เจริญพร ขอให้มีความสุขสมหวังและ ถึงความสิ้นทุกข์ในเวลาอันใกล้โดยง่ายเทอญ
ยินดีต้อนรับ สหธรรมิกผู้มีใจเป็นกุศลทุกๆท่านครับ
ขอเรียนเชิญ สหธรรมิกทุกๆท่านมาร่วมศึกษาและปฏิบัติธรรมของพระพุทธองค์ รวมทั้งแบ่งปันความรู้ ข้อคิด คำแนะนำ ด้วยใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาครับ
ขอเรียนเชิญ สหธรรมิกทุกๆท่านมาร่วมศึกษาและปฏิบัติธรรมของพระพุทธองค์ รวมทั้งแบ่งปันความรู้ ข้อคิด คำแนะนำ ด้วยใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาครับ
" ความมืดแม้ทั้งโลก ก็บดบังลำแสงเพียงน้อยนิดมิได้ "
หน้าเว็บ
เกี่ยวกับฉัน
- Nitinandho
- อดีตที่ผ่านมาเป็นบทเรียน อโหสิให้ทุกคน แต่อย่ามีเวรกรรมร่วมกันอีกเลย
ผู้ติดตาม
วันอังคารที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
ส่งลูกเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า
ส่งลูกเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า
บุญกุศลใดพึงเกิด ขออุทิศให้น้องวีรภัทร์ อัครดำรงเวช เจ้าของเรื่องด้วย _/\_เอามาจากเวปไดอารี่ของพี่อ๋อซียูนะครับ อ่านแล้วประทับใจ..เลยอยากเอามาให้เพื่อนๆ ได้บ้าง ขอให้เครดิตแก่
พี่อ๋อ จาก เวป http://www.aurseeyou.net ครับ
.........ตอนนี้มีเรื่องใหม่มาเล่าให้ฟัง พอดีพึ่งอ่านหนังสือเรื่อง “ส่งลูกไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า” จบ ได้หนังสือเล่มนี้มาจากเพื่อน ตอนที่เค้าให้ก็ไม่ได้คิดอะไร เพียงแต่บอกว่าลูกเค้าตัวใหญ่ดี เรื่องที่เค้าเขียนน่าสนใจมากเพราะเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น มีมุมมองที่เราสามารถนำมาใช้กับชีวิตประจำวันของเราได้เลย พี่อ๋อจะค่อยๆ เล่าให้ฟังเหมือนเวลาเราดูละคร ติดตามกันไปจะได้สนุกและลุ้นไปกับพี่อ๋อถึงตอนจบของละครชีวิตเรื่องนี้นะ
------------------------------------------------------------------------------------------
เรื่องนี้ คุณ benyapa ส่งมา และนำมาลงให้ได้อ่านกัน ผมแก้ไขที่สะกดผิดเล็กน้อย แล้วก็อปปี้มาลง......อิอิ ง่ายแฮะ เอ้า....เตรียมกระดาษทิชชู่ไว้สักกล่องนะครับ....ลุยเลย
------------------------------------------------------------------------------------------
ส่งลูกเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ตอนที่ 1 ตอนที่ 1 วันแห่งความโหดร้าย
เช้าแรกของเดือนตุลาคม 2550 วันนี้อากาศแจ่มใส เป็นวันที่ลูกๆ ของผู้หญิงคนนี้ มีความสุขมาก ผู้หญิงคนนี้ชื่อว่า หทัยภรณ์ กสิกิจนำชัย ลูกๆ เรียกเธอว่า หม่าม้า มีลูกด้วย 2 คน คนโตชื่อว่า เหวินยุ่ย(โย้ง) ส่วนคนเล็กก็ตามปกติของลูกคนเล็ก ชื่อว่า ตี้ตี้ และอย่างที่บอกวันนี้เป็นวันที่ลูกๆ มีความสุขที่สุดเพราะเป็นวันแรกที่ปิดเทอม และตี้ตี้ กำลังจะเดินทางไปเที่ยวรัสเซียกับปาป๊า โดยเหวินยุ่ย อยู่เป็นเพื่อนหม่าม้า เมื่อส่งปาป๊าและน้องที่สนามบินเสร็จแม่ลูกก็ขับรถกลับบ้าน แต่ขณะที่กำลังขับกลับนั้นเอง ที่เหวินยุ่ย ไอเป็นชุดเลย ทำให้หม่าม้าถามขึ้นว่า
"ลูกไออีกแล้วนะ ครั้งนี้ไอหนักด้วย กินของทอดอีกแล้วหรือ เจ็บคอหรือเปล่า" แม่ถามลูกเหมือนปกติทุกครั้งที่เห็นลูกไอ แต่กินยาก็หาย
"ไม่เจ็บคอหรอก ไอจนชินแล้ว แต่หมู่นี้ไม่รู้เป็นไง ไอบ่อยจัง หายใจก็ไม่ค่อยคล่อง"
"ไปหาหมอหน่อยดีกว่านะลูก เป็นหวัดก็ไม่ได้เป็น ไปตรวจซะหน่อยดีไหม"
"ตามใจหม่าม้า"
หลังจากนั้นก็มุ่งหน้าไปโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง แม่ขอให้ลูกตรวจกับแพทย์เฉพาะทางด้านปอด แพทย์ตรวจและขอ X-ray ขณะที่รอฟังผล แม่ลูกคุยกันอย่างสนุกสนาน โดยไม่คิดเลยว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุดกำลังจะเกิดขึ้นกับชีวิต หมอเรียกพวกเค้าไปแล้ว ขอเจาะเลือดเพิ่ม หมอบอกว่า ปอดไม่สวยเลย มีก้อนเนื้ออยู่บนขั้วปอดกว้างประมาณ 6 ซ.ม. ยาวประมาณ 10-12 ซ.ม. ที่ปอดทั้ง 2 ข้างมีก้อนเนื้อใหญ่เล็กหลายจุด ใหญ่สุดประมาณ 5 ซ.ม.
ไม่มีเสียงใดๆ ออกจากปากทั้ง 2 คนแม่ลูก มีแต่เสียงหัวใจของผู้เป็นแม่ที่เต้นโครมคราม อยู่ภายในว่า หมอกำลังบอกว่า "ลูกเป็นมะเร็ง" แม่มองหน้าลูกโดยพยายามยิ้ม และทำหน้าปกติที่สุด แต่ลูกมาบอกภายหลังว่า เป็นรอยยิ้มที่แย่ที่สุดของแม่เลย
หมอถามแม่กับลูกว่า พร้อมที่จะพูดคุยกับหมอเฉพาะทางไหม แล้วมีหรือที่แม่จะไม่พร้อม เมื่อเข้าไปคุยกับหมอ หมอก็ขอให้ทำ CT scan ขณะที่รอฟังผลก็ภาวนาให้ผลออกมาไม่ตรงกับผล x-ray แต่ผลออกมาว่า
"ลูกคุณเป็นมะเร็งบนขั้วปอด และกระจายไปสู่ปอดทั้ง 2 ข้างแล้ว"
แม่ถามออกไปว่า “ลูกเป็นขั้นไหนแล้ว แต่ไม่อยากให้หมอพูดต่อหน้าลูกเพราะกลัวเค้ากลัวและไม่สบายใจ” แต่หมอกลับพูดว่า
"น้องอายุยังน้อย 20 เอง รูปร่างสูงใหญ่ หมออยากให้น้องเค้ารับรู้ด้วย หมอเห็นผลเลือดแล้ว หมอดีใจ คุณ........เป็นผู้โชคดีบนความโชคร้าย คุณเป็นมะเร็งที่มีชื่อเรียกว่า Gem Cell นักศึกษาทุกคนทราบดีว่ามะเร็งตัวนี้ รักษาง่าย ด้วยการทำคีโม ก็เห็นผลแล้ว 90% ของมะเร็งชนิดนี้รักษาหาย "
คำบอกเล่าของหมอทำให้ทั้งคู่มีความหวัง จึงยิ้มและถามออกไปว่า
"คุณหมอพบ และทำการรักษาคนที่เป็นโรคนี้ทั้งหมดกี่คนแล้วค่ะ"
“ประมาณ 70 คน”
“อีก 10% ที่ไม่หายเป็นไงบ้างค่ะ”
“เมื่อรักษาหายแล้ว อีก 2 ปีจะกลับมาอีก” หมอเริ่มอธิบายถึงขั้นตอนในการรักษา โดยจะทำคีโม 5 ครั้งๆ ละ 5 วัน โดยห่างกัน 21 วัน วันแรกที่ทำมะเร็งจะลดขนาดลงและอาการไอก็จะดีขึ้น
2 แม่ลูกได้ฟังก็ยิ้มได้และกลับบ้านไปด้วยความหวัง
เริ่มทำคีโมครั้งแรก วันแรกที่ทำลูกหายใจได้คล่องขึ้นจริงๆ อาการไอก็ทุเลา ทำการให้ต่อครบ 5 วัน ทำการตรวจเลือดและ x-ray ปรากฏว่าก้อนเนื้อใหญ่กว่าเดิม ทั้งๆ ที่จริงๆ มันต้องเล็กลง และตำแหน่งที่เกิดก็เริ่มกดทับเส้นเลือดใหญ่ กดทับหลอดลมจนเบี้ยว ยิ่งไปกว่านั้นยังไปอยู่ติดกับหัวใจด้วย
ผู้เป็นแม่จึงเริ่มที่จะศึกษาเรื่องราวต่างๆ เกี่ยวกับโรคนี้ และเริ่มให้ลูกหยุดการเรียน ที่มหาลัยไว้ก่อน แต่ลูกต่อลองว่าขอเหลือไว้ 1 วิชาเพราะอยากเจอเพื่อนๆ จากเรื่องราวนี้ทำให้ผู้เป็นแม่ทราบว่าการทำคีโม คือการใส่ยาพิษเข้าไปสู่ร่างกายมนุษย์ เพราะคีโมจะทำลายแม้แต่เซลล์ที่ดี ไม่เพียงแต่ทำลายมะเร็งเท่านั้น ทำให้ร่างกาย มีอาการเคลื่อนไส้อาเจียน ภูมิคุ้มกันถูกทำลาย ง่ายต่อการติดเชื้อ จำนวนเม็ดเลือดขาวจะลดลง ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนได้
การทำคีโมครั้งที่ 2 ทำให้ผมร่วง น้ำหนักไม่ลด ปลายนิ้วมือเท้าเริ่มชา ไม่ปวดเมื่อย ไม่มีอาการเคลื่อนไส้ ลูกยังทำตัวร่าเริงปกติ แต่ก็ต้องดูแลเรื่องการติดเชื้อ เมื่อคีโมครบ 5 วันผลกลับกลายเป็นว่าก้อนเนื้อใหญ่ขึ้นอีก
หมอวินิฉัยว่า เป็นมะเร็งที่ดื้อยา ควรทำการผ่าตัดออก ซึ่งเมื่อลูกได้ยินก็จะรีบให้ทำ เพราะอยากหายมากๆ แต่สิ่งที่แม่กลัวอยู่ในใจคือ มันรักษาไม่หาย ผู้เป็นแม่จึงขอพบหมอโดยที่ไม่มีลูกอยู่ด้วย
หมอบอกว่า “ลูกคุณเป็นถึงขั้นที่ 4 แล้ว และดื้อยาด้วย แถมยังขึ้นติดกับส่วนที่สำคัญ ถ้าทำการผ่าตัดก็ไม่สามารถเอาออกจนหมดได้ เมื่อขอทราบวิธีการผ่า หมอบอกว่า ต้องผ่าช่องอกด้วยเลื่อย เลื่อยแผงซี่โครง และตัดก้อนเนื้อ ซึ่งไม่สามรถเอาออกได้หมด หลังจากนั้นก็เย็บปิดซี่โครง โดยการร้อยถัดด้วยลวดทางการแพทย์”
แม่จึงถามว่า “ซี่โครงจะเชื่อมติดเมื่อไหร่”
“แล้วแต่ความแข็งแรงของคนไข้อาจจะ 2 เดือน”
“ก้อนเนื้อที่ปอดละค่ะ”
“ไม่สามารถเอาออกได้เพราะกระจายไปทั่วแล้ว”
“แล้วจะผ่าทำไมค่ะ กระดูกยังไม่เชื่อมก็เกิดขึ้นใหม่แล้ว”
"หมอเห็นใจนะ ส่วนมากที่พบก็ขั้นสุดท้ายแล้ว ของลูกคุณเกิดในจุดสำคัญด้วย เกิดกับคนที่อายุเยอะยังดี นี่ลูกคุณยังแข็งแรงก้อนเนื้อก็จะยิ่งโตเร็ว หมอขอโทษที่ต้องพูดเช่นนี้"
แม่นั่งร้องไห้ทำใจหมอช่างพูดได้ แต่ทำใจยากมาก เมื่อออกมาก็เจอคำถามจากลูก เลยต้องบอกว่า ผ่าไปก็ไม่คุ้ม ผ่าเอาออกไม่หมด ก็ยิ่งทำให้ก้อนเนื้อที่เหลือโตเร็วมากขึ้น จึงเริ่มคิดที่จะไปหาทางอื่นสำหรับการรักษา
เรามาดูกันว่าสิ่งมหัศจรรย์จะเกิดขึ้นจริงไหมอย่างไรรออ่านตอนที่ 2 นะ
ส่งลูกเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ตอนที่ 2
ตอนที่ 2 น้ำตาลูกผู้ชายรินหลั่งครั้งแรก
หลังจากที่ทั้งครอบครัวปรึกษากันแล้วว่าจะเปลี่ยนหมอ ผู้เป็นแม่ก็ตระเวนปรึกษาแพทย์ทั้งในและนอกประเทศ เท่าที่มีคนแนะนำว่าดี คำตอบก็คือ โอกาสรักษาได้มีน้อยมาก ทำให้ต้องชั่งใจมากว่าเอาไงดี แต่สุดท้ายทุกคนในครอบครัวก็เลือกที่จะรักษาต่อในประเทศ เพราะอย่างน้อยลูกรู้สึกอบอุ่นกว่า
ตั้งแต่รู้ว่าตนเองเป็นมะเร็ง ลูกจะตื่นมาสวดมนต์ทุกเช้าและไปใส่บาตรทุกวัน เพื่ออุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร คืนแรกของการตัดสินใจเปลี่ยนหมอ เป็นคืนที่แม่ลูกนอนกุมมือกัน เมื่อมองหน้ากัน ลูกก็ร้องไห้โฮออกมาเลย นั้นเป็นครั้งแรกที่ผู้เป็นแม่ร้องไปกับเค้าด้วย ผู้เป็นแม่บอกกับลูกว่า
"ร้องให้เต็มที่เลยลูกมีอะไรปล่อยออกมาให้หมด" แล้วก็นอนกอดลูก ให้ลูกนอนหนุนตัก
"หม่าม้าครับ ผมอยากเลี้ยงดูหม่าม้า ตอนที่หม่าม้าแก่เฒ่า ทำไมผมอายุแค่นี้เอง ต้องเป็นโรคนี้ด้วย"
คนเป็นแม่เมื่อได้ฟังลูกพูดก็สะเทือนใจ มิเสียแรงที่สอนให้ลูกรู้จักกตัญญู หนูจำที่อากงสอนได้ไหม
ไม่มีคำว่าทำไม พระพุทธองค์ทรงสอนว่าในโลกนี้ อะไรที่เกิดขึ้นมีเหตุ ก็ต้องมีผล มนุษย์เรามีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ แรงกรรมส่งเรามาเกิด สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม อะไรเกิดเป็นผลย่อมมีเหตุปัจจัย คนเราแต่ละคนเกิดมาแล้วไม่รู้ว่ากี่พันชาติ ในอดีตก็ไม่รู้ว่าทำกรรมอะไรกันไว้ เจ้ากรรมนายเวรของเราก็ไม่รู้ว่ามีอยู่กี่คน พุทธองค์จึงทรงสอนว่า อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด เมื่อเกิดแล้วขอให้ใช้ความสงบ ความมีสติ สยบความวุ่นวาย หันหน้าเข้าแก้ไขตามสภาวะแห่งความเป็นจริง แก้ไขได้เท่าไหร่ เอาแค่นั้น ในเมื่อมันเกิดมาแล้วเราก็ต้องรักษามันตามอาการ อย่าเพิ่งไปปรุงแต่งจนมันเลวร้ายไปหมด
เมื่อเราเปลี่ยนหมอ กายเราป่วยได้ แต่ใจเราห้ามป่วย เราต้องยอมรับความจริง และเชื่อในคำสอนของพระพุทธองค์ เมื่อเรามองดูตัวเรามีอะไรเป็นของเราบ้าง ผม ขน เล็บ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้มีอยู่ก็เหมือนไม่มี เราบังคับมันไม่ได้ บอกให้มันไม่เจ็บก็ไม่ได้ ไม่ให้แก่ก็ไม่ได้ สุดท้ายร่างกายนี้ก็ต้องเน่าเปื่อย แต่วิญญาณเท่านั้นที่ไม่ได้ตายไปตาม
ร่างกาย หากมีเชื้อกิเลสอยู่ ก็จะกลับมาเกิดใหม่ อยู่กับกรรมที่เราเป็นทายาท
ผู้เป็นแม่พยายามที่จะสอนธรรมะให้ลูกเพื่อให้เค้าไม่กังวลมาก เพราะเค้ารู้สึกว่า ตนเองนั้นไม่เคยสูบบุหรี่เลย แต่กลับต้องมาเป็นมะเร็งปอด ด้วยวัยเพียง 20 โลกของเค้ากำลังสดใส มีแต่ความสวยงามและสนุกสนาน คำสอนเหล่านี้ ไม่เพียงแต่ปลอบใจลูกเท่านั้น แต่รวมถึงใจแม่ด้วย ผู้เป็นแม่ต้องอยู่กับลูกตลอดเวลา เพราะพ่อต้องไปทำงานหาเงิน แม่จึงต้องเป็นผู้ที่เห็นและรับรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้น รวมทั้งเห็นความทรมานของลูกด้วย เวลาอยู่ต่อหน้าลูกต้องเข้มแข็ง อ่อนแอไม่ได้ แม้แต่เวลาอยากจะร้องไห้ ต้องแอบร้องในห้องน้ำตอนที่อยู่คนเดียวเพราะไม่ต้องการ
ให้ลูกใจเสีย แม้ขณะที่กอดลูก เอามือลูบหัวที่ตอนนี้ไม่มีผมเหลืออยู่แล้ว
"ทุกวันนี้ผมก็ตักบาตร สวดมนต์ นั่งสมาธิทุกวัน ทำไมก้อนเนื้อมันยังโตขึ้นอีก"
"การตักบาตรก็เป็นการให้ทานอย่างหนึ่ง เป็นการสะสมเสบียงบุญ สะสมไปเรื่อยๆ ทำเพียงไม่กี่วันจะให้เห็นผลทันตาได้ไง การสวดมนต์นั่งสมาธิ เป็นการฝึกจิตให้มีสติ ทุกวันนี้หม่าม้าเห็นลูกร่าเริง ไม่หงุดหงิด ทำกิจกรรมทุกอย่างได้ ก็พอใจแล้ว ก้อนเนื้อจะเล็กลงหรือไม่อยู่ที่หมอรักษา ส่วนเรื่องเลี้ยงดูหม่าม้า ก็ไม่ต้องห่วง หม่าม้าอายุยังไม่มากดูแลตนเองได้ น้องก็อยู่ หนูไม่ต้องกังวล ทำวันนี้ของเราให้ดีที่สุดนะลูก"
"แล้ววันนี้ของผมเหลืออีกกี่วัน ผมอยากรู้นัก" พูดพร้อมน้ำตาที่พยายามหยุดมันไว้
"ไม่มีใครรู้ว่าวันนี้ของเราเหลือเท่าไร อาจจะเหลือแค่หนึ่งลมหายใจ เหลือวันเดียว ปีหนึ่ง หรือ 10ปี ก็ช่างมันเถอะ ตอนนี้ลูกอยากทำอะไรทำเลย แต่ต้องทำในสิ่งที่ไม่ทำให้ตนเอง คนรอบข้างและสังคมเดือดร้อน ถ้าทำแล้วมีความสุข ทำเลย "
ผู้เป็นแม่พยายามกั้นน้ำตาพูดกับลูก พยายามไม่ให้มีเสียงสะอื้นหรือไม่ให้เสียงสั่น รู้สึกผิดที่ผ่านมา
"ฉันเลี้ยงลูกอยู่ในกรอบ และมาตรฐานของตนเองในการเลี้ยงลูก พยายามให้เรียนในสิ่งที่ตนเองอยากเรียนแต่ไม่มีโอกาสได้เรียน โดยไม่คำนึงถึง ความพร้อมหรือความถนัดของเค้าเลย ลูกต้องเรียนโรงเรียนดีๆ มีชื่อเสียง ทำทุกอย่างเพื่อลูก เพราะรักลูก ต้องการให้ลูกมีอนาคตที่ดี แต่ฉันทำพลาดอย่างไม่น่าให้อภัย เพราะฉันไม่ได้คิดถึงหัวใจน้อยๆของเขา ที่เขาต้องฝืนทำในสิ่งที่เค้าไม่ชอบ ต้องเจ็บปวดเวลาที่เค้าอยากดูรายการฟุตบอล แล้วฉันห้ามไม่ให้ดู เพราะกลัวเค้าติดการพนัน ลูกอยากจะเล่นฉันก็ห้ามเพราะกลัวเค้าเกิดอุบัติเหตุ ไม่ยอมติดเคเบิลเพราะไม่อยากให้เค้าได้ดู ทั้งๆ ที่ลูกเป็นเด็กดีเชื่อฟังทุกอย่าง ที่ผ่านมาฉันทำร้ายจิตใจเค้าโดยไม่เคยนึกถึงเลย"
ผู้เป็นแม่เฝ้าถามตนเองว่า "สายไปหรือเปล่าที่จะให้ลูกเป็นอย่างที่เค้าต้องการ ให้เค้าสุขอย่างที่เค้าชอบ"
นอกจากหนังสือธรรมะ ก็ได้ ซีดีตลก เป็นร้อยตอน เพื่อที่จะนั่งดูกันแม่ลูก เล่นเกม เล่นเปียโน คุยโทรศัพท์กับเพื่อน เค้ายังหวังอยู่เต็ม 100 ว่าเค้าจะหายและกลับไปใช้ชีวิตตามปกติกับเพื่อนๆ ที่เค้ารักและรักเค้า
และเมื่อการทำคีโมครั้งที่ 3 เกิดขึ้น เค้าก็ปวดเมื่อย ขณะที่ทำคีโม ผู้เป็นแม่จึงนวดให้ลูก
"หม่าม้าครับไม่ต้องนวดก็ได้ มันเป็นหน้าที่ของลูกที่ต้องทำให้แม่ " ลูกน่ารักเสมอ พูดเพราะเกรงใจแม่ ทั้งๆ ที่ตนเองทรมานอยู่
"ไม่เป็นไรลูก จำได้ไหม ตอนเป็นเด็ก เวลาหม่าม้านอนไม่หลับ เราบีบนวดให้จนหม่าม้าหลับไปเราถึงหยุด ตอนนี้ลูกป่วยหม่าม้าทำให้ได้อยู่แล้ว"
ทำคีโม 3-5 ครั้งผลก็ออกมาเหมือนเดิม ก้อนเนื้อไม่เล็กลงเลย กลับพัฒนาใหญ่ขึ้น แต่ไม่กระจายไปที่อื่นแล้ว หมอลงความเห็นว่าเป็นมะเร็งที่ดื้อยา
ผู้เป็นแม่จึงถามหมอตรงๆ ว่า "คุณหมอมีทางรักษาไหมค่ะ ต่างประเทศก็ได้ ที่ไหนก็ได้ ขอให้คุณหมอแนะนำด้วย"
"เท่าที่ผ่านมาหมอก็ให้ยาที่ดีที่สุดแล้ว ไปต่างประเทศยาก็คงไม่แตกต่างกัน"
ถ้าเช่นนั้นจากอาการของลูก ลูกจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหน "หนึ่งปี" หนึ่งปีคือคำตอบ แต่หมอบอกว่ายังมีอีกวิธี คือการทำสเต็มเซลล์
ผู้เป็นแม่เดินออกมามองหน้าลูกแล้วพูดว่า
"ปาฏิหาริย์มีจริงนะลูก ดูอย่างบางคนเป็นขั้นสุดท้ายแล้วปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ก็ยังสามารถหายจากโรคได้ ลองดูกันนะ" คำปลอบใจตนเองและลูกที่น่ารัก หัวอกคนเป็นแม่จะมีอะไรทุกข์ได้มากกว่านี้ เรามาลุ้นกันต่อในวันพรุ่งนี้นะ
ส่งลูกเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ตอนที่ 3
ความรักลูกทำให้ผู้เป็นแม่ต้องกาข้อมูลเกี่ยวกับการทำสเต็มเซลล์ ทั้งจากหนังสือ และจากผู้เชี่ยวชาญ เมื่อรู้ก็ทำให้เห็นความน่ากลัวของมัน (ทุกอย่างมี 2 ด้านเสมอ) ความน่ากลัวที่น้อยคนนักจะรู้ คือ การเอาไขกระดูกของคนไข้มาเพาะเลี้ยง เมื่อมันเติบโต ก็จะต้องมาลุ้นว่ามันจะเติบโตเป็นเซลล์ดีหรือเซลล์มะเร็ง
ในขณะเดียวกันคนไข้เมื่อถูกเอาไขกระดูกไปแล้ว ก็ต้องรับคีโมอีก ซึ่งครั้งนี้ต้องให้ยาแรงกว่าเดิม และจะต้องอยู่ในห้องที่ปลอดเชื้อเท่านั้น ซึ่งใครก็จะเข้าไปเยี่ยมไม่ได้ และถ้าคนไข้ทนไม่ได้ก็อาจจะต้องเสียชีวิตในตอนนี้ละ แต่ถ้าทนได้ ก็จะฉีดไขกระดูกที่เลี้ยงไว้กลับเข้าไป แล้วก็รอลุ้นว่ามันจะเป็นเซลล์ที่ดี หรือเซลล์มะเร็ง ถ้ามันเป็นเซลล์มะเร็งก็เท่ากับเราไปเพิ่มมะเร็งในร่างกายของคนไข้นั้นเอง (น่ากลัวไหม)
หลังจากที่ผู้เป็นแม่รู้อย่างนี้แล้ว จะมีแม่คนไหนบ้างที่จะกล้าเสี่ยง โดยเฉพาะเมื่อคีโมครั้งสุดท้าย ลูกเจ็บปวด และทรมานมาก ถึงขนาดพูดว่า "หม่าม้าครับ ไม่เอาอีกแล้วนะ ในเมื่อไม่มีทางรักษา ก็ขอหยุดเถอะ"
ผู้เป็นแม่ไม่กล้าที่จะทำสเต็มเซลล์ เพราะคิดอยู่ในใจว่า ถ้าลูกจะต้องตายก็ขอให้ตายอย่างสมบูรณ์ มีผมขึ้น สวยงามตามที่เค้าชอบดีกว่า อยู่บ้านรักษาสุขภาพ ฟื้นฟูร่างกาย ดีกว่าให้ลูกต้องทรมานไปจนถึงวันสุดท้ายของเค้านะ
หลังจากที่ลูกทำคีโม ในเดือน กุมภาพันธ์ 2551 ร่างกายยังไม่สมบูรณ์ ยังไอ และกินมังสะวิรัติ วันละ 2 มื้อ ลูกก็ยอมบวช เริ่มปฏิบัติธรรม และแม่ได้ซื้อ ซีดี วัดวรเชษฐ์ จังหวัดอยุธยา เป็นซีดีบทสวดสอนเจ้ากรรมนายเวร
บทสวดธัมมจักรกัปปวัตตนสูตร บทสวดโพชฌงค์ปริตร และบทสวดอีกหลายพระสูตร ซึ่งเพื่อนของผู้เป็นแม่ พ่อเค้าก็เป็นมะเร็ง เมื่อไรก็ตามที่ทรมาน เมื่อเปิดเทปความทรมานก็หายไป จากคำที่พระพุทธองค์ทรงตรัสกับพระอานนท์ว่า เมื่อพระองค์ปรินิพาน สิ่งที่เป็นตัวแทนของพระองค์คือ "พระธรรม" ซึ่งเหมือนที่พระพุทธองค์ทรงตรัส
กับพระวักลิว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา" ฉะนั้น การสวดมนต์ในบทพระสูตรต่างๆ จึงไม่ต่างอะไรกับการที่ได้เข้าเฝ้าพระพุทธองค์แล้ว
แล้วสิ่งมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้นจริงๆ มันเป็นเรื่องแปลกแต่จริง เมื่อไรก็ตามที่ลูกไอ เมื่อเปิดเทปสวดมนต์ โดยอธิฐานว่าขอใช้เสียงสวดมนต์นี้เข้าเฝ้าพระองค์แทนตนเองที่สวดไม่ไหว ประมาณ 20 นาทีหลังจากเปิด (สำหรับพี่อ๋อแค่ นาทีเดียวไอก็แย่แล้วงะ) เค้าก็จะหายจากอาการไอ ผู้เป็นแม่พยายามที่จะหาคำแปลของบทสวดต่างๆ มาให้
เพื่อให้เข้าใจในคำสวดทั้งหมด ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะไม่งั้นก็เท่ากับเป็นนกแก้วนกขุนทอง เมื่อบวชเค้าก็พาลูกเดินทางไปอินเดีย ไปสักการะ 4 สังเวชนียสถาน (ถ้าตามที่พุทธองค์ตรัส ตายไปก็ไปสวรรค์แน่แล้วงะ) ทั้ง 2 แม่ลูกได้ไปกราบท่านเจ้าคุณพระราชรัตนรังษี ซึ่งบอกแล้วศรัทธาเท่านั้นที่ดีที่สุด เมื่อไปถึงอินเดีย แค่วันแรกเท่านั้นที่ยังไอยู่ นอกนั้นอาการไอและป่วยหายไปจนสิ้น ทุกวันของการสวดมนต์ไหว้พระ ผู้เป็นแม่จะสอนให้ลูกอธิฐานจิตว่า ขออุทิศให้กับเจ้ากรรมนายเวร และขอให้หายจากโรคนี้ แต่ถ้ามันจะไม่หายก็ขอให้อย่าทรมานเลย
ซึ่งตลอดเวลาที่อยู่ที่อินเดีย(จากประสบการณ์ที่เคยไป ขอบอกว่าอยู่ที่วัดนี้เหมือนสวรรค์เลย อาหารอร่อย นอนก็สบาย) ท่านเจ้าคุณท่านแสนดี พวกเราไม่ลำบากที่อินเดียเพราะท่านเลยละ ท่านมีแต่บวชให้ผู้คนที่ไปแล้วประทับใจจนไม่อยากกลับ แต่ครั้งนี้ท่านกลับยอมที่จะสึกพระให้กับแม่ลูกคู่นี้ แถมยังมีเมตตา โทรศัพท์มาถามไถ่และมาโปรดถึงบ้านด้วย ซึ่งในการสึกครั้งนี้ ผู้เป็นแม่ก็ขอให้ลูกเปลี่ยนชื่อ เพื่อที่จะได้เริ่มชีวิตใหม่ แต่ลูกทำหน้าแสนเบื่อ
เพราะชีวิตนี้เปลี่ยนชื่อมาแล้ว 3 ครั้ง เพราะแม่ทั้งสิ้น ส่วนคราวนี้ถึงจะไม่พอใจ แต่ก็เหมือนทุกครั้งคือถ้าแม่สบายใจ และตนเองมีความหวังว่ามันอาจจะทำให้เกิดปาฏิหาริย์ก็ทำในที่สุด หลังจากกลับจากอินเดีย เค้าได้เพื่อนพี่น้องดีๆ มาหลายคนทำให้ชีวิตแต่ละวันของเค้ามีความสุขมากขึ้น ผมเริ่มขึ้น ร่างกายแข็งแรงขึ้นจนเหมือนคนปกติทุกอย่าง แม่ลูกยังคงไปวัดอย่างสม่ำเสมอ เพียงแต่ไปวัดใกล้ๆ เพราะจะทำให้ลูกเหนื่อยง่าย ถึงขนาดลุกขึ้นมาเขียนกลอนหัวข้อว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมดา แต่กูยังอยากอยู่ต่อว้อย
แม่ได้ทีจึงพูดว่า "เยี่ยมมาก ในเมื่อลูกอยากอยู่ต่อ ลูกก็ต้องรักษาตัว อย่าตามใจปาก อะไรที่เป็นอาหารของเพื่อนของเรา(เจ้าก้อนเนื้อ) เลี่ยงได้ก็เลี่ยง และต้องไม่ลืม ธรรมะโอสถนะลูก"
“หม่าม้าในชีวิตนี้ก็ถือว่าสมบูรณ์แล้วนะ เพราะลูกผู้ชายได้เรียน ร.ด. ได้บวชเรียน แต่หม่าม้าครับ ผมยังตายไม่ได้ เพราะยังมีอีก 2 เรื่องไม่ได้ทำ "
“อะไรหรือลูก”
1. ผมยังไม่ได้รับปริญญา มันเป็นความฝันอันสูงสุด
2. ผมยังไม่มีแฟนงะ
กวนนะเนี่ย ผู้เป็นแม่ยิ้มแล้วพูดว่า ลูกเอ๋ย ถ้าหาย เรื่องเรียนจะเรียนอะไรเมื่อไหร่ได้เลย แต่เรื่องแฟนอย่าพึ่งมาเป็นภาระเลยนะ
หลังจากการปฏิบัติที่ดีของทั้งแม่ลูก ความทรมานของกายและใจก็บรรเทา แต่ชีวิตมิได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เมื่อเราไม่ได้อยู่คนเดียว จึงมีผู้ที่หวังดีประสงค์ร้ายเกิดขึ้นตลอดเวลา ซึ่งงานนี้ก็เช่นกัน มีหลายคนชอบถามว่า ทำไมไม่เอาลูกไปรักษาที่ต่างประเทศ ทำเหมือนแม่ไม่รักลูก ใครจะหวังดีและรู้ดีเท่าแม่ไม่มีอีกแล้ว สภาพร่างกายของลูกเรารู้อยู่ทุกวัน ใครจะไม่อยากให้ลูกหาย ด้วยความที่สังคมไทยชอบเป็นห่วงกัน เมื่อห่วงก็เอาแต่ความคิดของตนไปยัดใส่เค้า พอเค้าไม่ทำตาม ก็ว่าๆ เค้าไม่รักลูก เออ หนอคนเรา
จากประสบการณ์ของครอบครัวนี้ ทำให้เค้าอยากบอกเป็นทานแก่ผู้คนที่ไม่เคยเข้าใจในสถานนะการณ์ของคนที่เค้ากำลังเศร้าว่า สิ่งที่มิตรที่ดีควรทำ คืออะไร
1. การให้กำลังใจ พูดคุยแต่เรื่องสนุกสนาน เพราะทั้งคนไข้และผู้ดูแลไม่อยากตอกย้ำ หรือเจ็บป่วย ทุกคนที่เข้ามาจะถามซ้ำๆ เหมือนเป็นการตอกย้ำ
2. อย่าแสดงอาการหรือสีหน้าว่าเวทนาคนไข้ หรือพูดประมาณว่า "โถ .... น่าสงสารจัง ทำไมดูผอมอย่างนี้ ทำไมดูแก่อย่างงี้" เวลาไปเยี่ยมก็อย่าไปทีละมากๆ บางครั้งด้วยอาการ หรือนิสัยของผู้ป่วยบางคนที่อยากอยู่สงบ
เขียนมาใกล้จบแล้ว เอาน่าอีก1-2 วันก็จบ เรามาดูกันว่า เค้าดีขึ้นแล้วหายไหม และถ้าไม่หายเค้าจะทำอย่างไรกันต่อ แต่ขอบอกว่ามันถึงจุดไคลเม็กซ์แล้วละ รออ่านกันนะ อีก 2 วันก็จบแล้ว
ส่งลูกเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ตอนที่ 4
เมื่อลูกที่แสนดี ดีขึ้น จึงเริ่มทำหน้าที่ที่ดี โดยขับรถพาแม่และน้องไปเที่ยว แต่ก่อนที่จะขับรถเดินทาง ลูกก็เริ่มมีอาการไข้ โดยกินยาลดไข้ เป็นๆ หายๆ แต่ก็ยังอยากพาน้องไปเที่ยว เพราะรับปากไว้ และนี่นับเป็นครั้งสุดท้าย
ที่ลูกได้ออกไปเล่นสนุก ตามที่ใจเขาอยากไปแบบคนปกติ
ลูกเริ่มมีอาการไอและเจ็บปวดด้านข้างขวามากขึ้นเรื่อยๆ เป็นๆ หายๆ จึงพาลูกไปหาหมอ เพื่อ X-ray ปรากฏว่า มีน้ำขังที่ผนังปอด ซึ่งเป็นอาการของโรคที่แสดงให้รู้ว่า "เวลาเหลือน้อยลงแล้ว"
คุณหมอเจาะเอาน้ำออกแล้วใส่ยาเข้าไปเพื่อมิให้น้ำกลับเข้าไปอยู่อีก ขณะที่ทำ นึกถึงใจแม่สิ นั่งสวดมนต์อยู่หน้าห้อง ภาวนาให้สำเร็จและไม่เป็นขึ้นมาอีก คุณหมอบอกว่าเป็นมะเร็งปอดก็ต้องไอแบบนี้ สิ่งเดียวที่ทำให้ ลูกทรมานน้อยที่สุด ก็คือ "ธรรมะโอสถ" ใครจะนึกว่ายาช่วยไม่ได้แต่บทสวดมนต์ เพียง ๒๐ นาที ก็สามารถทำให้ความทรมานหายไป การไอ หายไป
มันคงถึงเวลา ผู้เป็นแม่จึงต้องพูดคุยกับลูกอีกครั้งให้เค้ารู้ตัว ซึ่งจากอาการ เค้าก็คงสงสัยอยู่บ้าง ผู้เป็นแม่จึงถือโอกาสการอยู่ ร.พ.ครั้งนี้ให้เป็นโอกาส คนเราเมื่อไม่ทุกข์ก็ไม่เห็นธรรม (ไม่มีดำก็ไม่รู้จักขาว ไม่มีความไม่ดีก็ไม่รู้จักว่าดี) ความเจ็บป่วยทางกายใช้หมอรักษา ความเจ็บป่วยทางใจให้ธรรมรักษา ลูกรู้ใช่ไหมว่าที่ลูกเป็นอยู่ดื้อยา ไม่สามารถรักษาได้ หม่าม้ามีเงินรักษาได้ แต่ไม่มียารักษา ไม่มีวิธีรักษา รอปาฏิหาริย์เท่านั้น
"ผมเป็นระยะสุดท้ายแล้วใช่ไหม"
หัวอกแม่กว่าจะตอบคำนี้......นึกเอา......ชีวิต
"มะเร็งมันกระจายไปยังอวัยวะส่วนอื่นๆ ก็เรียกว่า ขั้นสุดท้ายแล้ว แต่บางครั้งปาฏิหาริย์เกิดเท่านั้น กลัวไหมลูก"
"ไม่กลัว เพราะวันนั้นยังไม่มาถึง" ฟังแล้วอึ้งไหม ดีแล้วลูก อยู่กับปัจจุบันอย่างนี้ดีแล้วอะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด
ผู้เป็นแม่พูดพร้อมลูบผมลูก รวมทั้งกลั้นน้ำตา ใจนี่ละน้าที่แสน ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เกิดขึ้น รู้วิธีดับแต่ดับไม่ได้ ...... มนุษย์
ทำวันนี้ให้ดีที่สุด ให้คิดถึงคำสอนของพระพุทธองค์ที่ว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือ ความไม่เที่ยง ไม่สามารถบังคับให้เป็นไปตามใจของเรา
วันสุดท้ายของ ร.พ. คุณหมอเรียกไปคุยหลังจากดู x-ray คุณหมอว่า
"หมอไม่เคยพบก้อนเนื้อใหญ่ขนาดนี้มาก่อนเลย แสดงว่าลูกคุณแข็งแรงมากเลยนะ เพราะถ้าเป็นคนอื่นคงจากไปนานแล้ว" "คุณทำเป็นเข้มแข็งต่อหน้าลูกคุณใช่ไหม"
เท่านั้นละผู้เป็นแม่หรือจะกลั้นได้ กี่เดือนแล้วที่ต้องทน มันกำลังสุดจะทนแล้ว เมื่อร้องไห้จนพอใจจึงกล้าที่จะถามคำถามที่กลัวที่สุด "ลูกจะอยู่ได้อีกนานแค่ไหนค่ะ"
"ประมาณ ๒ เดือน คุณคงต้องพึ่งธรรมะบ้างแล้ว"
หารู้ไม่ว่าที่อยู่มาได้นี่ก็เพราะเชื่อมั่นและยึดเอาธรรมะเป็นหลักนี่ละ
หมอบอกว่า “คุณจะทำยังไงต่อไป”
“ลูกอยากอยู่บ้าน อยากให้เค้ามีความสุขที่สุดก่อนที่จะไปนะค่ะ แล้วหลังจากนี้ อาการของเค้าจะเป็นยังไงบ้างค่ะ”
“ผนังปอดเชื่อมติดแล้ว แต่สิ่งที่คุณต้องระวังคือ ขณะนี้ก้อนเนื้อใหญ่ของเขาใหญ่มาก และมันไปกดทับเส้นเลือดใหญ่ของเขาอยู่ เส้นเลือดนี้อาจจะแตกเมื่อไหร่ก็ได้ จะมีอาการอย่างไรค่ะ มีให้เราสังเกตหรือเห็นบ้างไหม มีเลือดออกมากทางปาก จมูก คุณอย่าตกใจ คุณจะทนดูลูกคุณได้หรือเปล่า เมื่อเกิดเหตุต้องนำส่ง ร.พ.ทันที”
“ส่งเพื่ออะไรค่ะ”
“คุณถามได้ดี ส่งเพื่อปั๊มหัวใจเค้า เอาเค้ากลับมาเจ็บปวดใหม่ ยังไงเค้าก็ไม่อยู่ หรืออยู่ไม่ได้แล้ว”
“ถ้าเราไม่ส่ง ร.พ. เค้าจะอยู่ได้นานแค่ไหนค่ะ”
“ไม่เกิน ๑๐ นาที เขาจะช็อค หน้าเขียว คุณจะทนดูลูกไหวหรือ”
“ทนได้ค่ะ เพราะที่ผ่านมาก็ที่สุดแล้วค่ะ”
“คุณหมอจัดยาแก้ปวดไปให้ ต่อไปเค้าจะปวดและปวดมากขึ้น แล้วถ้าปวดมากแล้วมอร์ฟีนเอาไม่อยู่ จะทำยังไงค่ะ”
“ก็ต้องพามาร.พ. ฉีดแทน แต่เมื่อฉีดเค้าก็จะไม่รู้สึกตัวเลย”
คุณหมอน่ารักมาก เพราะมีหลายคนที่เข้าใจผิด กลัวญาติตายเอาเข้าห้องฉุกเฉิน ช่วยจนถึงที่สุด ไม่รู้บุญหรือบาป เพราะมันยิ่งทำให้เค้าทรมานหนักขึ้นไปอีก เวลาการทรมานเพิ่มขึ้น และจากไปอย่างทุกข์ทรมาน สำหรับผู้เป็นแม่ ขอภาวนาเพียง เมื่อถึงเวลาที่ต้องจาก ขอให้ลูกจากไปอย่างสงบ และจากไปอย่างเป็นสุข
เงินทองมีมากมายกลับทำอะไรไม่ได้ ไม่มีใครเลยหนีความตายได้ เพียงแต่เราจะได้เห็นละว่า ปาฏิหาริย์มีจริง และมีมากด้วย ทุกวันนี้เราก็เจออยู่ เฉพาะ ๓ วันที่ผ่านมาสำหรับพี่อ๋อ ความมีอยู่ของบุญกรรมก็มากพอแล้ว
ปกติพี่อ๋อสุขภาพไม่ค่อยดีนั้น ตลอด ๓ วันนี้ทุกครั้งที่พิมพ์ก็ทรมานมาก แต่ก็จะขอเจ้ากรรมนายเวร ว่าที่พิมพ์นี้ เพราะอยากที่จะให้ทุกคนได้รู้ ขอให้ร่วมทำบุญด้วยกันอย่าให้ต้องทรมานมากเลยนะ แล้วความทรมานนั้นก็จะหายไป บุญกรรมนั้นมีจริง หากเราเชื่อมั่นและศรัทธา การเป็นโสดาก็อยู่ไม่ไกล เพียงเราถือ ศีล ๕ และถือเอารัตนะไตรเป็นสรณะ เท่านี้ก็เป็นได้แล้ว โสดา แล้วเมื่อเราเป็นแล้ว อีกเพียง ๗ ชาติเท่านั้นเราก็สำเร็จถึงเป้าหมาย
เรามาร่วมส่งแม่ลูกไปตามที่เค้าหวังในคืนนี้นะ
ส่งลูกเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ตอนที่ 5 (ตอนจบ)
เมื่อย้ายกลับมาบ้านแม่ก็อยากให้ลูกได้ทำบุญที่ประเทศอินเดีย จึงได้ฝากทำบุญกับวัดไทยที่กุสินารา ซึ่งบุญกุศลนี้เองที่ช่วยให้ลูกไม่ทรมานมากนัก ช่วงหลังๆ ลูกจะเหนื่อยง่ายจนแม่ต้องช่วยแม้กระทั่งอาบน้ำ วันนี้ก็เช่นกัน เมื่อเตรียมเสื้อผ้าและช่วยลูกอาบน้ำ ผู้เป็นลูกก็พูดว่า
“หม่าม้าครับ ผมทำให้หม่าม้าลำบาก ขอโทษครับ”
แม่ไม่กล้าที่จะร้องไห้ จึงแสร้างทำเป็นเรื่องตลก เพื่อให้ลูกคลายกังวล แต่ในความตลกนั้นมีความจริงบางอย่างซ้อนอยู่
“ลำบากอะไรกันลูก ดูซิหม่าม้าทำได้ หม่าม้ามีความสุข สัจธรรมที่เค้าพูดกันว่า แม่คนเดียวเลี้ยงลูกหลายคนได้ แต่ลูกคนเดียวเลี้ยงแม่คนเดียวไม่ได้ ตอนอาม่าป่วย หม่าม้าจ้างคนมาดูแล ให้คนงานอาบน้ำ ป้อนข้าว ให้คนงานทำทุกอย่างแทนที่จะทำเอง บางครั้งก็ปล่อยให้อาม่าอยู่กับคนงาน แต่พอถึงคราวลูกป่วยบ้าง คนงานขอทำ
หม่าม้าไม่ยอมให้ทำ หม่าม้ามีความสุข ที่จะทำให้หนูเอง เหมือนลูกเมื่อตอนเล็กๆ ความรักเหมือนกันแต่ต่างกันมากเลย”
หลังกินข้าวเสร็จ จึงเริ่มคุยกับลูกว่า “ยาอะไรเอ่ยรักษาได้ทุกโรค”
“ธรรมะโอสถ”
“ไม่ใช่ นั่นเป็นเพียงยารักษาใจ ที่รักษาได้หายขาดทุกโรคเลยไม่เจ็บปวดอีกแล้ว”
“อ๋อ ........ความตาย”
ยามที่พูดแม้จะเหมือนพูดเล่นแต่หัวใจของแม่ แสนเจ็บปวดและกลัวมากว่า ลูกจะรับได้มากน้อยแค่ไหน
ลูกเชื่อไหม “คนเราเกิดตายไม่รู้กี่ชาติ ร่างกายผุพัง แต่มีอย่างเดียวที่ไม่แก่ไม่ตาย จนกว่าจะหมดกิเลส”
“จิตวิญญาณใช่ไหม”
“ใช่ลูกจิตวิญญาณไม่มีวันตาย ร่างกายเราเปรียบเสมือนบ้านหลังหนึ่ง วันหนึ่งมันก็ต้องผุพัง เราก็ต้องหาบ้านอยู่ใหม่”
“กลัวไหมลูก”
ที่ถามลูกบ่อยๆ เพราะต้องการให้ทำใจให้คุ้นชินกับความตายเป็นเรื่องปกติ วางใจ เมื่อเวลานั้นมาถึง
“ไม่กลัวเพราะยังมาไม่ถึง”
“ดีมากลูก อย่าว่าหม่าม้าผลักไสเรานะ ในเมื่อสิ่งที่เราเป็นอยู่รักษาไม่ได้ ป่าป๊า หม่าม้า เจ็บปวดมากที่มีเงินแต่ไม่สามารถรักษาลูกได้ อย่าโกรธพ่อกับแม่นะลูก มันเป็นกรรมของเราทั้งสองคนหม่าม้า ใช่เป็นกรรมหม่าม้าด้วย อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด เราคุยกันให้หมด อย่าให้มีอะไรค้างคาใจ สักวันหนึ่ง ถ้าเราต้องจากกัน จะได้ไม่เสียใจว่า
นั้นยังไม่ได้พูด นี่ยังไม่ได้ทำนะลูก ตั้งแต่เล็กจนโต สิ่งใดที่หม่าม้าทำให้ลูกไม่พอใจ เสียใจ หม่าม้าขอโทษ สิ่งใดที่ลูกทำให้หม่าม้าโกรธ เสียใจ หม่าม้ายกโทษให้ลูกทั้งหมด”
ผู้เป็นแม่พูดจบก็ดึงลูกเข้ามากอดแน่น เหมือนเค้ากำลังจะจางหายไป ในใจคิดถึงแต่สิ่งที่ตนเองทำกับลูกมาในอดีต เสียใจแต่แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว เวลาไม่ย้อนกลับมาแล้ว คำขอโทษที่ลูกเคยพูดยามที่แม่งอน โกรธนาน
แม่เสียอีกที่ชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ การกอดและจูบลูก ก่อนที่จะพูดว่า
“นี่เป็นการอโหสิกรรมกันนะลูก ไม่ต้องดอกไม้ ธูปเทียนหรอกลูก แค่คิดก็เพียงพอแล้ว”
ลูกก้มลงกราบเท้าแนบหน้าอยู่ที่เท้าแม่พร้อมทั้งพูดว่า
“อะไรที่ทำให้ แม่ไม่สบายใจ ไม่พอใจมาตลอด ผมขอโทษ ขออโหสิครับ”
หลังจากนั้นอาการของลูกก็เริ่มหนักขึ้น มีอาการเจ็บปวด เอามอร์ฟีนให้ทานทุก ๖ ชั่วโมง ถามลูกว่านานแค่ไหนกว่าจะหายปวด ได้คำตอบว่าหลังทานไปแล้ว ๑ ชั่วโมง จึงพาลูกไปหาหมอ ปรากฏว่าก้อนเนื้อมันใหญ่ขึ้นอีก แม้จะทำใจมานานแล้ว แต่ ๒๐ ปีที่ผ่านมาไปไหนไปด้วยกัน รอยยิ้มของลูกคือแสงสว่างที่ฉันมี ฉันจะทำไงดี
เมื่อออกจากห้องหมอ คำถามว่า " ใหญ่ขึ้นอีกใช่ไหม"
“ใช่”
“ถ้าวันที่มอร์ฟีนเม็ดเอาไม่อยู่ต้องมาโรงพยาบาลนะ”
“มาทำไม ถึงมาก็ไม่หายอยู่บ้านดีกว่า”
คนป่วยหลายคนอยากกลับบ้านอยากมีชีวิตกับคนที่ตนเองรัก และรู้สึกอบอุ่นเมื่ออยู่บ้านตน แต่มีสักกี่คนที่ได้กลับมาตายบ้าน เพราะญาติกลัวตลอดว่า ถ้าเอากลับบ้านจะมีคน ว่าได้ว่าไม่ดูแล แคร์แต่ผู้อื่นแต่กลับไม่แคร์ความรู้สึกของคนป่วยเลย
หม่าม้าต้องขอบใจลูกมาก เพราะความเข้มแข็งของลูก ทำให้แม่สามารถอยู่เคียงข้างลูกได้อย่างมีสติ หลังจากเวลาผ่านไป จากยาหนึ่งเม็ดก็กลายเป็น ๒ แต่น่าแปลกอาการไอกลับหายไปเลย ช่วงนี้เป็นช่วงที่แม่เฝ้าดูและมีบางครั้งที่คิดว่า ถ้าลูกหลับไปแล้วไปเลยก็คงจะดีเพราะไม่อยากเห็นเค้าทรมานแล้ว คำถามที่ว่ากลัวไหมลูกได้กลับมาอีกครั้ง และคราวนี้ลูกตอบกลับมาทำให้หัวใจแม่ ร้าวราน
“เริ่มกลัวแล้วหม่าม้า กลัวตกนรก” ทุกครั้งจะตอบว่าไม่กลัว เพราะยังมาไม่ถึง แต่คราวนี้กลับตอบว่า กลัวตกนรก
แม่จึงปลอบว่า
“บุคคลแม้เหาะได้ ก็ไม่พ้นความตาย จะไปหลบซ่อนอยู่ที่ไหนก็หนีไม่พ้น เพราะไม่มีแผ่นดินสักส่วนเดียวเลยที่บุคคลยืนอยู่แล้วหนีพ้นความตาย”
แม่พยายามพูดด้วยเสียงที่ดูเป็นปกติ ทั้งๆ ที่รู้ว่าคำพูดเหล่านี้อาจจะทำให้ลูกเจ็บปวด เพราะเค้าเป็นเพียงวัยรุ่นที่กำลังรักสนุกและสดใสกับชีวิต ยังอยากใช้ชีวิตในโลกใบนี้อย่างบุคคลทั่วไป ใครเล่าจะอยากให้บุคคลอันเป็นที่รักจากไปก่อนวัยอันควร
ลูกหมดกรรมก่อน ลูกก็ไปก่อนนะ ใครก็ไม่อยากพลัดพรากจากคนที่เรารัก ดูอย่างอาม่า อายุ๙๐ ยังไม่อยากตายเลย นับประสาอะไรกับลูกอายุแค่นี้ แต่เราต้องยอมรับว่า ทุกวันนี้สังขารเรามันไม่ไหว ข้างในมันทรุดโทรมหมดแล้ว อย่าไปกลัวความตาย คนเราไม่ได้ตายจริง ตายแต่เพียงร่าง จิตไม่ได้ดับไปด้วย เมื่อสิ้นลมกิเลสก็จะนำพาไปหาร่างใหม่ ตอนมีชีวิตอยู่หากร่างหมดสภาพ ก็นำมาซึ่งความทุกข์ ไม่สามารถใช้ร่างนี้ให้เกิดประโยชน์ การตายกลับเป็นโอกาสที่จะหาร่างใหม่ เพื่อให้เราทำอะไรได้มากขึ้น อายุสั้นหรือยืนไม่สำคัญ ที่เราเกิดมาเพื่อมีโอกาสสร้างความดี สั่งสมบุญบารมี นำชีวิตให้มีคุณค่า ไม่ใช่อยู่เพื่อเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น
บางคนนอนป่วยเป็นปีทำให้เกิดทุกข์แก่ตนเองแลผู้อื่น แต่ลูกไม่ต้องกังวลเพราะลูกไม่เคยทำบาป จุดสำคัญที่สุดคือ ตอนที่เราจะละร่างนี้ไป อย่าให้จิตของตนเศร้าหมอง แต่ต้องทำให้จิตผ่องใส่ จิตที่สงบ คิดถึงบุญกุศลที่ได้ทำมา ไม่ห่วงอาลัยต่อสิ่งต่างๆ เข้าใจในความไม่เที่ยงของสังขาร ความไม่สามารถคงทนอยู่ในสภาพเดิม ความไม่สามารถบังคับได้ดังปรารถนา เพราะไม่มีอะไรเป็นของตน ด้วยความเข้าใจนี้ จะทำให้จิตของเราปล่อยวางจากสังขาร ทำให้จิตสงบ ตอนที่จิตออกจากร่างก็ไปสู่สุคติภูมิได้ จำไว้นะลูก
๑๒ กรกฎาคม ๒๕๕๑ วันนี้ท่านเจ้าคุณพระราชรัตนรังษี เมตตานำเทียนหนักหนึ่งคู่ มาให้อธิษฐาน ขอให้เทียนคู่นี้เป็นแสงนำทางลูกไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า เมื่อลูกรับเทียนจากพระคุณเจ้า ก็ร้องไห้ โฮทันที แล้วพูดว่า
"ความตายคงใกล้เข้ามาแล้ว"
หัวใจของผู้เป็นแม่แทบแหลกสลาย หลายวันมานี้ลูกดำเนินชีวิตเหมือนคนปกติ หมอยังบอกว่าโชคดี ที่ระบบขับถ่ายของลูกไม่มีปัญหา ก่อนพระคุณเจ้าจะกลับขึ้นรถ ท่านพูดว่า
"เข้าพรรษา ลูกจะขออยู่กับแม่อีกสามวันนะ ในวันที่ ๑๘ เป็นวันเข้าพรรษาพอดี จงเอาเทียนคู่นี้จุดให้ลูกนะ"
เมื่อท่านกลับไปผู้เป็นแม่กลับมานั่งคิดว่า เป็นไปได้ยังไง ลูกยังแข็งแรงดีอยู่เลย แม่จึงพูดกับพ่อว่า
"เวลาของลูกคงใกล้มาถึงแล้ว เมื่อเวลานั้นมาถึง ห้ามร้องไห้ให้ลูกเห็นเด็ดขาดนะ เพราะจะทำให้ลูกกังวล เป็นห่วงเรา และที่สำคัญ จะทำให้ฉันจิตตกด้วย"
วันที่ ๑๘ มาถึง ลูกปวดมากขึ้นๆ เป็นระยะ เพิ่มยาขึ้น ให้เวลาที่สั้นลงในปริมาณที่มากขึ้น ลูกไม่ยอมไปโรงพยาบาล ขออยู่บ้าน แล้วลูกก็พูดว่า "หม่าม้ายาไม่ได้ผล ปวดมากเลยครับ"
ลูกน่ารักมากเวลาปวดมากๆ ลูกได้แต่กำมือชกหมอนเบาๆ เพราะไม่อยากให้แม่กังวล แต่แม่ก็หมดหนทางจริงๆ สงสารลูกมาก เมื่อยาไม่ได้ผล ผู้เป็นแม่จึงคิดถึงจ้ากรรมนายเวร แล้วเอามือลูบบริเวณที่ปวดแล้วพูดว่า
“เจ้ากรรมนายเวรเจ้าขา ไม่ว่าท่านจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรของเราจากภพใดชาติใดก็ตาม บัดนี้เราสองแม่ลูกได้รับทราบถึงกรรม ที่เราสองได้กระทำกับท่านแล้ว ว่าท่านได้ทุกข์ทรมานจากการกระทำของเราเช่นไร เพราะความเจ็บปวดนั้นเรากำลังได้รับอยู่ ได้โปรดอโหสิกรรมให้เราสองแม่ลูกด้วยเถิด บุญกุศลที่เราได้สร้างมา ทั้งที่สร้างพระถวายวัด สร้างหอไตรที่อินเดีย ฯลฯ เราขออุทิศให้ท่านทั้งหมด เมื่อท่านรับแล้วได้โปรดอโหสิกรรมให้แก่เรา อย่าจองเวรกันอีกเลย ขอให้นายวีรภัทร์ อัครดำรงเวช ผู้นี้อย่าได้ทุกข์ทรมานเลย ถ้าเขาต้องไปเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ ก็ขอให้เค้าไปอย่างสงบเถิด”
ผู้เป็นแม่พูดวนไปมาอย่างนี้อยู่ครึ่งชั่วโมง ปาฏิหาริย์ก็เกิด ความทรมานของลูกดีขึ้น สามารถนอนหลับได้ แม้บางครั้งจะนั่งเพื่อให้หลับก็ตามที หลังจากนั้นเมื่อลูกปวด แม่ก็จะใช้วิธีเดิมเพื่อช่วยให้ลูกดีขึ้น แม้จะเห็นหน้าเค้าทรมาน แต่อย่างน้อยเค้าก็ดีขึ้น
เมื่อวันสุดท้ายมาถึง เค้าเริ่มใช้ออกซิเจน ซึ่งในวันนี้เมื่อเค้าตื่นขึ้นมา เค้าดูหน้าตาสดชื่น เค้าบอกว่า
"หม่าม้าวันนี้แปลกมาก ทั้งๆ ที่นอนตื่นเช้ากว่าทุกวัน แต่รู้สึกเหมือนนอน น้านนาน"
ตกบ่ายแม่รู้สึกเพลียจึงขอนอน ล้มตัวลงนอนข้างๆ ลูก หลับไปได้สักครู่ ลืมตาขึ้นมามองดูลูก เหมือนเค้าเสียการทรงตัว เอียงมาหาแม่ทำให้แม่ต้องรีบกอดไว้ “เป็นอะไรไปลูก”
ไม่ตอบเหมือนหมดแรง ลูกจะไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้วหรือลูก
“ใช่” ตอบอย่างมีสติหนักแน่น
“พุทธัง สะระนัง คัจฉามิ นะลูก”
ลูกงัวเงียและหมดสติในอ้อมกอดของแม่ ประมาณ ๕ นาทีก็ลุกขึ้นนั่ง เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เมื่อกี้วูบไป นึกว่าตายแล้วเสียอีก” ลูกพูดพร้อมยิ้ม ทำให้แม่ต้องหัวเราะ
“หิวไหม ตามป่าป๊ากลับมานะลูก” เค้านั่งเงียบเหมือนหมดแรง
“ยังไม่ตายหรอกตามกลับมาทำไม”
“สามโมงแล้วปิดร้านก่อนได้ ให้ป่าป๊ากลับมานะ”
ผู้เป็นแม่ลุกออกไปห้องพระจุดธูปอธิษฐานว่า
“พระพุทธเจ้าเจ้าขา ถ้าถึงเวลาที่ลูกชายของลูกจะได้ไปเข้าเฝ้าพระพุทธองค์แล้ว ขอพระพุทธองค์ได้โปรดเมตตามานำพาเขาไปอย่างสงบด้วยเถิด” หลังจากนั้นถึงจุดธูปบอกกล่าวเจ้าที่
“ถ้าลูกหนูต้องไปเฝ้าพระพุทธองค์แล้ว ขอท่านเจ้าที่ได้โปรดเมตตา พาลูกหนูไปเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ด้วยเถิด”
เมื่อป่าป๊ามาถึง ก็ถามลูกว่า “จะโทรฯ ลาใครไหมลูก”
เค้าโบกมือช้าๆ แล้วแม่จึงเปิดบทสวดมนต์ที่เคยให้ แล้วบอกลูกว่า
“หม่าม้าเช็ดตัวให้นะลูก” เช็ดให้สะอาดที่สุด ทาแป้งและบอกว่า
“หม่าม้าเปลี่ยนชุดนักศึกษาให้นะ ลูกรักมหาลัยมาก ใส่ชุดนักศึกษานะลูก”
ลูกมองแม่แล้วน้ำตาไหล ลูกกำลังจะจากบุคคลผู้เป็นที่รักไปแล้ว จากทุกคนที่ร่วมภพชาติของเค้า ย่อมมีความอาลัยเป็นธรรมดา เพียงแต่ลูกเก่ง เข้มแข็ง เพราะเตรียมใจมานาน จึงเป็นเพียงชั่วขณะที่แม่เอาผ้าซับน้ำตาให้แล้วพูดว่า
“อย่าร้องไห้ลูก ลูกกำลังจะเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ไม่ต้องห่วงหม่าม้า ป่าป๊า น้อง ทุกคนดูแลตนเองได้ ลูกคิดถึงบุญกุศลที่เราร่วมกันทำมานะลูก”
แม่แต่งตัวให้ลูกไป ปากก็พูดย้อนถึงบุญที่เคยทำมาร่วมกัน “ยึดเอาพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งสุดท้าย ภาวนาไปเรื่อยๆนะลูก”
หม่าม้ากับป่าป๊าช่วยกันแต่งตัวให้ลูก เมื่อสะอาดเรียบร้อย ก็กอดลูกไว้แนบอก จนกระทั่งลูกหลับไปกับอกของแม่ หลับอย่างสงบ ไม่มีอาการทรมาน ทุรนทุราย แม้แต่น้อย หลับนะลูก หลับให้สบาย ลมหายใจที่แม่ส่งให้ยามลูกเกิดได้ยุติลงแล้ว เป็นการส่งลมหายใจสุดท้าย ให้ลูกกลับคืนสู่สุคติ ภายในอ้อมกอดด้วยสองมือแม่โดยแท้
รู้แล้ว ซึ้งแล้ว กับคำว่า น้ำตาตก มันเจ็บที่กระดูกตรงหัวใจ เจ็บทุกครั้งที่คิดถึง แต่หาได้มีน้ำตาไหลออกมา แม่มองร่างกายที่นอนทอดยาว หลับตาพริ้ม มีรอยยิ้มน้อยๆของลูก ลูกไม่ได้นอนสบายอย่างนี้นานแล้ว เพราะเจ้าก้อนเนื้อมันทับอยู่ ทำให้หายใจไม่ค่อยสะดวก สุดท้ายแม้แต่นั่งหลับ แต่ตอนนี้ลูกหลับสนิทและสบายแล้วจริงๆ ชีวิตมีการมาและมีการจาก เช่นนี้เอง อยู่ที่ว่าใครจะเป็นผู้ไปก่อน
ที่มา:http://board.palungjit.com/f6/เรื่องจริง-ส่งลูกไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า-214307.html
--------------------------------จบแล้วครับ....เอ่อ...อย่าลืมเช็ดน้ำตานะ........................................
สาธุครับ กับน้องวีรภัทร์ อัครดำรงเวช ที่ชีวิตนี้ สว่างมา และสว่างไป สาธุครับ กับครอบครัว ที่มีธรรมะเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ และช่วยให้น้องวีรภัทร์ ได้ไปสู่สุคติตามเหตุปัจจัยที่สร้างไว้ดีแล้ว สาธุครับ กับบทความเรื่องราวของจริงอันนี้ ที่จะเป็นเครื่องสอนจิตใจคนได้อย่างดี
kaveebsc
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น