เจริญพร ขอให้มีความสุขสมหวังและ ถึงความสิ้นทุกข์ในเวลาอันใกล้โดยง่ายเทอญ

ยินดีต้อนรับ สหธรรมิกผู้มีใจเป็นกุศลทุกๆท่านครับ

ขอเรียนเชิญ สหธรรมิกทุกๆท่านมาร่วมศึกษาและปฏิบัติธรรมของพระพุทธองค์ รวมทั้งแบ่งปันความรู้ ข้อคิด คำแนะนำ ด้วยใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาครับ

" ความมืดแม้ทั้งโลก ก็บดบังลำแสงเพียงน้อยนิดมิได้ "


สันโดษ

สันโดษ
สุขใด เสมอความสงบ ไม่มี

หน้าเว็บ

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
อดีตที่ผ่านมาเป็นบทเรียน อโหสิให้ทุกคน แต่อย่ามีเวรกรรมร่วมกันอีกเลย

ผู้ติดตาม

วันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2554

พระไตรลักษณ์ โดยย่นย่อ และปรมัตถ์ที่สุด



พระไตรลักษณ์ โดยย่นย่อ และปรมัตถ์ที่สุด

สังขาร จึงเกิดขึ้นมาแต่ มีเหตุต่างๆหรือก็คือสิ่งต่างๆ มาเป็นปัจจัยปรุงแต่งกันขึ้น ดังนั้นฆนะมวลรวมหรือกลุ่มก้อน ล้วนคือมายาที่เห็น จึงไม่ใช่สิ่งๆเดียวหรือชิ้นเดียวแท้จริง แต่ประกอบขึ้นมาแต่เหตุต่างๆ จึงมีสภาวะของแรงที่บีบเค้นขึ้นโดยธรรมหรือธรรมชาติต่อสังขาร ให้คืนสู่สภาพเดิมหรือธรรมชาติเดิมแท้ก่อนการปรุงแต่ง จึงทำให้เกิดสภาวะของอนิจจังหรือความไม่เที่ยง ที่เกิดการแปรปรวนจากแรงบีบเค้นนั้นๆขึ้นเป็นธรรมดา

เมื่อไม่เที่ยงแล้วจึงมีอาการแปรปรวนไปมา จนถึงที่สุดของอาการแปรปรวนคือทุกขัง สภาวะที่ทนอยู่ไม่ได้อีกต่อไป จึงดับไปเป็นที่สุด

สังขารทั้งปวงจึงล้วนอนัตตา ตัวตนที่เห็นหรือผัสสะได้ด้วยอายตนะใดๆก็ตามทีล้วนเป็นเพียงมายาของกลุ่มก้อนที่ปรุงแต่งกันขึ้นดังกล่าวข้างต้น จึงล้วนไม่ใช่ของใครๆทั้งสิ้นล้วนเป็นไปตามธรรมคือเป็นไปตามเหตุที่มาเป็นปัจจัยกันนั่นเอง ดังนั้นสังขารทั้งปวง แม้แต่ตัวตนของเรา จึงล้วนไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราอย่างแท้จริง

ส่วนอสังขตธรรมนั้นก็เป็นเพียงธรรมชนิดนามธรรม ที่ยังไม่เกิดเป็นปรากฏการณ์ของการที่เหตุต่างๆ มาเป็นปัจจัยปรุงแต่งกันขึ้นให้เป็นตัวเป็นตนคือเป็นผลขึ้นแต่อย่างใด จึงเป็นอนัตตาอยู่ในที หรือโดยธรรม คือย่อมยังไม่มีตัวไม่มีตนนั่นเอง ด้วยเหตุดังนี้ ธรรมทั้งปวงจึงล้วนอนัตตา ไม่มีตัวตนแท้จริง เมื่อไม่มีตัวมีตนอย่างแท้จริง จึงย่อมไม่สามารถเป็นอะไรของใครๆได้เช่นกัน จึงล้วนไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราล้วนสิ้นเช่นเดียวกันกับสังขารทั้งปวง

หรือ พิจารณาจากธรรมดังนี้ ก็ย่อมเห็นความจริงได้เช่นกันว่า

สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวล มีความดับเป็นธรรมดา

(ธัมมจักกัปวัตตนสูตร)

ดังนั้นสังขาร เมื่อถูกเหตุปัจจัยปรุงแต่งเกิดขึ้นแล้ว ในที่สุดย่อมคืนสู่สภาพเดิมหรือธรรมชาติเดิมก่อนการปรุงแต่งโดยธรรมหรือธรรมชาติ กล่าวคือย่อมมีการดับไปเป็นธรรมดา จึงบังเกิดอาการของอนิจจังความไม่เที่ยงขึ้น ที่มีอาการของความแปรปรวนเพื่อคืนสู่ธรรมชาติเดิมเป็นธรรมดา จนทุกขังทนอยู่ไม่ได้ในที่สุด จึงย่อมต้องดับไปเป็นธรรมดา จึงล้วนเป็นอนัตตาเพราะไม่มีตัวตน(จึงไม่ใช่ของตัวของตนอีกด้วย) เพราะตัวตนที่มาประชุมกันอยู่ได้เพียงชั่วขณะระยะหนึ่งนั้น ก็ต้องดับไปเป็นที่สุดนั่นเอง

(อ่านพระไตรลักษณ์จบแล้ว กลับมาอ่านพิจารณาอีกหลายๆครั้ง)



พระไตรลักษณ์

สังขารทั้งหลายทั้งปวง(สังขาร - สิ่งปรุงแต่งหรือถูกปรุงแต่งขึ้น จึงมิไดด้หมายถึงแต่สังขารร่างกายเท่านั้น) ล้วนเป็นสภาวธรรม(ธรรมชาติ) อันเป็นเช่นนี้เอง กล่าวคือ ล้วนเกิดแต่มีเหตุหรือสิ่งต่างๆ มาเป็นปัจจัยแก่กันและกัน หรือปฏิจจสมุปบันธรรม กล่าวคือ มีเหตุต่างๆ มาประชุมหรือปรุงแต่งกันขึ้น ชั่วขณะหรือระยะหนึ่งๆ เพราะเกิดแต่เหตุที่มาเป็นปัจจัยแก่กันและกัน จึงต้องอาศัยเหตุต่างๆหลายเหตุ มาเป็นปัจจัยหรือมาประชุมรวมกันแบบเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กัน จึงล้วนเพียงแลดูประหนึ่งว่าเป็น สิ่งๆเดียว, แต่ในความเป็นจริงระดับปรมัตถ์นั้น มิใช่สิ่งๆเดียวกันอย่างแท้จริง เพียงแต่เกิดจากการประชุมเป็นปัจจัยกันของเหตุต่างๆ ชั่วขณะระยะเวลาหนึ่งๆเท่านั้น จากความแตกต่างกันโดยธรรมหรือธรรมชาตินี้นี่เอง ดังนั้นสังขารทั้งหลายทั้งปวงจึงมีความไม่สมบูรณ์ในตัวเองซ่อนเร้นแอบแฝงอยู่ มีแรงบีบคั้น แรงยึด แรงผลัก ฯ. จากความแตกต่างกันโดยธรรมชาติ กล่าวคือ จึงมีแรงกริยาและแรงปฏิกริยาต่างๆนาๆ แอบแฝงอยู่ในสังขารนั้นๆ อันก่อให้เกิดสภาวธรรมหรือสภาวะของธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ จึงเป็นไปดั่งนั้น จนเรียกกันว่าสามัญลักษณะ หรือลักษณะโดยทั่วไปของสังขารทั้งปวง อันเป็นไปดังนี้

จึงล้วนเป็น "อนิจจัง" มีความไม่เที่ยง มีอันต้องแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปเป็นอาการธรรมดา, ไม่สามารถควบคุมบังคับบัญชาให้เป็นไปตามปรารถนาได้ตลอดไป, เพียงบางครั้งแลดูประหนึ่งว่า สามารถควบคุมบังคับได้ในบางเหตุปัจจัย จึงก่อให้เกิดมายาจิต เกิดความหลงผิด ไปหลงคิดหลงยึดว่าอยู่ภายใต้อํานาจของตัวของตน สามารถควบคุมบังคับได้ แต่แท้จริงแล้วไม่สามารถควบคุมบังคับบัญชาได้อย่างจริงแท้แน่นอน ต้องมีอันต้องแปรปรวนไปตามสภาวธรรมหรือธรรมชาติเป็นที่สุด อย่างจริงแท้แน่นอน จึงเป็นทุกข์

จึงล้วนเป็น "ทุกขัง" มีความคงทนอยู่ไม่ได้ จึงเป็นทุกข์เมื่อไปอยากด้วยตัณหา หรือไปยึดมั่นด้วยอุปาทาน ก็เนื่องเพราะเมื่อมีการแปรปรวนอยู่ตลอดเวลา ในที่สุดย่อมแปรปรวนจนถึงภาวะสุดท้ายของการแปรปรวน คือ การดับไปเป็นที่สุด ดังนั้นสังขารทั้งหลายทั้งปวงจึงมีอาการเสื่อมไปเป็นอาการธรรมดา และถึงภาวะต้องดับไปเป็นที่สุด จึงเป็นทุกข์เพราะย่อมไม่สมดังหวังเป็นที่สุดอีกนั่นเอง

เพราะล้วนเกิดแต่เหตุปัจจัย จึงล้วนเป็น "อนัตตา" ไม่มีตัวไม่มีตน ที่เป็นแก่น เป็นแกน เป็นสาระอย่างแท้จริงได้ตลอดไป กล่าวคือ ตัวตนทั้งหลายนั้น แม้แต่ตัวตนของตน ก็ไม่ใช่ของตัวของตนอย่างแท้จริง เป็นเพียงสมมติสัจจะ เพราะล้วนแต่เกิดมาจากเหตุปัจจัยต่างๆหลากหลาย มาประชุมปรุงแต่งเป็นปัจจัยแก่กันและกัน และเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กันชั่วขณะหรือในระยะเวลาหนึ่งๆ ดุจดั่งเงา(ขยายความ), ดังนั้นเมื่อเหตุปัจจัยต่างๆเหล่าใดเหล่านั้น ที่มาประชุมกันตัวใดตัวหนึ่งมีอันต้องแปรปรวน,เสื่อม หรือดับไป ผลหรือผลลัพธ์ที่เกิดแต่เหตุปัจจัยเหล่านั้น อันคือ สังขารทั้งปวงแม้

ตัวตน,ของตนทั้งหลายทั้งปวงที่ไปหลงยึดติด ยึดมั่น ถือมั่นพึงพอใจทั้งในสุขและในทุกข์ ก็ต้องแปรปรวน เสื่อม และดับไปตามเหตุปัจจัยเหล่านั้นเป็นที่สุด จึงมีสภาพที่ควบคุมบังคับบัญชาไม่ได้อย่างแท้จริง จึงต่างล้วนแต่ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ล้วนแต่เป็นไปตามธรรมคือเหตุปัจจัยล้วนสิ้น

ด้วยเหตุเพราะอนิจจังความไม่เที่ยง, ทุกขังความคงทนอยู่ไม่ได้ ต้องเสื่อมและดับไป, และอนัตตาไม่ใช่ตัวใช่ตน หรือไม่มีตัวตนเป็นแก่นแกนอย่างแท้จริง, เหตุเพราะย่อมควบคุมบังคับบัญชาไม่ได้ตามปรารถนาอย่างแท้จริงแน่นอน จึงจักเป็นทุกข์ถ้าไปอยากหรือไม่อยากด้วยตัณหา หรือไปยึดมั่นตามความพึงพอใจของตนด้วยกิเลส(อุปาทาน) เพราะย่อมไม่สมปรารถนาหรือผิดหวังเป็นที่สุดเมื่อเกิดอาการแปรปรวนหรือดับไปนั่นเอง แม้ในสุข ทั้งในทุกข์ก็ตามที กล่าวคือ ต้องเป็นทุกข์ในที่สุดอีกนั่นเอง

(ควบคุมบังคับไม่ได้ หมายถึง การควบคุมบังคับได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ไม่เที่ยงแท้ไม่แน่นอน)

สังขารทั้งหลายทั้งปวง จึงล้วนมีสภาวะดังนี้

ล้วนเกิดแต่เหตุปัจจัย ตั้งอยู่อย่างไม่เที่ยง แปรปรวนไปมา จนดับไปเป็นที่สุด ล้วนเป็นอนัตตา จึงล้วนไม่ใช่เราหรือของเรา อย่างแท้จริง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น