เจริญพร ขอให้มีความสุขสมหวังและ ถึงความสิ้นทุกข์ในเวลาอันใกล้โดยง่ายเทอญ

ยินดีต้อนรับ สหธรรมิกผู้มีใจเป็นกุศลทุกๆท่านครับ

ขอเรียนเชิญ สหธรรมิกทุกๆท่านมาร่วมศึกษาและปฏิบัติธรรมของพระพุทธองค์ รวมทั้งแบ่งปันความรู้ ข้อคิด คำแนะนำ ด้วยใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาครับ

" ความมืดแม้ทั้งโลก ก็บดบังลำแสงเพียงน้อยนิดมิได้ "


สันโดษ

สันโดษ
สุขใด เสมอความสงบ ไม่มี

หน้าเว็บ

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
อดีตที่ผ่านมาเป็นบทเรียน อโหสิให้ทุกคน แต่อย่ามีเวรกรรมร่วมกันอีกเลย

ผู้ติดตาม

วันพุธที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2554

จิตซ่อมได้ กรรมแก้ไม่ได้



ฉบับที่ ๔๙ จิตซ่อมได้ กรรมแก้ไม่ได้

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรรมและจิตนั้น
เป็นเรื่องยากจะหยั่งรู้ให้ทั่วถึง
แต่ง่ายที่จะทำความเข้าใจและสังเกตหลักฐานในตนได้

บาปกรรมที่ทำไว้แล้ว หวนกลับไปเปลี่ยนไม่ได้
เพราะฉะนั้นก็ต้องมีผลอย่างใดอย่างหนึ่งรออยู่
เปรียบเหมือนเราส่งแรงถีบจักรยาน
อย่างไรจักรยานก็ต้องมีแรงขับให้พุ่งไป
เราไม่มีทางย้อนเวลาหวนกลับไประงับแรงถีบ

แต่เรามีสิทธิ์ใส่แรงใหม่เข้าไป
เช่นบีบเบรกมือเพื่อให้เกิดการห้ามล้อ
หรือเอาเท้าลงลากพื้นเพื่อให้เกิดการชะลออยู่หยุดตัวได้
เทคนิคการเบรกมีหลายแบบ
และบางวิธีก็อาจพิสดารจนคนทั่วไปไม่ค่อยคิดทำ
เช่นส่ายหน้าจักรยานไปมาให้เกิดแรงเสียดทาน
หรือไม่ก็ยกล้อชี้ฟ้าดื้อๆเพื่อใช้เท้าทั้งสองเป็นตัวปักหลักหยุด

ถามว่าเราแก้ตรงที่ส่งแรงถีบหรือเปล่า
ไม่ใช่ครับ เราแก้ด้วยการใส่แรงต้านเข้าไปต่างหาก
กรรมก็เหมือนกัน เราแก้แบบให้มันเจ๊าๆกันไปไม่ได้
แต่เราเพิ่มกรรมใหม่ในทางตรงข้ามเข้าไปให้ของเก่าเจือจางได้
ดังเช่นที่พระพุทธเจ้าเปรียบว่าละลายเกลือด้วยน้ำจำนวนมากๆ
รสเค็มย่อมเจือจาง หรือไม่ก็หายไปเลย ทั้งที่เกลือก็ยังอยู่ตรงนั้น

ส่วนเรื่องของจิตนั้น
เรามักได้ยินกันว่าจิตตก จิตเสีย
อันนี้เห็นชัดหน่อยว่าตรงข้ามกับตกคือขึ้น
ตรงข้ามกับเสียคือคืนสภาพ
เป็นเรื่องที่ทำกันไม่ยาก ซ่อมแก้วยังยากกว่า
เพราะจิตไม่มีตัวตนเปราะบางเหมือนแก้ว
แต่จิตเป็นธรรมชาติภาวะที่เปลี่ยนง่าย
เป็นดวงกุศลบ้าง เป็นดวงอกุศลบ้าง
ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยเป็นขณะๆ

กรรมในอดีตอาจตกแต่งให้บางคนมีจิตเศร้าหมองเป็นประจำ
และเมื่อภาวะใดเกิดขึ้นบ่อยๆ
เจ้าตัวย่อมอุปาทานว่ามันจะเป็นของติดตัวตลอดไป แก้ไม่ได้
ความจริงก็คือเมื่อฝึกเจริญสติ สังเกตรู้ตามจริง
จะพบว่าเมื่อใดเราพบจิต
รู้วิธีที่จะเห็นภาวะของจิตที่ปรากฏต่อหน้าต่อตา
เมื่อนั้นสติก็ช่วย "ซ่อม" จิตให้เดี๋ยวนั้น
เพราะสติเป็นเหตุใกล้ให้เกิดกุศล เกิดความสว่าง
เกิดภาวะทางธรรมชาติดีๆขึ้นภายใน
แม้ความเศร้าหมองเพิ่งเล่นงานอยู่หยกๆ
พอเกิดสติเห็นว่าจิตเศร้าหมองสักแต่เป็นภาวะมืดๆมัวๆ
หาตัวตนบุคคลเราเขา มนุษย์หรือสัตว์ใดไม่เจอ
สติที่เกิดขึ้นแทนที่นั้นก็ยังจิตให้เปลี่ยนแปลงทันที
สมกับที่คัมภีร์บอกไว้ว่าเมื่อเกิดสติเท่าทันอกุศลจิต
อกุศลจิตจะเปลี่ยนเป็นมหากุศลในทันที

แต่ก็เหมือนกับรถนะครับ
เสียแล้วซ่อมผิด แทนที่จะกลับคืนดี กลายเป็นเสียหนักเข้าไปใหญ่
คนส่วนใหญ่ที่ไม่ศึกษาจิตตานุปัสสนาของพระพุทธเจ้า
จะซ่อมจิตด้วยความเครียด ด้วยความอยากเร่งให้ฟื้นคืนดี
แท้จริงเป็นการเพิ่มเหตุให้จิตหม่นหมองเป็นอกุศลเข้าไปใหญ่

ทิ้งเหตุให้จิตเศร้าหมอง เช่นสะใจกับการย้ำคิด ย้ำตรึกนึก
สร้างเหตุให้จิตสดใส เช่นคิดอภัย คิดเลิกรา
และใส่เหตุให้จิตเบิกบานบริสุทธิ์ คือคิดยอมรับตามจริง
จิตแย่ก็ยอมรับว่าแย่ จิตสว่างขึ้นนิดหนึ่งก็ยอมรับว่าสว่างขึ้นนิดหนึ่ง
จิตคลายก็ยอมรับว่าจิตคลาย จิตกลับมาแย่อีกก็ยอมรับว่าแย่อีก
เท่านี้แหละ สติก็เกิดขึ้นและค่อยๆผูกกันเป็นแพกุศล
พาลอยข้ามฝั่งจากความยึดมั่นว่าจิตคือเรา
ไปสู่ฝั่งแห่งความทิ้งว่าเราคือจิตเสียได้

ดังตฤณ
เมษายน ๕๔

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น