เจริญพร ขอให้มีความสุขสมหวังและ ถึงความสิ้นทุกข์ในเวลาอันใกล้โดยง่ายเทอญ
ยินดีต้อนรับ สหธรรมิกผู้มีใจเป็นกุศลทุกๆท่านครับ
ขอเรียนเชิญ สหธรรมิกทุกๆท่านมาร่วมศึกษาและปฏิบัติธรรมของพระพุทธองค์ รวมทั้งแบ่งปันความรู้ ข้อคิด คำแนะนำ ด้วยใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาครับ
ขอเรียนเชิญ สหธรรมิกทุกๆท่านมาร่วมศึกษาและปฏิบัติธรรมของพระพุทธองค์ รวมทั้งแบ่งปันความรู้ ข้อคิด คำแนะนำ ด้วยใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาครับ
" ความมืดแม้ทั้งโลก ก็บดบังลำแสงเพียงน้อยนิดมิได้ "
หน้าเว็บ
เกี่ยวกับฉัน
- Nitinandho
- อดีตที่ผ่านมาเป็นบทเรียน อโหสิให้ทุกคน แต่อย่ามีเวรกรรมร่วมกันอีกเลย
ผู้ติดตาม
วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
ภาวนาในดงดอกไม้ที่ผาซ่อนแก้ว
เที่ยววัด
ภาวนาในดงดอกไม้ที่ผาซ่อนแก้ว
๒ - ๑๑ ธันวาคม ๒๕๔๙
บันทึกโดย มะเหมี่ยว
(รูปที่ ๑ ที่นั่งสมาธิในดงดอกดาวกระจาย)
เคยได้ยินชื่อ ผาซ่อนแก้ว อยู่ไกล ๆ แล้วให้นึกฝันว่า อยากจะไปปฏิบัติภาวนาที่นั่นสักวันหนึ่ง แล้ววันนั้นก็มาถึงอย่างรวดเร็วราวกับเพิ่งกะพริบตา เมื่อพี่นิดบอกว่า “บ้านอารีย์” ของคุณใหม่มีแผนจะทดลองจัดทริปให้เดินทางไปภาวนาสัก 3-4 วัน เรารีบบอกพี่นิดว่า
“ขอสมัครเป็นคนแรกเลยนะคะ ให้ช่วยเป็นผู้ประสานงานก็ได้ค่ะ” แน่ะ กลัวจะไม่ได้ไป ต้องรีบเสนอตัว
ในที่สุด ก็ได้จำนวนผู้สนใจจะไปปฏิบัติภาวนาร่วมกัน 19 คน สำหรับรถตู้ 2 คัน ออกเดินทางเช้ามืดตีสี่ครึ่ง ของวันเสาร์ที่ 2 ธันวาคม และจะกลับถึงกรุงเทพฯ ค่ำ ๆ ของวันอังคารที่ 5 ธันวาคม
โชคดีกว่าที่คิด เพราะเรามีโอกาสยืดเวลาอยู่ยาวถึง 10 วัน ไปทั้งที จะไม่มีอะไรกลับมาฝากเพื่อนนักภาวนากันสักหน่อยก็ดูกระไร
ถูกกระทุ้งกิเลสตั้งแต่วันแรก ถึงวัดก่อนเที่ยง แยกย้ายกันเข้ากุฏิที่พัก เดี่ยวบ้าง พักรวมที่เรือนไทยหลังใหญ่บ้าง
ห้าโมงเย็น หลวงพ่ออำนาจ โอภาโส เมตตาให้พวกเราเข้าไปกราบที่กุฏิ เมื่อผลักประตูโครงกระดูกเข้าไป ผ่านช่องทางเดินภายในกุฏิ ก็พบระเบียงรับลม มองออกไปเป็นฟ้ากว้าง ปุยเมฆงาม ซ้ายมือเป็นเทือกเขาตระหง่านดังพญาอินทรีกางปีก หุบเขาลดหลั่น และมีความว่างกระจายตัวโอบล้อมอยู่โดยรอบ ท่านนั่งรอพวกเราอยู่แล้ว
นักปฏิบัติคนหนึ่งในกลุ่มเริ่มต้นด้วยการให้ทุกคนแนะนำตัว เล่าประวัติการภาวนาของตัวเองสั้น ๆ จากนั้น จึงขอให้หลวงพ่อเล่าความเป็นมาของ พุทธธรรมสถานที่มีชื่อแสนไพเราะว่า ผาซ่อนแก้ว แห่งนี้ เพราะ
“…คงจะยังไม่ลงมือปฏิบัติตอนนี้นะครับ หลวงพ่อ”
แล้วทุกคนก็ตั้งหน้าตั้งตาฟังเรื่องราวต่าง ๆ ที่ท่านเล่า อย่างสนุกสนานเพลิดเพลินร่วม 1 ชั่วโมงก่อนกลับที่พัก ในขณะที่เรารู้สึกนิด ๆ ในใจว่า ทำไมท่านไม่พูดเรื่องการปฏิบัติธรรมเลย
ตกค่ำ ทุ่มครึ่ง สวดมนต์ทำวัตรเย็นเสร็จ หลวงพ่อลงมาที่ศาลาตอน 2 ทุ่ม เพื่อแสดงธรรม
ท่านบอกว่า ที่เล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ฟังเมื่อเย็นน่ะ ท่านทำความรู้สึกตัว ดูจิตดูใจ ไปด้วยนะ พวกเราต่างหากที่เผลอลืมกายลืมใจกันหมด ใครนะบอกว่าเป็นนักปฏิบัติมือเก่า ภาวนามาหลายปี ?
ฟังแล้วก็สะดุ้งใจไปหนึ่งเฮือก
แล้วท่านก็เล่านิทานให้ฟัง เป็นนิทานเวตาลเรื่องหนึ่ง กติกามีอยู่ว่า ให้ฟังเฉย ๆ อย่าเข้าไปยุ่ง ถ้าเผลอออกความเห็นละก็ จะถูกปรับเป็นแพ้
เรื่องมีอยู่ว่า มีผู้หญิงคนหนึ่ง ได้รับการช่วยชีวิตโดยชาย 4 คน ซึ่งมีบทบาทมากน้อยต่าง ๆ กัน คำถามคือ ใครควรจะได้ครอบครองผู้หญิงคนนี้ เพราะอะไร ?
ทันทีที่ท่านโยนคำถาม ก็มีเสียงตอบพรวดขึ้นทันที หลวงพ่อไม่เฉลยแต่ถามผู้ฟังคนอื่น ๆ ต่อ คราวนี้ต่างคนต่างครุ่นคิด พยายามหาเหตุผลมาประกอบคำตอบเป็นการใหญ่ ว่าน่าจะเป็นคนนั้นสิ คนนี้สิ…
อ้าว ลืมไปแล้วหรือว่า ให้ฟังเฉย ๆ ? นี่หรือคือนักภาวนามือเก่า โดนกิเลสตั้งประเด็นให้หลงคิด หลงกระโจนเข้าไปเพื่อแสดงตัวตนด้วยตัณหาและทิฐิจนได้ !!!
กิเลสมักจะตั้งประเด็นน่าสนใจทำให้เราหลุดจาก รู้ อยู่เสมอ
ต่อไปนี้จะจำไว้เลยว่า เนื้อหามักจะปิดบังสภาวะธรรม เรื่องราวทั้งหลายในโลกนี้เป็นเพียงนิทานเวตาลเท่านั้น !
(รูปที่ ๒ ด้านข้างของธรรมศาลา มีแสงสะท้อน ดูแปลกตา)
ลายเส้นขาวดำในสมาธิ หนึ่งในเรื่องเล่าที่ได้รับฟังมาเกี่ยวกับสถานที่อันได้ชื่อว่า ผาซ่อนแก้ว แห่งนี้ คือ มีภพภูมิอื่นซ้อนอยู่
จากระเบียงศาลาใหญ่ มองใกล้มีดอกไม้หลากพันธุ์ แซมด้วยผลไม้หลายชนิด มองไกลเป็นหุบเขารองรับความว่างอันไพศาล เบื้องหน้านี้หรือคือสวรรค์บนดิน
ปิดเปลือกตา ผ่อนลมหายใจออก ดึงลมหายใจเข้า…ยาว ภาพความว่างกลางหุบเขายังติดตา สายลมรำเพยพัดผ่านผิวกายเย็นชื่น จิตนิ่งสงบ ครู่หนึ่งจึงเกิดภาพฉายเป็นลายเส้นขาวดำ ราวกับวาดสวรรค์ ขยับตาในเข้าไปใกล้อีก จำลองภาพที่เห็นด้วยตาเนื้อผสมจินตนาการ หากบอกตัวเองลึก ๆ ว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็ให้รู้อยู่ที่จิต
หลวงปู่ดูลย์ เคยกล่าวไว้ว่า “ที่เห็นน่ะจริง แต่สิ่งที่ถูกเห็นนั้นไม่จริง”
ตะขาบอ้วนขอฟังธรรม เช้าวันหนึ่ง ขณะมีการบรรยายธรรมเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท ด้วยรูปวาดบนไวท์บอร์ดบนศาลา นักปฏิบัติต่างนั่งฟังบนอาสนะด้วยความสนใจ โดยเลือกรวมพลนั่งซีกขวา ใกล้ประตู เพื่อหลบแสงแดดที่ส่องรุกเข้ามาทางทิศตะวันออก ด้านซ้ายของศาลา
วันนี้เราเลือกอาสนะแถวที่สอง เพราะเมื่อยคอจากการนั่งแถวหน้าสุดมาหลายเพ-ลา ขวามือเป็นชายหนุ่มนิรนาม (เขาคงมีชื่ออยู่หรอก แต่เราไม่รู้) ถัดไปเป็นอาสนะว่าง แล้วเป็นพรมเช็ดเท้าผืนใหญ่ติดประตูทางเข้า
“พี่อย่าตกใจนะ มีตะขาบอยู่บนพื้นพรมทางขวามือ” ชายหนุ่มนิรนามได้ยินเสียงใครคนหนึ่งกระซิบจากข้างหลัง เราได้ยินเสียงนั้นด้วย หันขวับไปเจอตะขาบตัวอ้วน
“ไล่ไป ไล่ไป แต่อย่าให้หลุดมาข้างหน้านี้นะ” หลวงพ่อออกคำสั่ง แล้วหัวเราะ
เจ้าสัตว์เลื้อยคลานตัวอ้วน ยาวสักคืบหนึ่งเห็นจะได้ ทำกิริยาดุ๊กดิ๊กด้วยตีนตะขาบเมื่อได้รับความสนใจจากทุกคน แล้วพยายามเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่ไม่มีใครยินดีต้อนรับ
ทุกคนเงียบกริบ ไม่มีเสียงกรี๊ดกร๊าดใด ๆ ลืมหายใจกันหรือเปล่าก็ไม่รู้
ชายหนุ่ม 2 คนจากด้านหลัง ช่วยกันโยนผ้า สื่อทิศทาง กันให้มันออกประตูไปดุ๊กดิ๊กข้างนอก คราวนี้เจ้าตัวอ้วนไม่ดื้อแพ่งอยู่นาน มันคืบ ๆ คลาน ๆ ออกไปอย่างว่าง่ายท่ามกลางความโล่งใจของทุกคน …เฮ้อ
“มันคงจะเข้ามาขอฟังธรรมจากหลวงพ่อนะ” นักปฏิบัติคนหนึ่งช่วยสรุปเหตุการณ์
เสียงสวดมนต์จากสวรรค์ วันที่ 5 ธันวา ปีนี้ตรงกับวันพระใหญ่ คือ ขึ้น 15 ค่ำ
แปดโมงกว่า ๆ ทานมื้อเช้าที่ชั้นล่างของเรือนไทยสี่ชั้นเสร็จ ทุกคนต่างทยอยเดินไปที่ศาลาเพื่อเตรียมตัวฟังธรรมเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท ต่อ ก่อนที่เกือบทั้งหมดจะเดินทางกลับกรุงเทพฯ
แต่เรายังไม่ต้องกลับวันนี้ จึงไม่รีบร้อนนัก ล้างจานเสร็จ ก็ได้ยินเสียงสวดมนต์ทำวัตรเช้าแว่วมาจากเบื้องบน เหลียวไปดูในห้องครัว ไม่เห็นมีใครอยู่ทั้งคนครัว คนสวน 3-4-5 คน ที่เคยเห็น คงจะขึ้นไปสวดมนต์อยู่ชั้นบนกระมัง ดีจัง มีการสวดมนต์ทำวัตรต่างหากจากที่ศาลาด้วย น่าอนุโมทนา
หลายวันถัดมา มีโอกาสได้คุยกับแม่ครัว เราบอกเธอว่า ดีจังเลยนะที่มีการสวดมนต์ทำวัตรเช้าของคนที่ทำงานในวัด คุณดวงพรมองหน้าเรา สบตา แล้วบอกว่า
“ไม่มีนะพี่”
อ้าว แล้วเสียงมาจากไหนล่ะ ? ได้ยินจริง ๅ นี่นา เป็นเสียงคนกลุ่มหนึ่ง มีเสียงผู้ชายเด่นกว่าใครเพื่อน
คำอธิบายถึงที่มาของเสียงสวดมนต์จากผู้รู้ มีอยู่ว่า เทพเทวดาจะมีการสวดมนต์อยู่เป็นนิจ ถ้าคลื่นจิตของผู้ใดอยู่ในระดับที่รับได้ ท่านก็จะเมตตาให้ได้ยิน ให้ได้รับรู้ว่า สิ่งเหล่านี้มีอยู่ ให้เป็นกำลังใจในการปฏิบัติภาวนาต่อไป นอกจากนั้น ท่านก็พากันมากราบนมัสการพระบรมสารีริกธาตุหน้าองค์พระประธานบ่อย ๆ
สาธุค่ะ
แผ่เมตตา อุทิศบุญกุศลให้แมลงปอ และผีเสื้อ เพราะนั่งเงยคอแถวหน้าฟังธรรมะอยู่ทุกบ่อยหรืออย่างไรก็ไม่ทราบ นั่งสมาธิ เดินจงกรม ได้ไม่นานเป็นต้องปวดเมื่อย ต้องเอียงคอซ้าย-ขวาไปมาอยู่เรื่อย ทุกวัน
หรือจะเป็นเพราะเคยจับแมลงปอ ผีเสื้อ ในท้องทุ่งมาเล่นซนในวัยเด็กหนอ ? มีตัวไหนบ้างหรือเปล่าที่ดิ้นหนีจนปีกหลุด คอหลุด ?
เพื่อนนักปฏิบัติด้วยกันบอกว่า เธอก็แผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศลไปให้เจ้ากรรมนายเวร แล้วก็อุทิศแถมให้แมลงปอ ผีเสื้อ ด้วยเสียเลยสิจ๊ะ
เราเห็นดีเห็นงาม ว่าไงว่าตามกัน ไม่เสียหลายนี่
มหัศจรรย์อีกแล้ว อาการเมื่อยคอค่อยคลายไปเป็นปลิดทิ้ง
เรื่องนี้ขอไม่สรุปดีกว่า
(รูปที่ ๓ ทางเดินจงกรม สองข้างทางเป็นพุ่มไม้ใบ ไม้ดอก)
เกิด-ดับ บนทางจงกรมดอกไม้ ใกล้กุฏิที่พัก หลังธรรมศาลา มีทางจงกรมอยู่ท่ามกลางไม้ดอก ดูชื่นตา
ความสงบภายในอันเกิดจากการภาวนา ทำให้เห็นสภาวะธรรมได้ชัดขึ้น
ครั้งหนึ่ง เคยติดสภาวะของความเบิกบานอยู่นานโดยไม่รู้ตัว แต่พอได้เห็นแวบเดียวที่ความเบิกบาน
นั้นดับไปในขณะนั่งสมาธิ ก็รู้สึกเข้าใจคำว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป มากขึ้น
คราวนี้ เกิดความรู้สึก “เสียดาย” จิตที่รักษาไว้ดีจะปนเปื้อนเมื่อกลับออกไปพบปะผู้คนข้างนอก แต่พอรู้ทัน ความเสียดายนั้นก็ดับไปต่อหน้าต่อตา
และเมื่ออยู่วัดได้หลายวัน ผุดความรู้สึกซึ่งกำลังจะก่อเป็น “ความเบื่อ” แต่พอเฉลียวใจย้อนกลับไปดู มันก็หายวับไป ยังไม่ทันที่จะสร้างภพสร้างชาติ
ความสุขเป็นเหตุใกล้ให้เกิดสมาธิ
วันอาทิตย์ที่ 10 ธันวา มีการทอดผ้าป่าเพื่อร่วมสร้างพระเจดีย์ สร้างกุฏิพระ และสร้างห้องน้ำเพิ่มเติม
ที่ศาลา ขณะนั่งรอคณะผ้าป่าบางส่วนที่ยังเดินทางมาไม่ถึง มีเสียงเพลงจากซีดีชุด นิพพาน ดังสลับกับเสียงพูดคุยเบา ๆ ของผู้ที่มาร่วมบุญ เราหันไปคุยกับพี่อี๊ดที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ว่า รู้สึกมีความสุขมากจากการภาวนาในช่วงหลายวันที่ผ่านมา
ว่าแล้วก็ยกขาขึ้นขัดสมาธิบนอาสนะ ส่งจิตไปตามเสียงเพลง กระแสความสุขช่วยให้จิตรวมลงอย่างรวดเร็ว รู้สึกตัว ตั้งมั่น แม้จะมีเสียงคุยอยู่โดยรอบ
เพิ่งเข้าใจจริง ๆ วันนี้ว่า ความสุขเป็นเหตุใกล้ให้เกิดสมาธิ
ดูดาวแล้วดูใจ ค่ำคืนสุดท้ายที่ผาซ่อนแก้ว เป็นวันแรม 5 ค่ำ หลังจากภาวนาในศาลาจนถึง 3 ทุ่มกว่า หลวงพ่ออำนาจและพระอาจารย์ยุทธก็พากลุ่มนักภาวนาที่ยังเหลืออยู่ราว 20 คน ออกไปเดินจงกรม ใต้ฟ้าที่มีดาวระยิบ บนทางช้างเผือก ดวงจันทร์ยังไม่ขึ้นฟ้าเพราะเป็นข้างแรม
ไม่ว่าดาวจะตกลับฟ้าไปกี่ดวง กติกาก็คือ ให้เดินอย่างมีสติ
“ดาวตกจากฟัาทุกคืน แต่ฟ้าไม่เคยหมดดาว
คนอาจเคยสิ้นหวัง แต่ความหวังของคนไม่เคยสิ้น”
คนโรแมนติคมองฟ้ามองดาวแล้วรำพึงออกมาเป็นบทกวีอย่างนี้
แต่หลวงพ่อชี้ให้ดูแถบทางช้างเผือก แล้วบอกนักภาวนาทั้งกลุ่มว่า “โลกใบนี้อยู่ในกาแลกซี่ของทางช้างเผือก เพราะฉะนั้น ถึงไม่นัดเจอกันบนทางช้างเผือก ก็ต้องเจอกันอยู่ดีแหละ …(ถ้าไม่เจริญสติ)” เพราะสังสารวัฏนั้นยืดยาวนัก
(รูปที่ ๔ วิวหุบเขา ตอนเช้า)
ขออนุโมทนากับ “บ้านอารีย์” ผู้เอื้อเฟื้อ กราบนมัสการหลวงพ่ออำนาจ แห่งผาซ่อนแก้ว ที่เมตตาสอนให้ระลึกรู้ กับ รู้สึกตัว เพื่อให้เข้าไปประจักษ์ความจริงของกายใจว่า ไม่เที่ยง คงอยู่ไม่ได้ และไม่ใช่ตัวตน โดยอาศัยกาย เวทนา จิต ธรรม ให้สักแต่ว่าเป็นที่ตั้งแห่ง รู้ เพื่อให้ละความเห็นผิดว่า กายนี้ ใจนี้ เป็นเรา
กราบนมัสการพระอาจารย์ยุทธ ที่เมตตาแสดงตัวอย่างของการพูดคุยอย่างสนุกสนานไปพร้อมกับการปฏิบัติธรรม ดูจิต ได้อย่างน่าพิศวง
ขอให้อานิสงส์จากการให้โอกาสแก่นักปฏิบัติได้ไปภาวนาที่พุทธธรรมสถานผาซ่อนแก้วในครั้งนี้ จงเป็นการสร้างหนทางที่ราบรื่นไปสู่ความหลุดพ้นสำหรับชาวคณะ ”บ้านอารีย์” ด้วยเทอญ สาธุ
สนทนา-ถามปัญหาส่วนตัวได้ที่ 'ลานธรรม'
แนะนำติชม บทความ ที่ forum ที่นี่ได้เลยครับ (กรุณาระบุ หัวข้อบทความ)
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น