เจริญพร ขอให้มีความสุขสมหวังและ ถึงความสิ้นทุกข์ในเวลาอันใกล้โดยง่ายเทอญ

ยินดีต้อนรับ สหธรรมิกผู้มีใจเป็นกุศลทุกๆท่านครับ

ขอเรียนเชิญ สหธรรมิกทุกๆท่านมาร่วมศึกษาและปฏิบัติธรรมของพระพุทธองค์ รวมทั้งแบ่งปันความรู้ ข้อคิด คำแนะนำ ด้วยใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาครับ

" ความมืดแม้ทั้งโลก ก็บดบังลำแสงเพียงน้อยนิดมิได้ "


สันโดษ

สันโดษ
สุขใด เสมอความสงบ ไม่มี

หน้าเว็บ

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
อดีตที่ผ่านมาเป็นบทเรียน อโหสิให้ทุกคน แต่อย่ามีเวรกรรมร่วมกันอีกเลย

ผู้ติดตาม

วันพุธที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2556

ทำลายสักกายทิฏฐิต้องอาศัยจิตเสื่อม

เรามองกันว่า จิตเสื่อมไม่ดี จิตเจริญมันดี ทั้งๆ ที่การทำลายสักกายทิฏฐินั้น จะทำลายได้ก็ต้องอาศัย “จิตเสื่อม” ผู้ปฏิบัตินั้น รักและหวงแหนจิตผู้รู้กันมาก พยายามปัดกวาดสิ่งสกปรก ประคับประคองบำรุงสติสัมปชัญญะยิ่งกว่าเลี้ยงลูกอ่อน แล้วไม่ว่าจะรักษาศีล บำเพ็ญภาวนาปานใด ความเสื่อมของจิตผู้รู้ก็ยังกล้ำกลายเข้ามาอีกจนได้ คือมองไม่เห็นจิตผู้รู้ เห็นแต่ความฟุ้งซ่านรำคาญใจ การที่จิตเจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญนั้น ถึงจุดหนึ่งจิตจะรู้แจ้งแทงตลอดในความเป็นจริงว่า แม้ตัวจิตเองก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ขณะเดียวที่เห็นว่าจิตไม่ใช่เรานั้น สักกายทิฏฐิก็ขาดแล้ว แล้วก็จะเข้าใจว่า จริงๆ ยังมีธรรมชาติที่ผ่องใสอันหนึ่ง มันเป็นธรรมชาติของมันอยู่อย่างนั้นแหละ ที่เจริญและเสื่อมก็คือขันธ์เท่านั้นเอง จิตที่ฉลาดแล้ว สะอาดแล้ว ไม่เจริญและเสื่อมไปด้วย (แต่ไม่ใช่ไม่เกิดไม่ดับนะครับ) เหมือนน้ำในท่อน้ำครำ ที่น้ำสะอาดก็ยังคงอยู่ ที่มันสกปรกนั้นไม่ใช่น้ำสกปรก แต่เป็นเพราะมีสิ่งอื่นเข้ามาแทรกปน พอแยกสิ่งที่แทรกปนออก น้ำก็สะอาดอย่างเก่า น้ำที่สะอาดจึงไม่เคยหายไปไหน เพียงแต่บางคราวเรามองไม่เห็นเท่านั้น พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนว่า จิตนั้นผ่องใส แต่เศร้าหมองเพราะกิเลสที่จรมา เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องที่ผมฟังครูบาอาจารย์มา ท่านว่าพระอนาคามีนั้น จิตผู้รู้จะเด่นดวงอย่างยิ่ง ไม่เศร้าหมอง เพราะกามไม่มีอำนาจดึงดูดแล้ว บางท่านหาทางพัฒนาต่อไปไม่ได้ เพราะดูอย่างไรก็เห็นแต่จิตที่ไม่เสื่อม ความยึดถือจิตจึงยังคงอยู่เรื่อยๆ ไป ต่อเมื่อสังเกตเห็นว่า บางครั้งจิตก็ยังหมองไปนิดๆ เพราะกิเลสชั้นละเอียดคือความไม่รู้ คือมองเห็นความเสื่อมของจิตนั่นเอง แล้วสามารถแยกเอากิเลสละเอียดออกจากจิตได้อีก จิตจึงถึงความบริสุทธิ์ที่แท้จริง ไม่ตกอยู่ใต้แรงดึงดูดใดๆ อีก ที่จริงผมไม่ได้เข้ามาตอบกระทู้นี้ เพราะเห็นว่าตอบกันดีอยู่แล้วน่ะครับ แล้วเรื่องอย่างนี้ หากอธิบายแจกแจงละเอียดเกินไป ผู้ปฏิบัติใหม่ๆ ก็จะนิ่งนอนใจกับภาวะจิตเสื่อม เพราะปัญญาที่เป็นสัญญาจากการอ่านมันล้ำหน้าไปแล้ว ว่า จิตเสื่อมเป็นเรื่องธรรมชาติ แบบเดียวกับการเป็นสิว แต่เมื่อ คุณ เปิดประเด็นที่ละเอียดไว้ ก็เลยต้องตกบันไดพลอยโจนครับ แต่ก็อยากบอกน้องๆ และหลานๆ ว่าอย่างนิ่งนอนใจกับภาวะจิตเสื่อม เราจะต้องพยายามต่อสู้แก้ไขจนเต็มที่ เพื่อพิสูจน์ความจริงให้จิตเห็นว่า จิตนั้นเป็นอัตตาหรืออนัตตากันแน่ หากไม่พิสูจน์กันสุดชีวิตจิตใจ จิตมันไม่เชื่อหรอกครับว่า จิตเป็นอนัตตา ส่วนอุบายวิธีที่จะแก้ปัญหาจิตเสื่อม ขอให้พยายามพิจารณากันเองเองเถอะครับ กุศลธรรมทั้งหลายนั้น เอามาใช้ได้ทั้งนั้น เช่นสัจจะ อธิษฐาน ขันติ ทาน สมถะ วิปัสสนา ฯลฯ แต่อุบายวิธีในการแก้ปัญหานั้น เราต้องพัฒนาขึ้นตลอดเวลา เพราะกิลเสมันมีพัฒนาการเหมือนกัน เช่นคราวนี้เราแก้ความฟุ้งซ่านได้ด้วยการทำสมถะ อีกวันหนึ่งเอาสมถะมาแก้ ก็ไม่สำเร็จเสียแล้ว คล้ายกับกิเลสเป็นเชื้อโรคที่ดื้อยาชนิดนั้นไปแล้ว เราก็ต้องผลิตยาตัวใหม่ มาต่อสู้กับมันอีก อุบายวิธีในการต่อสู้กับกิเลส จึงมีมากมายนับไม่ถ้วน ดังนั้นที่ถามหาวิธี ก็คงตอบไม่ได้หรอกครับ ลองนึกถึงภาพพระโพธิสัตว์ของฝ่ายมหายานสิครับ พระโพธิสัตว์มีจำนวนมาก แต่ละองค์บางทีก็มีตั้งพันกร เพื่อจะต่อสู้กับกิเลสพันห้าตัณหาร้อยแปด ดังนั้น ไม่มีอุบายสำเร็จรูปหรอกครับ ที่จะสู้กับจิตเสื่อม แต่ถ้าจะกล่าวอย่างย่นย่อ “โยนิโสมนสิการ” ครับ ที่จะผลิตอาวุธมาแก้ปัญหาจิตเสื่อมของเราได้เสมอ ก็ต้องสู้กันจนมารและพระโพธิสัตว์ตายไปพร้อมๆ กันแหละครับ โดยคุณ สันตินันท์ (นามปากกาของหลวงพ่อปราโมทย์ก่อนบวช)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น