เจริญพร ขอให้มีความสุขสมหวังและ ถึงความสิ้นทุกข์ในเวลาอันใกล้โดยง่ายเทอญ

ยินดีต้อนรับ สหธรรมิกผู้มีใจเป็นกุศลทุกๆท่านครับ

ขอเรียนเชิญ สหธรรมิกทุกๆท่านมาร่วมศึกษาและปฏิบัติธรรมของพระพุทธองค์ รวมทั้งแบ่งปันความรู้ ข้อคิด คำแนะนำ ด้วยใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาครับ

" ความมืดแม้ทั้งโลก ก็บดบังลำแสงเพียงน้อยนิดมิได้ "


สันโดษ

สันโดษ
สุขใด เสมอความสงบ ไม่มี

หน้าเว็บ

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
อดีตที่ผ่านมาเป็นบทเรียน อโหสิให้ทุกคน แต่อย่ามีเวรกรรมร่วมกันอีกเลย

ผู้ติดตาม

วันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2553

พระพุทธศาสนากับโลกปัจจุบัน


พระพุทธศาสนากับโลกปัจจุบัน

มีบางคนเชื่อว่า พระพุทธศาสนาเป็นระบบที่ประเสริฐสูงส่งเกินกว่าที่สามัญชนทั้งบุรุษและสตรีจะสามารถปฏิบัติตามได้ ในชีวิตแบบโลกีย์ธรรมดาของเราท่าน และเข้าใจว่าถ้าใครปรารถนาจะเป็นชาวพุทธจริง ๆ ก็จะต้องปลีกตนออกจากสังคมโลก ไปอยู่ในวัดวาอาราม หรือสถานที่ที่สงบเงียบ

ข้อนี้เป็นความเข้าใจผิดอย่างน่าเสียดาย ทั้งนี้เนื่องจากขาดความเข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าที่แท้จริงนั่นเอง ที่คนเหล่านั้นรีบสรุปแบบผิด ๆ เช่นนั้น ก็เพราะผลจากการที่ตนฟังหรืออ่านอย่างลวก ๆ เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาบางตอนที่ผู้เขียนบางคนผู้ที่ไม่เข้าใจพระพุทธศาสนาในทุกแง่ทุกมุมเขียนไว้ แต่ให้ทัศนะไว้เพียงบางตอนและมีอคติต่อเรื่องนั้น ๆ คำสอนของพระพุทธเจ้าไม่ได้เจาะจงไว้เพื่อภิกษุสงฆ์ในวัดเท่านั้น แต่เพื่อสามัญชนชายหญิงที่มีเหย้า มีเรือนอีกด้วย อริยมรรคมีองค์ 8 ซึ่งเป็นแนวทางดำเนินชีวิตของชาวพุทธ เหมาะสมกับทุกคนโดยไม่แตกต่างกันเลย


ธรรมะกับคนทุกฐานะ

คนส่วนใหญ่ในโลก คงไม่สามารถบวชเป็นพระสงฆ์ได้ หรือแม้จะปลีกตัวออกไปอยู่ในถ้ำหรือในป่ากันหมดก็ไม่ได้พระพุทธศาสนาที่สูงส่งบริสุทธิ์ผุดผ่อง คงจะไร้ประโยชน์สำหรับมวลมนุษยชาติเป็นแน่ถ้าพวกเขาไม่สามารถนำมาประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวันในโลกปัจจุบันได้ แต่ถ้าท่านเข้าใจแก่นแท้ของพระพุทธศาสนาอย่างถูกต้องแล้ว (และมิใช่รู้ตามตัวบทเท่านั้น) แน่นอนที่สุด ท่านย่อมสามารถนำมาปฏิบัติตามได้ ในขณะที่ท่านดำรงตนเองอยู่แบบฆราวาสวิสัยนี่เอง

อาจมีบางคนพบว่า มันง่ายและสะดวกกว่ามากที่จะปฏิบัติพุทธธรรม ถ้าเขาดำรงชีวิตอยู่ในสถานที่ห่างไกล ตัดขาดจากการสังคมกับคนอื่น ๆ ส่วนคนอีกบางพวกอาจเห็นว่า การปลีกตนออกไปเช่นนั้นทำให้ชีวิตห่อเหี่ยว มีความกดดัน ทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ และก็โดยวิธีนั้น จึงไม่เป็นไปเพื่อการพัฒนาชีวิตทั้งทางด้านจิตใจและด้านพุทธิปัญญา

การสละโลกอย่างแท้จริงนั้น ไม่ได้หมายความว่าหนีออกไปจากโลกโดยทางร่างกาย พระสารีบุตร อัครสาวกของพระพุทธเจ้ากล่าวว่า คนคนหนึ่ง อาจจะเข้าไปอยู่ในป่าอุทิศตนบำเพ็ญธรรมอย่างฤาษีชีไพร แต่จิตใจอาจจะไม่บริสุทธิ์ เต็มไปด้วยกิเลสาสวะ ส่วนอีกคนหนึ่งอาจจะอยู่ในหมู่หรือในเมือง โดยมิได้ปฏิบัติตามระเบียบวินัยแบบนักพรตนั้นเลย แต่จิตใจของเขาอาจจะบริสุทธิ์หลุดพ้นจากกิเลสได้ ท่านพระสารีบุตรกล่าวว่าในบุคคลสองจำพวกนี้คนที่ดำรงชีวิตอยู่อย่างบริสุทธิ์ในหมู่บ้านหรือในเมืองย่อมประเสริฐสูงส่งกว่าผู้ที่เข้าไปอยู๋ในป่า (แต่ใจมีกิเลส)เป็นไหน ๆ

ความเชื่อทั่วไปที่ว่า การที่จะปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์ได้นั้น จะต้องปลีกชีวิตออกไปเลยนั้นเป็นความเชื่อที่ผิด นับเป็นความเชื่อที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการปฏิบัติธรรม โดยขาดดุลยพินิจที่แท้จริงอย่างยิ่ง มีหลักฐานอยู่มากมายในวรรณคดีทางพุทธศาสนาที่บอกว่า บุรุษและสตรีที่มีชีวิตอยู่แบบครองเรือนธรรมดาสามัญ ก็ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าได้อย่างมีผลสำเร็จ และยังรู้แจ้งแทงตลอดถึงขั้นพระนิพพานได้ ครั้งหนึ่ง วัจฉโคตรปริพพาชก (ที่เราพบในบทว่าด้วยอนัตตา) เคยทูลถามพระพุทธเจ้าตรง ๆ ว่ามีไหม ? อุบาสกอุบาสิกาที่อยู่ครองเรือน ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระองค์อย่างมีผล และบรรลุสภาวะทางจิตขั้นสูงส่ง พระพุทธองค์ทรงเน้นอย่างชัดเจนยิ่งว่า “ มิใช่มีเพียงคนสองคน เพียงร้อยสองร้อย หรือห้าร้อย แต่มีอุบาสกอุบาสิกามากมายกว่านั้นมาก ที่อยู่อย่างฆราวาสวิสัย ปฏิบัติตามธรรมะของพระองค์อย่างมีผล และบรรลุถึงสภาวะทางจิตชั้นสูงส่งมาแล้ว ”

น่าอนุโมทนายิ่งสำหรับท่านที่ไปดำรงชีวิตอยู่อย่างโดดเดี่ยวในที่สงบห่างไกลจากเสียงอึกทึกและสิ่งรบกวนใด ๆ แต่มันน่าสรรเสริญเพิ่มศรัทธาปสาทะมากกว่ายิ่งนัก ถ้าปฏิบัติธรรมโดยอยู่ในท่ามกลางเพื่อนมนุษย์ ให้ความช่วยเหลือและบริการรับใช้ต่อเพื่อน ๆ เหล่านั้นด้วย ในบางกรณีมันอาจเกิดประโยชน์ยิ่งสำหรับคนเราที่จะปลีกตนออกไปปฏิบัติธรรมเป็นครั้งคราวเพื่อปรับปรุงจิตและนิสัยด้วยการฝึกศีล สมาธิ และปัญญาขั้นต้น เพื่อให้กล้าแข็งพอที่จะออกมาช่วยเหลือผู้อื่นในภายหลัง แต่ถ้าใครปลีกตนไปอยู่ที่สงัดตลอดชีวิตมุ่งเฉพาะความสุขส่วนตน ทางรอดส่วนตนฝ่ายเดียว โดยมิได้คำนึงถึงเพื่อนมนุษย์เลย แน่นอน นี้ไม่ใช่การบำเพ็ญตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งมีความเมตตา ความกรุณา การใช้ความช่วยเหลือคนอื่นเป็นพื้นฐาน

บัดนี้อาจจะมีใครถามว่า “ ถ้าบุคคลสามารถปฏิบัติตามพระพุทธศาสนาขณะที่มีชีวิตอยู่อย่างฆราวาสวิสัย ทำไม่พระพุทธเจ้าจึงทรงบัญญัติให้มีพระสงฆ์ด้วยเล่า ?”

พระสงฆ์เอื้อโอกาสให้เหล่าชนผู้เต็มใจที่จะอุทิศชีวิตตน ไม่เพียงเพื่อการพัฒนาจิตและพุทธิปัญญาของตนเองเท่านั้น แต่เพื่อรับใช้คนอื่น ๆ ด้วย อุบาสาสามัญที่ครองเรือนอยู่นั้น ย่อมไม่สามารถอุทิศชีวิตทั้งชาติเพื่อรับใช้ผู้อื่นได้ ส่วนพระสงฆ์ไม่มีความรับผิดชอบต่อครอบครัว ไม่มีพันธะในทางโลกีย์วิสัยอื่นใด จึงอยู่ในฐานะที่จะอุทิศทั้งหมด “ เพื่อประโยชน์ของชนหมู่มาก เพื่อความสุขของชนหมู่มาก ” ดังที่พระองค์ทรงตรัสแนะนำไว้ ข้อนี้แสดงให้เห็นถึงว่าตลอดระยะเวลาอันยาวนานในประวัติศาสตร์ วัดทางพระพุทธศาสนาไม่ใช่เป็นเพียงศูนย์กลางทางด้านจิตใจเท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์กลางทางการศึกษาและทางวัฒนธรรมด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น