๆ เราทำชั่วเราต้องเป็นทุกข์ ความทุกข์นั้นละจะบีบบี้สีไฟเราผู้ทำ เราทำความดี ความดีจะเป็นความสุขความเจริญรุ่งเรืองในหัวใจของเรา ให้ยึดเอาอรรถเอาธรรมนี้ไปประพฤติปฏิบัตินะ เรื่องมรรคเรื่องผลเราไม่ต้องถามว่ามีหรือไม่มี กิเลสกับธรรมนี้อยู่ที่หัวใจดวงเดียวกัน กิเลสก็อยู่ในหัวใจ ธรรมก็อยู่ในหัวใจ เปิดกิเลสออกแล้วธรรมก็จ้าขึ้นมาๆ
เหมือนกับสระใหญ่ที่เต็มไปด้วยน้ำ แต่ถูกจอกแหนคือกิเลสปกคลุมเอาไว้เท่านั้น เวลาเปิดจอกเปิดแหนคือเปิดกิเลสออก ความชั่วช้าลามกออก เจริญธรรมขึ้นภายในใจ ธรรมก็จะจ้าขึ้นภายในใจ ความสุขความสงบเย็นใจจะปรากฏขึ้นมา แล้วจะปรากฏขึ้นในหัวใจเต็มเม็ดเต็มหน่วย จนกระทั่งกิเลสขาดสะบั้นออกไปหมด คือ จอกแหนในสระนั้นออกหมดแล้ว น้ำจ้าขึ้นมาเลยทีเดียว นี่ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อกิเลสหลุดพ้นไปจากใจโดยสิ้นเชิงแล้วไม่ต้องถามหาธรรม ธรรมอยู่ที่ไหน
พระพุทธเจ้าท่านเห็นธรรมเห็นที่ไหน เห็นที่จิต จิตกับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้วไม่ต้องถามพระพุทธเจ้า ใครตรัสรู้ขึ้นมารู้อย่างเดียวกันหมด ท่านยกให้เป็น สนฺทิฏฺฐิโก อันเดียวกัน รู้อย่างเดียวกัน เห็นอย่างเดียวกัน แล้วถามกันหาอะไรเพราะธรรมประเภทเดียวกัน การแสดงธรรมวันนี้ก็รู้สึกว่าเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า วันนี้เป็นวันเผาศพท่านเจ้าคุณ ให้นำนิมิตที่เป็นมงคลของพวกเราทั้งหลายไปพินิจพิจารณา วันนี้ท่านตายวันนี้เผาศพท่าน วันต่อไปเวลาใดก็ได้จะต้องเผาศพเราทุกคนที่นั่งเต็มกันอยู่นี้ทุกคน แม้ที่สุดหลวงตาบัวก็ไม่พ้น ถึงวันแล้วอาจจะได้เผาได้ฝังด้วยวิธีการต่างๆ ตามแต่บุญแต่กรรมของแต่ละรายที่ตาย จะต้องเก็บต้องเผาวิธีใดเท่านั้นเอง
แต่เรื่องความแน่นอนคือตาย ตายแล้วความแน่นอนของการเกิดอีก ก็เป็นความแน่นอนเช่นเดียวกับการตายอีกนั้นเอง คือตายนี้แล้วจิตมันไม่ตาย ตายนี้แล้วจิตออกจากร่างที่หมดสภาพแล้วไปก่อใหม่ขึ้นมา ก่อใหม่ก็ต้องอาศัยวิบากกรรม ใครมีบุญมีบาปก็ต้องไปเกิดตามบุญตามบาปของตนที่มีมากน้อย ใครมีบาปหนักบาปหนาคนนั้นก็ไปจมในนรก นรกมีอยู่แล้วตั้งกัปตั้งกัลป์ เราสงสัยที่ไหน ไปลบล้างที่ไหน พระพุทธเจ้าตรัสรู้มากี่องค์ไม่เห็นมาลบล้างนรกได้ เราเป็นคนมีอำนาจบาตรหลวงเหนือโลกมาจากที่ไหน จึงจะไปลบล้างนรกว่าไม่ให้มี ไม่ให้เผาเรา ทั้งๆ ที่เราสร้างกรรมหนักหนาไม่มีใครสู้เลยแล้ว แต่ลบล้างนรกได้อย่างสบายไม่เคยมีในสถานที่ใด อย่ามาอุตริในเมืองไทยซึ่งเป็นเมืองพุทธเรานะถ้าไม่อยากจม
ถ้าระวัง ไม่อยากจมให้เชื่อธรรมพระพุทธเจ้า ธรรมพระพุทธเจ้าไม่เคยหลอกลวงสัตว์ผู้ใดรายใดตัวใดให้ล่มจม แต่กิเลสนี้หลอกลวงตลอดเวลา เอาให้จมได้ไม่สงสัย แต่สัตว์โลกไม่เข็ดหลาบเท่านั้นเอง จึงได้ยอมทนทุกข์ทรมานมาอย่างที่ว่ามานี้เอง นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าจริงจังอย่างนี้ มีผลเสมอกัน ทำบาปเป็นบาป ทำบุญเป็นบุญเสมอกัน ท่านแสดงว่า อกาลิโก อกาลิโก แปลว่ายังไง ในธรรมคุณเราก็สวดไม่ใช่หรือ สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม ยกขึ้นว่า อกาลิโก เป็นยังไง สนฺทิฏฺฐิโก คือผู้ปฏิบัตินั้นแลจะเป็นผู้เห็นเองรู้เอง อกาลิโก ธรรมมีอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว เลือกกาลเลือกสถานที่ที่ไหน แล้วกิเลสมันก็มีตลอดเวลา สร้างกิเลสให้เป็นกิเลสเมื่อไรมันก็เป็น สร้างบาปสร้างกรรมเมื่อไร เป็นบาปเป็นกรรมเป็นทุกข์ขึ้นมาแก่เราเมื่อนั้น เราสร้างบุญสร้างกุศลเป็นบุญเป็นกุศลแก่เราเมื่อนั้น จึงมีผลเสมอกัน
ระหว่างกิเลสกับธรรมไม่มีอะไรยิ่งหย่อน อะไรจะว่าเรียวว่าแหลมมันเป็นเรื่องของกิเลสหลอกลวงต้มตุ๋นคน ว่าเวลานี้ศาสนาเรียวแหลม ศาสนาไม่มีมรรคมีผล ไม่มีล่ะซิ กิเลสไปปิดไว้ๆ มีแต่สร้างตัวกิเลสขึ้นมา ความโลภ ความโกรธ ความหลง ให้เป็นไฟเผาไหม้หัวใจโลก มันเป็นยังไงมันสูญไปไหม ไอ้เรื่องความทุกข์ร้อนของโลกที่กิเลสสร้างขึ้นมามันสูญไปไหม มันทำไมมาสูญตั้งแต่เรื่องธรรมที่จะสร้างคุณงามความดีเป็นสิริมงคลแก่โลกนี้ ว่ามรรคผลนิพพานสูญไป แต่กิเลสมันสร้างฟืนสร้างไฟเผาโลกมันสูญไปไหม ให้ถามกันซิ ไม่อย่างนั้นไม่มีทางออกนะ จะตายจมกันอยู่นี้ตลอดเวลา
อกาลิโก อกาลิโก เป็นได้ทั้งทางอรรถทางธรรมทางกิเลสตัณหา ใครสร้างหนักทางไหนก็เป็นผลเสมอกันไปเลย ถ้ากรรมทางดีหนักมากกิเลสก็พังๆ ถ้ากิเลสมากธรรมก็พัง จมลงนรกนะ บาป บุญ นรก สวรรค์ พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์สอนไว้แบบเดียวกัน อย่าพากันอาจหาญชาญชัย อย่าพากันอวดดีกับพระพุทธเจ้านะ แล้วพวกที่อวดดีแบบนี้ละที่มันจะจม ให้ระวังไว้ตั้งแต่บัดนี้ต่อไปนะ
วันนี้การเทศนาว่าการก็ได้พูดถึงพี่น้องทั้งหลาย ให้ได้นำเรื่องของท่านเจ้าคุณเทพโมลีนี้ไปเป็นที่ระลึก เราจะตายด้วยกันทั้งนั้นแหละ ไม่มีใครเว้นไปได้แม้แต่รายเดียว ให้รีบสร้างคุณงามความดี ใจไม่ตาย พอออกจากร่างนี้แล้วจะไปเกิดตามบุญตามกรรมของตน ผู้มีบาปไปทางบาป ตกนรกหมกไหม้ ผู้มีบุญไปทางบุญจนกระทั่งถึงมรรคผลนิพพานไม่สงสัย นี่เป็นสมบัติอันดีงามของใจ ส่วนบาปนั้นเป็นข้าศึกศัตรูต่อใจ ให้พากันละเว้นให้ห่างไกล ใจนี้ไม่เคยตาย ใจไม่เคยมีป่าช้า เมื่อเวลาบริสุทธิ์เต็มที่แล้วก็เป็นธรรมธาตุ
ดังพระพุทธเจ้าว่านิพพานเที่ยงๆ อะไรเที่ยง ก็คือใจดวงนี้ปราศจาก อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ไม่มีอะไรเข้าไปรบกวน เป็นใจที่คงเส้นคงวาหนาแน่น เรียกว่าใจเที่ยง นั่นละใจของท่านผู้ทรงวิมุตติหลุดพ้น ใจผู้ทรงธรรมธาตุเป็นผู้หลุดพ้นเรียบร้อยแล้ว ใจนี้ก็ไม่ตาย เป็นธรรมธาตุอย่างนี้ จึงขอให้พี่น้องทั้งหลายได้จดจำเอา
วันนี้การแสดงธรรมก็เห็นว่าสมควรแก่ธาตุแก่ขันธ์กำลังวังชาและเวล่ำเวลา ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ
เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร ทาง internet
www.luangta.com
** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์
วันที่ 21 มกราคม 2544 ความยาว 57.23 นาที
สถานที่ : วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ
เทศน์อบรมพระและฆราวาส ณ วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ
เมื่อวันที่ ๒๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๔(บ่าย)
ปลงธรรมสังเวช เราจะตายด้วยกันทั้งนั้น
การถ่ายรูปนี่มันมากเหลือเกินนะ ทำลายธรรมเวลาเทศนาว่าการ จำให้ดีทุกคนนะ ธรรมไม่ใช่ตุ๊กตาเครื่องเล่นของเด็ก อย่าเอามาเล่นในสถานที่มหามงคลอย่างนี้นะ นี่หลวงตาพูดเอง มันต้องอย่างนั้น พอดี
ขอให้ปลงธรรมสลดสังเวชในบรรดาชาวพุทธเราทุกถ้วนหน้า คือท่านเจ้าคุณเทพโมลี ท่านได้มรณภาพลงไปเป็นเวลาหลายเดือนแล้ว วันนี้เป็นวันปลงศพหรือถวายเพลิงท่าน พี่น้องชาวไทยเราซึ่งเป็นชาวพุทธควรจะรับความสลดสังเวชอย่างถึงใจในวันนี้ เพราะความตายนี้ประกาศมาตั้งกัปตั้งกัลป์แล้ว ไม่ค่อยมีใครตื่นเนื้อตื่นตัวกันเลย ตื่นตั้งแต่ความไปตามความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา ตื่นไม่มีเวลาวันหยุดวันหย่อน ตื่นตั้งกัปตั้งกัลป์มาแล้ว ยังจะตื่นต่อไปอีกไม่มีขอบเขตเหตุผลอันใดเลย นี่คือความตื่นโลกตื่นไปตามกิเลสตัณหา ความที่จะตื่นในอรรถในธรรม ปลงธรรมสังเวชว่า โลกทั้งโลกนี้คือโลกเกิดโลกตายไม่ค่อยได้คิดกันบ้าง อย่าพากันดีดกันดิ้นจนเกินเหตุเกินผล จนลืมเนื้อลืมตัวว่าป่าช้าไม่มีกับเราทุกคนๆ ทั้งๆ ที่ป่าช้ามีอยู่อย่างเต็มตัว อย่างนี้เรียกว่าเป็นความประมาทมากสำหรับชาวพุทธของเรา
วันนี้เป็นวันที่กระเทือนให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบทั่วถึงกัน ถ้าใครยังไม่มองเห็นให้มาดูหน้าเมรุนี้ นี้คือศพของท่านเจ้าคุณเทพโมลี ท่านตายแล้ว ท่านไปตามบุญตามกรรมของท่านที่บำเพ็ญบารมีมามากน้อย ท่านไม่มาแบ่งสันปันส่วนเอาบุญเอาบาปกับพวกเรา ท่านเป็นผู้บำเพ็ญตัวของท่านโดยดีมาตลอดเวลา บุญกุศลเป็นสมบัติอันล้นค่าที่จะค้ำชูจิตใจของท่านให้ไปสถานที่ดีคติที่เหมาะสม ท่านไม่ได้มาหวังเอาวกๆ เวียนๆ กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา จากพวกเราแหละ เรื่อง กุสลา ธมฺมา นั้นเป็นเครื่องเตือนจิตใจของพี่น้องชาวไทยเราทั่วหน้ากัน ได้พากันระลึกแล้วหรือยัง
กุสลา ธมฺมา คือหมายความว่า ธรรมที่ยังบุคคลให้มีความเฉลียวฉลาด อกุสลา ธมฺมา สิ่งที่ทำบุคคลให้โง่ ถ้าใครเจริญทาง อกุสลา ธมฺมา ก็โง่เข้าไปโดยลำดับ โง่ไม่มีหยุดสิ้นสุดยุติลงได้ โง่ตั้งกัปตั้งกัลป์ กอบโกยเอาความทุกข์ไปจากความโง่ตั้งกัปตั้งกัลป์ ตลอดไปเรื่อยๆ ถ้าผู้มี กุสลา ภายในใจ ระลึกถึงเรื่องความเป็นความตาย ระลึกถึงบาปถึงบุญในหัวใจของเรา พอที่จะได้เป็นข้อคิดต่างๆ บ้างตามสายธรรมพระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนมาเป็นเวลานาน เราจะพอมีเครื่องยึดเครื่องเกาะในจิตใจของเรา
เวลานี้พวกเราทั้งหลายมีอะไรเป็นเครื่องเกาะเครื่องยึด พิจารณาดูซิ โลกนี้กว้างขนาดไหน โลกนี้มีกี่พันล้านมนุษย์ที่อยู่ร่วมกันนี้ ตลอดถึงสัตว์ ดินฟ้าอากาศ ต้นไม้ ภูเขา มีมากขนาดไหน เป็นสาระอะไรบ้างสำหรับหัวใจเราที่จะเกาะจะยึดพอเป็นฝั่งเป็นฝา ให้หลุดรอดพ้นจากภัยคือความทุกข์ทั้งหลายไปได้ มองแล้วมันไม่มี มันมีแต่ดินเป็นดิน น้ำเป็นน้ำ ลมเป็นลม ไฟเป็นไฟ ตลอดต้นไม้ภูเขาดินฟ้าอากาศ มันเป็นเรื่องของเขาโดยสมบูรณ์ เขาไม่มีส่วนได้ส่วนเสียอะไรจากพวกสัตว์ทั้งหลายเรานี้เลย ส่วนที่มีส่วนได้ส่วนเสียจริงๆ ก็คือบาปคือบุญ การทำดีทำชั่ว นี้แลเป็นตัวสำคัญมาก ขอให้เอา กุสลา ความฉลาดจับเข้าไปในจุดนี้ ท่านทั้งหลายจะรู้เนื้อรู้ตัวว่าเราเกิดเป็นอะไร เกิดเป็นมนุษย์หรือเกิดเป็นอะไร
มนุษย์นั้นตั้งชื่อให้เป็นเทวดาก็ได้ อยู่ในเรือนจำก็ไม่อดไม่อยาก ตั้งชื่อเทวดาก็ตั้งได้ แต่บาปกรรมที่เจ้าของทำลงไปนั้นมีเป็นธรรมชาติ ที่เหนืออำนาจของทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่มีอันใดที่จะเหนืออำนาจกรรมไปได้เลย ท่านจึงแสดงไว้เป็นพระบาลีว่า นตฺถิ กมฺมสมํ พลํ ไม่มีอานุภาพใดที่จะเหนืออานุภาพแห่งกรรมดีกรรมชั่วของสัตว์ที่ทำไว้แล้วได้เลย ใครจะทำดีทำชั่วขนาดไหน กฎธรรมชาติคืออำนาจนี้จะต้องบีบบังคับอยู่ภายในนั้น แล้วพาไปดีจนได้ไม่สงสัย พาไปชั่วได้ไม่สงสัย ด้วยอำนาจแห่งกรรมดีกรรมชั่ว
เพราะฉะนั้นจงให้พากันระลึกถึง กุสลา ธมฺมา ที่ท่านจะสวดในวันนี้ ถ้าระลึกไม่ได้วันไหนขอให้ระลึกวันนี้ว่า กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา อพฺยากตา ธมฺมา ท่านสวดมาเสียมากมายขนาดไหน แม้แต่ผู้สวดเองอย่างหลวงตาบัวนี้ก็เคยสวด ไปกินข้าวต้มขนมเขามามากมาย ไม่ทราบว่า กุสลา ธมฺมา หมายความว่ายังไง ผู้มาถวายก็ทำเป็นพิธี พอทำเป็นพิธี กุสลา ธมฺมา มาติกา แล้ว เวลาพระท่านสวดมนต์ก็คุยโม้กันเต็มบ้านเต็มเมือง มันเป็นสภาโม้ในสถานที่ กุสลา ธมฺมา เราทั้งหลายรู้ไหมว่า ชาวพุทธมันกลายเป็นชาวผีไปแล้วเวลานี้
ศาสนาพระพุทธเจ้าเลิศเลอขนาดไหน ท่านทั้งหลายอยากทราบให้ปฏิบัติตัวลงไป สวากขาตธรรม พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชอบแล้ว ชอบอะไร บุญเป็นบุญ บาปเป็นบาป นรกเป็นนรก สวรรค์เป็นสวรรค์ พรหมโลก นิพพาน เป็นพรหมโลก นิพพาน เปรตผีประเภทต่างๆ เต็มทั่วไตรโลกธาตุเป็นมากี่กัปกี่กัลป์ พากันระลึกรู้หรือเปล่าว่า พระพุทธเจ้าสอนว่ายังไง เราจะเพียงว่าเกิดว่าตายเฉยๆ ไม่ได้คิดอะไร แล้ว กุสลา ธมฺมา ก็ทำเป็นพิธี ตายแล้วก็พอเป็นพิธี ไปถวายทาน กุสลา ธมฺมา คุยโม้กัน เป็นโอกาสอันดีสำหรับคนที่โง่เขลาเบาปัญญาและมืดบอดที่สุด จะไปสนทนากัน เป็นโอกาสอันดีงามในเวลาที่พระท่านมาสวด กุสลา ธมฺมา เป็นอย่างนี้เสียส่วนมาก เฉพาะอย่างยิ่งกรุงเทพเป็นที่หนึ่ง
ไม่ว่าสถานที่ใดหลวงตาเคยไปเทศน์ไปสวด กุสลา กินข้าวต้มขนมกับเขาเหมือนกัน แต่เราไม่อยากยินดีกินข้าวต้มแหละ ไปมีตั้งแต่เรื่องคุยโม้ ระบายทุกข์ต่อกันนะนั่น ใครมาจากที่ไหนก็ระบายทุกข์ต่อกัน คนนั้นได้ทุกข์ทางนั้น คนนี้ทุกข์ทางนี้ ตั้งแต่วันตื่นนอนขึ้นมาขวนขวายไขว่คว้าหาตั้งแต่ความสุขๆ ครั้นเวลาได้แล้วมีตั้งแต่ความผิดหวังๆ มาเต็มหัวอก เวลามีโอกาสมาคุยกัน ระบายตั้งแต่เรื่องความทุกข์ความร้อนแต่ละบุคคลๆ มาหากัน มีแต่แบบนั้นแหละ กุสลา ธมฺมา แปลว่าอะไร มันไม่ได้สนใจฟังนะ แล้วเราจะหวังเอาอะไรเป็นที่พึ่ง พิจารณาซิ
เราจะพึ่งยศก็ตั้งขึ้นเฉยๆ ประสายศ ตั้งขึ้นฟากจรวดดาวเทียมก็ตั้งได้ ไอ้ยศไอ้ชื่อ ชื่ออย่างนั้นชื่ออย่างนี้ตั้งเลยจรวดดาวเทียมก็ได้ แต่ตัวของเรามันหาบบาปหาบกรรมด้วยความโง่เขลาเบาปัญญา ด้วยการสร้างความชั่วนี้กอบโกยตลอดเวลา ความทุกข์อันนี้จะเผาหัวใจเรา ได้พากันคิดแล้วยัง นี่คือธรรมของพระพุทธเจ้าเตือนพี่น้องทั้งหลาย ประกาศก้องมาเฉพาะพระพุทธเจ้าของเรานี้ได้ ๒๕๐๐ กว่าปีนี้แล้ว โก นุ หาโส กิมานนฺโท นิจฺจํ ปชฺชลิเต สติ อนฺธกาเรน โอนทฺธา ปทีปํ น คเวสถ ก็เมื่อโลกสันนิวาสนี้เป็นฟืนเป็นไฟของความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา เผาไหม้สัตว์ตลอดมานี้ ยังหัวเราะรื่นเริงเป็นบ้ากันอยู่เหรอ เมื่อไรท่านทั้งหลายจะหาที่พึ่ง นั่นฟังซิ นี่ละภาษิตอันนี้เป็นพุทธพจน์ที่ทรงแสดงไว้แล้ว
เราทั้งหลายเป็นยังไง ยัง โก นุ หาโส กิมานนฺโท อยู่เหรอ รื่นเริงบันเทิงไปหาอะไร ตายแล้วจะไปที่ไหนได้รู้แล้วยัง คติความตายความเป็นอยู่ของเจ้าของ จะเกาะอะไร ถ้าเกาะเงิน-เงินก็พัง พอชีวิตจิตใจหายลงไปเท่านั้น เงินซึ่งสมมุติขึ้นเป็นกระดาษบ้าง เป็นแร่ธาตุต่างๆ บ้าง ตั้งชื่อตั้งนามขึ้นว่าเป็นเงินเป็นทอง เป็นข้าวเป็นของเป็นเพชรนิลจินดา มันก็เป็นแร่ธาตุธรรมดาๆ เรานั้น มันวิเศษวิโสอะไรเกลื่อนแผ่นดินอยู่นี้ เรามาเสกสรรปั้นยอพอได้อาศัยไปในการเกี่ยวข้องสังคมซึ่งกันและกัน ให้เป็นความสะดวกในการจับจ่ายซื้อขายเพียงเท่านั้น ไม่ได้หมายถึงว่าจะให้เป็นตัวเป็นตน ฝากเนื้อฝากตัวไปกับสมบัติเงินทองข้าวของเหล่านี้ แล้วไปสวรรค์นิพพานเลย มันเป็นไปไม่ได้นะ
สมบัติเหล่านี้พาให้ลงนรกก็ได้มากมาย คนที่มีเงินทองข้าวของมากๆ มันลืมเนื้อลืมตัว ทุกสิ่งทุกอย่าง เมียอยากได้ ๔๐-๕๐-พันคนมันก็หาได้ ผู้หญิงก็เหมือนกันตัวเก่ง ผู้ชายนี่เอาเท่าไรมาเป็นผัวมันเป็นได้ทั้งนั้น เพราะเรามีเงินมากมีสมบัติมาก มียศถาบรรดาศักดิ์สูง ยิ่งเขายกยอให้เป็นคุณหญิงคุณนายด้วยแล้วยิ่งเป็นบ้าสดๆ ร้อนๆ ก็ผู้หญิงด้วยกัน ตั้งไม่ตั้งมันก็เป็นผู้หญิง ผู้ชายก็เหมือนกันนั่นแหละ นี่หลักธรรมชาติพี่น้องทั้งหลายฟังเสียนะ ธรรมในหลักธรรมชาติท่านแสดงอย่างนี้ ท่านไม่แสดงแบบโลกที่ประจบประแจงเลียแข้งเลียขา
เห็นกันแล้ว ดีนะๆ ดีอะไร ไฟไหม้หัวใจมันอยู่ทั้งวันทั้งคืนยืนเดินนั่งนอน ตั้งแต่ตื่นนอนมาจนกระทั่งหลับมันหาความสุขที่ไหนมาติดหัวใจ มันไม่เคยมี ถ้าว่าเงินก็อยู่ในกระเป๋า อยู่ในบ้านในเรือน ฝากตามธนาคารต่างๆ มันก็อยู่ตามนั้นๆ เจ้าของก็แบกกองทุกข์ตลอดเวลา มีความหมายอะไรกับสมบัติเหล่านั้นถ้าเจ้าของไม่ฉลาด หาสมบัติเหล่านั้นมาเป็นประโยชน์ มีมากมีน้อยเฉลี่ยเผื่อแผ่เพื่อเพื่อนเพื่อฝูงเพื่อชาติบ้านเมือง ให้เป็นประโยชน์แก่คน อันนั้นเป็นสมบัติ สมบัติแปลว่าความถึงพร้อม ถึงพร้อมที่จะให้เจ้าของได้รับความสมบูรณ์พูนผล เป็นกุศลผลบุญขึ้นจากการบำเพ็ญของเรา ได้มาแล้วลืมเนื้อลืมตัว นั้นเงินเป็นเครื่องสังหารเป็นเพชฌฆาตฆ่าคนที่มั่งมีมากๆ ให้ขาดสะบั้น ลงนรกก็ลงได้คนพวกนี้
ยกตัวอย่างเช่นเศรษฐี นี่เหล่านี้ท่านผู้เรียนมาๆ ด้วยกันรู้ด้วยกันเถียงกันไม่ได้นะ เศรษฐีมีเงินมาก เรายกมาเพียง ๓ สกุล เศรษฐีมีเงินมากไปที่ไหนล่อไปหมด เอาเงินไปหว่านให้ผู้หญิงคนนั้นให้ผู้หญิงคนนี้ หว่านแล้วก็ล่อเข้ามาเป็นคนบำรุงบำเรอ พวกลูกพวกผัวครอบครัวเหย้าเรือนโคตรวงศ์ของเขาเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้กันทั้งโคตรทั้งแซ่ ไม่ได้คำนึงเลย ได้ผู้หญิงคนนั้นด้วยการหลอกลวงโดยการเงินการทองของเราเราเป็นที่พอใจ ทีนี้เวลาตายไปแล้วลงนรก ท่านแสดงไว้ว่า พื้นฐานแห่งผิวนรกนั้น จากนี้ลงไปถึงก้นนรก พวกสัตว์ ๓ ประเภทที่ตกนรกนี้หมุนตัวลงไปได้ ๖ หมื่นปี ภาษาบาลีก็มีแต่ไม่นำมาแสดง จะแสดงแต่เนื้อๆ ที่เป็นอรรถเป็นธรรมเข้าใจกันแล้วแก่พี่น้องทั้งหลายเท่านั้น
เวลาลงจากพื้นมนุษย์เราไปนี้ ลงไปจมตั้งแต่ผิวนรก ลงไปถึงพื้นนี้ เสวยทุกขเวทนาอย่างสาหัส ลงไปเป็นเวลา ๖ หมื่นปี ๖ หมื่นปีทิพย์กับ ๖ หมื่นปีเราธรรมดานี้ต่างกันอย่างไรบ้าง ฟังซิ แล้วก็ไปจมอยู่ในนรกนั้น ๖ หมื่นปีแล้วก็ฟื้นขึ้นมา ใน ๖ หมื่นปีนั้นชั่วฟ้าแลบก็ไม่มีที่ว่าจะได้รับความสุขบ้างนิดหน่อย จากนั้นก็ขึ้นมา ลอยขึ้นมาก็ไฟบาปไฟกรรมนั้นก็เผาขึ้นมาจนกระทั่งถึงผิวนรกอีกเป็น ๖ หมื่นปี รวมสามหกเป็น ๑๘ หมื่นปี นี่ที่สัตว์นรกที่เก่งๆ มีเงินมากสมบัติมาก เอาเงินเอาทองไปหลอกลวงผู้หญิงเอามาเป็นหญิงบำเรอมาเป็นเมียของตัวเอง แล้วทำความเดือดร้อนแก่สกุลของเขาหมดทั้งโคตรทั้งแซ่ ล่มจมไปด้วยความเดือดร้อนวุ่นวาย ตัวนี้ก็มาเป็นผลให้เป็นความล่มจมถึงกับต้องไปตกนรก
ไหลลงไปนรก ๖ หมื่นปีด้วยความแผดเผาแห่งกรรมอันสาหัสนั้น แล้วไปอยู่ในนรกอีก ๖ หมื่นปี แล้วฟื้นขึ้นมาก็ไหลขึ้นมาอีก ๖ หมื่นปี เดี๋ยวนี้ยังหมุนอยู่ ๑๘ หมื่นปีนี้ยังไม่ได้ขึ้นจากนรก ท่านทั้งหลายเก่งกล้าสามารถไปหาเอาผัวไปหาเอาเมีย ไปหามาบำเรอ จากนี้ไปถึงบ้านแล้วมันมีเท่าไรผู้หญิงเหล่านี้ เต็มบ้านเต็มเมืองอยู่นี้มีมากขนาดไหน ถ้ายังไม่พอใจไปหาเอาหมาตามไร่ตามนาตามสวนเขามาเป็นผัวเป็นเมียอีกก็ยังได้ เอ้า ตายแล้วให้มันไปคูณกันอีกสักเท่าไร ๑๘ หมื่นปีนี้พวกหาผัวมากหาเมียมาก เพราะมีเงินมากลืมเนื้อลืมตัว หลงเนื้อหลงตัว ลืมยศหลงยศ ลืมรายร่ำรายรวยเลยไม่คิดถึงเรื่องนรก เวลามันเผาแล้ว ๑๘ หมื่นปี แล้วเป็นยังไง
นี่เพียงมนุษย์เพียงเท่านี้ ท่านไม่ได้กล่าวไว้ในคัมภีร์นะว่า พวกเหล่านี้เขาไปหาเอาหมูเอาหมามาเป็นเมียเพิ่มเติมอีก ถึงขนาดนั้นเขาตกนรกถึง ๑๘ หมื่นปี ถ้าเราได้หมามาเป็นเมียเป็นผัวเราเข้าอีกแล้วจะกี่หมื่นปี คูณกันเข้าไปซิจะเป็นยังไง เรายังกล้าหาญอยู่หรือเวลานี้ ชาวพุทธของเราแท้ๆ มันเป็นยังไง มันหมดแล้วหรือเรื่องบาปเรื่องบุญในความรู้สึกของเรานั้น ถ้ายังไม่หมดให้ระลึกหนา พระพุทธเจ้าตรัสรู้มาในโลกอันนี้ นับตั้งแต่วันเกิดจนกระทั่งถึงวันตาย หนึ่งองค์ สององค์ สามองค์ นับไม่จบ ตรัสรู้มานานเท่าไรกี่กัปกี่กัลป์ มาเป็นองค์ศาสดาสอนโลก สอนแบบเดียวกันหมด
เห็นบาปว่าบาป เห็นบุญว่าบุญ เห็นนรกว่านรก สวรรค์เป็นสวรรค์ นิพพานเป็นนิพพาน พรหมโลกเป็นพรหมโลก เปรตผีประเภทต่างๆ เต็มท้องฟ้ามหาสมุทรในไตรโลกธาตุนี้ ทรงสอนตามความรู้ความเห็นอย่างแท้จริง ไม่มีพระพุทธเจ้าพระองค์ใดสอนแหวกแนวกันเลย สอนแบบเดียวกันนี้มานานเท่าไร เรายังไม่รู้สึกตัวของเราอยู่หรือ เรายังจะหลับหูหลับตาอยู่อย่างนี้ตลอดไปไม่คิดถึงเรื่องบุญเรื่องบาปอะไรบ้างเหรอ บุญบาปที่เราไม่คิดถึงนั้นแหละ ส่วนมากก็คือบาปมันจะเผาหัวใจเรา
เวลานี้เราเอาอะไรเป็นเครื่องรับรอง เงินไม่ใช่รับรองเราไม่ให้ไปตกนรกนะ ให้ไปสวรรค์ ถ้าเราไม่แปรสภาพสมบัติเงินทองข้าวของเหล่านั้นมาเป็นสิริมงคลแก่ตน โดยการบริจาคหรือโดยการเฉลี่ยเผื่อแผ่ ให้เป็นผลเป็นประโยชน์แก่สัตว์และบุคคลส่วนรวมทั่วๆ ไปแล้วก็เป็นผลเป็นประโยชน์ นี้จะพาเราไปสวรรค์ได้ไม่สงสัย จนกระทั่งถึงนิพพานก็ไปได้ด้วยอำนาจแห่งทาน
พระพุทธเจ้าพระองค์ใดทรงแสดงไว้เรื่องของทานทั้งนั้น เป็นอันดับหนึ่ง ไม่ได้แสดงว่าความตระหนี่ถี่เหนียว ความเห็นแก่ตัว ความคดความโกงความรีดความไถนี้ว่าเป็นสิริมงคลทำโลกให้ร่มเย็น นอกจากทำโลกให้ล่มจมโดยถ่ายเดียว เพราะความตระหนี่ถี่เหนียว ความเห็นแก่ตัว ความคดความโกงความรีดความไถ พอได้พอเอา ได้แง่ไหนเอาทั้งนั้น นี้พาจม สำหรับความดีที่เราสร้างได้จากสมบัติของเราที่มีมากน้อยนี้ พาไปสวรรค์ไปนิพพานพรหมโลกถึงหมด นี่คือความดี เราจะแปรสภาพสมบัติเงินทองของเราที่มีอยู่เวลานี้ ยังมีอำนาจเต็มที่ ไปในทางใด ให้พิจารณาเสียแต่บัดนี้
อย่าพากันกอบกันโกยกันรีดกันไถ การกว้านการกวาดเข้ามาหาว่าเป็นของตนๆ เวลาตายแล้วนี้ละคือฟืนคือไฟนรกมันจะเผาสัตว์โลกผู้เก่งๆ ตัวเหนืออำนาจของกรรมนี้ เวลาตายลงไปแล้วอำนาจของกรรมไม่มีใครเหนือได้ละสัตว์ โลกธาตุนี้ไม่มี เพราะกรรมเป็นธรรมชาติที่หนาแน่นมากเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง กรรมดีก็มีอำนาจมาก กรรมชั่วก็มีอำนาจมาก ถ้าเราทำให้เป็นกรรมชั่วก็จมได้คือเราไม่ใช่ใครละ ใครเก่งๆ เอ้า สร้างลงไป อย่าท้าทายพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ที่ตรัสรู้สอนโลกมาด้วยความถูกต้องดีงามนั้นว่าเป็นของไม่ถูกต้อง แล้วลบล้างให้หมด
บรรดาพระพุทธเจ้า ว่าบาปมี บุญมี นรกสวรรค์มี พรหมโลกนิพพานมี เปรตผีประเภทต่างๆ มี นั้นลบให้หมด ให้มีเหลือตั้งแต่อันธพาลเราคนเดียวที่เลิศเลอในโลกเรานี้ สร้างความชั่วให้เต็มเหนี่ยวของตัวเอง แล้วไปอยู่เหนืออำนาจของกรรม ไปขึ้นขี่บนหัวกรรมของพระพุทธเจ้าที่สอนไว้ทุกองค์ได้ไหม ถ้าเราไม่สามารถที่จะไปขึ้นขี่บนหัวของกรรมที่มีอำนาจได้แล้ว เราอย่าท้าทายพระพุทธเจ้า อย่าท้าทายพระธรรม อย่าท้าทายพระสงฆ์ ซึ่งเป็นธรรมชาติที่ให้ความร่มเย็นแก่โลก เป็นมหามงคลแก่โลกมานานแสนนานแล้ว เพียงความคิดความเห็นของเรา มีแต่ความพินาศฉิบหายแก่ตัวของเรา ทำความพินาศฉิบหายแก่ตัวของเราและผู้เกี่ยวข้องตลอดทั่วไป เรียกว่าตลอดทั่วถึง ใครทำความชั่ว กระจายไปได้หมดนั่นแหละความชั่ว เรื่องกรรมต้องเป็นอย่างนั้น
วันนี้ได้พูดถึงเรื่อง กุสลา ธมฺมา ให้พี่น้องทั้งหลายไประลึก อย่าพากันไปเป็นบ้าสวด ฟังเพลิน คุยระบายความทุกข์ตามสถานที่ต่างๆ ฟังแล้วฟังไม่ได้เลยนะ ชาวพุทธเรานี่มันกลายเป็นชาวผีไปนานสักเท่าไรแล้วเวลานี้ มันรู้ตัวหรือยังว่าพระพุทธเจ้ากระเทือนโลกมานานแสนนานตั้งกัปตั้งกัลป์ องค์ปัจจุบันนี้ก็ ๒๕๐๐ กว่าปี เป็นธรรมที่เลิศเลอสุดยอดแล้ว มันเห็นเป็นความแปลกประหลาดในหัวใจอะไรหรือไม่ หรือเห็นตั้งแต่ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา ที่จะเผาหัวใจนั้นว่าเป็นของดิบของดีเหรอ ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วช่วยไม่ได้นะ
พระพุทธเจ้าจะมากี่หมื่นกี่แสนกี่ล้านๆ องค์ก็ไม่มีทางที่จะแก้ไขได้ช่วยได้ ถ้าเราไม่ช่วยตัวเองเสียตั้งแต่บัดนี้ จากคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงสั่งสอนไว้ด้วยความถูกต้องแม่นยำ ถ้าเราปฏิบัติตนตั้งแต่บัดนี้ต่อไปแล้ว ชั่วก็ตามคนเรา เมื่อไม่รู้มันก็ชั่วทำชั่วได้ แล้วแก้ไขให้เป็นคนดีก็ได้ คนดีก็เพิ่มเติมส่งเสริมในความดีของตนให้มีหนักแน่นมั่นคงขึ้นไปก็ทำได้มนุษย์เรา เวลามีชีวิตอยู่นี้ แต่เวลาตายไปแล้วจะนิมนต์พระมาทั่วประเทศไทย กุสลา ธมฺมา ก็ไม่มีความหมายอะไรเลย ถ้าเจ้าของไม่รีบแก้ไขเจ้าของเสียตั้งแต่บัดนี้
กุสลา ธมฺมา ท่านสวดให้คนเป็นฟัง ให้รู้ได้สติสตังพินิจพิจารณา ไปประพฤติปฏิบัติแก้ไขตนเองต่างหาก ท่านไม่ได้สอนให้ กุสลา ธมฺมา เพื่อคนตายนะ ถ้าสอน กุสลา ธมฺมา เพื่อคนตายให้เป็นผลประโยชน์ตามความต้องการแล้ว ไม่จำเป็นอะไรแหละ บ้านหนึ่ง เมืองหนึ่ง หรือจังหวัดหนึ่งนี้ นิมนต์หลวงตามาสักองค์นึงมาไว้ประจำจังหวัดนั้นๆ เช่น กรุงเทพอย่างนี้เป็นเมืองใหญ่ เอามาไว้สัก ๕ องค์ หลวงตาอยู่ย่านนั้นองค์หนึ่ง อยู่ย่านนี้ ๕ องค์ เวลาคนตายก็นิมนต์หลวงตาเหล่านั้นมา องค์ใดก็ได้สำเร็จด้วยกันหมด มา กุสลา ธมฺมา ยกคนคนนี้ให้เขาไปสวรรค์นิพพานด้วยนา ไปกันหมดแล้วศาสนาก็ไม่มีความหมาย บุญกุศลก็ไม่มีความหมาย สร้างหาอะไร สู้หลวงตาองค์เดียวไม่ได้
แต่นี้มันไม่เป็นอย่างนั้นซี นิมนต์มากว้านมาทั่วประเทศไทยไม่เกิดประโยชน์ ถ้าเจ้าของหาสาระไม่ได้เสียอย่างเดียวเท่านั้น ไม่มีอะไรเป็นประโยชน์ เพราะฉะนั้นจงให้พากันสร้างคุณงามความดีเสียตั้งแต่บัดนี้ อย่าพากันนอนจมอยู่เฉยๆ ไม่เกิดประโยชน์อะไรเวลานี้ หลวงตาพูดจริงๆ หลวงตาเปิดอกให้พี่น้องทั้งหลายฟังด้วยการปฏิบัติมา ตั้งแต่เริ่มแรกออกมาปฏิบัติ ทีแรกหัวใจนี้ก็เป็นธรรมดาเหมือนพี่น้องชาวไทยเราทั่วประเทศดินแดนนั่นแหละ เขาหนาขนาดไหนเราก็หนาขนาดนั้น มีความรู้สึกอะไรก็เหมือนโลก เชื่อบาป เชื่อบุญ เชื่อนรกสวรรค์ ก็เชื่อไปอย่างนั้นแหละ ลุ่มๆ ดอนๆ สุ่มสี่สุ่มห้า แต่เวลาเชื่อความอยากความทะเยอทะยานที่จะสร้างฟืนสร้างไฟให้ตัวเองนี้ไม่มีวันจืดจาง หนาแน่นเข้าทุกวันๆ ท่านเหมือนเรา เราเหมือนท่าน
เวลาเข้ามาศาสนา เข้ามาปฏิบัติศาสนา รู้เนื้อรู้ตัวด้วยอรรถด้วยธรรมที่ทรงสั่งสอนไว้แล้ว แล้วก็เข้าอกเข้าใจ หมุนตัวเข้าสู่ทางด้านปฏิบัติ ปฏิบัติกำจัดกิเลสออกทางด้านจิตตภาวนา เวลาเทศน์ใครอย่ามาคุยอย่ามาพูดนะ อย่ามาเป็นข้าศึกต่อกันนะ เวลาออกปฏิบัติภาวนาจิตใจไม่เคยมีความสงบร่มเย็นเลย ตั้งแต่เกิดมาความสุขประเภทที่เป็นความสงบจากจิตตภาวนาไม่เคยมี เพราะไม่เคยทำ ทีนี้เวลามาภาวนา ออกจากภาคปริยัติแล้วขึ้นภาคปฏิบัติ ฟัดกันกับกิเลสบนเวทีคือภูเขา อันนั้นเป็นส่วนนอก ภายในคือระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกันบนหัวใจนี้ตลอด เป็นเวลา ๙ ปีเต็ม แทบจะสลบไสลตลอดมา เพราะมุ่งต่อมรรคผลนิพพานอย่างยิ่ง สุดท้ายก็พ้นมือไปไม่ได้
ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติตั้งแต่จิตยังไม่เคยสงบ มันก็สงบให้เห็น สงบจนกระทั่งเกิดความแปลกประหลาดอัศจรรย์ขึ้นภายในจิตใจ เกิดความเชื่อความเลื่อมใสแน่นหนามั่นคงในการที่จะประกอบภาวนาต่อไป จนกระทั่งมุ่งใจว่าออกคราวนี้แล้วเราจะเอาตัวของเราให้ถึงพระอรหันต์ในชาตินี้ แล้วจะให้ถึงนิพพานในชาตินี้ ขอแต่ว่าให้มีครูบาอาจารย์องค์ใดองค์หนึ่งมาชี้แจงบอกเราให้เป็นความแน่ใจเถิดว่า มรรคผลนิพพานยังมีอยู่โดยสมบูรณ์ ก็พอดีเข้าไปเจอกับหลวงปู่มั่น พอไปเจอหลวงปู่มั่น เหมือนกับว่าท่านเอาเรดาร์จับไว้เลย กับคนนิสัยอย่างเรานิสัยผาดโผนโจนทะยาน มุ่งหน้าต่อมรรคผลนิพพาน
พอไปถึงปั๊บ หือ ท่านมาอะไร ท่านมาหามรรคผลนิพพานเหรอ ดินฟ้าอากาศฟ้าแดดดินลมไม่ใช่มรรคผลนิพพาน ท้องฟ้ามหาสมุทรไม่ใช่มรรคผลนิพพาน ตลอดทั่วแดนโลกธาตุไม่ใช่มรรคผลนิพพาน ไม่ใช่กิเลส กิเลสที่แท้จริง มรรคผลนิพพานที่แท้จริงอยู่ที่หัวใจ ให้กำจัดกิเลสที่มืดบอดบังคับอยู่ในหัวใจ ไม่ให้มองเห็นบุญเห็นบาปนี้ออก ให้กระจ่างภายในจิตใจแล้ว มรรคผลนิพพานจะเกิดขึ้นในสถานที่นั่นนั้นเอง นี่เราสรุปความเลย เพราะท่านชี้แจงอย่างเด็ดขาด ชี้ออกมาว่า นี่น่าๆ มรรคผลนิพพาน อยู่ที่หัวใจดวงนี้
หัวใจดวงนี้เหมือนกันกับน้ำที่เต็มบึงนั้นแล แต่อาศัยจอกแหนมันปกคลุมหุ้มห่อให้หาน้ำไม่เห็น น้ำจึงประหนึ่งว่าไม่มีในสระนั้น ทั้งๆ ที่น้ำเต็มอยู่ในสระ ทีนี้เวลาเปิดจอกเปิดแหนคือการภาวนา ชำระจอกแหนคือกิเลสทั้งหลายออก ให้จางออกไปๆ ก็เริ่มมองเห็นน้ำ มองเห็นความสงบนั้นแหละคือมองเห็นน้ำ เริ่มเห็นความสงบ เห็นความเย็นใจ เริ่มขึ้นๆ ปรากฏขึ้น กระจ่างแจ้งขึ้นภายในใจ เรียกว่าจอกแหนค่อยบางไปๆ ได้แก่กิเลส พอจางลงไปจากหัวใจแล้ว ทีนี้ธรรมเหมือนกับน้ำที่อยู่ในบึงได้แก่หัวใจของเรา ก็เริ่มประกาศขึ้นมา แจ้งขึ้นมาๆ ทีนี้จิตก็ฟัดใหญ่เลย
พูดถึงเรื่องสมาธิเราพูดอย่างอาจหาญ เราไม่มีความสะทกสะท้านในสามแดนโลกธาตุนี้ว่าจะไม่เป็นจริงอย่างนั้น มันครองอยู่แล้วในหัวใจ อย่างเต็มหัวใจตลอดมาเป็นเวลา ๕๑ ปีนี้แล้ว จึงได้ประกาศให้พี่น้องทั้งหลายทราบว่า ธรรมจริงหรือไม่จริง ทีนี้เวลามันกระจ่างขึ้นมาเรื่อยๆ พูดถึงเรื่องสมาธิ เอา นั่งฟาดทั้งวันก็ได้ ไม่ได้สนใจกับอะไรเลย มีแต่ความแน่วสงบเย็น ไม่มีอะไรที่เข้ามากวนได้เลย เพียงเท่านี้ก็พอกินแล้ว พออยู่พอกินพอเป็นพอไป การกินอยู่หลับนอนการใช้การสอยไม่เป็นกังวลทั้งนั้น อยู่ไหนอยู่ได้ ขอให้ใจมีความสงบร่มเย็น พอใจ นี่คือธรรมเป็นเครื่องอยู่ของใจ
ไม่ได้สนใจกับว่าต้องมีเงินเท่านั้น มียศเท่านี้ มีลาภเท่านั้น มีบ้านมีเรือนกี่ห้องกี่หับกี่ตึกกี่ห้องไม่ต้องไปพูด นั้นเป็นเรื่องภายนอก หัวใจกับธรรมที่เป็นความสงบเย็นใจอยู่ด้วยกันพอแล้วทั้งวันทั้งคืน การอยู่ไม่ลำบาก การนอนไม่ลำบาก อยู่ไหนอยู่ได้ นอนไหนนอนได้ ล้มลงที่ไหนหลับ ตื่นขึ้นมาก็ครองธรรมๆ มีแต่ความสง่างามภายในจิตใจ ลืมวันลืมคืนลืมปีลืมเดือนไปหมด มีแต่ความสว่างกระจ่างแจ้งภายในใจ ท่านทั้งหลายฟังหรือยังอย่างนี้ นี่ละถอดออกมาจากหัวใจมาสอนพี่น้องทั้งหลายฟัง เราไม่ได้สอนเล่นๆ นะ เพราะฉะนั้นอะไรมายุ่งจึงไม่ได้นะ ธรรมเป็นของจริงอย่างนั้น
ทีนี้เวลากระจ่างขึ้นมา จากนั้นก็ก้าวออกทางด้านปัญญา สมาธิก็ว่าเต็มภูมิแล้ว ไม่สงสัยเรื่องสมาธิ ใครจะมาหลอกไม่ได้ง่ายๆ เรื่องสมาธิ เพราะมันเป็นมาเสียตั้ง ๕ ปีเต็ม อยู่ไหนอยู่ได้สบายๆ มีแต่ความสง่างามด้วยภูมิของสมาธิ แต่ยังไม่เลิศเพราะเป็นภูมิของสมาธิก็เต็มภูมิของตัวเอง ถ้าเป็นน้ำก็เรียกว่าแก้วเล็ก มันก็เต็มแก้วของมัน พอจากนั้นก็ก้าวออกทางด้านปัญญา ปัญญาพิจารณาถึงเรื่องธาตุเรื่องขันธ์ กิเลสตัณหา มันติดมันพันกับอะไรกิเลส มันจึงมาทำความทุกข์ให้แก่เรา พิจารณาก็ไม่พ้นจาก เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี้ไปได้แหละ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี้คือภูเขาภูเรา
ภูเขาได้แก่ต้นไม้ภูเขา อันนั้นไม่ติด อันนั้นไม่แบก อันนั้นไม่หาม อันนั้นไม่เป็นทุกข์ แต่ภูเรา คือแบกผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อหนัง เอ็น กระดูก ผสมกันเข้าแล้วเรียกว่าคน เรียกว่าสัตว์ เรียกว่าหญิงว่าชาย อันนี้คือภูเรา ติดมาก แก้ไขได้ยากมาก พระพุทธเจ้าจึงเอาอาวุธนิวเคลียร์นิวตรอนใส่เข้ามาว่า เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี่สอนพระ ให้นำอันนี้ไปคลี่คลายพิจารณา นี้แลคือภูเรา ติดตรงนี้ สร้างกองทุกข์ขึ้นที่ตรงนี้ พิจารณาตรงนี้กระจ่างออกไปด้วยปัญญา กระจ่างด้วยปัญญา แยกธาตุแยกขันธ์เห็นชัดตามเป็นจริงไปโดยลำดับ ผมเป็นผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เป็นส่วนชิ้นของมันๆ หาเป็นสัตว์เป็นบุคคลเป็นตนเป็นตัวเป็นของเขาของเรา สวยงามที่ไหนไม่ได้เลย
เมื่อจิตกระจ่างแจ้งขึ้นด้วยปัญญาแล้วไม่ต้องบอก อุปาทานถอนเรื่อยๆ จนครบรอบในอวัยวะซึ่งเป็นด้านวัตถุ คือพวกเกสา โลมา เป็นต้นนี้ กระจายออกไปหมด อุปาทานถอนพรวด จากนั้นก็เหลือแต่นามธรรม มีแต่ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ พิจารณา กิเลสถอดออกไปหมดเรื่องอุปาทาน กามกิเลสขาดสะบั้นออกไปในขณะที่จิตใจได้ถอนจากอุปาทานคือรูปกายนี้ไป จากนั้นก็ขัดเกลากันไปโดยลำดับเรื่อยๆ ตั้งแต่ขั้นแรกของพระอนาคามี
พระอนาคามีท่านบรรลุขั้นแรกเป็นยังไง นี่ที่ได้ระดับกันสำหรับผู้บำเพ็ญธรรมในขั้นธรรมะธรรมดาๆ ยกเว้นท่านที่เป็นขิปปาภิญญาเสีย ถ้าขิปปาภิญญานั้นพุ่งทีเดียวถึงเลย อย่างเราเขียนหนังสืออย่างนี้ละ คนฝึกหัดเขียนหนังสือ เช่นเขียนว่าท่าน ต้องระลึกถึง ทอทะหาน สระอา แล้วก็นอหนู แล้วก็ไม้เอก อ่านเรียกว่า ท่าน นี่คือผู้เริ่มอ่านเริ่มฝึกหัดเขียน เริ่มฝึกหัดฟัง ทีนี้เวลาเขียนไปนานๆ แล้วประกอบกับผู้ที่เป็นขิปปาภิญญา พอบรรลุปึ๋งนี้ขาดสะบั้น ว่าท่านมาพร้อมกันหมด ทั้งตัว ทอสระอา นอหนู ไม้เอก มาพร้อมกันเลย นี่ผู้สำเร็จเป็นพระอนาคามีขั้นขิปปาภิญญา ท่านพุ่งทะลุถึงกันเป็นท่าน มาทันที สมบูรณ์หมด
แต่ผู้ที่ยังไม่เป็นอย่างนั้น ก็ฝึกซ้อมกันไป พอได้ขั้น ทอ สระอา นอหนู สะกดไม้เอก แล้วก็อ่านเป็นท่าน ตายแล้วก็ไปอยู่ชั้นอวิหา เลื่อนขึ้นไปชำนาญขึ้นไป ก็ไปอยู่ชั้นอตัปปา ชั้นสุทัสสา สุทัสสี อกนิฏฐา นี่เรียกว่าท่านฝึกซ้อมขั้นอนาคาของท่านให้เต็มภูมิ เวลานี้ยังไม่เต็มภูมิ เบื้องต้นสอบได้ ถ้าตายก็ไปเกิดในขั้นอวิหา ถัดจากนั้นจิตละเอียดเข้าไปก็ไปเกิดในขั้นอตัปปา สุทัสสา สุทัสสี จนกระทั่งถึงอกนิฏฐาแล้วก้าวเข้าสู่นิพพาน นี่เรียกว่าระดับของกามกิเลสที่สิ้นซากไปโดยลำดับลำดา จนกระทั่งสิ้นสุด ถึงอกนิฏฐาเต็มภูมิแล้วก้าวเข้าสู่นิพพาน
เหล่านี้อยู่ที่ไหน เห็นแต่ในตำรับตำรา เขียนไว้ท่านก็เขียน แต่คนไม่ปฏิบัติจะไปรู้ได้ยังไง มันจะเป็นแบบแปลนแผนผังอยู่อย่างนั้น เหมือนกับเราสร้างแปลนบ้านของเรานี้ เอากี่แปลน ใส่ไว้ในห้องเต็มอยู่นั้น มีแต่แปลนเต็มห้อง มันไม่สำเร็จเป็นรูปเป็นนามเป็นบ้านเป็นเรือนตึกรามบ้านช่องขึ้นมาได้ ต้องไปดึงเอาแปลนนั้นออกมา เราต้องการแปลนไหน เราจะสร้างบ้านสร้างเรือนสูงต่ำกว้างแคบขนาดไหน เอาแปลนออกมากางแล้วสร้างตามแปลน ก็สำเร็จเป็นบ้านเป็นเรือนตามแปลนนั้นขึ้นมาโดยลำดับลำดา จนกระทั่งเป็นบ้านเรือนอันสมบูรณ์นี้ฉันใดก็เหมือนกัน พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้แล้ว สวากขาตธรรมตรัสไว้ชอบแล้ว ชอบอะไร คือแปลนของศาสนา รวมแล้วก็เรียกว่า แปลนบาป แปลนบุญ แปลนนรก แปลนสวรรค์ แปลนนิพพาน แปลนเปรต แปลนผี ทั่วแดนโลกธาตุ รวมอยู่ในแปลนแห่งสวากขาตธรรมที่ตรัสไว้ชอบแล้วนี้ทั้งนั้น ถ้าเรานำมาปฏิบัติธรรมเหล่านี้จะไปไหน
ก็เหมือนอย่างแปลนอยู่ในห้องของเรา ดึงออกมาซิ เราต้องการแบบไหน ฉบับไหน บ้านขนาดไหน เอา ดึงออกมาสร้าง เมื่อผู้สร้างแปลนรับรองความสมบูรณ์แบบในแปลนนั้นแล้ว มาสร้างก็เป็นไปตามแปลน อันนี้แปลนของพระพุทธเจ้าเป็นแปลนสวากขาตธรรม ตรัสไว้ชอบแล้วไม่มีอะไรสงสัย พระพุทธเจ้านิพพานไปนานเท่าไรมีปัญหาอะไร มันมีปัญหาอยู่กับแปลนที่เราเรียนมาแล้ว เราจะปฏิบัติตามหรือไม่ปฏิบัติตามเท่านั้น ถ้าไม่ปฏิบัติตามก็เป็นหนอนแทะกระดาษอยู่นั้น เรียนไปไม่สนใจปฏิบัติ มันจะเป็นมรรคเป็นผลขึ้นมายังไง คำว่าสมาธิก็มีแต่ชื่อความจำเฉยๆ ความจริงไม่มีในใจเป็นประโยชน์อะไร
คำว่าสมาธิ เรียนสมาธิมาแล้วออกปฏิบัติตามสมาธิ ทางแห่งการดำเนินเพื่อจิตเป็นสมาธิ ท่านก็บอกไว้แล้วว่า เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี่คือทางเดิน แปลน พิจารณาตามนี้แล้วก็เหมือนกับสร้างบ้านสร้างเรือน ค่อยรู้แจ้งเห็นจริงขึ้นมาเรื่อย เห็นผม เห็นขน เห็นเล็บ เห็นฟัน เห็นเนื้อ หนัง เอ็น กระดูก ตับ ไต ไส้พุง แยกออกจากสัตว์จากบุคคล ไม่มีใครเป็นเขาเป็นเรา เป็นหญิงเป็นชาย ฟาดลงไปแล้วก็เป็นธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ นี่แจงแปลนออกไป สร้างไปๆ มันจะเป็นบ้านแห่งความสงบขึ้นมา จิตก็เป็นสมถจิต เป็นสมาธิจิตขึ้นมา เป็นขั้นๆ
จากนั้นก็พิจารณาทางด้านปัญญา เพิ่มขึ้นสูงขึ้น แยกธาตุแยกขันธ์กระจัดกระจายออกไปจนกระทั่งรู้แจ้งแทงทะลุธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ขาดกระจายออกไปด้วยอำนาจแห่ง เรียกว่า อนาคามีผล อนาคามีมรรค อยู่ในนี้เสร็จเลย นี่อำนาจแห่งธรรมขาดกระจายออกไป จากนั้นก็ก้าวเดินขึ้นไปเรื่อยๆ เป็นนามธรรม รูปคือพิจารณาร่างกายนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว เวทนา คือกายเวทนา ความสุข ความทุกข์ ความเฉยๆ ในกายก็มีในใจก็มี แต่เมื่อเวลาพิจารณายังไม่ถึงถี่ถ้วนแล้วก็มันมีทั้งกายทั้งใจนั้นแหละ เรื่องเวทนาทั้งสามนี้ เวลาพิจารณาเข้าไปก็แจงอันนี้เข้าไป พิจารณาให้เห็นเป็นเงาๆ เข้าไป สิ่งเหล่านี้เป็นเงาทั้งนั้นๆ ติดตามด้วยปัญญาๆ ปัญญาโดยลำดับ
ปัญญาที่คมกล้าที่เป็นไปโดยอัตโนมัติของตัวเอง เป็นปัญญาที่ขั้นจากกามกิเลสไปแล้ว พิจารณาเรื่องกามกิเลสเป็นปัญญาชุลมุนวุ่นวายมากเหมือนฟ้าดินถล่ม เพราะปัญญาขั้นกามกิเลสนี้เป็นขั้นที่หนักหนามากทีเดียว ภูเขาทั้งลูกสู้ไม่ได้ ปัญญาจะมาใช้กับเรื่องกามกิเลส จะมาทำเหยาะๆ แหยะๆ ไม่ได้ ต้องเป็นฟ้าดินถล่มแบบเดียวกัน จนกระทั่งถึงกามกิเลสพังลงไปแล้ว ปัญญาขั้นนี้ก็หมดความหมายไป เหลือแต่ปัญญาขั้นกลางๆ ที่เป็นน้ำซับน้ำซึม ไหลรินอยู่ทั้งแล้งทั้งฝน พิจารณาสภาวธรรมทั้งหลายเป็นอัตโนมัติโดยตัวเอง โดยไม่ต้องมีอะไรเป็นเครื่องบังคับบัญชาให้เป็นไป นี่เรียกว่าธรรมก้าวเดินแล้ว
ธรรมถึงขั้นนี้เป็นธรรมที่ก้าวเดินแล้ว ยังไงก็ไม่อยู่ เพราะฉะนั้นพระอนาคามีเวลาท่านตายแล้วท่านจึงไม่กลับมาเกิดอีก อะไรจะพาให้ท่านกลับมาเกิด เครื่องดึงดูดก็ไม่มีอะไรเกินกามกิเลส กามกิเลสดึงดูดได้มากเท่าไรได้ไม่พอ หนักหน่วงที่สุดคือกามกิเลส เวลาฟาดมันขาดสะบั้นลงไปแล้วเหมือนบ้านร้าง จิตใจนั้นมีแต่คุณธรรม พินิจพิจารณาแปลกๆ ต่างๆ มีแต่เรื่องอรรถเรื่องธรรม เพื่อจะถอดถอนตนไปโดยลำดับเท่านั้น พิจารณาที่จะเป็นการกดถ่วงตัวเองเหมือนกามกิเลสแต่ก่อนไม่มี ทีนี้จิตก็ดีดขึ้นๆ ละซิ
พอพิจารณาถึงพวกเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งเป็นเงาๆ เทียมอยู่กับจิต พิจารณาตามเข้าไป ตามเงาเข้าไป เข้าไปถึงตัวจิต เมื่อเข้าถึงตัวจิต จิตนั้นแลเป็นมหากษัตริย์อยู่ในพระราชวังไม่ทำงานอะไร ตัวทำงานจริงๆ ที่ผาดโผนโจนทะยานมากได้แก่กามกิเลส ตัวนี้ตัวสำคัญมาก ทำฟ้าดินถล่มได้ ทำคนเราให้ฉิบหายวายปวงไปได้ พินาศฉิบหายไม่มีชิ้นเหลือ ก็ด้วยอำนาจแห่งกามกิเลสตัวนี้แล ทำโลกให้พินาศฉิบหายได้ เมื่อตัวนี้ขาดสะบั้นลงไปแล้ว ไม่มีอะไรที่จะเป็นภัยต่อโลก หนักมากยิ่งกว่ากิเลสตัวนี้ ทีนี้มีแต่ก้าวเข้าไปสู่ความดิบความดี ละเอียดถี่ถ้วนเข้าไปโดยลำดับ จิตก้าวเข้าไปเป็นอัตโนมัติๆ นี่เรียกว่าธรรมมีในใจ
แต่ก่อนกิเลสมีในใจ คิดแง่ใดมุมใดเป็นกิเลสนำหน้าๆ ทั้งหมดเลย วัฏจักรที่ออกจากวัฏจิต จิตคิดเรื่องอะไรเป็นเรื่องกิเลส เรื่องความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหาไปหมด เวลาชำระสะสางมันไปได้เต็มสติกำลังแล้ว อันนี้ขาดลงไปๆ สติปัญญาที่เป็นธรรมอัตโนมัติก็เกิดขึ้นแทนที่ ทีนี้ก็เป็นอันเดียวกัน อันเดียวกันฉันใด คือกิเลสนี้แต่ก่อนเป็นวัฏจักร สร้างเนื้อสร้างตัวของมันในหัวใจของสัตวโลก ให้เกิดแก่เจ็บตาย หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงอย่างนี้ตลอดตั้งกัปตั้งกัลป์มาไม่มีสิ้นสุดยุติลงได้เลย
พอตัวนี้ขาดสะบั้นลงไปแล้ว กามกิเลสนี้ตัวสำคัญ ตัวสร้างภพสร้างชาติมากที่สุดคือตัวกามกิเลส พอตัวนี้ได้ขาดสะบั้นลงไปแล้ว ทีนี้ก็เป็นสติปัญญาอัตโนมัติ คือเป็นไปเองๆ ชำระกิเลสนี้ไม่ต้องมีวันมีคืนมีปีมีเดือน ไม่มีอิริยาบถ อยู่ที่ไหนเป็นเรื่องการชำระสะสางกิเลสโดยอัตโนมัติของสติปัญญาสร้างเนื้อสร้างตัวในขั้นนี้ตลอดไป จนกระทั่งถึงวิมุตติหลุดพ้น ทีนี้เมื่อสร้างไปโดยอัตโนมัติ จากสติปัญญาอัตโนมัตินี้แล้วก็กลายเป็นมหาสติมหาปัญญาเชื่อมโยงถึงกันไปเลย ขั้นสติปัญญาอัตโนมัตินี้ ถ้าหากว่าเราฟันไม้ก็ฟันเป็นบทเป็นบาท ป๊อกๆ แป๊กๆ แต่ทำไม่ถอย แต่ขั้นมหาสติมหาปัญญาแล้วเป็นสติปัญญาที่ซึมซาบไปตลอดเลย นี่เรียกมหาสติมหาปัญญา ทั้งสองประเภทนี้ได้กลมกลืนกันแล้วกิเลสไม่มีทางอยู่เลย
กิเลสคือเป็นความจริงสภาพหนึ่ง มันจะมีมากน้อย เวลาหยาบ ไฟคือตปธรรมได้แก่สติปัญญาเผาลงไปอย่างรุนแรง เช่นเผากามกิเลสนี้เผาแบบฟ้าดินถล่ม พออันนี้พังลงไปแล้วก็เผาแบบกลาง กิเลสแบบกลาง แล้วไฟก็ไฟแบบกลาง คือสติปัญญาธรรมนั้นแหละเป็นไฟเผาไปเรื่อยๆ กิเลสละเอียดขนาดไหน ไฟก็ไหม้ตามกันไปตามความละเอียดของเชื้อไฟคือความจริงทั้งหลายมีกิเลสเป็นสำคัญ จนกระทั่งกิเลสมุดมอดไม่มีอะไรเหลือแล้วไฟก็ดับเอง ไม่มีอะไรเหลือแล้วจะเผาอะไรไฟ ไฟก็เผาเชื้อ เมื่อหมดเชื้อแล้วมันก็ดับเอง
อันนี้กิเลสเป็นเชื้อของไฟคือธรรม เมื่อกิเลสสิ้นซากลงไปแล้ว ไม่มีอะไรเหลือแล้ว ไฟคือธรรมที่จะเผาไหม้ก็ไม่มี นั้นแหละท่านว่าบรรลุบรมสุข ท่านทั้งหลายจะหาบรมสุขครั้งไหน เวลานี้ไปหาที่ไหน หรือหาตามโรงลิเกละครระบำรำโป๊ หามามีเมียมากผัวมาก นั่นเหรอเป็นของวิเศษวิโส พิจารณาให้ดีนะเรื่องเหล่านี้ ธรรมะสอนอย่างนั้นจริงๆ พี่น้องทั้งหลายพิจารณา อย่าลืมเนื้อลืมตัว
เกิดมาตายทิ้งเปล่าๆ ตายจากนี้แล้วมันจะไปเกิดอีก ตัวเชื้อของมันคืออวิชชา นั่นละวัฏจิตวัฏจักรคืออวิชชา แล้วก็สร้างตัวขึ้นมาด้วยกิเลสตัณหา พาเกิดพาตาย ล่มจมอยู่ในนรกมีน้อยเมื่อไร ท่านแสดงไว้ว่ามีกี่หลุม หลุมหนึ่งบริษัทบริวารของในนรกนั้น นรกแต่ละหลุมมีบริวารกี่หลุมๆ ท่านแสดงไว้แล้วในมหาวิบากเต็มไปหมด เห็นด้วยกันทุกคนเรียนมาแล้ว เป็นแต่ความจริงล้วนๆ ไม่มาหลอกลวงสัตว์โลก แต่กิเลสมันหลอกลวงตลอดเวลาว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มีๆ สิ่งที่มีคืออะไร มีแต่ความอยากความทะเยอทะยาน ความลบล้างความจริง มันลบล้างของมันไปตลอดเวลา นี่ละสัตว์โลกจึงไม่มีความอิ่มพอในความหลงความงมงายและความทุกข์ความทรมาน ไปที่ไหนมีแต่ความทุกข์เดือดร้อนเต็มบ้านเต็มเมือง เราไปหาที่ไหนเมืองไหนว่ามีความสุขความเจริญ ไปหาซิน่ะ เอาเหล่านี้ไปหามาแข่งธรรมสักหน่อย
ถ้าธรรมพระพุทธเจ้าเป็นของปลอมจริงๆ แล้วจะไม่ยอมรับพระพุทธเจ้าจะไม่ให้มีในโลกนี้ต่อไป จะให้มีกิเลสครองบ้านครองเมือง พาให้โลกได้รับความสุขความเจริญ แต่กิเลสไปที่ไหนมันเป็นไฟทั้งนั้นมันเจริญที่ไหน พิจารณาซิ ธรรมไปที่ไหนมีแต่ความเจริญรุ่งเรืองผาสุกร่มเย็น แม้ที่สุดผัวเมียอยู่ด้วยกัน จะทุกข์จนหนโลกขนาดไหนก็ตาม เมื่อมีความซื่อสัตย์สุจริตจงรักภักดีฝากเป็นฝากตายต่อกัน ด้วยความเป็นผู้มีผัวเดียวเมียเดียวเท่านั้น ผู้นี้มีความสุขมากกว่ามหาเศรษฐีที่มีเมียเป็นร้อยคนเป็นไหนๆ นี่ละกิเลสมีเมียมากเท่าไรจะหาความสุข มันมีแต่ฟืนแต่ไฟมาเผาไหม้สกุลแหลกเหลวไปหมด ถ้าธรรมมีผัวเดียวเมียเดียว อัปปิจฉตา นั่นฟังซิ ให้มีความมักน้อย ผัวเดียวเมียเดียวพอแล้ว เท่านี้เป็นความสุข ถึงจะทุกข์บ้างก็ทุกข์ธรรมดา ไม่กระทบกระเทือนถึงเรื่องจิตใจระหว่างสามีภรรยาไม่ลงรอยกัน ระแคะระคายกัน อันนั้นเป็นความทุกข์มาก
นี่ละเรื่องของกิเลสมันสร้างตั้งแต่ความทุกข์ขึ้นมา ถ้าธรรมแล้วมีผัวเดียวเมียเดียวพอ ไม่ต้องไปหายุ่งมาจากที่ไหนอีกมาเผากัน ใครๆ มันก็มีเท่ากันไปหาอุตริมาทำไม ของไม่จริงมันหาอวดว่าเป็นของจริง ของจริงมันลบล้างว่าเป็นของปลอมไปหมด ผัวเดียวเมียเดียวนี้มันบกพร่องที่ตรงไหน มันสมบูรณ์แบบแล้ว ผู้ชายคนหนึ่งมันมีอันเดียวเห็นไหม ผู้ชายคนหนึ่งมันมี ๑๐ ควย ๒๐ ควยมีไหม แล้วผู้หญิงคนหนึ่งมันมี ๓๐ หี ๔๐ หีมีไหม มันก็มีหีเดียวควยเดียวเหมือนกับผัวเมียเดียวนั่นแหละไม่ผิดแปลกอะไร เอามาแข่งกันหาอะไร นี่คือธรรมพระพุทธเจ้าตีหน้าผากมันตรงนั้นซิ มันจะไปยุ่งได้ยังไง ของเขากับของเรามันก็เท่ากันๆ ดีดดิ้นไปหาอะไร เพียงเท่านี้อยู่เป็นสุขแล้ว ไม่ต้องดีดต้องดิ้น นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าให้เกิดความสุข
ถ้าเป็นเรื่องของกิเลสแล้วไม่พอ คนนี้ไม่พอ ถึงได้เมียเดียวก็ตาม มันมีมา ๑๐ คนมันจะมีมา ๑๐ หีจะว่าอย่างนั้นนะ ผู้ชายมีคนเดียวควยเดียวก็ตาม เมื่อมี ๑๐ ชายขึ้นมามันจะมี ๑๐ ควย มันจะเอา ๑๐ ควยมาอวด นี่กิเลสมันแข่งธรรมมันแข่งอย่างนั้น ขอให้พี่น้องทั้งหลายจำทุกคน นี่ละของจริงกับของปลอม มันโต้ตอบกันอยู่เวลานี้ โลกของเราจึงได้รับความทุกข์ร้อน เราไปหาซิเอามาแข่งธรรมพระพุทธเจ้าว่า โลกไหนที่มีความสุขเกินกว่าธรรมของพระพุทธเจ้าที่สอนไว้แล้วนี้ที่ไหน ไปโลกไหนมีแต่โลกกิเลสตัณหา มีแต่โลกฟืนโลกไฟเผาไหม้ไปหมด
ไม่ว่าคนมีคนจนคนโง่คนฉลาด กิเลสซึ่งเป็นตัวฟืนตัวไฟเผาไหม้อยู่ภายในจิตในใจ มันหาความสุขไม่ได้นะ อยู่ที่ไหนก็สุมกันอยู่ภายในหัวอกๆ ครั้นเวลามาหากันก็ประดับประดาตกแต่งร้านค้า คือสังขารร่างกายตบแต่งให้สวยงามสุภาพชน แต่งเนื้อแต่งตัวหรูหราฟู่ฟ่า ตามบ้านตามเมืองประดับประดาตกแต่ง มันตกแต่งตั้งแต่ภายนอก ส่วนภายในคือหัวใจนั้นมีแต่ไฟ ความโลภ ความโกรธ ราคะตัณหา ไฟดีดไฟดิ้นเผาอยู่ในหัวใจตลอดทุกคนๆ ไม่มีใครเว้น เว้นแต่ผู้มีธรรมมากน้อย ถ้ามีธรรมมากน้อยจะเป็นคนจนก็ตามคนมีก็ตาม มีความสุขได้คนเรา ถ้าไม่มีธรรมแล้วไปไหนอย่าเอามาอวดพระพุทธเจ้า โลกนี้คือโลกล่มจมด้วยความทุกข์ทั้งนั้นแหละ ถ้าไม่มีธรรมแล้วใครอย่าอวดว่าตัวเป็นคนเก่งคนดิบคนดี ไม่มีดี มีตั้งแต่การเสกสรรปั้นยอกันอย่างนั้นแหละ
นี่พูดถึงเรื่องอรรถเรื่องธรรมให้พี่น้องทั้งหลายได้ฟังว่า ศาสนาของพระพุทธเจ้าท่านเป็นยังไง นี่ก็ได้รื้อมาเทศน์ให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ที่กล่าวมาสักครู่นี้ถึงว่าสติปัญญาอัตโนมัติจนกระทั่งถึงมหาสติมหาปัญญา ฟาดกิเลสขาดสะบั้นลงไปจากจิตใจนี้ หลวงตาได้ปฏิบัติมาแล้วนะ ได้รู้ได้เห็นตามนี้แล้วจึงมาแสดงให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ไม่ได้มาโกหกโลกนะเวลานี้ เราไม่เคยมีโกหกโลก เราสอนโลกด้วยความเมตตาล้วนๆ ไม่มีการว่าแบ่งสันปันส่วนอะไรจากพี่น้องทั้งหลายนี้เลย เราสอนด้วยความเมตตา เพราะฉะนั้นการพูดด้วยความเมตตาจึงพูดได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยตามหลักความจริง ไม่อ้อมค้อม นี้คือธรรม
ภาษาของธรรมต้องพูดอย่างตรงไปตรงมา ถ้าภาษาของกิเลสแล้วอ้อมแอ้มๆ ประจบประแจงเลียแข้งเลียขาไปอย่างนั้น ภายในมันไม่ได้จริง มันหลอกกัน สำหรับธรรมนี้ตรงไปตรงมา ผิดบอกว่าผิด ถูกบอกว่าถูก นี้เราก็ได้ปฏิบัติตัวของเรามาอย่างนี้แล้ว เต็มกำลังความสามารถเป็นเวลา ๙ ปี ถ้าว่าติดคุกมันเลยคุกไปเสียแล้วละ เขาติดคุกติดตะรางกี่ปีก็ตาม เขาไม่ได้มีความทุกข์หนา มีแต่โลกเขาไม่ยอมรับ โลกเขาไม่นิยม โลกเขาไม่นับถือ ก็เรียกว่าอับเฉา เป็นคนขี้คุกขี้ตะรางนักโทษเขาว่าไปอย่างนั้น ความจริงเขาไม่ได้ทุกข์อะไรมากนัก จักตอกเหลาตอกวันหนึ่งได้ ๕ เส้นพอฆ่าเวล่ำเวลาให้ผ่านไปๆ พอถึงวันออกจากคุกจากตะรางเท่านั้น
แต่เราฆ่ากิเลสเราไม่ได้เป็นอย่างนั้น พอตื่นนอนขึ้นมานี้ฟัดกันแล้วกับกิเลส ความโลภ ความโกรธ ความหลง ราคะตัณหามีอยู่ภายในใจ สติปัญญาอยู่ภายในใจ ฟัดกันตลอดเวลาเลย ความอดความอิ่มนี้ไม่ต้องพูดแหละ ความทุกข์ความทรมานแสนสาหัส จนกระทั่งฟาดกิเลสขาดสะบั้นลงไปจากจิตใจ ตั้งแต่เริ่มจิตเป็นสมาธิถึงขั้นปัญญา ปัญญาเฉลียวฉลาดแหลมคมปราดเปรื่องเต็มหัวใจ กิเลสตัวไหนขาดสะบั้นพังไปหมด จนกระทั่งจ้าขึ้นมาเต็มหัวใจในวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ หลังวัดดอยธรรมเจดีย์ จังหวัดสกลนคร เวลา ๕ ทุ่มพอดีเป๋ง นั่นเป็นวันตัดสินเด็ดขาดกับภพกับชาติ ที่เคยเกิดแก่เจ็บตายหามกองทุกข์ตลอดมาตั้งกัปตั้งกัลป์ ได้สิ้นสุดยุติลงแล้วในคืนวันนั้นด้วยธรรมบทว่า
ญาณญฺจ ปน เม ทสฺสนํ อุทปาทิ ที่พระพุทธเจ้าประกาศท้าทายพระเบญจวัคคีย์ทั้งห้า มันก็มาเข้าในหัวใจของเราเต็มดวง ญาณความรู้ความเห็นอันเลิศเลอได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา อกุปฺปา เม วิมุตฺติ ความหลุดพ้นของเราไม่มีการกำเริบแล้ว อยมนฺติมา ชาติ ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา นตฺถิทานิ ปุนพฺภโว บัดนี้เราจะไม่มาเกิดตายแบกหามกองทุกข์อีกต่อไปแล้ว นี่ประกาศป้างขึ้นมาในจิตของคืนวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ เวลา ๕ ทุ่มเป๋งพอดี
ตั้งแต่บัดนั้นมาเราไม่เคยได้มีความคิดแย็บหนึ่งแม้เม็ดหินเม็ดทรายว่า กิเลสได้ขาดสะบั้นลงไปจากใจของเรา ด้วยความประจักษ์ใจประหนึ่งว่าฟ้าดินถล่มในคืนวันนั้น ระหว่างกิเลสกับธรรมขาดสะบั้นจากกัน คือวัฏจักรกับวิวัฏฏจิตขาดสะบั้นจากกันในคืนวันนั้นแล้ว ได้ปรากฏกิเลสขึ้นมาแม้เม็ดหินเม็ดทรายพอให้เราเกิดความสงสัย ไม่เคยมีจนกระทั่งป่านนี้ เพราะฉะนั้น จึงกล้าเทศน์ธรรมของจริงให้พี่น้องทั้งหลายฟังอย่างเต็มหัวใจไม่สะทกสะท้าน ในสามแดนโลกธาตุนี้เราไม่เคยหวั่นกับอะไร เราพูดตามหลักความจริง
พระพุทธเจ้าปฏิบัติมารู้ได้เห็นได้ ธรรมสอนโลกสอนเพื่อให้รู้ให้เห็นเพื่อมรรคผลนิพพานโดยลำดับลำดา ผู้ทรงมรรคผลนิพพานตามพระพุทธเจ้ามามีสาวกเท่าไร พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาเท่าไร แล้วสาวกบรรลุธรรมขึ้นมาเท่าไร ล้วนแล้วตั้งแต่ทรงธรรมเป็นธรรมชาติอันเดียวที่พ้นจากกิเลสด้วยกันๆ เป็นธรรมธาตุๆ เต็มสมบูรณ์แบบด้วยกัน เมื่อจิตก็เป็นธรรมชาติจิตอันเดียวสมควรแก่มรรคผลนิพพานด้วยกันแล้ว ปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าให้ถูกต้องตามสวากขาตธรรมแล้ว เมื่อรู้แล้วเห็นแล้วทำไมจะพูดไม่ได้
กิเลสเต็มโลกธาตุทำไมมันออกเพ่นพ่านตีบ้านตีเมืองตลอด ไม่มีใครขยะแขยงมันบ้างว่ามันเป็นพิษต่อโลกต่อสงสาร ธรรมนี้เป็นคุณต่อโลกต่อสงสารตลอดมาตั้งกัปตั้งกัลป์ เฉพาะอย่างยิ่งพระพุทธเจ้าของเราที่มาตรัสรู้ในแดนมนุษย์นี้แล้ว ๒๕๐๐ กว่าปี ท่านประกาศกังวานมาตั้งแต่พระพุทธเจ้าถึงสาวกอรหันต์ เป็นสรณะของพวกเรามานี้นานเท่าไหน ทำไมหลวงตาบัวจะพูดไม่ได้ ธรรมอันเดียวกัน ปฏิบัติอย่างเดียวกัน รู้อย่างเดียวกัน เห็นอย่างเดียวกัน พูดไม่ได้มีอย่างเหรอ ถ้าพูดไม่ได้ก็แสดงว่าศาสนานี้หมดแล้วจะไม่มีอะไรเหลือ เหลือตั้งแต่กิเลสครองบ้านครองเมือง พร้อมกับเอาไฟเผาบ้านเผาเมืองให้เดือดร้อนวุ่นวายระส่ำระสายตลอดเวลา หาที่ยุติไม่ได้ตลอดไป ไม่ว่าแต่ตลอดมาเลย
ถ้ามีธรรมเข้าสกัดลัดกั้นแล้วจะมีทางออกทางเดินคนเรา แม้ภพชาติจะยืดยาวขนาดไหนก็ตาม เมื่อมีคุณงามความดีประพฤติปฏิบัติตัวให้เป็นคนดีแล้ว จะต้องมีความดีเข้าแทรกเข้าแซง มีสกัดลัดต้อน ภพชาติของตนที่ยืดยาวขนาดไหนก็จะหดย่นเข้ามา ความทุกข์มีมากขนาดไหน อำนาจแห่งบุญแห่งกุศลจะค่อยตัดทอนให้หดย่นเข้ามาๆ ผลสุดท้ายก็ลงในขั้นแน่ใจ เช่นอย่างพระโสดา ท่านสำเร็จเป็นพระโสดาแล้ว อย่างหยาบท่านจะกลับมาเกิดเพียง ๗ ชาติเท่านั้น อย่างกลางมาเกิดเพียง ๓ ชาติ อย่างสุดยอดเรียกว่าอย่างอุกฤษฏ์ก็มาเกิดเพียงชาติเดียว บรรลุถึงนิพพานไปเลย
นี่เรียกว่าบุญกุศลเป็นเครื่องตัดทอนความชั่วช้าลามก ตลอดถึงวัฏจักรที่เราจะแบกหามไปเป็นเวลานาน ให้ขาดสะบั้นเข้ามาๆ จนกระทั่งถึงชาติเดียวแล้วบรรลุมรรคผลนิพพานขึ้นมา ตัดภพชาติกองทุกข์ทั้งหลายด้วยอำนาจแห่งบุญแห่งกรรมที่เราสร้างมาอันดีงามนี้นะ ไม่ใช่ตัดมาได้ด้วยอำนาจแห่งการสร้างบาปมาก โลภมาก โกรธมาก ราคะมาก ตัณหามาก สร้างบาปสร้างกรรมไว้มาก นี้ไม่ได้พาเราไปสวรรค์นิพพานนะ จะพาจมลงในกองทุกข์ตั้งกัปตั้งกัลป์หาวันฟื้นฟูไม่ได้ ขอให้พี่น้องทั้งหลายได้จดจำเสีย
ธรรมพระพุทธเจ้าพึ่งเกิดมานี่หรือ สอนมานานแล้ว หัวใจมันไปอยู่ที่ไหนจึงไม่ยอมรับธรรม มันจะยอมรับตั้งแต่ฟืนแต่ไฟเผาไหม้ไม่มีวันอิ่มพอนั้นเหรอ ให้เตือนตัวเองนะ สิ่งเหล่านี้ให้ถามตัวเองบ้าง ธรรมพระพุทธเจ้าประกาศกังวานอยู่นี้ นี้พูดจริงๆ พูดให้พี่น้องทั้งหลายฟัง จิตใจมันสว่างจ้าครอบโลกธาตุแล้วนี่ ไม่ได้มาพูดเฉยๆ นะ พูดอย่างจริงจังถอดออกมาจากหัวใจมาสอน สอนนี้ สาธุ เราไม่ได้ไปหาคลำเอาตามคัมภีร์นั้นคัมภีร์นี้ คัมภีร์ในคือหลักธรรมชาติอันถูกต้องดีงามพระพุทธเจ้าตรัสรู้มาก่อนแล้ว พระไตรปิฎกเกิดทีหลัง พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก พระอภิธรรมปิฎก พระสุตตันตปิฎก ท่านจาระไนออกไปจากธรรมชาติที่เป็นของจริงภายใน เรียกว่าพระไตรปิฎกใน
พระพุทธเจ้าตรัสรู้พระไตรปิฎกใน พระอรหันต์ตรัสรู้พระไตรปิฎกใน ผู้มาได้ยินได้ฟังแล้วจดจารึกออกไปจึงแยกเป็นปิฎกนั้นปิฎกนี้ ปิฎก แปลว่า ภาชนะ ปิฏกๆ แปลว่า ภาชนะ แยกออกเป็นรับรองพระวินัย รับรองพระสูตร รับรองพระปรมัตถ์ ท่านถึงแยกออกเป็น ๓ พระไตรปิฎก แต่ก่อนท่านไม่ได้พูดว่าปิฎกใดๆ ธรรมตรัสรู้ปึ๋งขึ้นมาภายใน นั้นแหละคือธรรมแท้ พระอรหันต์ท่านก็ตรัสรู้ธรรมอย่างนั้น แล้วก็แยกออกมา นี้เวลาเทศนาว่าการเราจึงไม่ไปหาคัมภีร์ที่ไหน ถอดออกมาจากหัวใจนี้เลย เพราะได้ผ่านกันอยู่ที่นี่ สนามรบทั้งความโง่ความฉลาดอยู่ที่หัวใจ ระหว่างกิเลสกับธรรมฟัดกัน กิเลสทำคนให้โง่ ธรรมนั้นทำคนให้ฉลาด ฟัดกันที่หัวใจ เมื่อกิเลสขาดสะบั้นลงไปแล้ว ความฉลาดหรือไม่ฉลาดมันก็รู้ตัวของมันเอง นำธรรมประเภทนี้เองมาสอนพี่น้องทั้งหลายเวลานี้
เราไม่ได้ไปด้นเดาเกาหมัดที่ไหนมาสอนนะ เราอาจหาญเต็มที่ที่จะมาสอนโลกเวลานี้ เอ้า ใครขัดข้องตรงไหนถามมาเรื่องมรรคผลนิพพาน เราพูดจริงๆ อย่างนี้นะ มันครองไว้หมดเต็มหัวใจครอบโลกธาตุจะว่าอะไร ถ้าเป็นแสงแพรวพราวเหมือนพระอาทิตย์นี้เผาคนในวัดอโศการามนี้แหลกหมด มันเผาไปหมด แต่นี้ธรรมไม่ใช่ไฟ มันเย็นฉ่ำไปหมด เขาไม่เย็น-เย็นแต่เราก็พอแล้ว พวกนั้นจะร้อนขนาดไหนก็ตามคนอื่น ร้อนเพราะมีผัวมากเมียมากเราไม่สนใจ เราไม่มีผัวมีเมียกับใคร เรามี เอโก ธมฺโม ธรรมอันเดียวครองใจแล้วเราเป็นที่พอใจ สบายไปเลย
ท่านทั้งหลายได้ฟังหรือยังวันนี้ ธรรมของจริง พระพุทธเจ้าสอนโลกมานานแสนนาน ยังเห็นว่าเป็นโมฆะอยู่เหรอ ยังเห็นว่าเป็นเศษกระดาษอยู่เหรอ เห็นว่าเป็นตำราอยู่เหรอ ไม่เห็นว่าเป็นธรรมเหรอ เห็นเป็นของจริงตั้งแต่ความโลภ ความโกรธ ความหลง ราคะตัณหา ที่เอาไฟเผากันทั้งโลกเวลานี้เหรอ นี้เหรอของจริง ถ้ามันมากกว่านี้แล้วโลกนี้จะพินาศฉิบหายถ้าไม่มีใครยอมรับความจริง
วันนี้เทศนาว่าการก็รู้สึกว่าเหน็ดเหนื่อย เพราะเทศน์ไปๆ ตอนก่อนมาเทศน์นี้ก็ได้เทศน์ที่กุฏิแล้ว นั่นละธรรมมันเข้าถึงใจมันผึงออกเองนะ มีเท่าไรพุ่งออกมาๆ พอเทศน์แล้วเครื่องมือคือร่างกายมันอ่อนเปียกจนจะเทศน์ไม่ได้ กลับมานี้จึงมาพยุง เรียกว่าดับเครื่องครู่หนึ่งประมาณ ๓๐ นาทีแล้วจึงได้มาเริ่มติดเครื่องใหม่ เพราะฉะนั้นเครื่องนี้จึงไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ทั้งๆ ที่ธรรมนี้เต็มหัวใจตลอดเวลา แต่การแสดงออกมาให้พี่น้องทั้งหลายทราบ ต้องอาศัยเครื่องมือคือร่างกายนี้ กำลังร่างกายอ่อนเปียกลงไปแล้วเวลานี้ การเทศนาว่าการจึงไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย สมใจที่มีความเมตตาต่อพี่น้องทั้งหลาย อยากเทศนาว่าการของจริงแห่งธรรมพระพุทธเจ้า ที่ทรงไว้ในหัวใจคงเส้นคงวาตลอดมาได้ ๕๑ ปีนี้ไม่สะทกสะท้านต่อสิ่งใด จึงได้แสดงให้พี่น้องทั้งหลายฟัง
ใครจะฟังเป็นมงคลก็ให้ฟัง ใครฟังอยากให้เป็นไฟเผาตัวเองก็ให้เพิ่มเข้าไป อันนี้ไม่มีใครช่วยได้นะ เราเกิดมาเราต้องช่วยตัวเองทุกคนๆ เราทำชั่วเราต้องเป็นทุกข์ ความทุกข์นั้นละจะบีบบี้สีไฟเราผู้ทำ เราทำความดี ความดีจะเป็นความสุขความเจริญรุ่งเรืองในหัวใจของเรา ให้ยึดเอาอรรถเอาธรรมนี้ไปประพฤติปฏิบัตินะ เรื่องมรรคเรื่องผลเราไม่ต้องถามว่ามีหรือไม่มี กิเลสกับธรรมนี้อยู่ที่หัวใจดวงเดียวกัน กิเลสก็อยู่ในหัวใจ ธรรมก็อยู่ในหัวใจ เปิดกิเลสออกแล้วธรรมก็จ้าขึ้นมาๆ
เหมือนกับสระใหญ่ที่เต็มไปด้วยน้ำ แต่ถูกจอกแหนคือกิเลสปกคลุมเอาไว้เท่านั้น เวลาเปิดจอกเปิดแหนคือเปิดกิเลสออก ความชั่วช้าลามกออก เจริญธรรมขึ้นภายในใจ ธรรมก็จะจ้าขึ้นภายในใจ ความสุขความสงบเย็นใจจะปรากฏขึ้นมา แล้วจะปรากฏขึ้นในหัวใจเต็มเม็ดเต็มหน่วย จนกระทั่งกิเลสขาดสะบั้นออกไปหมด คือ จอกแหนในสระนั้นออกหมดแล้ว น้ำจ้าขึ้นมาเลยทีเดียว นี่ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อกิเลสหลุดพ้นไปจากใจโดยสิ้นเชิงแล้วไม่ต้องถามหาธรรม ธรรมอยู่ที่ไหน
พระพุทธเจ้าท่านเห็นธรรมเห็นที่ไหน เห็นที่จิต จิตกับธรรมเป็นอันเดียวกันแล้วไม่ต้องถามพระพุทธเจ้า ใครตรัสรู้ขึ้นมารู้อย่างเดียวกันหมด ท่านยกให้เป็น สนฺทิฏฺฐิโก อันเดียวกัน รู้อย่างเดียวกัน เห็นอย่างเดียวกัน แล้วถามกันหาอะไรเพราะธรรมประเภทเดียวกัน การแสดงธรรมวันนี้ก็รู้สึกว่าเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้า วันนี้เป็นวันเผาศพท่านเจ้าคุณ ให้นำนิมิตที่เป็นมงคลของพวกเราทั้งหลายไปพินิจพิจารณา วันนี้ท่านตายวันนี้เผาศพท่าน วันต่อไปเวลาใดก็ได้จะต้องเผาศพเราทุกคนที่นั่งเต็มกันอยู่นี้ทุกคน แม้ที่สุดหลวงตาบัวก็ไม่พ้น ถึงวันแล้วอาจจะได้เผาได้ฝังด้วยวิธีการต่างๆ ตามแต่บุญแต่กรรมของแต่ละรายที่ตาย จะต้องเก็บต้องเผาวิธีใดเท่านั้นเอง
แต่เรื่องความแน่นอนคือตาย ตายแล้วความแน่นอนของการเกิดอีก ก็เป็นความแน่นอนเช่นเดียวกับการตายอีกนั้นเอง คือตายนี้แล้วจิตมันไม่ตาย ตายนี้แล้วจิตออกจากร่างที่หมดสภาพแล้วไปก่อใหม่ขึ้นมา ก่อใหม่ก็ต้องอาศัยวิบากกรรม ใครมีบุญมีบาปก็ต้องไปเกิดตามบุญตามบาปของตนที่มีมากน้อย ใครมีบาปหนักบาปหนาคนนั้นก็ไปจมในนรก นรกมีอยู่แล้วตั้งกัปตั้งกัลป์ เราสงสัยที่ไหน ไปลบล้างที่ไหน พระพุทธเจ้าตรัสรู้มากี่องค์ไม่เห็นมาลบล้างนรกได้ เราเป็นคนมีอำนาจบาตรหลวงเหนือโลกมาจากที่ไหน จึงจะไปลบล้างนรกว่าไม่ให้มี ไม่ให้เผาเรา ทั้งๆ ที่เราสร้างกรรมหนักหนาไม่มีใครสู้เลยแล้ว แต่ลบล้างนรกได้อย่างสบายไม่เคยมีในสถานที่ใด อย่ามาอุตริในเมืองไทยซึ่งเป็นเมืองพุทธเรานะถ้าไม่อยากจม
ถ้าระวัง ไม่อยากจมให้เชื่อธรรมพระพุทธเจ้า ธรรมพระพุทธเจ้าไม่เคยหลอกลวงสัตว์ผู้ใดรายใดตัวใดให้ล่มจม แต่กิเลสนี้หลอกลวงตลอดเวลา เอาให้จมได้ไม่สงสัย แต่สัตว์โลกไม่เข็ดหลาบเท่านั้นเอง จึงได้ยอมทนทุกข์ทรมานมาอย่างที่ว่ามานี้เอง นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าจริงจังอย่างนี้ มีผลเสมอกัน ทำบาปเป็นบาป ทำบุญเป็นบุญเสมอกัน ท่านแสดงว่า อกาลิโก อกาลิโก แปลว่ายังไง ในธรรมคุณเราก็สวดไม่ใช่หรือ สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม ยกขึ้นว่า อกาลิโก เป็นยังไง สนฺทิฏฺฐิโก คือผู้ปฏิบัตินั้นแลจะเป็นผู้เห็นเองรู้เอง อกาลิโก ธรรมมีอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว เลือกกาลเลือกสถานที่ที่ไหน แล้วกิเลสมันก็มีตลอดเวลา สร้างกิเลสให้เป็นกิเลสเมื่อไรมันก็เป็น สร้างบาปสร้างกรรมเมื่อไร เป็นบาปเป็นกรรมเป็นทุกข์ขึ้นมาแก่เราเมื่อนั้น เราสร้างบุญสร้างกุศลเป็นบุญเป็นกุศลแก่เราเมื่อนั้น จึงมีผลเสมอกัน
ระหว่างกิเลสกับธรรมไม่มีอะไรยิ่งหย่อน อะไรจะว่าเรียวว่าแหลมมันเป็นเรื่องของกิเลสหลอกลวงต้มตุ๋นคน ว่าเวลานี้ศาสนาเรียวแหลม ศาสนาไม่มีมรรคมีผล ไม่มีล่ะซิ กิเลสไปปิดไว้ๆ มีแต่สร้างตัวกิเลสขึ้นมา ความโลภ ความโกรธ ความหลง ให้เป็นไฟเผาไหม้หัวใจโลก มันเป็นยังไงมันสูญไปไหม ไอ้เรื่องความทุกข์ร้อนของโลกที่กิเลสสร้างขึ้นมามันสูญไปไหม มันทำไมมาสูญตั้งแต่เรื่องธรรมที่จะสร้างคุณงามความดีเป็นสิริมงคลแก่โลกนี้ ว่ามรรคผลนิพพานสูญไป แต่กิเลสมันสร้างฟืนสร้างไฟเผาโลกมันสูญไปไหม ให้ถามกันซิ ไม่อย่างนั้นไม่มีทางออกนะ จะตายจมกันอยู่นี้ตลอดเวลา
อกาลิโก อกาลิโก เป็นได้ทั้งทางอรรถทางธรรมทางกิเลสตัณหา ใครสร้างหนักทางไหนก็เป็นผลเสมอกันไปเลย ถ้ากรรมทางดีหนักมากกิเลสก็พังๆ ถ้ากิเลสมากธรรมก็พัง จมลงนรกนะ บาป บุญ นรก สวรรค์ พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์สอนไว้แบบเดียวกัน อย่าพากันอาจหาญชาญชัย อย่าพากันอวดดีกับพระพุทธเจ้านะ แล้วพวกที่อวดดีแบบนี้ละที่มันจะจม ให้ระวังไว้ตั้งแต่บัดนี้ต่อไปนะ
วันนี้การเทศนาว่าการก็ได้พูดถึงพี่น้องทั้งหลาย ให้ได้นำเรื่องของท่านเจ้าคุณเทพโมลีนี้ไปเป็นที่ระลึก เราจะตายด้วยกันทั้งนั้นแหละ ไม่มีใครเว้นไปได้แม้แต่รายเดียว ให้รีบสร้างคุณงามความดี ใจไม่ตาย พอออกจากร่างนี้แล้วจะไปเกิดตามบุญตามกรรมของตน ผู้มีบาปไปทางบาป ตกนรกหมกไหม้ ผู้มีบุญไปทางบุญจนกระทั่งถึงมรรคผลนิพพานไม่สงสัย นี่เป็นสมบัติอันดีงามของใจ ส่วนบาปนั้นเป็นข้าศึกศัตรูต่อใจ ให้พากันละเว้นให้ห่างไกล ใจนี้ไม่เคยตาย ใจไม่เคยมีป่าช้า เมื่อเวลาบริสุทธิ์เต็มที่แล้วก็เป็นธรรมธาตุ
ดังพระพุทธเจ้าว่านิพพานเที่ยงๆ อะไรเที่ยง ก็คือใจดวงนี้ปราศจาก อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ไม่มีอะไรเข้าไปรบกวน เป็นใจที่คงเส้นคงวาหนาแน่น เรียกว่าใจเที่ยง นั่นละใจของท่านผู้ทรงวิมุตติหลุดพ้น ใจผู้ทรงธรรมธาตุเป็นผู้หลุดพ้นเรียบร้อยแล้ว ใจนี้ก็ไม่ตาย เป็นธรรมธาตุอย่างนี้ จึงขอให้พี่น้องทั้งหลายได้จดจำเอา
วันนี้การแสดงธรรมก็เห็นว่าสมควรแก่ธาตุแก่ขันธ์กำลังวังชาและเวล่ำเวลา ขอความสวัสดีจงมีแก่บรรดาพี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ
เปิดดูข้อมูล วันต่อวัน ทันต่อเหตุการณ์ หลวงตาเทศน์ถึงเรื่องอะไร ทาง internet
www.luangta.com
** ท่านผู้เข้าชมทุกท่านโปรดทราบ
เนื่องจากกัณฑ์เทศน์บางกัณฑ์มีความยาวค่อนข้างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ ขอแนะนำให้ทุกท่านได้อ่านเนื้อหากัณฑ์เทศน์บางส่วนจากเว็บไซต์ และให้ทำการดาวน์โหลดไฟล์กัณฑ์เทศน์ที่มีนามสกุล .pdf ไปเก็บไว้ในเครื่องของท่านแทนการอ่านเนื้อหาทั้งหมดจากเว็บไซต์
วันอังคารที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2554
รวมศูนย์รับบริจาคเงิน-สิ่งของ ช่วยน้ำท่วมภาคใต้
รวมศูนย์รับบริจาคเงิน-สิ่งของ ช่วยน้ำท่วมภาคใต้
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ภาคใต้อ่วมอีกครั้ง! หลังพายุฝนตกหนักหลายวัน ทำให้หลายพื้นที่ทางภาคใต้ของประเทศไทยน้ำท่วมหนัก ถนนไม่สามารถสัญจรไปมาหลายสาย ประชาชนหลายครอบครัวบ้านพัง ไร้ที่อยู่อาศัย พื้นที่เกษตรเสียหายหลายร้อยไร่ และบางบ้านถึงกับจะสิ้นเนื้อประดาตัว เพราะน้ำเพิ่งจะท่วมไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ผ่านไปไม่กี่เดือนก็ท่วมอีกแล้ว!!! แถมรายงานข่าวแจ้งอีกว่า ครั้งนี้ท่วมหนักกว่าปลายปีที่ผ่านมาซะอีก
อย่างไรก็ตาม ได้มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและเอกชนเข้าไปให้ความช่วยเหลือพี่น้องทางภาคใต้บางส่วนแล้ว แต่ก็ยังไม่ทั่วถึง และขณะนี้ยังมีหลายพื้นที่ต้องการความช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นเงิน สิ่งของต่าง ๆ กระปุกดอทคอม จึงขอเป็นสื่อกลางรวมสถานที่ขอบริจาคเพื่อนำไปช่วยเหลือพี่น้องที่เดือดร้อนทางภาคใต้ค่ะ โดยท่านใดสนใจที่จะบริจาคสิ่งของ หรือเงิน เพื่อช่วยบรรเทาทุกข์ของผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้ สามารถเลือกบริจาค หรือต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ตามรายละเอียดข้างล่างที่ทีมงานรวบรวมไว้ได้เลยค่ะ
1. สำนักนายกรัฐมนตรี
ชื่อบัญชี "กองทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัยสำนักนายกรัฐมนตรี”
ธนาคารกรุงไทย สาขารทำเนียบรัฐบาล
บัญชีออมทรัพย์ เลขที่ 067-0-06895-0
2. สภากาชาดไทย
ชื่อบัญชี "สภากาชาดไทย ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย" ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาสภากาชาดไทย บัญชีกระแสรายวัน หมายเลขบัญชี 045-304190- 6 โดยหลังบริจาคแล้วสามารถแฟกซ์ใบนำฝาก พร้อมชื่อที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ ส่งถึงหัวหน้าฝ่ายการเงิน สำนักงานการคลัง สภากาชาดไทย โทรสาร 0 2256 4069 หรือที่ finance@redcross.or.th
หรือสามารถนำสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภค ไปบริจาคได้ที่สำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ โทรศัพท์ 0 2251 7614-5 โดยชุดธารน้ำใจสำหรับบรรเทาทุกข์ผู้ประสบอุทกภัยและดินถล่ม 1 ชุดประกอบด้วย
ข้าวสาร (5กก. )1 ถุง / ข้าวหอมมะลิกระป๋อง (150 กรัม) 6 กระป๋อง / บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป (55 กรัม) 30 ซอง / ปลากระป๋อง (155 กรัม) 6 กระป๋อง / ผักกาดดอง (140 กรัม) 6 กระป๋อง / ปลาราดพริก (155 กรัม) 6 กระป๋อง / น้ำพริก (50 กรัม) 2 กระปุก / ไก่ทอดกระเทียม (80 กรัม) 2 กระป๋อง / เครื่องดื่มช็อกโกแลตผงปรุงสําเร็จรูป 35 กรัม (1x 6 ซอง) 2 ห่อ / น้ำดื่ม 600cc. (1x 12 ขวด) 1 แพ็ค / ไฟฉายพร้อมถ่าน 1 กระบอก / เทียนไข (1x2 แท่ง) 1กล่อง / ไฟแช็ก 1 อัน / โลชั่นทากันยุง (40 กรัม) 1 ขวด / ยาชุดสามัญประจําบ้าน 1 ชุด / ยาแก้น้ำกัดเท้า (10 กรัม) 1 หลอด / เกลือไอโอดีน (500 กรัม) 1 ถุง/ ถุงดำใหญ่และเล็ก เพื่อใส่ขยะอย่างละ 6 ใบ
3. มูลนิธิสยามกัมมาจล – ไทยพาณิชย์
ชื่อบัญชี "มูลนิธิสยามกัมมาจล-ไทยพาณิชย์เพื่อผู้ประสบภัยภาคใต้"
ธนาคารไทยพาณิชย์ เลขที่111-3-91657-8 ฟรีค่าโอนข้ามเขต ลดภาษีได้
4. SpringNewsTV : สปริงนิวส์
ชื่อบัญชี "ร่วมมือร่วมใจเพื่อผู้ประสบภัย" ธนาคารกรุงเทพ สาขาถนนวิภาวดีรังสิต เลขที่ 196-0-75084-0 หรือบริจาคสิ่งของ น้ำดื่ม อาหารแห้ง (ขอของที่จำเป็นจริง ๆ) นำมาบริจาคได้ที่ สถานีฯ สปริงนิวส์ อาคารเล้าเป้งง้วน ชั้น 11 ถ.วิภาวดีรังสิต
5. อาสาดุสิต
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ อาสาดุสิต http://arsadusit.com/891
6. สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส - เครือโรงพยาบาลกรุงเทพ
สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส - เครือโรงพยาบาลกรุงเทพ จัดตั้ง "ศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้" สำหรับผู้สนใจที่จะร่วมบริจาคสามารถบริจาคเงินและสิ่งของอุปโภคบริโภคต่าง ๆ ได้ตั้งแต่วันนี้ ณ บริเวณด้านหน้าอาคารทับวิภา สำนักงานใหญ่สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส เลขที่ 99 หมู่14 ถ.วิภาวดีรังสิต สอบถามเพิ่มเติมที่ โทรศัพท์ 0-2265 5868 – 9
7. Thai PBS
ThaiPBS เชิญบริจาคช่วยน้ำท่วมภาคใต้ บัญชี "มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย" ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาเทเวศร์ บัญชีออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 020-2-53333-8
หรือถ้าพี่น้องภาคใต้ ต้องการแจ้งขอความช่วยเหลือและปัญหาน้ำท่วมภาคใต้ ติดต่อศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยทีวีไทย ได้ที่ โทร.02-791-1113 หรือ 02-791-1385-7
ทั้งนี้ ทีมงานกระปุกดอทคอม ขอเป็นตัวแทนขอบคุณทุก ๆ น้ำใจที่ร่วมด้วยช่วยกันบริจาคนะคะ คนไม่ทิ้งกันยามเดือดร้อนจริง ๆ ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ
ศูนย์ข้อมูล ข่าวน้ำท่วม ร่วมส่งแรงใจ ช่วยเหลือผู้ประสบภัยคลิกเลย
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ภาคใต้อ่วมอีกครั้ง! หลังพายุฝนตกหนักหลายวัน ทำให้หลายพื้นที่ทางภาคใต้ของประเทศไทยน้ำท่วมหนัก ถนนไม่สามารถสัญจรไปมาหลายสาย ประชาชนหลายครอบครัวบ้านพัง ไร้ที่อยู่อาศัย พื้นที่เกษตรเสียหายหลายร้อยไร่ และบางบ้านถึงกับจะสิ้นเนื้อประดาตัว เพราะน้ำเพิ่งจะท่วมไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ผ่านไปไม่กี่เดือนก็ท่วมอีกแล้ว!!! แถมรายงานข่าวแจ้งอีกว่า ครั้งนี้ท่วมหนักกว่าปลายปีที่ผ่านมาซะอีก
อย่างไรก็ตาม ได้มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและเอกชนเข้าไปให้ความช่วยเหลือพี่น้องทางภาคใต้บางส่วนแล้ว แต่ก็ยังไม่ทั่วถึง และขณะนี้ยังมีหลายพื้นที่ต้องการความช่วยเหลือ ไม่ว่าจะเป็นเงิน สิ่งของต่าง ๆ กระปุกดอทคอม จึงขอเป็นสื่อกลางรวมสถานที่ขอบริจาคเพื่อนำไปช่วยเหลือพี่น้องที่เดือดร้อนทางภาคใต้ค่ะ โดยท่านใดสนใจที่จะบริจาคสิ่งของ หรือเงิน เพื่อช่วยบรรเทาทุกข์ของผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้ สามารถเลือกบริจาค หรือต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม ตามรายละเอียดข้างล่างที่ทีมงานรวบรวมไว้ได้เลยค่ะ
1. สำนักนายกรัฐมนตรี
ชื่อบัญชี "กองทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัยสำนักนายกรัฐมนตรี”
ธนาคารกรุงไทย สาขารทำเนียบรัฐบาล
บัญชีออมทรัพย์ เลขที่ 067-0-06895-0
2. สภากาชาดไทย
ชื่อบัญชี "สภากาชาดไทย ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย" ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาสภากาชาดไทย บัญชีกระแสรายวัน หมายเลขบัญชี 045-304190- 6 โดยหลังบริจาคแล้วสามารถแฟกซ์ใบนำฝาก พร้อมชื่อที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ ส่งถึงหัวหน้าฝ่ายการเงิน สำนักงานการคลัง สภากาชาดไทย โทรสาร 0 2256 4069 หรือที่ finance@redcross.or.th
หรือสามารถนำสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภค ไปบริจาคได้ที่สำนักงานบรรเทาทุกข์และประชานามัยพิทักษ์ โทรศัพท์ 0 2251 7614-5 โดยชุดธารน้ำใจสำหรับบรรเทาทุกข์ผู้ประสบอุทกภัยและดินถล่ม 1 ชุดประกอบด้วย
ข้าวสาร (5กก. )1 ถุง / ข้าวหอมมะลิกระป๋อง (150 กรัม) 6 กระป๋อง / บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป (55 กรัม) 30 ซอง / ปลากระป๋อง (155 กรัม) 6 กระป๋อง / ผักกาดดอง (140 กรัม) 6 กระป๋อง / ปลาราดพริก (155 กรัม) 6 กระป๋อง / น้ำพริก (50 กรัม) 2 กระปุก / ไก่ทอดกระเทียม (80 กรัม) 2 กระป๋อง / เครื่องดื่มช็อกโกแลตผงปรุงสําเร็จรูป 35 กรัม (1x 6 ซอง) 2 ห่อ / น้ำดื่ม 600cc. (1x 12 ขวด) 1 แพ็ค / ไฟฉายพร้อมถ่าน 1 กระบอก / เทียนไข (1x2 แท่ง) 1กล่อง / ไฟแช็ก 1 อัน / โลชั่นทากันยุง (40 กรัม) 1 ขวด / ยาชุดสามัญประจําบ้าน 1 ชุด / ยาแก้น้ำกัดเท้า (10 กรัม) 1 หลอด / เกลือไอโอดีน (500 กรัม) 1 ถุง/ ถุงดำใหญ่และเล็ก เพื่อใส่ขยะอย่างละ 6 ใบ
3. มูลนิธิสยามกัมมาจล – ไทยพาณิชย์
ชื่อบัญชี "มูลนิธิสยามกัมมาจล-ไทยพาณิชย์เพื่อผู้ประสบภัยภาคใต้"
ธนาคารไทยพาณิชย์ เลขที่111-3-91657-8 ฟรีค่าโอนข้ามเขต ลดภาษีได้
4. SpringNewsTV : สปริงนิวส์
ชื่อบัญชี "ร่วมมือร่วมใจเพื่อผู้ประสบภัย" ธนาคารกรุงเทพ สาขาถนนวิภาวดีรังสิต เลขที่ 196-0-75084-0 หรือบริจาคสิ่งของ น้ำดื่ม อาหารแห้ง (ขอของที่จำเป็นจริง ๆ) นำมาบริจาคได้ที่ สถานีฯ สปริงนิวส์ อาคารเล้าเป้งง้วน ชั้น 11 ถ.วิภาวดีรังสิต
5. อาสาดุสิต
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมที่ อาสาดุสิต http://arsadusit.com/891
6. สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส - เครือโรงพยาบาลกรุงเทพ
สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส - เครือโรงพยาบาลกรุงเทพ จัดตั้ง "ศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยภาคใต้" สำหรับผู้สนใจที่จะร่วมบริจาคสามารถบริจาคเงินและสิ่งของอุปโภคบริโภคต่าง ๆ ได้ตั้งแต่วันนี้ ณ บริเวณด้านหน้าอาคารทับวิภา สำนักงานใหญ่สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส เลขที่ 99 หมู่14 ถ.วิภาวดีรังสิต สอบถามเพิ่มเติมที่ โทรศัพท์ 0-2265 5868 – 9
7. Thai PBS
ThaiPBS เชิญบริจาคช่วยน้ำท่วมภาคใต้ บัญชี "มูลนิธิอาสาเพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ยามยาก สภากาชาดไทย" ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาเทเวศร์ บัญชีออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 020-2-53333-8
หรือถ้าพี่น้องภาคใต้ ต้องการแจ้งขอความช่วยเหลือและปัญหาน้ำท่วมภาคใต้ ติดต่อศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยทีวีไทย ได้ที่ โทร.02-791-1113 หรือ 02-791-1385-7
ทั้งนี้ ทีมงานกระปุกดอทคอม ขอเป็นตัวแทนขอบคุณทุก ๆ น้ำใจที่ร่วมด้วยช่วยกันบริจาคนะคะ คนไม่ทิ้งกันยามเดือดร้อนจริง ๆ ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ
ศูนย์ข้อมูล ข่าวน้ำท่วม ร่วมส่งแรงใจ ช่วยเหลือผู้ประสบภัยคลิกเลย
"สามเหลี่ยมชีวิต" วิธีรอดตายจากแผ่นดินไหว
"สามเหลี่ยมชีวิต" วิธีรอดตายจากแผ่นดินไหว
FROM DOUG COPP'S ARTICLE ON THE "TRIANGLE OF LIFE"
จากบทความของดัก คอบบ์ เรื่อง "สามเหลี่ยมชีวิต"
Edited for MAA Safety Committee brief
เรียบเรียงสำหรับการสรุปให้คณะกรรมการด้านความปลอดภัย MAA
My name is Doug Copp. I am the Rescue Chief and Disaster Manager of the American Rescue Team International (ARTI), the world's most experienced rescue team. The information in this article will save lives in an earthquake.
ผมชื่อ ดัก คอบบ์ ผมเป็นหัวหน้าหน่วยกู้ภัยและผู้จัดการด้านพิบัติภัยของทีมกู้ภัยนานาชาติแห่งสหรัฐฯ ซึ่ง
เป็นทีมกู้ภัยที่มีประสบการณ์มากที่สุดในโลก ข้อมูลในบทความนี้จะช่วยชีวิตคนในกรณีแผ่นดินไหว
I have crawled inside 875 collapsed buildings, worked with rescue teams from 60 countries, founded rescue teams in several countries, and one of the United Nations experts in Disaster Mitigation for two years. I have worked at every major disaster in the world since 1985.
ผมเคยคลานเข้าไปในตึกที่ถล่มมา 875 ตึก เคยทำงานกับหน่วยกู้ภัยจาก 60 ประเทศ ก่อตั้งหน่วยกู้ภัย ในหลายประเทศ และเป็นเหนึ่งในผู้เชี่ยวชาญด้านการอพยพผู้คนกรณีเกิดพิบัติภัยขององค์การ สหประชาชาติมา 2 ปี ผมได้ทำงานกับพิบัติภัยใหญ่ๆ ในโลกมาตั้งแต่ปี 1985
In 1996 we made a film, which proved my survival methodology to be correct. We collapsed a school and a home with 20 mannequins inside. Ten mannequins did "duck and cover," and the other ten mannequins used my "triangle of life" survival method. After the simulated earthquake, we crawled through the rubble and entered the building to film and document the results. The film showed that there would have been zero percent survival for those doing duck and cover; and 100 percent survivability for people using my method of the "triangle of life."
เมื่อปี 1996 เราได้ทำภาพยนตร์ขึ้นมาเรื่องหนึ่งซึ่งได้พิสูจน์ว่าวิธีการรักษาชีวิตของผมถูกต้อง เราได้
ถล่มโรงเรียนและบ้านที่มีหุ่นมนุษย์ 20 ตัวอยู่ภายใน หุ่น 10 ตัว "มุดและหาที่กำบัง" และอีกสิบตัวใช้วิธีการรักษาชีวิตแบบ "สามเหลี่ยมชีวิต" ของผม หลังจากแผ่นดินไหวทดลอง เราคลานผ่านซากปรักหักพังและเข้าไปในตึกเพื่อถ่ายภาพและเก็บข้อมูลของผลที่ เกิด ในภาพยนต์แสดงให้เห็นว่าอัตราการอยู่รอด ของพวกที่มุดและหาที่กำบังคือศูนย์ และโอกาสรอด 100% สำหรับพวกที่ใช้วิธี "สามเหลี่ยมชีวิต" ของผม
This film has been seen by millions of viewers on television in Turkey and the rest of Europe, and it was seen in the USA , Canada and Latin America on the TV program.
ภาพยนตร์ชุดนี้ได้ผ่านสายตาของผู้ชมโทรทัศน์เป็น ล้านๆ คนในตุรกี และส่วนที่เหลือของยุโรป เคยออกอากาศทางโทรทัศน์ในสหรัฐอเมริกา คานาดา
และลาตินอเมริกา
The first building I ever crawled inside of was a school in Mexico City during the 1985 earthquake. Every child was under its desk. Every child was crushed to the thickness of their bones. They could have survived by lying down next to their desks in the aisles.
ตึกแห่งแรกที่ผมได้คลานเข้าไปคือโรงเรียนแห่ง หนึ่งในเมืองเม็กซิโกซิตี้ในแผ่นดินไหวปี 1985 เด็กทุก คนอยู่ใต้โต๊ะเรียน เด็กทุกคนถูกอัดแบนจนกระดูกแหลก พวกเขาอาจจะมีชีวิตรอดด้วยการนอนราบกับพื้น ตรงบริเวณทางเดินข้างๆ โต๊ะเรียนของตัวเอง
At that time, the children were told to hide under something. Simply
stated, when buildings collapse, the weight of the ceilings falling upon the objects or furniture inside crushes these objects, leaving a space or void next to them. This space is what I call the "triangle of life". The larger the object, the stronger, the less it will compact. The less the object compacts, the larger the void, the greater the probability that the person who is using this void for safety will not be injured.
ในเวลานั้น เด็กๆ ได้รับคำแนะนำให้หลบใต้อะไรบางอย่าง อธิบายอย่างง่ายๆ เมื่อตึกถล่ม น้ำหนัก
ของเพดานที่ตกลงมาบนสิ่งของหรือเครื่องเรือนที่อยู่ภายในจะทับทำลายสิ่งของเหล่านั้น เหลือที่ว่างหรือ
ช่องว่างข้างๆ มัน ที่ว่างเหล่านี้คือสิ่งที่ผมเรียกว่า "สามเหลี่ยมชีวิต" สิ่งของชิ้นยิ่งใหญ่ ยิ่งแข็งแรง
โอกาสถูกทับอัดยิ่งน้อย โอกาสที่สิ่งของถูกทับอัดยิ่งน้อย ช่องว่างก็จะยิ่งใหญ่ขึ้น
โอกาสที่คนที่อาศัยช่องว่างเหล่านั้นหลบภัยจะไม่เป็นอันตรายก็ยิ่งมาก
The next time you watch collapsed buildings, on television, count the "triangles" you see formed. They are everywhere. It is the most common shape.
ครั้งต่อไปที่คุณดูอาคารที่ถล่มในโทรทัศน์ ลองนับ "สามเหลี่ยม" ที่เกิดขึ้นที่คุณเห็นดู มันทีอยู่เต็มไปหมดทุกที่ เป็นรูปทรงที่เห็นได้มากที่สุดอยู่ทั่วไป
TEN TIPS FOR EARTHQUAKE SAFETY
สิบวิธีเพื่อความปลอดภัยยามแผ่นดินไหว
1) Almost everyone who simply "ducks and covers" when buildings collapse are crushed to death. People who get under objects, like desks or cars, are crushed.
1) เกือบทุกคนที่ "มุดและหาที่กำบัง" เมื่ออาคารถล่มถูกทับอัดจนตาย คนที่เข้าไปอยู่ใต้สิ่งของ อาทิ
โต๊ะหรือรถยนต์ถูกอัดทับ
2) Cats, dogs and babies often naturally curl up in the fetal position. You should too in an earthquake. It is a natural safety/survival instinct. You can survive in a smaller void. Get next to an object, next to a sofa, next to a large bulky object that will compress slightly but leave a void next to it.
2) แมว หมา และเด็กทารก โดยธรรมชาติมักจะขดตัวในท่าเหมือนอยู่ในครรภ์มารดา คุณควรทำเช่น
กันในกรณีแผ่นดินไหว มันเป็นสัญชาติญาณเพื่อความปลอดภัย/รักษาชีวิต คุณสามารถมีชีวิตรอดในช่อง
ว่างที่เล็กกว่า ไปอยู่ข้างๆ สิ่งของ ข้างเก้าอี้โซฟา ข้างของหนักๆ ชิ้นใหญ่ๆ ที่จะบี้แบนไปบ้างแต่ยัง
เหลือที่ว่างข้างๆ มันไว้
3) Wooden buildings are the safest type of construction to be in during an earthquake. Wood is flexible and moves with the force of the earthquake. If the wooden building does collapse, large survival voids are created. Also, the wooden building has less concentrated, crushing weight. Brick buildings will break into individual bricks. Bricks will cause many injuries but less squashed bodies than concrete slabs.
3) อาคารไม้เป็นสิ่งก่อสร้างที่ปลอดภัยที่สุดที่จะอยู่ภายในขณะแผ่นดินไหว ไม้มีความยืดหยุ่นและเคลื่อน ตัวตามแรงของแผ่นดินไหว ถ้าอาคารไม้จะถล่มจะเกิดช่องว่างขนาดใหญ่เพื่อช่วยชีวิต และอาคารไม้
ยังมีน้ำหนักทับทำลายที่เป็นอันตรายน้อยกว่า อาคารอิฐจะแตกพังเป็นก้อนอิฐมากมาย ก้อนอิฐเหล่านี้
เป็นสาเหตุของการบาดเจ็บ แต่จะทับอัดร่างกายน้อยกว่าแผ่นคอนกรีต
4) If you are in bed during the night and an earthquake occurs, simply roll off the bed. A safe void will exist around the bed. Hotels can achieve a much greater survival rate in earthquakes, simply by posting a sign on the back of the door of every room telling occupants to lie down on the floor, next to the bottom of the bed during an earthquake.
4) หากคุณกำลังนอนอยู่บนเตียงตอนกลางคืนและเกิดแผ่นดินไหว เพียงกลิ้งลงจากเตียง ช่องว่างที่
ปลอดภัยจะเกิดรอบๆ เตียง โรงแรมจะสามารถเพิ่มอัตราผู้รอดชีวิตจากแผ่นดินไหวได้ โดยเพียงติด
ป้ายหลังประตูในทุกห้องพักบอกให้ผู้เข้าพักนอนราบกับพื้นข้างๆ ขาเตียงระหว่างแผ่นดินไหว
5) If an earthquake happens and you cannot easily escape by getting out the door or window, then lie down and curl up in the fetal position next to a sofa, or large chair.
5) หากมีแผ่นดินไหวเกิดขึ้นและคุณไม่สามารถหนีออกมาง่ายๆ ทางประตูหรือหน้าต่าง ก็ให้นอนราบและ ขดตัวในท่าทารกในครรภ์ข้างๆ เก้าอี้โซฟาหรือเก้าอี้ตัวใหญ่ๆ
6) Almost everyone who gets under a doorway when buildings collapse is killed. How ? If you stand under a doorway and the doorjamb falls forward or backward you will be crushed by the ceiling above. If the doorjamb falls sideways you will be cut in half by the doorway. In either case, you will be killed!
6) เกือบทุกคนที่อยู่ตรงช่องประตูตอนตึกถล่มไม่รอด เพราะอะไร? หากคุณยืนอยู่ตรงช่องประตูและวง กบประตูล้มไปข้างหน้าหรือข้างหลัง คุณจะโดนเพดานด้านบนตกลงมาทับ หากวงกบประตูล้มออกด้านข้าง คุณจะถูกตัดเป็นสองท่อนโดยช่องประตู ไม่ว่ากรณีไหน คุณไม่รอดทั้งนั้น!
7) Never go to the stairs. The stairs have a different "moment of
frequency" (they swing separately from the main part of the building).The stairs and remainder of the building continuously bump into each other until structural failure of the stairs takes place. The people who get on stairs before they fail are chopped up by the stair treads - horribly mutilated. Even if the building doesn't collapse, stay away from the stairs. The stairs are a likely part of the building to be damaged. Even if the earthquake does not collapse the stairs, they may collapse later when overloaded by fleeing people. They should always be checked for safety, even when the rest of the building is not damaged.
7) อย่าใช้บันไดเด็ดขาด บันไดมี "ช่วงการเคลื่อนตัว" ที่แตกต่างไป
(บันไดจะมีการแกว่งแยกจากตัวอาคาร) บันไดและส่วนที่เหลือของตัวอาคารจะชนกระแทกกันอย่างต่อเนื่อง
จนเกิดปัญหากับโครงสร้างของบันได
คนที่อยู่บนบันไดก่อนที่บันไดจะถล่มถูกตัดเป็นชิ้นโดยชั้น
บันได--ถูกแยกส่วนอย่างน่าสยดสยอง ถึงอาคารจะไม่ถล่มก็ควรอยู่ห่างบันไดไว้ บันไดเป็นส่วนของ
อาคารที่มีโอกาสถูกทำให้เสียหาย ถึงแม้แผ่นดินไหวจะไม่ได้ทำให้บันไดถล่ม มันอาจถล่มในเวลาต่อมา เมื่อรับน้ำหนักมากเกินไปจากคนที่กำลังหนี มันควรได้รับการตรวจสอบความปลอดภัยเสมอ ถึงแม้ส่วนที่
เหลือของอาคารจะไม่ได้รับความเสียหายก็ตาม
8) Get near the Outer Walls Of Buildings or Outside Of Them if possible. It is much better to be near the outside of the building rather than the interior. The farther inside you are from the outside perimeter of the building the greater the probability that your escape route will be blocked.
8) ไปอยู่ใกล้กำแพงด้านนอกของอาคารหรือออกจากอาคารถ้าเป็นไปได้ จะเป็นการดีกว่ามากที่จะอยู่
ใกล้ส่วนนอกของอาคารมากกว่าจะอยู่ที่ส่วนในของอาคาร คุณยิ่งอยู่ลึกเข้าไปหรือไกลจากบริเวณภาย
นอกของอาคารมากเท่าไหร่ โอกาสที่ทางหนีของคุณจะถูกปิดกั้นยิ่งมีมาก
9) People inside of their vehicles are crushed when the road above falls in an earthquake and crushes their vehicles; which is exactly what happened with the slabs between the decks of the Nimitz Freeway. The victims of the San Francisco earthquake all stayed inside of their vehicles. They were all killed. They could have easily survived by getting out and sitting or lying next to their vehicles. Everyone killed would have survived if they had been able to get out of their cars and sit or lie next to them. All the crushed cars had voids 3 feet high next to them, except for the cars that had columns fall directly across them.
9) คนที่อยู่ภายในรถยนต์ถูกทับอัดเมื่อถนนด้านบนตกลงมาเพราะแผ่นดินไหวและทับรถ ของพวกเขา นี้เป็น สิ่งที่เกิดขึ้นกับแผ่นคอนกรีตระหว่างชั้นของถนนหลวงนิมิทซ์ ผู้เคราะห์ร้ายทั้งหมดจากแผ่นดินไหวที่ซานฟรานซิสโกอยู่ในรถของตัวเอง พวกเขาตายทั้งหมด พวกเขาสามารถมีชีวิตรอดได้ง่ายๆ ด้วยการออกจากรถและนั่งหรือนอนราบอยู่ข้างๆ รถตัวเอง คนที่ตายทุกคนอาจรอดได้ถ้าพวกเขาสามารถออกจากรถ และนั่งหรือนอนราบอยู่ข้างรถตัวเอง รถที่ถูกทับอัดทุกคันมีช่องว่างสูง 3 ฟุตอยู่ข้างๆ ยกเว้นรถที่ถูกเสาคานตกทับกลางคันรถ
10) I discovered, while crawling inside of collapsed newspaper offices and
other offices with a lot of paper, that paper does not compact. Large
voids are found surrounding stacks of paper.
10) ผมค้นพบ--ขณะที่คลานเข้าไปในซากสำนักงานหนังสือพิมพ์และสำนักงานอื่นที่มีกระดาษจำนวน
มาก--ว่ากระดาษไม่อัดตัว จะพบช่องว่างขนาดใหญ่รอบๆ กองกระดาษที่เรียงทับซ้อนกัน
Spread the word and save someone's life.
กระจายข้อมูลนี้และช่วยชีวิตคนบางคน
วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2554
สิกขา3 สิ่งที่ควรศึกษาในชีวิต 3ประการ
ศีล สมาธิ ปัญญา : แนวคิดและความสัมพันธ์
จากพระคาถาพยากรณ์ที่เป็นบทตั้งของวิสุทธิมรรคกล่าวถึงการตั้งอยู่ในศีลด้วยบทว่า
สีเล ปติฏฺฐาย หมายถึง ภิกษุผู้ทำศีลให้บริบูรณ์ชื่อว่า ผู้ตั้งอยู่ในศีล
นโร สปญฺโญ หมายถึง ผู้มีปัญญา ซึ่งเป็นปัญญาที่มีมาพร้อมกับปฏิสนธิ
จิตตํ ปัญฺฺญญฺจภาวยํ หมายถึง การยังสมาธิ และวิปัสสนาให้เจริญอยู่ ทรงแสดงถึงสมาธิ ด้วยหัวข้อว่าจิต
ส่วนวิปัสสนาทรงแสดงโดยชื่อว่า ปัญญา หรือปญฺญญฺจ
อาตาปี หมายถึง ผู้มีความเพียร เป็นเหตุเผากิเลสให้เร่าร้อน
นิปโก หมายถึง ปัญญาอีกชนิดหนึ่ง ทรงแสดงถึงปาริหาริกปัญญา
ภิกฺฺขุ หมายถึง ผู้ใดเห็นภัยในสงสาร เหตุนั้น ผู้นั้น ชื่อว่า ภิกษุ
ในบทท้าย คือ โส อิมํ วิชฏฺฺเย ชฏํ เป็นการสรุปสภาวธรรมข้างต้นว่า
“ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม 6 ประการ คือ ด้วยศีล ด้วยสมาธิ (หรือจิต) ด้วยปัญญา 3 ลักษณะ (ไตรเหตุปฏิสนธิ, วิปัสสนาปัญญา และปาริหาริกปัญญา) และด้วยความเพียรเผากิเลสนี้ เมื่อยืนอยู่บนแผ่นดินคือศีลแล้ว ยกศัสตรา คือ วิปัสสนาปัญญา ที่ลับด้วยศิลาคือสมาธิ อยู่ในมือคือปาริหาริกปัญญา ที่มีกำลังวิริยะ พึงถาง ตัด ทำลาย ซึ่งชัฏ คือ ตัณหา อันตกอยู่ในสันดานของตนทั้งหมดได้ เปรียบเหมือนบุรุษยืนบนแผ่นดิน ยกศัสตราที่ลับดีแล้ว ถางกอไผ่ใหญ่ฉะนั้น”
“ก็ในขณะแห่งมรรค ภิกษุนี้ชื่อว่า กำลังถางชัฏนั้นอยู่ ในขณะแห่งผลชื่อว่าถางชัฏเสร็จแล้ว ย่อมเป็นอัครทักขิไณยของ (มนุษย์) โลก กับทั้งเทวโลก ทั้งหลาย”
การเจริญไตรสิกขาในที่นี้ ทรงหมายเอา ศีล สมาธิ และวิปัสสนาปัญญา ที่กำลังเกิดพร้อมในอารมณ์อันเดียวกันเท่านั้น มิใช่เจริญไปคนละขณะ เพราะ ศีล - สมาธิ - ปัญญา ที่เกิดในอารมณ์ต่างกัน จะไม่สามารถเป็นบาทฐานแก่กันได้เลย ศีลมีลักษณะเหมือนกับพื้นที่ สมาธิเหมือนกับผู้คอยประคองให้มีความมั่นคง ส่วนปัญญามีหน้าที่พิสูจน์ดูความจริง
ถ้าจะมีแต่เฉพาะศีล โดยที่ไม่ต้องมีสมาธิและปัญญาร่วมด้วยก็อาจมีได้ เช่น พระภิกษุที่บวชกันอยู่ทุกวันนี้ ถ้าท่านไม่ได้ทำสมาธิหรือวิปัสสนาแต่อย่างใด ก็จะมีเฉพาะศีลเท่านั้น ไม่มีสติกับปัญญาเกิดร่วมด้วย บางครั้งมีศีลและสมาธิ แต่ไม่มีปัญญาในขณะนั้นก็อาจมีได้เช่นกัน เช่น ภิกษุที่กำลังทำสมาธิเพ่งกสินต่าง ๆ เป็นต้น ขณะนั้นมีศีล มีความตั้งมั่นเป็นสมาธิ แต่ไม่มีปัญญาร่วม เพราะไม่ได้มีการพิจารณาความเปลี่ยนแปลงของรูปนาม เป็นเพียงการข่มจิตให้นิ่งด้วยอารมณ์ภายนอกอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น
แต่ถ้าผู้ใดกำลังเจริญวิปัสสนาปัญญาอย่างถูกต้องแล้ว จะต้องมีศีลและสมาธิอยู่ในที่นั้นด้วยเสมอ การทำลายกิเลสในส่วนลึกให้หมดไป จำเป็นต้องมีพร้อมทั้ง ศีล-สมาธิ-ปัญญา โดยศีลมีหน้าที่ทำลายกิเลสอย่างหยาบที่แสดงออกทางกาย วาจา เป็นต้น สมาธิมีหน้าที่ทำลายกิเลสอย่างกลาง ได้แก่ ความคิดฟุ้งซ่านต่าง ๆ ส่วนปัญญามีหน้าที่ทำลายกิเลสอย่างละเอียด คือ อนุสัยต่าง ๆ แม้ในอนุสัย 2 อย่าง (อารัมมณานุสัย และสันตานานุสัย) นั้น วิปัสสนาปัญญาจะละได้ก็เพียงอารัมมณานุสัยเท่านั้น อำนาจวิปัสสนาปัญญาสามารถละความรัก ความชัง ที่เกิดจากการเห็นได้ยิน รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสที่ดีและไม่ดีได้ ส่วนสันตานานุสัยนั้น เป็นอนุสัยที่ลึกและมั่นคงกว่า ต้องอาศัยมรรคจิตที่เป็นอรหัตตมรรคเท่านั้น จึงจะละสันตานานุสัยได้เด็ดขาด
(พระมหาแสวง โชติปาโล 2536 : 79)
ศีล สมาธิ และปัญญา แม้จะเกิดในขณะจิตเดียวหรือรับอารมณ์เดียวกัน แต่มีหน้าที่ต่างกัน เป็นคนละส่วนกัน ทั้งนี้ก็เพื่ออุดหนุนกัน เจริญเป็นทางแห่งวิสุทธิเพื่อการบรรลุธรรมในพระพุทธศาสนา อานุภาพแห่งความบริสุทธิ์ของศีล สมาธิ ปัญญา จะมีขีดจำกัดเฉพาะตัว ในวิสุทธิมรรคกล่าวถึงองค์คุณของศีล สมาธิ ปัญญา และขีดจำกัดในการอุดหนุนกันแยกเป็น 9 ประการ ได้แก่
1. สิกขา 3
2. ศาสนามีความงาม 3
3. อุปนิสัยแห่งคุณวิเศษ มีความเป็นผู้ได้วิชชา 3 เป็นต้น
4. การเว้นที่สุดโต่ง 2 อย่าง และการเสพข้อปฏิบัติสายกลาง
5. อุบายที่เป็นเครื่องพ้นจากคติมีอบาย
6. การละกิเลสด้วยอาการ 3
7. ธรรมอันเป็นปฏิบัติต่อกิเลส มีวิติกกมะ
8. การชำระสังกิเลส 3
9. เหตุแห่งความเป็นพระอริยบุคคล มีพระโสดาบัน
ตารางต่อไปนี้เป็นการเปรียบเทียบความแตกต่างของศีล สมาธิ ปัญญา ตามลักษณะ 9 ประการข้างต้น ทั้งนี้ยังมีคุณที่เป็นหมวด 3 อื่น ๆ อีกมาก เช่น วิเวก 3 กุศลมูล 3 เป็นต้น ที่สามารถแจกตามศีล สมาธิ ปัญญา เช่นกัน แต่จะไม่กล่าวถึงในที่นี้
ตารางที่ 7 การจำแนกองค์คุณ 9 ประการ โดยระดับแห่งศีล สมาธิ ปัญญา องค์คุณ
ศีล
สมาธิ
ปัญญา
1. สิกขา 3
อธิศีลสิกขา
อธิจิตสิกขา
อธิปัญญาสิกขา
2. ศาสนามีความงาม 3
ความงาม
ในเบื้องต้น
(การไม่ทำบาปทั้งสิ้น)
ความงาม
ในท่ามกลาง
(ยังกุศลให้ถึงพร้อม)
ความงาม
ในที่สุด
(การทำจิตให้ผ่องแผ้ว)
3. อุปนิสัยแห่ง
คุณวิเศษ
เป็นผู้ได้
วิชชา 3
เป็นผู้ได้
อภิญญา 6
เป็นผู้แตกฉาน
ในปฏิสัมภิทา 4
4. การเว้นความสุดโต่ง
2 อย่าง
เว้นจาก
กามสุขัลลิกานุโยค
เว้นจาก
อัตตกิลมถานุโยค
มีการเสพข้อปฏิบัติสายกลาง คือ
มัชฌิมาปฏิปทา
5. อุบายเป็นเครื่องพ้น
จากคติ
อุบายก้าวพ้น
จากอบาย
อุบายก้าวพ้น
จากกามธาตุ
อุบายก้าวพ้น
จากภพทั้งปวง
6. การละกิเลส
ด้วยอาการ 3
(ชนิดของการละ)
ละโดย
ตทังคปหาน
ละโดย
วิกขัมตนปหาน
ละโดย
สมุจเฉทปหาน
7. ธรรมอันเป็นปฏิปักษ์ต่อกิเลส
(ชนิดของกิเลส)
ละกิเลสชนิดวิติกกมะ
(ที่จะออกทางกาย วาจา)
ละกิเลสชนิด
ปริยุฏฐาน
(นิวรณ์ที่กลุ้มรุมจิต)
ละกิเลสชนิด
อนุสัย
(ที่อยู่ในสันดาน)
8. การชำระสังกิเลส 3
ชำระสังกิเลส
ที่เป็นทุจริต
ชำระสังกิเลส
ที่เป็นตัณหา
ชำระสังกิเลส
ที่เป็นทิฏฐิ
9. เหตุแห่งความเป็นพระอริยบุคคล
พระโสดาบันบุคคล
พระสกทาคามีบุคคล
พระอนาคามีบุคคล
พระอรหันต์บุคคล
Back to Menu
ศีล สมาธิ ปัญญา : แนวคิดและความสัมพันธ์ :: ปัญญานิเทศ :: เปรียบเทียบคัมภีร์พระไตรปิฎกกับคัมภีร์วิสุทธิมรรค
จากพระคาถาพยากรณ์ที่เป็นบทตั้งของวิสุทธิมรรคกล่าวถึงการตั้งอยู่ในศีลด้วยบทว่า
สีเล ปติฏฺฐาย หมายถึง ภิกษุผู้ทำศีลให้บริบูรณ์ชื่อว่า ผู้ตั้งอยู่ในศีล
นโร สปญฺโญ หมายถึง ผู้มีปัญญา ซึ่งเป็นปัญญาที่มีมาพร้อมกับปฏิสนธิ
จิตตํ ปัญฺฺญญฺจภาวยํ หมายถึง การยังสมาธิ และวิปัสสนาให้เจริญอยู่ ทรงแสดงถึงสมาธิ ด้วยหัวข้อว่าจิต
ส่วนวิปัสสนาทรงแสดงโดยชื่อว่า ปัญญา หรือปญฺญญฺจ
อาตาปี หมายถึง ผู้มีความเพียร เป็นเหตุเผากิเลสให้เร่าร้อน
นิปโก หมายถึง ปัญญาอีกชนิดหนึ่ง ทรงแสดงถึงปาริหาริกปัญญา
ภิกฺฺขุ หมายถึง ผู้ใดเห็นภัยในสงสาร เหตุนั้น ผู้นั้น ชื่อว่า ภิกษุ
ในบทท้าย คือ โส อิมํ วิชฏฺฺเย ชฏํ เป็นการสรุปสภาวธรรมข้างต้นว่า
“ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม 6 ประการ คือ ด้วยศีล ด้วยสมาธิ (หรือจิต) ด้วยปัญญา 3 ลักษณะ (ไตรเหตุปฏิสนธิ, วิปัสสนาปัญญา และปาริหาริกปัญญา) และด้วยความเพียรเผากิเลสนี้ เมื่อยืนอยู่บนแผ่นดินคือศีลแล้ว ยกศัสตรา คือ วิปัสสนาปัญญา ที่ลับด้วยศิลาคือสมาธิ อยู่ในมือคือปาริหาริกปัญญา ที่มีกำลังวิริยะ พึงถาง ตัด ทำลาย ซึ่งชัฏ คือ ตัณหา อันตกอยู่ในสันดานของตนทั้งหมดได้ เปรียบเหมือนบุรุษยืนบนแผ่นดิน ยกศัสตราที่ลับดีแล้ว ถางกอไผ่ใหญ่ฉะนั้น”
“ก็ในขณะแห่งมรรค ภิกษุนี้ชื่อว่า กำลังถางชัฏนั้นอยู่ ในขณะแห่งผลชื่อว่าถางชัฏเสร็จแล้ว ย่อมเป็นอัครทักขิไณยของ (มนุษย์) โลก กับทั้งเทวโลก ทั้งหลาย”
การเจริญไตรสิกขาในที่นี้ ทรงหมายเอา ศีล สมาธิ และวิปัสสนาปัญญา ที่กำลังเกิดพร้อมในอารมณ์อันเดียวกันเท่านั้น มิใช่เจริญไปคนละขณะ เพราะ ศีล - สมาธิ - ปัญญา ที่เกิดในอารมณ์ต่างกัน จะไม่สามารถเป็นบาทฐานแก่กันได้เลย ศีลมีลักษณะเหมือนกับพื้นที่ สมาธิเหมือนกับผู้คอยประคองให้มีความมั่นคง ส่วนปัญญามีหน้าที่พิสูจน์ดูความจริง
ถ้าจะมีแต่เฉพาะศีล โดยที่ไม่ต้องมีสมาธิและปัญญาร่วมด้วยก็อาจมีได้ เช่น พระภิกษุที่บวชกันอยู่ทุกวันนี้ ถ้าท่านไม่ได้ทำสมาธิหรือวิปัสสนาแต่อย่างใด ก็จะมีเฉพาะศีลเท่านั้น ไม่มีสติกับปัญญาเกิดร่วมด้วย บางครั้งมีศีลและสมาธิ แต่ไม่มีปัญญาในขณะนั้นก็อาจมีได้เช่นกัน เช่น ภิกษุที่กำลังทำสมาธิเพ่งกสินต่าง ๆ เป็นต้น ขณะนั้นมีศีล มีความตั้งมั่นเป็นสมาธิ แต่ไม่มีปัญญาร่วม เพราะไม่ได้มีการพิจารณาความเปลี่ยนแปลงของรูปนาม เป็นเพียงการข่มจิตให้นิ่งด้วยอารมณ์ภายนอกอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น
แต่ถ้าผู้ใดกำลังเจริญวิปัสสนาปัญญาอย่างถูกต้องแล้ว จะต้องมีศีลและสมาธิอยู่ในที่นั้นด้วยเสมอ การทำลายกิเลสในส่วนลึกให้หมดไป จำเป็นต้องมีพร้อมทั้ง ศีล-สมาธิ-ปัญญา โดยศีลมีหน้าที่ทำลายกิเลสอย่างหยาบที่แสดงออกทางกาย วาจา เป็นต้น สมาธิมีหน้าที่ทำลายกิเลสอย่างกลาง ได้แก่ ความคิดฟุ้งซ่านต่าง ๆ ส่วนปัญญามีหน้าที่ทำลายกิเลสอย่างละเอียด คือ อนุสัยต่าง ๆ แม้ในอนุสัย 2 อย่าง (อารัมมณานุสัย และสันตานานุสัย) นั้น วิปัสสนาปัญญาจะละได้ก็เพียงอารัมมณานุสัยเท่านั้น อำนาจวิปัสสนาปัญญาสามารถละความรัก ความชัง ที่เกิดจากการเห็นได้ยิน รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสที่ดีและไม่ดีได้ ส่วนสันตานานุสัยนั้น เป็นอนุสัยที่ลึกและมั่นคงกว่า ต้องอาศัยมรรคจิตที่เป็นอรหัตตมรรคเท่านั้น จึงจะละสันตานานุสัยได้เด็ดขาด
(พระมหาแสวง โชติปาโล 2536 : 79)
ศีล สมาธิ และปัญญา แม้จะเกิดในขณะจิตเดียวหรือรับอารมณ์เดียวกัน แต่มีหน้าที่ต่างกัน เป็นคนละส่วนกัน ทั้งนี้ก็เพื่ออุดหนุนกัน เจริญเป็นทางแห่งวิสุทธิเพื่อการบรรลุธรรมในพระพุทธศาสนา อานุภาพแห่งความบริสุทธิ์ของศีล สมาธิ ปัญญา จะมีขีดจำกัดเฉพาะตัว ในวิสุทธิมรรคกล่าวถึงองค์คุณของศีล สมาธิ ปัญญา และขีดจำกัดในการอุดหนุนกันแยกเป็น 9 ประการ ได้แก่
1. สิกขา 3
2. ศาสนามีความงาม 3
3. อุปนิสัยแห่งคุณวิเศษ มีความเป็นผู้ได้วิชชา 3 เป็นต้น
4. การเว้นที่สุดโต่ง 2 อย่าง และการเสพข้อปฏิบัติสายกลาง
5. อุบายที่เป็นเครื่องพ้นจากคติมีอบาย
6. การละกิเลสด้วยอาการ 3
7. ธรรมอันเป็นปฏิบัติต่อกิเลส มีวิติกกมะ
8. การชำระสังกิเลส 3
9. เหตุแห่งความเป็นพระอริยบุคคล มีพระโสดาบัน
ตารางต่อไปนี้เป็นการเปรียบเทียบความแตกต่างของศีล สมาธิ ปัญญา ตามลักษณะ 9 ประการข้างต้น ทั้งนี้ยังมีคุณที่เป็นหมวด 3 อื่น ๆ อีกมาก เช่น วิเวก 3 กุศลมูล 3 เป็นต้น ที่สามารถแจกตามศีล สมาธิ ปัญญา เช่นกัน แต่จะไม่กล่าวถึงในที่นี้
ตารางที่ 7 การจำแนกองค์คุณ 9 ประการ โดยระดับแห่งศีล สมาธิ ปัญญา องค์คุณ
ศีล
สมาธิ
ปัญญา
1. สิกขา 3
อธิศีลสิกขา
อธิจิตสิกขา
อธิปัญญาสิกขา
2. ศาสนามีความงาม 3
ความงาม
ในเบื้องต้น
(การไม่ทำบาปทั้งสิ้น)
ความงาม
ในท่ามกลาง
(ยังกุศลให้ถึงพร้อม)
ความงาม
ในที่สุด
(การทำจิตให้ผ่องแผ้ว)
3. อุปนิสัยแห่ง
คุณวิเศษ
เป็นผู้ได้
วิชชา 3
เป็นผู้ได้
อภิญญา 6
เป็นผู้แตกฉาน
ในปฏิสัมภิทา 4
4. การเว้นความสุดโต่ง
2 อย่าง
เว้นจาก
กามสุขัลลิกานุโยค
เว้นจาก
อัตตกิลมถานุโยค
มีการเสพข้อปฏิบัติสายกลาง คือ
มัชฌิมาปฏิปทา
5. อุบายเป็นเครื่องพ้น
จากคติ
อุบายก้าวพ้น
จากอบาย
อุบายก้าวพ้น
จากกามธาตุ
อุบายก้าวพ้น
จากภพทั้งปวง
6. การละกิเลส
ด้วยอาการ 3
(ชนิดของการละ)
ละโดย
ตทังคปหาน
ละโดย
วิกขัมตนปหาน
ละโดย
สมุจเฉทปหาน
7. ธรรมอันเป็นปฏิปักษ์ต่อกิเลส
(ชนิดของกิเลส)
ละกิเลสชนิดวิติกกมะ
(ที่จะออกทางกาย วาจา)
ละกิเลสชนิด
ปริยุฏฐาน
(นิวรณ์ที่กลุ้มรุมจิต)
ละกิเลสชนิด
อนุสัย
(ที่อยู่ในสันดาน)
8. การชำระสังกิเลส 3
ชำระสังกิเลส
ที่เป็นทุจริต
ชำระสังกิเลส
ที่เป็นตัณหา
ชำระสังกิเลส
ที่เป็นทิฏฐิ
9. เหตุแห่งความเป็นพระอริยบุคคล
พระโสดาบันบุคคล
พระสกทาคามีบุคคล
พระอนาคามีบุคคล
พระอรหันต์บุคคล
Back to Menu
ศีล สมาธิ ปัญญา : แนวคิดและความสัมพันธ์ :: ปัญญานิเทศ :: เปรียบเทียบคัมภีร์พระไตรปิฎกกับคัมภีร์วิสุทธิมรรค
วันมาฆบูชา
วันมาฆบูชา
โอวาทปาฏิโมกข์ สำคัญอย่างไร
แล้วควรปฏิบัติตนอย่างไร สวดมนต์บทไหน
พระพุทธบาทห้วยต้ม จ.ลำพูน
วันมาฆบูชา เดิมเรียกว่า วันมาฆปุณณมี หมายถึง วันที่พระจันทร์เพ็ญเต็มดวงในเดือนมาฆะ ส่วนมาฆบูชา หมายถึง การบูชาในวันเพ็ญเดือนมาฆะ คือ วันเพ็ญ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ ซึ่งวันมาฆบูชานี้ เราทราบกันว่า เป็นวันที่พระภิกษุ ๑๒๕๐ รูป มาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย และมีเหตุอัศจรรย์พร้อมกัน ๔ ประการ เรียกว่า จาตุรงคสันนิบาต การประชุมพร้อมกันด้วย องค์ ๔ และในวันนี้ พระพุทธเจ้าทรงกระทำวิสุทธิอุโบสถ ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ ซึ่งเราถือกันว่า เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา
ความสำคัญ
วันมาฆบูชา ประกอบด้วยเหตุสำคัญ ๓ ประการ คือ
๑. เป็นวันที่พระสารีบุตร บรรลุอรหัตผล ที่ถ้ำสุกรขาตา หลังจากบวชได้ ๑๕ วัน
๒. เป็นวันประชุมสงฆ์ครั้งใหญ่ ถึง ๑,๒๕๐ รูป และพระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ ประกาศหลักการ วิธีการ อุดมการณ์ของพระพุทธศาสนา
๓. พระพุทธเจ้าทรงตั้งพระอัครสาวก คือพระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะ
ส่วนใหญ่เราจะทราบกันแต่เพียงว่า เป็นวันจาตุรงคสันนิบาต พระสงฆ์มาประชุมกัน ๑,๒๕๐ รูป และพระพุทธเจ้า ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ จึงควรทราบเพิ่มเติมดังนี้
พระ พุทธองค์ ทรงเสด็จลงจากภูเขาคิชฌกูฏ เพื่อไปยังพระวิหารเวฬุวัน หลังจากที่ทรงแสดงธรรมโปรด ทีฆนขปริพาชก แล้ว ซึ่งพระสารีบุตร ก็ได้บรรลุพระอรหันต์ ด้วยพระธรรมเทศนานั้นเช่นกัน พระพุทธองค์เสด็จมายัง พระวิหาร ทรงประชุมพระสาวก ซึ่งมีมหาสันนิบาตประกอบด้วยองค์ ๔ คือ
๑. วันนั้น เป็นวันอุโบสถ ขึ้น ๑๕ ค่ำ ประกอบด้วยมาฆนักษัตร (ดวงจันทร์เต็มดวงในเดือนมาฆะ)
๒. พระสงฆ์ ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมกันตามธรรมดาของตน โดยมิได้ นัดหมาย
๓ .พระสงฆ์เหล่านั้นล้วนเป็นพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญา ๖ ไม่มีแม้ สักรูปหนึ่งที่เป็นปุถุชน หรือพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ผู้สุกขวิปัสสกะ
๔. พระสงฆ์เหล่านั้น เป็นเอหิภิกขุอุปสัมปทา คือพระพุทธเจ้า ทรง อุปสมบทให้ทั้งสิ้น
พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร
โอวาทปาฏิโมกข์ - โอสารณา
โอวาทปาติโมกข์
ความหมายของคำว่า ปาติโมกข์
คำว่า ปาตี ได้แก่ การตกไป เช่น การตกไปในสังสารวัฏ การตกไปในกิเลส การตกไปในห้วงความทุกข์ และอบายทั้งหลาย ดังนั้น ปาตี จึงเป็นชื่อของปุถุชน ทั้งหลายผู้ตกไปในสังสารวัฏ กิเลส ความทุกข์ และอบายทั้งหลาย
คำว่า โมกฺข ได้แก่ การหลุดพ้น เครื่องหลุดพ้น ซึ่งหมายถึง นิพพาน
เพราะฉะนั้น คำว่า ปาติโมกข์ จึงแปลว่า ความหลุดพ้นจากกิเลส และความทุกข์ทั้งหลาย รวมความว่า โอวาทปาติโมกข์ จึงได้แก่ คำสอน เพื่อความหลุดพ้นจากกิเลสและความทุกข์
ประเภทของปาติโมกข์
ปาติโมกข์ แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ
๑. อาณาปาติโมกข์ คือ สิกขาบททั้งหลายที่ทรงบัญญัติ เพื่อเป็นขอบเขตแก่ภิกษุ และภิกษุณีทั้งหลาย หลักธรรมที่ว่า สำรวมในพระปาติโมกข์ หมายถึง อาณาปาติโมกข์ นี้
๒. โอวาทปาติโมกข์ คือ โอวาททั้งหลายที่ทรงแสดงในวันเพ็ญเดือน ๓ มีโอวาทว่า สพฺพปาปสฺส อกรณํ เป็นต้น
อาณาปาติโมกข์นั้น พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติ และพระสาวกทั้งหลายย่อมสวดแสดงทุกกึ่งเดือน ส่วนโอวาท ปาติโมกข์นั้น พระพุทธเจ้าเท่านั้นทรงแสดง
โอวาทปาฏิโมกข์ หลักคำสอนสำคัญของพระพุทธศาสนา หรือคำสอนอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้แก่
พระพุทธพจน์ ๓ คาถากึ่ง ที่พระพุทธเจ้าตรัสแก่พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูป ผู้ไปประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย ณ พระเวฬุ
วนาราม ในวันเพ็ญเดือน ๓ ที่เราเรียกกันว่าวันมาฆบูชา (ถรรถกถากล่าวว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์
นี้ แก่ที่ประชุมสงฆ์ตลอดมา เป็นเวลา ๒๐ พรรษา ก่อนที่จะโปรดให้สวดปาฏิโมกข์อย่างปัจจุบันนี้แทนต่อมา),
คาถา โอวาทปาฏิโมกข์ มีดังนี้ (โอวาทปาติโมกข์ ก็เขียน)
สพฺพปาปสฺส อกรณํกุสลสฺสูปสมฺปทา
สจิตฺตปริโยทปนํเอตํ พุทธาน สาสนํฯ
ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา
นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา
น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี
สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโตฯ
อนูปวาโท อนูปฆาโต ปาติโมกฺเข จ สํวโร
มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ ปนฺตญฺจ สยนาสนํ
อธิจิตฺเต จ อาโยโค เอตํ พุทฺธาน สาสนํฯ
แปล : การไม่ทำความชั่วทั้งปวง ๑ การบำเพ็ญแต่ความดี ๑ การทำจิตของตนให้ผ่องใส ๑ นี้เป็นคำสอนของ
พระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ขันติ คือความอดกลั้น เป็นตบะอย่างยิ่ง, พระพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าวว่านิพพาน เป็นบรมธรรม, ผู้ทำร้ายคนอื่น
ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต,ผู้เบียดเบียนคนอื่น ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะ
การไม่กล่าวร้าย ๑ การไม่ทำร้าย ๑ ความสำรวมในปาฏิโมกข์ ๑ ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร ๑ ที่นั่ง
นอนอันสงัด ๑ ความเพียรในอธิจิต ๑ นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ที่เข้าใจกันโดยทั่วไป และจำกันได้มาก ก็คือ ความในคาถาแรกที่ว่า ไม่ทำชั่ว ทำแต่ความดี ทำจิตใจให้ผ่องใส
โอวาทวรรค ตอนที่ว่าด้วยเรื่องให้โอวาทแก่นางภิกษุณี เป็นต้น, เป็นชื่อวรรคที่ ๓ แห่งปาจิตติยกัณฑ์ ในมหาวิภังค์
พระวินัยปิฎก
โอวาทานุสาสนี คำกล่าวสอนและพร่ำสอน, คำตักเตือนและแนะนำพร่ำสอน
โอษฐ์ ปาก, ริมฝีปาก
โอสารณา การเรียกเข้าหมู่, เป็นชื่อสังฆกรรมจำพวกหนึ่ง มีทั้งที่เป็นอปโลกนกรรม (เช่น การรับสามเณรผู้กล่าวตู่
พระผู้มีพระภาคเจ้าซึ่งถูกนาสนะไปแล้วและเธอกลับตัวได้) เป็นญัตติกรรม (เช่น เรียกอุปสัมปทาเปกขะที่สอนซ้อม
อันตรายิกธรรมแล้วเข้าไปในสงฆ์) เป็นญัตติทุติยกรรม (เช่น หงายบาตรแก่คฤหัสถ์ที่กลับตัวประพฤติดี) เป็นญัตติ
จตุตถกรรม (เช่นระงับนิคหกรรมที่ได้ทำแก่ภิกษุ)
กิจกรรมของชาวพุทธ
กิจกรรมของชาวพุทธในวันมาฆบูชา
๑. เว้นอบายมุขทุกประเภท
๒. ตักบาตร ทำบุญ ให้ทาน
๓. สมาทานศีล รักษาศีล ๕ ศีลอุโบสถ
๔. ฟังพระธรรมเทศนาโอวาทปาติโมกข์
๕. ปฏิบัติกรรมฐาน
๖. เวียนเทียนกระทำประทักษิณรอบสัญญลักษณ์พระรัตนตรัย เพื่อน้อมระลึกถึงจาตุรงคสันนิบาต และการแสดง โอวาทปาติโมกข์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
โอวาทปาฏิโมกข์ สำคัญอย่างไร
แล้วควรปฏิบัติตนอย่างไร สวดมนต์บทไหน
พระพุทธบาทห้วยต้ม จ.ลำพูน
วันมาฆบูชา เดิมเรียกว่า วันมาฆปุณณมี หมายถึง วันที่พระจันทร์เพ็ญเต็มดวงในเดือนมาฆะ ส่วนมาฆบูชา หมายถึง การบูชาในวันเพ็ญเดือนมาฆะ คือ วันเพ็ญ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓ ซึ่งวันมาฆบูชานี้ เราทราบกันว่า เป็นวันที่พระภิกษุ ๑๒๕๐ รูป มาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย และมีเหตุอัศจรรย์พร้อมกัน ๔ ประการ เรียกว่า จาตุรงคสันนิบาต การประชุมพร้อมกันด้วย องค์ ๔ และในวันนี้ พระพุทธเจ้าทรงกระทำวิสุทธิอุโบสถ ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ ซึ่งเราถือกันว่า เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา
ความสำคัญ
วันมาฆบูชา ประกอบด้วยเหตุสำคัญ ๓ ประการ คือ
๑. เป็นวันที่พระสารีบุตร บรรลุอรหัตผล ที่ถ้ำสุกรขาตา หลังจากบวชได้ ๑๕ วัน
๒. เป็นวันประชุมสงฆ์ครั้งใหญ่ ถึง ๑,๒๕๐ รูป และพระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ ประกาศหลักการ วิธีการ อุดมการณ์ของพระพุทธศาสนา
๓. พระพุทธเจ้าทรงตั้งพระอัครสาวก คือพระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะ
ส่วนใหญ่เราจะทราบกันแต่เพียงว่า เป็นวันจาตุรงคสันนิบาต พระสงฆ์มาประชุมกัน ๑,๒๕๐ รูป และพระพุทธเจ้า ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์ จึงควรทราบเพิ่มเติมดังนี้
พระ พุทธองค์ ทรงเสด็จลงจากภูเขาคิชฌกูฏ เพื่อไปยังพระวิหารเวฬุวัน หลังจากที่ทรงแสดงธรรมโปรด ทีฆนขปริพาชก แล้ว ซึ่งพระสารีบุตร ก็ได้บรรลุพระอรหันต์ ด้วยพระธรรมเทศนานั้นเช่นกัน พระพุทธองค์เสด็จมายัง พระวิหาร ทรงประชุมพระสาวก ซึ่งมีมหาสันนิบาตประกอบด้วยองค์ ๔ คือ
๑. วันนั้น เป็นวันอุโบสถ ขึ้น ๑๕ ค่ำ ประกอบด้วยมาฆนักษัตร (ดวงจันทร์เต็มดวงในเดือนมาฆะ)
๒. พระสงฆ์ ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมกันตามธรรมดาของตน โดยมิได้ นัดหมาย
๓ .พระสงฆ์เหล่านั้นล้วนเป็นพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญา ๖ ไม่มีแม้ สักรูปหนึ่งที่เป็นปุถุชน หรือพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ผู้สุกขวิปัสสกะ
๔. พระสงฆ์เหล่านั้น เป็นเอหิภิกขุอุปสัมปทา คือพระพุทธเจ้า ทรง อุปสมบทให้ทั้งสิ้น
พระพุทธมหาสุวรรณปฏิมากร
โอวาทปาฏิโมกข์ - โอสารณา
โอวาทปาติโมกข์
ความหมายของคำว่า ปาติโมกข์
คำว่า ปาตี ได้แก่ การตกไป เช่น การตกไปในสังสารวัฏ การตกไปในกิเลส การตกไปในห้วงความทุกข์ และอบายทั้งหลาย ดังนั้น ปาตี จึงเป็นชื่อของปุถุชน ทั้งหลายผู้ตกไปในสังสารวัฏ กิเลส ความทุกข์ และอบายทั้งหลาย
คำว่า โมกฺข ได้แก่ การหลุดพ้น เครื่องหลุดพ้น ซึ่งหมายถึง นิพพาน
เพราะฉะนั้น คำว่า ปาติโมกข์ จึงแปลว่า ความหลุดพ้นจากกิเลส และความทุกข์ทั้งหลาย รวมความว่า โอวาทปาติโมกข์ จึงได้แก่ คำสอน เพื่อความหลุดพ้นจากกิเลสและความทุกข์
ประเภทของปาติโมกข์
ปาติโมกข์ แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ
๑. อาณาปาติโมกข์ คือ สิกขาบททั้งหลายที่ทรงบัญญัติ เพื่อเป็นขอบเขตแก่ภิกษุ และภิกษุณีทั้งหลาย หลักธรรมที่ว่า สำรวมในพระปาติโมกข์ หมายถึง อาณาปาติโมกข์ นี้
๒. โอวาทปาติโมกข์ คือ โอวาททั้งหลายที่ทรงแสดงในวันเพ็ญเดือน ๓ มีโอวาทว่า สพฺพปาปสฺส อกรณํ เป็นต้น
อาณาปาติโมกข์นั้น พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติ และพระสาวกทั้งหลายย่อมสวดแสดงทุกกึ่งเดือน ส่วนโอวาท ปาติโมกข์นั้น พระพุทธเจ้าเท่านั้นทรงแสดง
โอวาทปาฏิโมกข์ หลักคำสอนสำคัญของพระพุทธศาสนา หรือคำสอนอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้แก่
พระพุทธพจน์ ๓ คาถากึ่ง ที่พระพุทธเจ้าตรัสแก่พระอรหันต์ ๑,๒๕๐ รูป ผู้ไปประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย ณ พระเวฬุ
วนาราม ในวันเพ็ญเดือน ๓ ที่เราเรียกกันว่าวันมาฆบูชา (ถรรถกถากล่าวว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์
นี้ แก่ที่ประชุมสงฆ์ตลอดมา เป็นเวลา ๒๐ พรรษา ก่อนที่จะโปรดให้สวดปาฏิโมกข์อย่างปัจจุบันนี้แทนต่อมา),
คาถา โอวาทปาฏิโมกข์ มีดังนี้ (โอวาทปาติโมกข์ ก็เขียน)
สพฺพปาปสฺส อกรณํกุสลสฺสูปสมฺปทา
สจิตฺตปริโยทปนํเอตํ พุทธาน สาสนํฯ
ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา
นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา
น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี
สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโตฯ
อนูปวาโท อนูปฆาโต ปาติโมกฺเข จ สํวโร
มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ ปนฺตญฺจ สยนาสนํ
อธิจิตฺเต จ อาโยโค เอตํ พุทฺธาน สาสนํฯ
แปล : การไม่ทำความชั่วทั้งปวง ๑ การบำเพ็ญแต่ความดี ๑ การทำจิตของตนให้ผ่องใส ๑ นี้เป็นคำสอนของ
พระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ขันติ คือความอดกลั้น เป็นตบะอย่างยิ่ง, พระพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าวว่านิพพาน เป็นบรมธรรม, ผู้ทำร้ายคนอื่น
ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต,ผู้เบียดเบียนคนอื่น ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะ
การไม่กล่าวร้าย ๑ การไม่ทำร้าย ๑ ความสำรวมในปาฏิโมกข์ ๑ ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร ๑ ที่นั่ง
นอนอันสงัด ๑ ความเพียรในอธิจิต ๑ นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ที่เข้าใจกันโดยทั่วไป และจำกันได้มาก ก็คือ ความในคาถาแรกที่ว่า ไม่ทำชั่ว ทำแต่ความดี ทำจิตใจให้ผ่องใส
โอวาทวรรค ตอนที่ว่าด้วยเรื่องให้โอวาทแก่นางภิกษุณี เป็นต้น, เป็นชื่อวรรคที่ ๓ แห่งปาจิตติยกัณฑ์ ในมหาวิภังค์
พระวินัยปิฎก
โอวาทานุสาสนี คำกล่าวสอนและพร่ำสอน, คำตักเตือนและแนะนำพร่ำสอน
โอษฐ์ ปาก, ริมฝีปาก
โอสารณา การเรียกเข้าหมู่, เป็นชื่อสังฆกรรมจำพวกหนึ่ง มีทั้งที่เป็นอปโลกนกรรม (เช่น การรับสามเณรผู้กล่าวตู่
พระผู้มีพระภาคเจ้าซึ่งถูกนาสนะไปแล้วและเธอกลับตัวได้) เป็นญัตติกรรม (เช่น เรียกอุปสัมปทาเปกขะที่สอนซ้อม
อันตรายิกธรรมแล้วเข้าไปในสงฆ์) เป็นญัตติทุติยกรรม (เช่น หงายบาตรแก่คฤหัสถ์ที่กลับตัวประพฤติดี) เป็นญัตติ
จตุตถกรรม (เช่นระงับนิคหกรรมที่ได้ทำแก่ภิกษุ)
กิจกรรมของชาวพุทธ
กิจกรรมของชาวพุทธในวันมาฆบูชา
๑. เว้นอบายมุขทุกประเภท
๒. ตักบาตร ทำบุญ ให้ทาน
๓. สมาทานศีล รักษาศีล ๕ ศีลอุโบสถ
๔. ฟังพระธรรมเทศนาโอวาทปาติโมกข์
๕. ปฏิบัติกรรมฐาน
๖. เวียนเทียนกระทำประทักษิณรอบสัญญลักษณ์พระรัตนตรัย เพื่อน้อมระลึกถึงจาตุรงคสันนิบาต และการแสดง โอวาทปาติโมกข์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2554
ใครที่เติมแก๊สโซฮอลอย่างเดียว ระวัง!! หมั่นเติมเบนซินเข้าไปบ้าง
แก้โดยใช้ LPG ลิ้นปีกผีเสื้อ + censer ไม่เกิดคราบเขม่าอุดตัน
จาก Forward mail
ใครที่เติมแก๊สโซฮอลอย่างเดียว ระวัง!! หมั่นเติมเบนซินเข้าไปบ้าง
เดือนละครั้งก็ยังดี เพราะแก๊สโซฮอลสันดาบต่ำ คราบเขม่าสูง
ส่งผลให้รถวีออสของผมป่วย เกือบเสียเงินเป็นหมื่น
อาการที่พบ
ไฟเครื่องโชว์ แสดงสถานะเครื่องจะพัง + เครื่องรอบตก และดับเป็นพักๆ
สาเหตุ
ลิ้นปีกผีเสื้อ + censer เกิดคราบเขม่าอุดตัน
แนวทางการแก้ไข
1. พาเข้าศูนย์โตโยต้า เค้าจะเอา 12,000 บาท ถ้าเชื่อก็จ่าย
ถ้าไม่แน่ใจถาม google ครับ มีแต่คนด่า ใครที่จ่าย 12,000 เพราะซ่อมได้ แก้ได้
2. รีบพาออกจากศูนย์ จ่ายค่าตรวจเช็ค 518 บาท
3. พาไปอู่ชำนาญงาน แกะลิ้นปีกผีเสื้อ และล้างคราบเขม่าด้วยน้ำมันเบนซิน
เสียไป 600 บาท จบข่าว ประหยัดเงินไป 12,000 – 518 – 600 = 10,880 บาท เห็นๆ.
บริเวณ ลิ้นปีกผีเสื้อ สังเกตุ จะอยู่ติดกับสายคันเร่ง
บริเวณ ลิ้นปีกผีเสื้อ สังเกตุ จะอยู่ติดกับสายคันเร่ง
ชำเเหละ เรียบร้อย
ตัวลิ้นปีกด้านนอก สะอาดใส ด้านในดำมืด
เขม่า ที่ Censer ดำจนมองไม่เห็นอะไรเลย ตัวนี้แหละที่ควบคุมลิ้นปีกผีเสื้อให้กระพือๆ
เพื่อให้รับลมเยอะๆ เร่งเยอะๆ เปลืองน้ำมันเยอะๆ
ล้างแบบ 600 บาท และช่างผู้ชำนาญงาน สังเกตจากรองเท้าแตะนะ
ถ้าใส่ Safety 12,000 นะ ไม่ใช่ 600 บาท .ใช้เวลา แค่ 1hrs.
เผื่อเป็นประโยชน์ให้ผู้ที่ยังไม่เคยเจอปัญหานี้ ได้เห็นปัญหา และป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิด และเสียหายถึง 12,000 บาท.
สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณ โลกใบนี้ที่อนุญาตให้มี Google ให้กับมวลมนุษยชาต
จาก Forward mail
ใครที่เติมแก๊สโซฮอลอย่างเดียว ระวัง!! หมั่นเติมเบนซินเข้าไปบ้าง
เดือนละครั้งก็ยังดี เพราะแก๊สโซฮอลสันดาบต่ำ คราบเขม่าสูง
ส่งผลให้รถวีออสของผมป่วย เกือบเสียเงินเป็นหมื่น
อาการที่พบ
ไฟเครื่องโชว์ แสดงสถานะเครื่องจะพัง + เครื่องรอบตก และดับเป็นพักๆ
สาเหตุ
ลิ้นปีกผีเสื้อ + censer เกิดคราบเขม่าอุดตัน
แนวทางการแก้ไข
1. พาเข้าศูนย์โตโยต้า เค้าจะเอา 12,000 บาท ถ้าเชื่อก็จ่าย
ถ้าไม่แน่ใจถาม google ครับ มีแต่คนด่า ใครที่จ่าย 12,000 เพราะซ่อมได้ แก้ได้
2. รีบพาออกจากศูนย์ จ่ายค่าตรวจเช็ค 518 บาท
3. พาไปอู่ชำนาญงาน แกะลิ้นปีกผีเสื้อ และล้างคราบเขม่าด้วยน้ำมันเบนซิน
เสียไป 600 บาท จบข่าว ประหยัดเงินไป 12,000 – 518 – 600 = 10,880 บาท เห็นๆ.
บริเวณ ลิ้นปีกผีเสื้อ สังเกตุ จะอยู่ติดกับสายคันเร่ง
บริเวณ ลิ้นปีกผีเสื้อ สังเกตุ จะอยู่ติดกับสายคันเร่ง
ชำเเหละ เรียบร้อย
ตัวลิ้นปีกด้านนอก สะอาดใส ด้านในดำมืด
เขม่า ที่ Censer ดำจนมองไม่เห็นอะไรเลย ตัวนี้แหละที่ควบคุมลิ้นปีกผีเสื้อให้กระพือๆ
เพื่อให้รับลมเยอะๆ เร่งเยอะๆ เปลืองน้ำมันเยอะๆ
ล้างแบบ 600 บาท และช่างผู้ชำนาญงาน สังเกตจากรองเท้าแตะนะ
ถ้าใส่ Safety 12,000 นะ ไม่ใช่ 600 บาท .ใช้เวลา แค่ 1hrs.
เผื่อเป็นประโยชน์ให้ผู้ที่ยังไม่เคยเจอปัญหานี้ ได้เห็นปัญหา และป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิด และเสียหายถึง 12,000 บาท.
สุดท้ายนี้ ต้องขอขอบคุณ โลกใบนี้ที่อนุญาตให้มี Google ให้กับมวลมนุษยชาต
ช่วยกันหน่อยคร้าบบบ ใต้อ่วม! น้ำท่วมหลายจุด นครศรีธรรมราชหนักสุด
ใต้อ่วม! น้ำท่วมหลายจุด นครศรีธรรมราชหนักสุด
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก รายการเรื่องเล่าเช้านี้ , กรมอุตุนิยมวิทยา
ใต้อ่วมอีกรอบ นครศรีฯ ท่วมหนักสุด หลังความกดดาอากาศสูงปกคลุมทั่วจังหวัด ล่าสุด ดินสไลด์ทับกุฏิพระ พบมรณภาพแล้ว 1 ที่พัทลุงรถนักท่องเที่ยวถูกน้ำพัดติดโขดหินน้ำตก แต่เจ้าหน้าที่ช่วยขึ้นมาได้แล้ว ด้านรถไฟภาคใต้จอดส่งได้ถึงแค่ทุ่งสง เหตุน้ำท่วมราง ขณะที่อุตุฯ เตือนฝนจะตกต่อไปอีกถึงวันที่ 28 มี.ค.
เมื่อเวลา 16.30 น. กรมอุตุนิยมวิทยา ได้ออกประกาศเตือนภัย "สภาวะน้ำท่วมในภาคใต้" ฉบับที่ 4 ระบุว่า บริเวณความกดอากาศสูง กำลังค่อนข้างแรงจากประเทศจีน ยังคงแผ่เสริมลงมาปกคลุมประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ลมตะวันออกที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ มีกำลังแรง
ลักษณะเช่นนี้ ทำให้ภาคใต้มีฝนหนาแน่น และมีฝนตกหนักถึงหนักมากในหลายพื้นที่ต่อไปอีก 1-2 วัน จึงขอ ให้ประชาชนบริเวณจังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ตรัง และสตูล ระวังอันตรายจากสภาวะน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากที่เกิดขึ้น ในช่วงวันที่ 26-28 มี.ค.2554 ส่วนคลื่นลมในอ่าวไทยสูง 2-3 เมตร ขอให้ชาวเรือเพิ่มความระมัดระวังอันตรายในการเดินเรือ และเรือเล็กควรงดออกจากฝั่ง ในช่วงวันเวลาดังกล่าวไว้ด้วย
น้ำท่วมนครศรีธรรมราช
เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาของวันนี้ (26 มีนาคม) ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานว่า ตั้งแต่ช่วงเช้ามืดที่ผ่านมา มีน้ำจากเทือกเขาได้ทะลักเข้าท่วมในหลายอำเภอของจังหวัดนครศรีธรรมราช ภายหลังที่มีปริมาณน้ำฝนตกลงมาตลอดหลายวัน ส่งผลให้น้ำจากเทือกเขาไหลเข้าเมือง ถนนหนทางบางเส้นถูกตัดขาด ถนนเลียบตลิ่ง ก็ไม่สามารถสัญจรได้ โดยระดับน้ำมีระดับสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ถนนสายหลักในเขตเทศบาลหลายสาย รถเล็กไม่สามารถสัญจรไปมาได้ เนื่องจากมีระดับน้ำสูง ประมาณ 30-50 เซนติเมตร การสัญจรไปมา กลายเป็นอัมพาตเกือบทั้งเมือง
ส่วนสถานการณ์ในหลายอำเภอนั้น ที่อำเภอหัวไทร อำเภอสิชล อำเภอท่าศาลา อำเภอพระพรหม ได้มีการเรงอพยพชาวบ้านมาอยู่ที่ปลอดภัยตั้งแต่ช่วงเช้ามืด และยังมีชาวบ้านอีกจำนวนมาก ที่ติดอยู่ในบ้านไม่สามารถออกมาได้ ซึ่งสถานการณ์ขณะนี้ยังมีฝนตกลงมาอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ พ.ต.อ.พิรุณ กลัดทอง ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้รับแจ้งเหตุภูเขาถล่มดินสไลด์ลงมาทับกุฏิสำนักสงฆ์พังเสียหาย และพระที่สำนักสงฆ์ได้สูญหายไป เหตุเกิดที่เขาในเพลา หมู่ที่ 8 ตำบลขนอม หลังรับแจ้งจึงเดินทางออกไปตรวจสอบ พบสำนักสงฆ์ดังกล่าว ถูกดินภูเขาถล่มลงมาพังพินาศ ส่วนพระสงฆ์ที่พำนักอยู่ 2 รูป ได้หายไป จึงได้ออกค้นหา ปรากฏว่า ค้นหาอยู่หลายชั่วโมงจนกระทั่งพบเป็นศพไปแล้ว 1 รูป เสียชีวิตอยู่ในลำคลองขนอม โดยมีซากไม้ที่ถูกน้ำพัดพามาทับถมร่าง อยู่ห่างจากสำนักสงฆ์ ประมาณ 5 กิโลเมตร ส่วนพระอีกรูปอายุ 36 ปี ที่หายไป ขณะนี้ยังหาไม่พบ
ทั้งนี้คาดว่า เมื่อคืนที่ผ่านมา ฝนได้ตกลงมาไม่หยุด ทำให้ดินและก้อนหินภูเขา ถล่มไหลลงมาพระทั้ง 2 รูป เกรงว่าอยู่ในที่พักไม่ปลอดภัย จึงได้หนีออกมา จนประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตและสูญหายดังกล่าว
ขณะเดียวกันกระแสน้ำที่ไหลเข้าท่วม ต.สิชล อ.สิชล ได้ไหลเข้าท่วมบ้านของนางนอง พรหมจิต อายุ 85 ปีอย่างรวดเร็วจนมิดหลังคาบ้าน ทำให้นางนองซึ่งชราภาพแล้วไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้จมน้ำเสียชีวิตภายในบ้าน
อย่างไรก็ตาม สภาพน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในจังหวัดนครศรีธรรมราชถือว่าหนักกว่าจังหวัดอื่น ๆ โดยมีพื้นที่เสียหายถึง 16 อำเภอ 92 ตำบล 497 หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 61,568 คน 27,315 ครัวเรือน บ้านเรือนเสียหายบางส่วน 3 หลัง พื้นที่การเกษตรเสียหาย 16,600 ไร่ ถนนเสียหาย 297 สาย ทั้งนี้เป็นผลมาจากความกดอากาศสูงกำลังค่อนข้างแรงจากประเทศจีนแพร่เสริมลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ส่งผลให้ลมตะวันออกพัดปกคุมอ่าวไทย และภาคใต้มีกำลังแรงมาก และขณะนี้เรดาห์ตรวจจับอากาศพบว่า ความกดอากาศสูงกำลังแรงปกคลุมอยู่ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช
แผนที่แสดงเรดาห์ตรวจจับอากาศ ความกดอากาศสูงปกคลุมที่จังหวัดนครศรีธรรมราช
แผนที่แสดงเรดาห์ตรวจจับอากาศ ความกดอากาศสูงปกคลุมที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เวลา 22.00 น.
น้ำท่วมตรัง
ขณะที่จังหวัดตรัง นายโส เหมกุล ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จ.ตรัง สรุปสถานการณ์น้ำท่วม 4 อำเภอ ได้แก่ อ.เมือง , อ.นาโยง ,อ.ห้วยยอด และ อ.วังวิเศษ รวม 10 ตำบลกว่า 30 หมู่บ้าน เนื่องจากหลายอำเภอยังคงมีฝนตกต่อเนื่อง ทำให้ปริมาณน้ำในลำคลองสายต่าง ๆ เพิ่มระดับขึ้นอย่างรวดเร็ว ที่ ต.นาโยงเหนือ อ.นาโยง หลายหมู่บ้าน ยังคงมีน้ำท่วมบ้านเรือนประชาชน สวนยางพารา และพื้นที่ทางการเกษตร เนื้อที่ไม่ต่ำกว่า 500 ไร่ ส่วนที่หมู่ 1 ถึงหมู่ที่ 8 ต.นาโยงใต้ อ.เมือง ระดับน้ำสูงกว่า 1 เมตร ถนนเข้าหมู่บ้านหลายสาย รถเล็กไม่สามารถผ่านไปมาได้
น้ำท่วมตรัง
ส่วนที่ อ.ห้วยยอด กับ อ.วังวิเศษ ระดับน้ำสูงประมาณ 20-50 เซนติเมตร ส่วนพื้นที่รับน้ำตอนล่างหลายตำบล ได้แก่ ต.บ้านโพธิ์ ต.นาพละ ต.นาบินหลา ต.ควนปริง และ ต.ทับเที่ยง อ.เมือง ระดับน้ำได้เพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณสองฝั่งแม่น้ำตรัง ได้ขนย้ายสิ่งของและสัตว์เลี้ยงไปอยู่ในที่ปลอดภัยแล้ว
น้ำท่วมพัทลุง
น้ำท่วมพัทลุง
น้ำท่วมพัทลุง
ด้านจังหวัดพัทลุง มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่หน่วยพิทักษ์ป่า จ.พัทลุง ต้องเร่งเข้าไปช่วยเหลือนักท่องเที่ยวที่พยายามขับรถกระบะข้ามน้ำตกโตนแพรทอง ซึ่งปกติเป็นจุดตื้นเขินและรถยนต์สามารถขับผ่านได้สบาย แต่เนื่องจาก 3 วันมานี้ เกิดฝนตกหนักติดต่อกัน ทำให้น้ำไหลเชี่ยว และน้ำได้พัดรถตกไปอยู่บริเวณโขดหิน ซึ่งล่าสุด เจ้าหน้าที่ช่วยกันลากรถกระบะขึ้นมาได้แล้ว
ขณะที่ฝนยังคงกระหน่ำตกหนักในพื้นที่ จ.พัทลุง ทำให้นำป่าจากเทือกเขาบรรทัด ไหลทะลักเข้าท่วมบ้านเรือนราษฎรใน อ.เมือง กงหรา ศรีนครินทร์ ควนขนุน เขาชัยสน บางแก้ว ศรีบรรพต ตะโหมด ป่าบอน และ อ.ป่าพะยอม อย่างต่อเนื่อง ล่าสุด 40 ตำบล 335 หมู่บ้าน ถนนไม่สามารถใช้เดินทางเข้าออกได้ เนื่องจากมีน้ำท่วมสูงเกือบ 2 เมตร และชาวบ้านได้อพยพออกจากหมู่บ้าน กางเต็นท์นอนอยู่บนถนน และอาศัยนอนบ้านญาติแล้วกว่า 200 ครอบครัว ล่าสุดที่บ้านชะรัด บ้านหูเล่ หมู่ที่ 5 และหมู่ที่ 8 ต.ชะรัด อ.กงหรา น้ำป่าจากเทือกเขาบรรทัดได้ไหลทะลักเข้าท่วมหมู่บ้านระดับน้ำสูง 1.50 เมตร ชาวบ้านกว่า 70 ครอบครัว เร่งขนย้ายสิ่งของหนีน้ำกันอย่างอลหม่าน
ในขณะที่ชาวบ้านผู้ประสบภัยได้รับความเดือดร้อนจากน้ำท่วมอย่างหนัก แต่ทางจังหวัดยังไม่ได้ลงพื้นที่ให้การช่วยเหลือแต่อย่างใด ต้องอยู่ด้วยความยากลำบาก เนื่องจากผู้ว่าราชการจังหวัดไม่อยู่ในพื้นที่
น้ำท่วมชุมพร
ส่วนที่จังหวัดชุมพร ฝนที่ตกติดต่อกันอย่างหนัก ทำให้ล่าสุดทางจังหวัดประกาศพื้นที่ประสบอุทกภัยแล้ว 3 อำเภอ คือ อ.เมือง อ.สวี และ อ.หลังสวน
น้ำท่วมสุราษฎร์ธานี
ส่วนสถานการณ์น้ำท่วมในจังหวัดสุราษฎร์ธานี หลังจากที่มีฝนตกต่อเนื่องนานกว่า 3 วัน ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมในหลายอำเภอของจังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยในเขตเทศบาลนครสุราษฎร์ธานี บริเวณถนนนาเนียน ได้เกิดน้ำท่วมเป็นระยะทางประมาณ 800 เมตร ระดับน้ำสูงประมาณ 30 ซ.ม. และถนนสายเลี่ยงเมืองบางจุดถนนใช้การได้เพียงช่องทางเดียว
ส่วนถนนสายสุราษฎร์ธานี-นครศรีธรรมราช มีน้ำท่วมในเขตอำเภอกาญจนดิษฐ์ หลายจุดมีน้ำไหลผ่านเส้นทาง ส่งผลให้ถนนใช้การได้เพียงช่องทางเดียวเช่นกัน ส่วนทางเข้าหมู่บ้านคีรีรอบ อ.กาญจนดิษฐ์ มีคอสะพานขาด ส่งผลให้รถทุกชนิดไม่สามารถสัญจรเข้าออกหมู่บ้านได้
นอกจากนั้น ยังพบช้าง 1 เชือก ถูกล่ามโซ่อยู่ริมคลอง ซึ่งมีระดับน้ำท่วมสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยได้เร่งเข้าให้การช่วยเหลือแล้ว พร้อมกันนี้ทางจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้ออกประกาศแจ้งเตือนประชาชน ให้ระวังน้ำท่วมดินโคลนถล่ม และน้ำล้นตลิ่ง และสั่งการให้เจ้าหน้าที่ออกให้การช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนแล้ว
ในเวลาต่อมา มีรายงานว่า น้ำได้ท่วมรางรถไฟ สูง 20 ซม.ที่บริเวณสถานีโคกคราม-นครศรีฯ ทำให้รถไฟสายกทม.-นครศรีฯ วิ่งได้ถึงแค่สถานีทุ่งสง แล้วใช้รถบัสถ่ายผู้โดยสารไปส่งที่นครศรีธรรมราชต่อไป
[25 มีนาคม] พัทลุง อ่วม! น้ำท่วมสูง เร่งอพยพประชาชน
สถานการณ์ล่าสุด จังหวัดพัทลุง เข้าขั้นวิกฤติ หลังระดับน้ำเพิ่มสูงถึง 1.20 เมตร ต้องเร่งอพยพชาวบ้านหนีน้ำท่วม
ขณะนี้ พื้นที่ประสบภัยน้ำท่วมแล้ว 9 อำเภอ ประกอบด้วย อำเภอเมือง อำเภอควนขนุน อำเภอบางแก้ว อำเภอเขาชัยสน อำเภอศรีนครินทร์ อำเภอศรีบรรพต อำเภอป่าพะยอม อำเภอตะโหมด และอำเภอกงหรา ทำให้ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนแล้วกว่า 8,000 ครอบครัว พื้นที่การเกษตรสวนยางพารา ถูกน้ำท่วมเสียหายกว่า 1 แสนไร่ โดยเฉพาะหมู่ที่ 10 ตำบลเขาเจียก อำเภอเมือง ตำบลพนมวัง อำเภอควนขนุน ระดับน้ำท่วม 1.20 เมตร ชาวบ้านต้องพากันอพยพไปอาศัยในที่ปลอดภัยแล้วจำนวน 12 ครัวเรือน เนื่องจากบริเวณดังกล่าวมีกระแสน้ำไหลเชี่ยวกราด
นอกจากนั้น ถนนสายหลัก และสายรอง ในหลายพื้นที่มีน้ำไหลผ่าน โดยเฉพาะ ถนนสายเพชรเกษม พัทลุง-ตรัง ถนนสายเอเชีย ขาขึ้น กทม. ช่วง อำเภอควนขนุน มีน้ำไหลผ่านเป็นช่วง ๆ
จังหวัดนครศรีธรรมราช ประกาศพื้นที่เสี่ยงภัยใน 7 อำเภอ หลังฝนตกต่อเนื่อง 2 วัน ส่งผลให้มีน้ำป่าหลายหลาก และเกิดดินโคลนถล่ม ในขณะที่จังหวัดพัทลุง เริ่มประกาศเตือนประชาชน ให้ระวังน้ำป่าไหลหลาก ด้านกรมอุตุนิยมวิทยา ประกาศเตือน 10 จังหวัดภาคใต้ จะมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางพื้น
เมื่อวานนี้ (24 มีนาคม) ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช ออกประกาศพื้นที่เสี่ยงภัย 7 อำเภอ หลังเกิดน้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชนใน 6 อำเภอ คือ อำเภอลานสกา อำเภอฉวาง อำเภอร่อนพิบูลย์ อำเภอพิปูน อำเภอพรหมคีรี และอำเภอนบพิตำ โดยมีผู้เสียชีวิต 2 คน ในขณะที่ อำเภอสิชล เกิดมีภูเขาหินถล่ม ทำให้บ้านเรือนชาวบ้านได้รับความเสียหาย เจ้าหน้าที่ต้องเข้ากันพื้นที่ และประกาศเป็นพื้นที่อันตราย เพราะยังมีหินขนาดใหญ่ไหลลงมาพร้อมกับดินโคลนเป็นระยะ เนื่องจากดินบนภูเขาอุ้มน้ำไว้เต็มพิกัด หลังฝนตกติดต่อกันถึง 2 วัน เบื้องต้นยังไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต
ในขณะที่ ชลประทานจังหวัดพัทลุง ออกประกาศเตือนให้ประชาชนในพื้นที่เตรียมพร้อมรับมือกับน้ำป่าไหลหลากที่อาจเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชนในพื้นที่ หลังมีฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง ส่วนบริเวณริมเทือกเขาบรรทัด ตำบลชะรัส อำเภอกงหรา เจ้าหน้าที่ต้องประกาศปิดน้ำตก ในบริเวณดังกล่าว เพื่อความปลอดภัยของประชาชน
สถานการณ์หลังเกิดพายุฤดูร้อน ในแต่ละพื้นที่ของประเทศ
ภาคใต้
จังหวัดพัทลุง
หลังเจอพายุฝนโหมกระหน่ำอย่างต่อเนื่อง 2 วันติด ทำให้น้ำป่าจากเทือกเขาบรรทัด ไหลทะลักเข้าท่วมขังในพื้นที่ราบลุ่ม 6 อำเภอ คือ อำเภอกงหรา , อำเภอเขาชัยสน , อำเภอเมือง , อำเภอควนขนุน อำเภอป่าพะยอม และอำเภอศรีนครินทร์ ส่งผลให้ถนนในหมู่บ้านหลายสาย มีน้ำท่วมสูงประมาณ 60-80 เซนติเมตร โดยเฉพาะถนนสายหลัก เพชรเกษม สายพัทลุง-ตรัง ท้องที่บ้านม่วงลูกดำ ตำบลโคกชะงาย อำเภอเมือง มีน้ำท่วมสูงเป็นทางยาวกว่า 2 กิโลเมตร รถเล็กต้องใช้ความระมัดระวังในการเดินทาง
ในขณะที่ ประชาชนที่อาศัยอยู่ในหมู่ที่ 12-14 ตำบลโคกม่วง อำเภอเขาชัยสน กว่า 250 หลังคาเรือน ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก เนื่องจากในหมู่บ้าน มีน้ำท่วมสูง รถไม่สามารถเดินทางเข้าออกหมู่บ้านได้
จังหวัดตรัง
หลังจากที่มีฝนตกหนักอย่างเนื่อง 3 วัน ส่งผลให้มีน้ำป่าจากเทือกเขาบรรทัดไหลหลากทะลักเข้าท่วมสวนยางพาราและแปลงพืชผักของชาวบ้าน ในพื้นที่หมู่ที่ 1 และ 2 ในเขตเทศบาล ตำบลนาโยงเหนือ โดยระดับน้ำบางจุดที่ราบลุ่มและอยู่ติดกับคลองนางน้อย สูงถึง 80 เซนติเมตร และ1 เมตร
ในขณะที่ หมู่ที่ 1และ หมู่ที่10 ตำบลละมอ อำเภอนาโยง น้ำได้ไหลทะลักเอ่อท่วมถนนสายตรัง-พัทลุง และ ตำบลช่อง น้ำได้ไหลเข้าท่วมขังในสถานีอนามัย ทั้งนี้ เชื่อว่า หากฝนยังคงตกลงมาอย่างต่อเนื่อง อีกไม่นานน้ำจะไหลเข้าท่วมพื้นที่ชั้นในของเขตเทศบาลตำบลนาโยงเหนือในบางพื้นที่
น้ำท่วม!! ฝนตก ฟ้ารั่วที่ ท่าศาลา นครศรีธรรมราช ถ่ายวันนี้ โดย @aunonline
จังหวัดนครศรีธรรมราช
ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช ออกประกาศเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย 8 อำเภอ คือ อำเภอพิปูน, อำเภอลานสกา , อำเภอฉวาง , อำเภอนบพิตำ , อำเภอพรหมคีรี , อำเภอร่อนพิบูลย์, อำเภอสิชล และอำเภอพระพรหม เป็นพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วม หลังถูกน้ำท่วมฉับพลันและมีดินโคลนถล่มในบางพื้นที่ รวมถึงการเตือนประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยที่ราบเชิงเขา บริเวณที่ราบชายฝั่งอ่าวไทย ตำบลแหลมตะลุมพุก อำเภอปากพนัง และพื้นที่ใกล้แหล่งน้ำ
นอกจากนี้ ได้ขอให้เจ้าหน้าที่และประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะที่ อำเภอพิปูน, อำเภอลานสกา , อำเภอฉวาง , อำเภอนบพิตำ , อำเภอพรหมคีรี และอำเภอร่อนพิบูลย์ เฝ้าระวังสถานการณการณ์อย่างต่อเนื่อง เพราะเกรงว่าจะมีดินโคลนถล่มลงมาอีก เนื่องจากดินบนภูเขาอุ้มน้ำไว้เกือบเต็มพิกัดแล้ว
และในขณะนี้ ยังคงมีรายงานฝนตกและตกหนักในเกือบทุกพื้นที่ทั้ง 23 อำเภอ โดยเฉพาะในพื้นที่ต้นน้ำและบริเวณเทือกเขาหลวง ทำให้มีน้ำท่วมขังและน้ำล้นตลิ่งในพื้นที่ใกล้ที่ลุ่มของอำเภอร่อนพิบูลย์ อำเภอลานสกา อำเภอพระพรหม อำเภอพรหมคีรี และอำเภอเมือง ส่งผลให้พื้นที่ทางการเกษตรและบ้านเรือนประชาชนได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วมขัง และเส้นทางเข้าหมู่บ้านที่รถขนาดเล็กไม่สามารถสัญจรได้
ทั้งนี้ จากเหตุการณ์น้ำป่าไหลหลากตั้งแต่เมื่อวาน (24 มีนาคม) ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 2 ราย คือ ด.ญ.วรรัตน์ พุทธศรี อายุ 9 ขวบ เสียชีวิตที่คูน้ำ ตำบลท่างิ้ว ซึ่งเป็นบ้านญาติของ ด.ญ.วรรัตน์ เอง และนายอรรถกร บุญเพชร อายุ 22 ปี เสียชีวิตจากการพลัดตกลงไปที่น้ำตกท่าหา หมู่ 9 ตำบลกำโลน อำเภอลานสกา
จังหวัดสุราษฎร์ธานี
ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี ออกประกาศเตือนให้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ริมภูเขาและชายทะเล เฝ้าระวังการเกิดน้ำท่วมฉับพลัน และดินโคลนถล่ม ในขณะที่บริเวณเกาะสมุย มีน้ำท่วมขังในบางจุด ส่งผลให้การจราจรติดขัด
จังหวัดปัตตานี
ด้วยสภาพอากาศที่มีฝนตกหนักติดต่อกัน ส่งผลให้พื้นที่การเกษตรของประชาชนในหมู่ 1 , 2 , 3 และหมู่ 4 ตำบลคอกกระบือ อำเภอปะนาเระ ได้รับความเสียหายกว่า 5,000 ไร่ เนื่องจากมีน้ำท่วมขัง
ขณะที่กรมอุตุนิยมวิทยา รายงาน ลักษณะอากาศทั่วไปเมื่อเวลา 04:00 น. บริเวณความกดอากาศสูงกำลังค่อนข้างแรงปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวยังคงมีฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และอุณหภูมิจะลดลง โดยเฉพาะภาคใต้บริเวณจังหวัดสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส กระบี่ ตรัง และสตูล จะมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางพื้นที่อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากขึ้นได้ จึงขอให้ประชาชนในบริเวณภาคใต้ระมัดระวังอันตรายจากสภาวะน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากที่จะเกิดขึ้นในระยะนี้
สำหรับคลื่นลมในอ่าวไทยมีกำลังแรง โดยมีคลื่นสูง 2 - 3 เมตร ขอให้ชาวเรือเพิ่มความระมัดระวังอันตรายในการเดินเรือ และเรือเล็กควรงดออกจากฝั่งในช่วงวันที่ 25 - 27 มีนาคม 2554
พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06:00 วันนี้ ถึง 06:00 วันพรุ่งนี้
ภาคเหนือ
อากาศเย็นในตอนเช้า โดยมีอากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน และมีพายุฝนฟ้าคะนองเป็นแห่ง ๆ ร้อยละ 30 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณด้านตะวันตกและตอนล่างของภาค อุณหภูมิต่ำสุด 20 - 22 องศา อุณหภูมิสูงสุด 33 - 37 องศา ลมใต้ ความเร็ว 10 - 25 กม./ชม.
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
อากาศเย็นและอุณหภูมิจะลดลง 2 - 3 องศา โดยมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดเลย ชัยภูมิ และนครราชสีมา อุณหภูมิต่ำสุด 16 - 21 องศา อุณหภูมิสูงสุด 31 - 33 องศา ลมตะวันออก ความเร็ว 15 - 35 กม./ชม.
ภาคกลาง
มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัด สุพรรณบุรี กาญจนบุรี และราชบุรี อุณหภูมิต่ำสุด 20 - 22 องศา อุณหภูมิสูงสุด 28 - 34 องศา ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10 - 30 กม./ชม.
ภาคตะวันออก
มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด อุณหภูมิต่ำสุด 20 - 22 องศา อุณหภูมิสูงสุด 33 - 34 องศา ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง ประมาณ 2 เมตร ส่วนบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก)
มีพายุฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 80 ของพื้นที่และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง บริเวณจังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส อุณหภูมิต่ำสุด 22 - 23 องศา อุณหภูมิสูงสุด 27 - 31 องศา ลมตะวันออก ความเร็ว 20 - 40 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 2 - 3 เมตร
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก)
มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนมากบริเวณจังหวัดกระบี่ ตรัง และสตูล อุณหภูมิต่ำสุด 23 - 24 องศา อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศา ลมตะวันตก ความเร็ว 15 - 35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร ส่วนบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร
กรุงเทพมหานครและปริมณฑล
มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 21 - 22 องศา อุณหภูมิสูงสุด 30 - 32 องศา ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 15 - 30 กม./ชม.
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก รายการเรื่องเล่าเช้านี้ , กรมอุตุนิยมวิทยา
ใต้อ่วมอีกรอบ นครศรีฯ ท่วมหนักสุด หลังความกดดาอากาศสูงปกคลุมทั่วจังหวัด ล่าสุด ดินสไลด์ทับกุฏิพระ พบมรณภาพแล้ว 1 ที่พัทลุงรถนักท่องเที่ยวถูกน้ำพัดติดโขดหินน้ำตก แต่เจ้าหน้าที่ช่วยขึ้นมาได้แล้ว ด้านรถไฟภาคใต้จอดส่งได้ถึงแค่ทุ่งสง เหตุน้ำท่วมราง ขณะที่อุตุฯ เตือนฝนจะตกต่อไปอีกถึงวันที่ 28 มี.ค.
เมื่อเวลา 16.30 น. กรมอุตุนิยมวิทยา ได้ออกประกาศเตือนภัย "สภาวะน้ำท่วมในภาคใต้" ฉบับที่ 4 ระบุว่า บริเวณความกดอากาศสูง กำลังค่อนข้างแรงจากประเทศจีน ยังคงแผ่เสริมลงมาปกคลุมประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ลมตะวันออกที่พัดปกคลุมอ่าวไทยและภาคใต้ มีกำลังแรง
ลักษณะเช่นนี้ ทำให้ภาคใต้มีฝนหนาแน่น และมีฝนตกหนักถึงหนักมากในหลายพื้นที่ต่อไปอีก 1-2 วัน จึงขอ ให้ประชาชนบริเวณจังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส ตรัง และสตูล ระวังอันตรายจากสภาวะน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากที่เกิดขึ้น ในช่วงวันที่ 26-28 มี.ค.2554 ส่วนคลื่นลมในอ่าวไทยสูง 2-3 เมตร ขอให้ชาวเรือเพิ่มความระมัดระวังอันตรายในการเดินเรือ และเรือเล็กควรงดออกจากฝั่ง ในช่วงวันเวลาดังกล่าวไว้ด้วย
น้ำท่วมนครศรีธรรมราช
เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาของวันนี้ (26 มีนาคม) ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานว่า ตั้งแต่ช่วงเช้ามืดที่ผ่านมา มีน้ำจากเทือกเขาได้ทะลักเข้าท่วมในหลายอำเภอของจังหวัดนครศรีธรรมราช ภายหลังที่มีปริมาณน้ำฝนตกลงมาตลอดหลายวัน ส่งผลให้น้ำจากเทือกเขาไหลเข้าเมือง ถนนหนทางบางเส้นถูกตัดขาด ถนนเลียบตลิ่ง ก็ไม่สามารถสัญจรได้ โดยระดับน้ำมีระดับสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ถนนสายหลักในเขตเทศบาลหลายสาย รถเล็กไม่สามารถสัญจรไปมาได้ เนื่องจากมีระดับน้ำสูง ประมาณ 30-50 เซนติเมตร การสัญจรไปมา กลายเป็นอัมพาตเกือบทั้งเมือง
ส่วนสถานการณ์ในหลายอำเภอนั้น ที่อำเภอหัวไทร อำเภอสิชล อำเภอท่าศาลา อำเภอพระพรหม ได้มีการเรงอพยพชาวบ้านมาอยู่ที่ปลอดภัยตั้งแต่ช่วงเช้ามืด และยังมีชาวบ้านอีกจำนวนมาก ที่ติดอยู่ในบ้านไม่สามารถออกมาได้ ซึ่งสถานการณ์ขณะนี้ยังมีฝนตกลงมาอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ พ.ต.อ.พิรุณ กลัดทอง ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรขนอม จังหวัดนครศรีธรรมราช ได้รับแจ้งเหตุภูเขาถล่มดินสไลด์ลงมาทับกุฏิสำนักสงฆ์พังเสียหาย และพระที่สำนักสงฆ์ได้สูญหายไป เหตุเกิดที่เขาในเพลา หมู่ที่ 8 ตำบลขนอม หลังรับแจ้งจึงเดินทางออกไปตรวจสอบ พบสำนักสงฆ์ดังกล่าว ถูกดินภูเขาถล่มลงมาพังพินาศ ส่วนพระสงฆ์ที่พำนักอยู่ 2 รูป ได้หายไป จึงได้ออกค้นหา ปรากฏว่า ค้นหาอยู่หลายชั่วโมงจนกระทั่งพบเป็นศพไปแล้ว 1 รูป เสียชีวิตอยู่ในลำคลองขนอม โดยมีซากไม้ที่ถูกน้ำพัดพามาทับถมร่าง อยู่ห่างจากสำนักสงฆ์ ประมาณ 5 กิโลเมตร ส่วนพระอีกรูปอายุ 36 ปี ที่หายไป ขณะนี้ยังหาไม่พบ
ทั้งนี้คาดว่า เมื่อคืนที่ผ่านมา ฝนได้ตกลงมาไม่หยุด ทำให้ดินและก้อนหินภูเขา ถล่มไหลลงมาพระทั้ง 2 รูป เกรงว่าอยู่ในที่พักไม่ปลอดภัย จึงได้หนีออกมา จนประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตและสูญหายดังกล่าว
ขณะเดียวกันกระแสน้ำที่ไหลเข้าท่วม ต.สิชล อ.สิชล ได้ไหลเข้าท่วมบ้านของนางนอง พรหมจิต อายุ 85 ปีอย่างรวดเร็วจนมิดหลังคาบ้าน ทำให้นางนองซึ่งชราภาพแล้วไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้จมน้ำเสียชีวิตภายในบ้าน
อย่างไรก็ตาม สภาพน้ำท่วมที่เกิดขึ้นในจังหวัดนครศรีธรรมราชถือว่าหนักกว่าจังหวัดอื่น ๆ โดยมีพื้นที่เสียหายถึง 16 อำเภอ 92 ตำบล 497 หมู่บ้าน ราษฎรได้รับความเดือดร้อน 61,568 คน 27,315 ครัวเรือน บ้านเรือนเสียหายบางส่วน 3 หลัง พื้นที่การเกษตรเสียหาย 16,600 ไร่ ถนนเสียหาย 297 สาย ทั้งนี้เป็นผลมาจากความกดอากาศสูงกำลังค่อนข้างแรงจากประเทศจีนแพร่เสริมลงมาปกคลุมประเทศไทยตอนบน ส่งผลให้ลมตะวันออกพัดปกคุมอ่าวไทย และภาคใต้มีกำลังแรงมาก และขณะนี้เรดาห์ตรวจจับอากาศพบว่า ความกดอากาศสูงกำลังแรงปกคลุมอยู่ที่จังหวัดนครศรีธรรมราช
แผนที่แสดงเรดาห์ตรวจจับอากาศ ความกดอากาศสูงปกคลุมที่จังหวัดนครศรีธรรมราช
แผนที่แสดงเรดาห์ตรวจจับอากาศ ความกดอากาศสูงปกคลุมที่จังหวัดนครศรีธรรมราช เวลา 22.00 น.
น้ำท่วมตรัง
ขณะที่จังหวัดตรัง นายโส เหมกุล ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จ.ตรัง สรุปสถานการณ์น้ำท่วม 4 อำเภอ ได้แก่ อ.เมือง , อ.นาโยง ,อ.ห้วยยอด และ อ.วังวิเศษ รวม 10 ตำบลกว่า 30 หมู่บ้าน เนื่องจากหลายอำเภอยังคงมีฝนตกต่อเนื่อง ทำให้ปริมาณน้ำในลำคลองสายต่าง ๆ เพิ่มระดับขึ้นอย่างรวดเร็ว ที่ ต.นาโยงเหนือ อ.นาโยง หลายหมู่บ้าน ยังคงมีน้ำท่วมบ้านเรือนประชาชน สวนยางพารา และพื้นที่ทางการเกษตร เนื้อที่ไม่ต่ำกว่า 500 ไร่ ส่วนที่หมู่ 1 ถึงหมู่ที่ 8 ต.นาโยงใต้ อ.เมือง ระดับน้ำสูงกว่า 1 เมตร ถนนเข้าหมู่บ้านหลายสาย รถเล็กไม่สามารถผ่านไปมาได้
น้ำท่วมตรัง
ส่วนที่ อ.ห้วยยอด กับ อ.วังวิเศษ ระดับน้ำสูงประมาณ 20-50 เซนติเมตร ส่วนพื้นที่รับน้ำตอนล่างหลายตำบล ได้แก่ ต.บ้านโพธิ์ ต.นาพละ ต.นาบินหลา ต.ควนปริง และ ต.ทับเที่ยง อ.เมือง ระดับน้ำได้เพิ่มสูงขึ้น ขณะที่ประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณสองฝั่งแม่น้ำตรัง ได้ขนย้ายสิ่งของและสัตว์เลี้ยงไปอยู่ในที่ปลอดภัยแล้ว
น้ำท่วมพัทลุง
น้ำท่วมพัทลุง
น้ำท่วมพัทลุง
ด้านจังหวัดพัทลุง มีรายงานว่า เจ้าหน้าที่หน่วยพิทักษ์ป่า จ.พัทลุง ต้องเร่งเข้าไปช่วยเหลือนักท่องเที่ยวที่พยายามขับรถกระบะข้ามน้ำตกโตนแพรทอง ซึ่งปกติเป็นจุดตื้นเขินและรถยนต์สามารถขับผ่านได้สบาย แต่เนื่องจาก 3 วันมานี้ เกิดฝนตกหนักติดต่อกัน ทำให้น้ำไหลเชี่ยว และน้ำได้พัดรถตกไปอยู่บริเวณโขดหิน ซึ่งล่าสุด เจ้าหน้าที่ช่วยกันลากรถกระบะขึ้นมาได้แล้ว
ขณะที่ฝนยังคงกระหน่ำตกหนักในพื้นที่ จ.พัทลุง ทำให้นำป่าจากเทือกเขาบรรทัด ไหลทะลักเข้าท่วมบ้านเรือนราษฎรใน อ.เมือง กงหรา ศรีนครินทร์ ควนขนุน เขาชัยสน บางแก้ว ศรีบรรพต ตะโหมด ป่าบอน และ อ.ป่าพะยอม อย่างต่อเนื่อง ล่าสุด 40 ตำบล 335 หมู่บ้าน ถนนไม่สามารถใช้เดินทางเข้าออกได้ เนื่องจากมีน้ำท่วมสูงเกือบ 2 เมตร และชาวบ้านได้อพยพออกจากหมู่บ้าน กางเต็นท์นอนอยู่บนถนน และอาศัยนอนบ้านญาติแล้วกว่า 200 ครอบครัว ล่าสุดที่บ้านชะรัด บ้านหูเล่ หมู่ที่ 5 และหมู่ที่ 8 ต.ชะรัด อ.กงหรา น้ำป่าจากเทือกเขาบรรทัดได้ไหลทะลักเข้าท่วมหมู่บ้านระดับน้ำสูง 1.50 เมตร ชาวบ้านกว่า 70 ครอบครัว เร่งขนย้ายสิ่งของหนีน้ำกันอย่างอลหม่าน
ในขณะที่ชาวบ้านผู้ประสบภัยได้รับความเดือดร้อนจากน้ำท่วมอย่างหนัก แต่ทางจังหวัดยังไม่ได้ลงพื้นที่ให้การช่วยเหลือแต่อย่างใด ต้องอยู่ด้วยความยากลำบาก เนื่องจากผู้ว่าราชการจังหวัดไม่อยู่ในพื้นที่
น้ำท่วมชุมพร
ส่วนที่จังหวัดชุมพร ฝนที่ตกติดต่อกันอย่างหนัก ทำให้ล่าสุดทางจังหวัดประกาศพื้นที่ประสบอุทกภัยแล้ว 3 อำเภอ คือ อ.เมือง อ.สวี และ อ.หลังสวน
น้ำท่วมสุราษฎร์ธานี
ส่วนสถานการณ์น้ำท่วมในจังหวัดสุราษฎร์ธานี หลังจากที่มีฝนตกต่อเนื่องนานกว่า 3 วัน ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมในหลายอำเภอของจังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยในเขตเทศบาลนครสุราษฎร์ธานี บริเวณถนนนาเนียน ได้เกิดน้ำท่วมเป็นระยะทางประมาณ 800 เมตร ระดับน้ำสูงประมาณ 30 ซ.ม. และถนนสายเลี่ยงเมืองบางจุดถนนใช้การได้เพียงช่องทางเดียว
ส่วนถนนสายสุราษฎร์ธานี-นครศรีธรรมราช มีน้ำท่วมในเขตอำเภอกาญจนดิษฐ์ หลายจุดมีน้ำไหลผ่านเส้นทาง ส่งผลให้ถนนใช้การได้เพียงช่องทางเดียวเช่นกัน ส่วนทางเข้าหมู่บ้านคีรีรอบ อ.กาญจนดิษฐ์ มีคอสะพานขาด ส่งผลให้รถทุกชนิดไม่สามารถสัญจรเข้าออกหมู่บ้านได้
นอกจากนั้น ยังพบช้าง 1 เชือก ถูกล่ามโซ่อยู่ริมคลอง ซึ่งมีระดับน้ำท่วมสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยได้เร่งเข้าให้การช่วยเหลือแล้ว พร้อมกันนี้ทางจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้ออกประกาศแจ้งเตือนประชาชน ให้ระวังน้ำท่วมดินโคลนถล่ม และน้ำล้นตลิ่ง และสั่งการให้เจ้าหน้าที่ออกให้การช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนแล้ว
ในเวลาต่อมา มีรายงานว่า น้ำได้ท่วมรางรถไฟ สูง 20 ซม.ที่บริเวณสถานีโคกคราม-นครศรีฯ ทำให้รถไฟสายกทม.-นครศรีฯ วิ่งได้ถึงแค่สถานีทุ่งสง แล้วใช้รถบัสถ่ายผู้โดยสารไปส่งที่นครศรีธรรมราชต่อไป
[25 มีนาคม] พัทลุง อ่วม! น้ำท่วมสูง เร่งอพยพประชาชน
สถานการณ์ล่าสุด จังหวัดพัทลุง เข้าขั้นวิกฤติ หลังระดับน้ำเพิ่มสูงถึง 1.20 เมตร ต้องเร่งอพยพชาวบ้านหนีน้ำท่วม
ขณะนี้ พื้นที่ประสบภัยน้ำท่วมแล้ว 9 อำเภอ ประกอบด้วย อำเภอเมือง อำเภอควนขนุน อำเภอบางแก้ว อำเภอเขาชัยสน อำเภอศรีนครินทร์ อำเภอศรีบรรพต อำเภอป่าพะยอม อำเภอตะโหมด และอำเภอกงหรา ทำให้ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนแล้วกว่า 8,000 ครอบครัว พื้นที่การเกษตรสวนยางพารา ถูกน้ำท่วมเสียหายกว่า 1 แสนไร่ โดยเฉพาะหมู่ที่ 10 ตำบลเขาเจียก อำเภอเมือง ตำบลพนมวัง อำเภอควนขนุน ระดับน้ำท่วม 1.20 เมตร ชาวบ้านต้องพากันอพยพไปอาศัยในที่ปลอดภัยแล้วจำนวน 12 ครัวเรือน เนื่องจากบริเวณดังกล่าวมีกระแสน้ำไหลเชี่ยวกราด
นอกจากนั้น ถนนสายหลัก และสายรอง ในหลายพื้นที่มีน้ำไหลผ่าน โดยเฉพาะ ถนนสายเพชรเกษม พัทลุง-ตรัง ถนนสายเอเชีย ขาขึ้น กทม. ช่วง อำเภอควนขนุน มีน้ำไหลผ่านเป็นช่วง ๆ
จังหวัดนครศรีธรรมราช ประกาศพื้นที่เสี่ยงภัยใน 7 อำเภอ หลังฝนตกต่อเนื่อง 2 วัน ส่งผลให้มีน้ำป่าหลายหลาก และเกิดดินโคลนถล่ม ในขณะที่จังหวัดพัทลุง เริ่มประกาศเตือนประชาชน ให้ระวังน้ำป่าไหลหลาก ด้านกรมอุตุนิยมวิทยา ประกาศเตือน 10 จังหวัดภาคใต้ จะมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางพื้น
เมื่อวานนี้ (24 มีนาคม) ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช ออกประกาศพื้นที่เสี่ยงภัย 7 อำเภอ หลังเกิดน้ำป่าไหลหลากเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชนใน 6 อำเภอ คือ อำเภอลานสกา อำเภอฉวาง อำเภอร่อนพิบูลย์ อำเภอพิปูน อำเภอพรหมคีรี และอำเภอนบพิตำ โดยมีผู้เสียชีวิต 2 คน ในขณะที่ อำเภอสิชล เกิดมีภูเขาหินถล่ม ทำให้บ้านเรือนชาวบ้านได้รับความเสียหาย เจ้าหน้าที่ต้องเข้ากันพื้นที่ และประกาศเป็นพื้นที่อันตราย เพราะยังมีหินขนาดใหญ่ไหลลงมาพร้อมกับดินโคลนเป็นระยะ เนื่องจากดินบนภูเขาอุ้มน้ำไว้เต็มพิกัด หลังฝนตกติดต่อกันถึง 2 วัน เบื้องต้นยังไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต
ในขณะที่ ชลประทานจังหวัดพัทลุง ออกประกาศเตือนให้ประชาชนในพื้นที่เตรียมพร้อมรับมือกับน้ำป่าไหลหลากที่อาจเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชนในพื้นที่ หลังมีฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง ส่วนบริเวณริมเทือกเขาบรรทัด ตำบลชะรัส อำเภอกงหรา เจ้าหน้าที่ต้องประกาศปิดน้ำตก ในบริเวณดังกล่าว เพื่อความปลอดภัยของประชาชน
สถานการณ์หลังเกิดพายุฤดูร้อน ในแต่ละพื้นที่ของประเทศ
ภาคใต้
จังหวัดพัทลุง
หลังเจอพายุฝนโหมกระหน่ำอย่างต่อเนื่อง 2 วันติด ทำให้น้ำป่าจากเทือกเขาบรรทัด ไหลทะลักเข้าท่วมขังในพื้นที่ราบลุ่ม 6 อำเภอ คือ อำเภอกงหรา , อำเภอเขาชัยสน , อำเภอเมือง , อำเภอควนขนุน อำเภอป่าพะยอม และอำเภอศรีนครินทร์ ส่งผลให้ถนนในหมู่บ้านหลายสาย มีน้ำท่วมสูงประมาณ 60-80 เซนติเมตร โดยเฉพาะถนนสายหลัก เพชรเกษม สายพัทลุง-ตรัง ท้องที่บ้านม่วงลูกดำ ตำบลโคกชะงาย อำเภอเมือง มีน้ำท่วมสูงเป็นทางยาวกว่า 2 กิโลเมตร รถเล็กต้องใช้ความระมัดระวังในการเดินทาง
ในขณะที่ ประชาชนที่อาศัยอยู่ในหมู่ที่ 12-14 ตำบลโคกม่วง อำเภอเขาชัยสน กว่า 250 หลังคาเรือน ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก เนื่องจากในหมู่บ้าน มีน้ำท่วมสูง รถไม่สามารถเดินทางเข้าออกหมู่บ้านได้
จังหวัดตรัง
หลังจากที่มีฝนตกหนักอย่างเนื่อง 3 วัน ส่งผลให้มีน้ำป่าจากเทือกเขาบรรทัดไหลหลากทะลักเข้าท่วมสวนยางพาราและแปลงพืชผักของชาวบ้าน ในพื้นที่หมู่ที่ 1 และ 2 ในเขตเทศบาล ตำบลนาโยงเหนือ โดยระดับน้ำบางจุดที่ราบลุ่มและอยู่ติดกับคลองนางน้อย สูงถึง 80 เซนติเมตร และ1 เมตร
ในขณะที่ หมู่ที่ 1และ หมู่ที่10 ตำบลละมอ อำเภอนาโยง น้ำได้ไหลทะลักเอ่อท่วมถนนสายตรัง-พัทลุง และ ตำบลช่อง น้ำได้ไหลเข้าท่วมขังในสถานีอนามัย ทั้งนี้ เชื่อว่า หากฝนยังคงตกลงมาอย่างต่อเนื่อง อีกไม่นานน้ำจะไหลเข้าท่วมพื้นที่ชั้นในของเขตเทศบาลตำบลนาโยงเหนือในบางพื้นที่
น้ำท่วม!! ฝนตก ฟ้ารั่วที่ ท่าศาลา นครศรีธรรมราช ถ่ายวันนี้ โดย @aunonline
จังหวัดนครศรีธรรมราช
ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช ออกประกาศเตือนประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย 8 อำเภอ คือ อำเภอพิปูน, อำเภอลานสกา , อำเภอฉวาง , อำเภอนบพิตำ , อำเภอพรหมคีรี , อำเภอร่อนพิบูลย์, อำเภอสิชล และอำเภอพระพรหม เป็นพื้นที่ประสบภัยน้ำท่วม หลังถูกน้ำท่วมฉับพลันและมีดินโคลนถล่มในบางพื้นที่ รวมถึงการเตือนประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัยที่ราบเชิงเขา บริเวณที่ราบชายฝั่งอ่าวไทย ตำบลแหลมตะลุมพุก อำเภอปากพนัง และพื้นที่ใกล้แหล่งน้ำ
นอกจากนี้ ได้ขอให้เจ้าหน้าที่และประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะที่ อำเภอพิปูน, อำเภอลานสกา , อำเภอฉวาง , อำเภอนบพิตำ , อำเภอพรหมคีรี และอำเภอร่อนพิบูลย์ เฝ้าระวังสถานการณการณ์อย่างต่อเนื่อง เพราะเกรงว่าจะมีดินโคลนถล่มลงมาอีก เนื่องจากดินบนภูเขาอุ้มน้ำไว้เกือบเต็มพิกัดแล้ว
และในขณะนี้ ยังคงมีรายงานฝนตกและตกหนักในเกือบทุกพื้นที่ทั้ง 23 อำเภอ โดยเฉพาะในพื้นที่ต้นน้ำและบริเวณเทือกเขาหลวง ทำให้มีน้ำท่วมขังและน้ำล้นตลิ่งในพื้นที่ใกล้ที่ลุ่มของอำเภอร่อนพิบูลย์ อำเภอลานสกา อำเภอพระพรหม อำเภอพรหมคีรี และอำเภอเมือง ส่งผลให้พื้นที่ทางการเกษตรและบ้านเรือนประชาชนได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วมขัง และเส้นทางเข้าหมู่บ้านที่รถขนาดเล็กไม่สามารถสัญจรได้
ทั้งนี้ จากเหตุการณ์น้ำป่าไหลหลากตั้งแต่เมื่อวาน (24 มีนาคม) ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้ว 2 ราย คือ ด.ญ.วรรัตน์ พุทธศรี อายุ 9 ขวบ เสียชีวิตที่คูน้ำ ตำบลท่างิ้ว ซึ่งเป็นบ้านญาติของ ด.ญ.วรรัตน์ เอง และนายอรรถกร บุญเพชร อายุ 22 ปี เสียชีวิตจากการพลัดตกลงไปที่น้ำตกท่าหา หมู่ 9 ตำบลกำโลน อำเภอลานสกา
จังหวัดสุราษฎร์ธานี
ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี ออกประกาศเตือนให้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ริมภูเขาและชายทะเล เฝ้าระวังการเกิดน้ำท่วมฉับพลัน และดินโคลนถล่ม ในขณะที่บริเวณเกาะสมุย มีน้ำท่วมขังในบางจุด ส่งผลให้การจราจรติดขัด
จังหวัดปัตตานี
ด้วยสภาพอากาศที่มีฝนตกหนักติดต่อกัน ส่งผลให้พื้นที่การเกษตรของประชาชนในหมู่ 1 , 2 , 3 และหมู่ 4 ตำบลคอกกระบือ อำเภอปะนาเระ ได้รับความเสียหายกว่า 5,000 ไร่ เนื่องจากมีน้ำท่วมขัง
ขณะที่กรมอุตุนิยมวิทยา รายงาน ลักษณะอากาศทั่วไปเมื่อเวลา 04:00 น. บริเวณความกดอากาศสูงกำลังค่อนข้างแรงปกคลุมประเทศไทยตอนบน ลักษณะเช่นนี้ทำให้บริเวณดังกล่าวยังคงมีฝนฟ้าคะนอง ลมกระโชกแรง และอุณหภูมิจะลดลง โดยเฉพาะภาคใต้บริเวณจังหวัดสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส กระบี่ ตรัง และสตูล จะมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางพื้นที่อาจทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากขึ้นได้ จึงขอให้ประชาชนในบริเวณภาคใต้ระมัดระวังอันตรายจากสภาวะน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากที่จะเกิดขึ้นในระยะนี้
สำหรับคลื่นลมในอ่าวไทยมีกำลังแรง โดยมีคลื่นสูง 2 - 3 เมตร ขอให้ชาวเรือเพิ่มความระมัดระวังอันตรายในการเดินเรือ และเรือเล็กควรงดออกจากฝั่งในช่วงวันที่ 25 - 27 มีนาคม 2554
พยากรณ์อากาศสำหรับประเทศไทยตั้งแต่เวลา 06:00 วันนี้ ถึง 06:00 วันพรุ่งนี้
ภาคเหนือ
อากาศเย็นในตอนเช้า โดยมีอากาศร้อนกับมีฟ้าหลัวในตอนกลางวัน และมีพายุฝนฟ้าคะนองเป็นแห่ง ๆ ร้อยละ 30 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณด้านตะวันตกและตอนล่างของภาค อุณหภูมิต่ำสุด 20 - 22 องศา อุณหภูมิสูงสุด 33 - 37 องศา ลมใต้ ความเร็ว 10 - 25 กม./ชม.
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
อากาศเย็นและอุณหภูมิจะลดลง 2 - 3 องศา โดยมีฝนฟ้าคะนองบางแห่ง ร้อยละ 10 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดเลย ชัยภูมิ และนครราชสีมา อุณหภูมิต่ำสุด 16 - 21 องศา อุณหภูมิสูงสุด 31 - 33 องศา ลมตะวันออก ความเร็ว 15 - 35 กม./ชม.
ภาคกลาง
มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัด สุพรรณบุรี กาญจนบุรี และราชบุรี อุณหภูมิต่ำสุด 20 - 22 องศา อุณหภูมิสูงสุด 28 - 34 องศา ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 10 - 30 กม./ชม.
ภาคตะวันออก
มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่ ส่วนมากบริเวณจังหวัดนครนายก ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง จันทบุรี และตราด อุณหภูมิต่ำสุด 20 - 22 องศา อุณหภูมิสูงสุด 33 - 34 องศา ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 20-35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง ประมาณ 2 เมตร ส่วนบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันออก)
มีพายุฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 80 ของพื้นที่และมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางแห่ง บริเวณจังหวัดชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง สงขลา ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส อุณหภูมิต่ำสุด 22 - 23 องศา อุณหภูมิสูงสุด 27 - 31 องศา ลมตะวันออก ความเร็ว 20 - 40 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 2 - 3 เมตร
ภาคใต้ (ฝั่งตะวันตก)
มีฝนฟ้าคะนองเกือบทั่วไป ร้อยละ 70 ของพื้นที่ และมีฝนตกหนักบางแห่ง ส่วนมากบริเวณจังหวัดกระบี่ ตรัง และสตูล อุณหภูมิต่ำสุด 23 - 24 องศา อุณหภูมิสูงสุด 31-33 องศา ลมตะวันตก ความเร็ว 15 - 35 กม./ชม. ทะเลมีคลื่นสูง 1 - 2 เมตร ส่วนบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองมีคลื่นสูงมากกว่า 2 เมตร
กรุงเทพมหานครและปริมณฑล
มีฝนฟ้าคะนองกระจาย ร้อยละ 40 ของพื้นที่ อุณหภูมิต่ำสุด 21 - 22 องศา อุณหภูมิสูงสุด 30 - 32 องศา ลมตะวันออกเฉียงใต้ ความเร็ว 15 - 30 กม./ชม.
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)