เจริญพร ขอให้มีความสุขสมหวังและ ถึงความสิ้นทุกข์ในเวลาอันใกล้โดยง่ายเทอญ

ยินดีต้อนรับ สหธรรมิกผู้มีใจเป็นกุศลทุกๆท่านครับ

ขอเรียนเชิญ สหธรรมิกทุกๆท่านมาร่วมศึกษาและปฏิบัติธรรมของพระพุทธองค์ รวมทั้งแบ่งปันความรู้ ข้อคิด คำแนะนำ ด้วยใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาครับ

" ความมืดแม้ทั้งโลก ก็บดบังลำแสงเพียงน้อยนิดมิได้ "


สันโดษ

สันโดษ
สุขใด เสมอความสงบ ไม่มี

หน้าเว็บ

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
อดีตที่ผ่านมาเป็นบทเรียน อโหสิให้ทุกคน แต่อย่ามีเวรกรรมร่วมกันอีกเลย

ผู้ติดตาม

วันพุธที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2556

เกร็ดธรรมคุณสันตินันท์ : ระวังปัญญา(จากการคิด,อ่าน,ฟัง)ล้ำหน้าภาวนา

เรื่องกังวลกับ ความจงใจหรือเจตนา ในการปฏิบัติหรือการดูจิตนั้น เกืดขึ้นจากการที่พวกเราได้ฟัง คุณกล่าวถึง เจตนาสูตร บ้าง ได้ฟังผมกล่าวถึง ความจงใจ ในเรื่องพระอนุรุทธะบ้าง หรือบางครั้ง ได้ยินผมแนะอุบายแก่พวกเราบางคนให้ลดความจงใจลง เพื่อแก้อาการเพ่งจ้องอย่างรุนแรงแบบเอาเป็นเอาตายกับกิเลสบ้าง เมื่อฟังมากเข้า บางคนจึงเกิดความล้ำหน้าทางความคิดขึ้น คือมีสัญญาว่า ความจงใจไม่ดี แล้วก็เกิด “ความจงใจที่จะละความจงใจ” ขึ้นมา ผมเองก็เคยปฏิบัติธรรมแบบล้ำหน้าเหมือนกัน ตอนนั้นผมไปปฏิบัติอยู่กับหลวงพ่อคืนที่วัดหน้าเรือนจำสุรินทร์ ผมดูจิตที่เห็นกิเลสผุดขึ้นบ้าง เห็นฝ้ามัวของโมหะบ้าง หลวงพ่อคืนก็จะบ่นว่า “ไปนั่งดูสิ่งที่ถูกรู้ทำไม ปล่อยวางมันซะ แล้วมาหยุดอยู่กับ รู้” ผมก็จัดการเข้ากุฏิ คู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติเฉพาะหน้า (ใช้คำนี้เพื่อให้เห็นว่า เอาจริงและเป็นทางการมาก แบบกะฟันกิเลสให้ตายหมดเลย) แล้วก็เร่ิมต้นด้วยการหายใจ เห็นลมหายใจถูกรู้อยู่ 2 – 3 อึก แล้วก็ปล่อยเสีย หันมารู้เวทนาในกายที่นั่งตัวตรงอยู่นั้น ตอนนั้นยังไม่สุขไม่ทุกข์อะไร ก็รู้ไป แล้วก็คิดต่อทันทีว่า อุเบกขาเวทนานี้ก็ถูกรู้ ก็เลิกดูเวทนา หันมาดูความว่างๆ ในจิต ที่ซ้อนอยู่กับอุเบกขาเวทนา ก็เห็นอีกว่า ความว่างถูกรู้ จิตเป็นผู้รู้ความว่าง แล้วก็เลิกดูความว่าง หันมาจ้องมองจิตผู้รู้ ถึงตรงนี้ ผู้รู้ก็กลายเป็นสิ่งที่ถูกรู้ แล้วมีผู้รู้ตั้งขึ้นใหม่ โดยเขยิบไปด้านหลังหน่อยหนึ่ง ผมก็ทิ้งตัวเก่า ดูตัวใหม่ ซ้อนๆๆๆๆ เข้าไปภายในตลอดเวลา เล่นเอาสมองหมุนตาลาย ปวดระบมไปทั้งศีรษะ ตอนนั้นก็คิดสุภาษิตมาสนับสนุนความโง่ได้อีกว่า “บุคคลล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร” ไม่ว่าจะปวดหัวขนาดไหน ก็ยังคงไล่จับผู้รู้อยู่อย่างอุตลุดไปหมดด้วยความเพียร ใกล้เที่ยงคืนก็หมดแรง หลับไปตื่นหนึ่ง ตีสามตื่นขึ้นมาเร่งความเพียรใหม่จนสว่าง แล้วก็นึกถึงความสอนของหลวงปู่ดูลย์ได้ว่า “การใช้จิตแสวงหาจิตนั้น อีกกัปป์หนึ่งก็ไม่เจอ” พอเช้า ก็เดินเป๋ๆ ออกมาจากกุฎิ กะจะมาต่อว่าหลวงพ่อคืน มาเจอหลวงพ่อคืนเข้าพอดี ยังไม่ทันต่อว่าท่าน ท่านก็อุทานลั่นวัดว่า “เมื่อคืนนี้ปฏิบัติอย่างไร ทำไมจิตใจมันชุลมุนอย่างนั้นทั้งคืน” ผมก็เถียงท่านเต็มๆ เลย ว่า “ก็ผมทำตามที่หลวงพ่อสอนน่ะสิ” “สอนยังไง อาตมาสอนยังไง” “ก็สอนว่า ไปนั่งดูสิ่งที่ถูกรู้ทำไม ปล่อยวางมันซะแล้วมาหยุดอยู่กับ รู้” คราวนี้หลวงพ่อหัวเราะเอิ้กอ้ากเลย บอกว่า “การปล่อยวางนั้นต้องปล่อยด้วยปัญญา ไม่ใช่คิดปล่อยๆ เอาแบบนี้” ผมก็นึกบ่นท่านว่า หลวงพ่อไม่น่าจะสอนผมเลย ถ้าไม่สอน ผมก็จะรู้ความเกิดดับของอารมณ์ จนมีปัญญาปล่อยวางเอง เพราะจุดสำคัญของการปฏิบัติ อยู่ที่รู้อารมณ์ด้วยจิตที่เป็นกลาง ไม่จมลงในสิ่งที่ถูกรู้ หรือเผลอไปที่อื่น เท่านั้นเอง แต่พอฟังท่านสอน ก็นึกตีความว่า ที่ทำอยู่ผิด จึงแก้ไขแนวปฏิบัติใหม่ ทำให้ปฏิบัติผิด ทั้งเหนื่อย ทั้งเสียเวลา การปล่อยด้วยปัญญา กับปล่อยด้วยสัญญา มันต่างกันอย่างที่เล่ามานี้เอง และเมื่อพวกเราได้ยินนักปฏิบัติรุ่นพี่กล่าวถึง เจตนา และความจงใจ ว่าทำให้วิญญาณตั้งขึ้น ภพตั้งขึ้น แทนที่จะเพียงเฉลียวใจ รู้ว่าตนมีความจงใจหรือไม่ กลับเกิดความจงใจ ที่จะละความจงใจ จนลืมหลักปฏิบัติขั้นพื้นฐานที่ว่า “ทุกข์ให้รู้ สมุทัยให้ละ” บางทีการอ่านและการฟังธรรมะมากเกินไป ก็ทำให้ข้ามขั้นตอนได้เหมือนกัน อันนี้ฝากไว้ให้นักปฏิบัติทั้งหลายครับ ผมเองก็ไม่ได้ดีวิเศษไปกว่าพวกเราหรอก อะไรที่ใครๆ ทำผิดกันนั้น ผมทำผิดมาก่อนแล้วแทบทั้งนั้นแหละครับ โดยคุณ สันตินันท์ (นามปากกาของหลวงพ่อปราโมทย์ก่อนบวช) เมื่อวันที่ ที่ 16 กุมภาพันธ์ 2543

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น