เจริญพร ขอให้มีความสุขสมหวังและ ถึงความสิ้นทุกข์ในเวลาอันใกล้โดยง่ายเทอญ

ยินดีต้อนรับ สหธรรมิกผู้มีใจเป็นกุศลทุกๆท่านครับ

ขอเรียนเชิญ สหธรรมิกทุกๆท่านมาร่วมศึกษาและปฏิบัติธรรมของพระพุทธองค์ รวมทั้งแบ่งปันความรู้ ข้อคิด คำแนะนำ ด้วยใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาครับ

" ความมืดแม้ทั้งโลก ก็บดบังลำแสงเพียงน้อยนิดมิได้ "


สันโดษ

สันโดษ
สุขใด เสมอความสงบ ไม่มี

หน้าเว็บ

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
อดีตที่ผ่านมาเป็นบทเรียน อโหสิให้ทุกคน แต่อย่ามีเวรกรรมร่วมกันอีกเลย

ผู้ติดตาม

วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เทคนิคทำให้หายโกรธ


เทคนิคทำให้หายโกรธ

ความโกรธ คืออารมณ์เดือดพล่านที่สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
ในยามที่เราต้องเกี่ยวข้องผู้อื่น
อ่านเทคนิควิธีทำให้หายโกรธแบบง่าย ๆ
ท่านสามารถนำเทคนิคเหล่านี้ไปประยุกต์ใช้ได้ในชีวิตครอบครัวและการทำงาน




วิธีที่ ๑. ยามใดเมื่อเราโกรธ เราต้องรู้ตัวของเราเองว่า เรากำลังได้รับพิษร้ายเข้าไปแล้ว
ควรสร้างความรู้สึก"สะดุ้งกลัว"ขึ้นมาทันที และ พยายามระงับความโกรธนั้นไว้
ไม่ให้พิษโกรธกำเริบแสดงเป็นกริยาอาการอะไรออกมาอย่างเด็ดขาด
ด้วยการพิจารณาโทษของความโกรธให้มากที่สุด
ตัวอย่างวิธีคิด
"หากเราโง่เขลาคิดตอบโต้ผู้อื่นด้วยความโกรธเมื่อใด
พิษร้ายของความโกรธก็จะเพิ่มขึ้นและหมักหมมอยู่ในใจมากขึ้นทุกที
มันจะคอยออกมาเผาลนจิตใจของเราไปชั่วกาลนาน
เสมือนหนึ่งเราได้สร้างนรกให้เกิดขึ้นในใจของตัวเอง "
(เป็นการนำคุณธรรมข้อ "โอตตัปปะ"หรือ "ความสะดุ้งกลัว" มาอธิบาย
ให้ตัวเองเห็นถึงผลร้ายของความโกรธ / สุตตันต.เล่ม ๑๓ ข้อ ๑๑ หน้า ๑๔ )
________________________________________

วิธีที่ ๒ มองเห็นผลดีของการระงับความโกรธด้วยเมตตา ว่าทำให้เรานอนหลับฝันดี
มีเพื่อนเยอะแยะ ใครเห็นใครก็รักไคร่ มีสุขภาพจิตดี มีความสุขตลอดเวลา
โห..คุ้มค่าจริง ๆ เลย
(ดูอานิสงส์เมตตา ๑๑ ประการ / สุตตันต.เล่ม ๑๖ ข้อ ๒๒๒ หน้า ๓๖๑ )
________________________________________

วิธีที่ ๓. เมื่อรู้สึกโกรธ หรือ เคืองใจใครก็ตาม ให้ตั้งสติระลึกนึกถึงความดีของคน ๆ นั้นไว้ในใจ
เช่นเขาเคยทำดีอะไรให้แก่เราบ้างไหม หรือ เขามีส่วนดีอื่นๆ ที่น่าประทับใจอะไรบ้าง
นึกอย่างนี้มาแทนความคิดไม่ชอบใจ ความโกรธก็จะหายไปเอง
ตัวอย่าง
"นายมีโกรธนายแดงที่พูดจาดูถูกตน แต่พอนายมีนึกถึงเมื่อครั้งนายแดงเคยช่วยมา
ทาสีบ้านให้ทั้งวันเมื่อปีที่แล้ว นายมีก็หายโกรธนายแดง"
"คุณเจ ไม่ชอบหน้าคุณจอนเลย เพราะคุณจอนชอบพูดจากวนประสาท แต่คุณเจก็
พยายามคิดว่าคุณจอนถึงแกจะชอบพูดกวนประสาท แต่แกก็ยังดีที่ไม่กินเหล้าสูบบุหรี่
คิดได้ดังนี้คุณเจ ก็เกิดความรู้สึกที่ดีต่อคุณจอนขึ้นมาบ้าง "
(ดู วิธีระงับความอาฆาต ด้วยการมองเห็นความดีของเขา /สุตตันต.เล่ม๑๔
ข้อ ๑๖๑-๑๖๒ )
________________________________________

วิธีที่ ๔ เมื่อโกรธคนใกล้ตัว เช่น แฟน , พี่น้อง , เพื่อนร่วมงาน หรือ โกรธคนไกลตัวเช่น
นักการเมือง ฯลฯ
ให้ลองนึกมโนภาพหน้าตาของเขาให้เป็นเด็กเล็ก ๆ อายุสัก 1-2 ขวบ
โดยให้คิดเหมือนกับ ว่าเขาเป็นลูกของเรา สร้างความรู้สึกเอ็นดูเมตตาเหมือน
พ่อแม่รักลูก ความโกรธจะหายไปเป็น ปลิดทิ้ง วิธีนี้แม้ดูง่าย ๆ และ น่าขำ แต่ก็
สามารถทำให้หายโกรธได้ผลเป็นอย่างดีเลยทีเดียว
( ดูคำสอนเรื่องให้รักผู้อื่นเหมือนมารดารักบุตร /สุตตันต เล่ม๑๗ ข้อ ๑๐ หน้า ๑๑ )
________________________________________

วิธีที่ ๕ คิดตั้งหลายวิธีแล้วก็ยังไม่หายโกรธ มาลองใช้วิธี "ไม่คิด" ดูก็ได้ ด้วยการ
หายใจเข้าปอดลึก ๆ ยาว ๆ ทำลมหายใจให้ละเอียด (นึกจินตนาการว่าลมหายใจ
ของเราเป็นอะไรบางอย่างที่ละเอียด อ่อน บางเบา ในขณะที่หายใจ ) หายใจเข้า
ออกติดต่อกันสัก ๑๐ ครั้ง ความโกรธก็จะสลายหมดไป กลายเป็นความสบายใจ
มาแทนที่
(ดูอานิสงส์อานาปาสติ ทำให้เกิดปีติ สุข จิตใจสงบระงับ ร่าเริง / สุตตันต.เล่ม ๖
ข้อ ๒๘๘ ข้อ ๑๗๐)
________________________________________

วิธีที่ ๖ วิธีนี้ง่ายที่สุด เหมาะสำหรับเพื่อนสนิท หรือ คู่รัก ในยามที่เกิดความไม่เข้าใจกัน
หรือ ทะเลาะกันจนต่างฝ่ายต่างโกรธ นั่นคือ "การให้ของขวัญ" เป็นวิธีแก้ไข
ปัญหาความโกรธที่ได้ผลดีอีกวิธีหนึ่ง วิธีนี้เป็นการแสดงออกที่ทำให้หายโกรธ
ทั้งผู้ให้และผู้รับ

(ดูสังคหวัตถุ ๔ คือ การให้ พูดจาไพเราะ ช่วยเหลือเจือจาน ร่วมทุกข์ร่วมสุข สมานไมตรีไว้ตลอดกาล/
สุตตันต.เล่ม๓ ข้อ๒๖๗ หน้า๒๒๐)
________________________________________
วิธีที่ ๗ ให้มองว่าทั้งตัวเราและคนที่เราคนโกรธ ต่าง เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ด้วยกันทั้งสิ้น
คือ ไม่มีใครสามารถรอดจากความทุกข์ แก่ เจ็บ ตายได้สักคน ให้คิดจินตนาการ
มองเห็นคนที่เรากำลังโกรธอยู่ เห็นภาพในอนาคตสมมุติว่าเขากำลังป่วยหนัก
ใกล้ตาย เขาจะต้องพบกับความทุกข์ทรมานแค่ไหน จากนั้นให้หวนคิดถึงตัวเราเองว่า
เราเองสักวันหนึ่งก็ต้องพบกับความทุกขทรมานและความตายเหมือนเขาเช่นเดียวกัน
พวกเราล้วนตกอยู่ภายใต้ชะตากรรมเดียวกันด้วยกันทั้งนั้น แล้วจะมามัวโกรธกันอยู่ทำไมกัน
(ดูบทสวดมนต์แผ่เมตตา)
ข้อ ๒๘๘ ข้อ ๑๗๐)
________________________________________

วิธีที่ ๘ ใช้วิธีกราบพระเพื่อระงับความโกรธ
การกราบพระทำให้จิตใจเกิดความอ่อนน้อม หมดความมานะถือตัว สภาพจิตใจเช่นนี้
ความโกรธเกิดขึ้นไม่ได้ ดังนั้นหากท่านใช้วิธีระงับโกรธหลายวิธีแล้วยังไม่ได้ผล
ขอแนะนำให้ใช้วิธีกราบพระ ท่านว่าได้ผลชงัดนัก วิธีง่าย ๆ เมื่อใดที่โกรธ
ให้ก้มลงกราบพระทันที และในขณะที่ท่านกราบพระ ให้นึกถึงใบหน้าของ
คนที่ท่านโกรธ ท่านจะพบด้วยตนเองว่าตราบใดที่ท่านยัง
กราบพระอยู่ ความโกรธจะไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้เลย

( จากเทคนิควิธีกำราบความโกรธส่วนตัวของหลวงพ่อบุดดา ถาวโร )

________________________________________

เทคนิคคิดปรับปรุงชีวิตให้ก้าวหน้า


เทคนิคคิดปรับปรุงชีวิตให้ก้าวหน้า เทคนิคคิดปรับปรุงชีวิตให้ก้าวหน้า

"ทำไมผมจึงชอบทำในสิ่งที่ไม่ดี ทั้ง ๆ ที่ผมรู้ว่ามันไม่ดี เมื่อทำแล้วก็เสียใจ แต่พอเผลอๆ มันก็อยากทำอีก
( ทำอะไรไม่บอกอะ) ช่วยบอกหนทางแก้ไขให้หน่อยสิ"
ชายกลาง

"รู้สึกไม่สบายใจเลย ด้านหนึ่งเราก็นึกว่าตัวเองเป็นคนดี แต่อีกด้านหนึ่งมันก็มีนิสัยบางอย่างของเรา
ที่เลวร้ายมาก มันจึงดูเหมือนกับว่าเรามีคนสองคนอยู่ในร่างเดียวกัน ไม่ชอบเลย คือ เราอยากเป็นคนดีล้วนๆ "
นกเอี้ยง

คำถามที่ยกมาแสดงข้างต้น สมมุติขึ้นมาเพื่อแสดงถึงภาวะจิตใจที่สับสน คือ คนจำนวนมากเริ่มไม่แน่ใจตัวเองว่า เขาเป็นคนดีหรือคนชั่วกันแน่เพราะการกระทำของเขามีทั้งด้านสว่างและด้านมืด บางครั้งเขารู้สึกตัวว่าเป็นคนดี แต่บางครั้งเขาก็รู้สึกว่าตัวเองนั้นเป็นคนที่แย่มากจนไม่น่าให้อภัย และนิสัยทั้งสองด้านนี้เองที่มันจะติดตามเขาไปเหมือนเงาตามตัว ก่อให้เกิดผลกระทบต่อชีวิตทั้งด้านดีและร้าย คือ นิสัยดีช่วยสร้างสรรค์ให้ชีวิตของเขาได้ก้าวหน้า แต่นิสัยที่ไม่ดีนี่สิ กลับเป็นอุปสรรคขัดขวางทำให้เขาได้รับผลร้ายจากมันนานาประการ

ยกตัวอย่าง
" คุณติ๊ดตี่เป็นคนดี ชอบทำงานอุทิศเพื่อสังคม มีน้ำใจเสียสละ ปัจจุบันทำงานให้กับองค์กรเอกชนแห่งหนึ่ง
แต่เนื่องจากคุณติ๊ดตี่ได้รับการอบรมสั่งสอนมาตั้งแต่เด็ก ๆ ให้ชอบคิดเอาชนะผู้อื่น พอโตขึ้นแกเลยมีนิสัย
ไม่ชอบให้ใครมาทำงานเก่งเกินหน้า ผลร้ายที่ได้รับคือไม่มีใครอยากทำงานด้วย คุณติ๊ดตี่เลยต้องทำงาน
ไปตามลำพังด้วยความรู้สึกโดดเดี่ยว เมื่อทำงานคนเดียวเวลาพบปัญหาอุปสรรคก็เลยแก้ไขไม่ได้
คุณติ๊ดตี่จึงทำงานไม่สำเร็จตามเป้าหมายสักที ล้มเหลวมาโดยตลอด "
"คุณปูดเป็นหนุ่มนิสัยดี ขยันทำการงาน อนาคตไกล แต่ได้รับการปลูกฝังเรื่องเพศผิด ๆจากสื่อมวลชน
ตั้งแต่เด็ก แกจึงกลายเป็นคนที่มีจิตใจไม่ปรกติ ชอบทำผิดศีลธรรมเกี่ยวกับเรื่องเพศเป็นประจำ และไม่
สามารถระงับพฤติกรรมที่ผิดปรกติของตัวเองได้ คือ ทั้งๆ ที่รู้ว่าไม่ดีแต่ก็ยังทำ คุณปูดจึงสร้างความ
เดือดร้อนแก่ผู้อื่นอยู่เป็นประจำ
ในที่สุดวันหนึ่งคุณปูดก็ถูกตำรวจจับนำไปปรับที่โรงพักในข้อหาอนาจาร แล้วคุณปูดก็ถูกสื่อมวลชน
อีกนั่นแหละที่นำเรื่องของแกไปลงข่าวประนามเหยียดหยาม จนคุณปูดกลายเป็นคนที่เลวร้ายไม่มีสิ้นดี
อีกคนหนึ่งในสังคมไทย ในที่สุดคุณปูดจึงต้องออกจากงาน หมดอนาคตไปเลย "

จากตัวอย่างที่ยกมาสองกรณีข้างต้น จะเห็นว่าทั้งคุณติ๊ดตี่และคุณปูด ต่างมีนิสัยทั้งด้านดีและไม่ดีอยู่ในตัวเอง นิสัยทั้งสองด้านล้วนมีผลต่อการดำเนินชีวิตของทั้งสองคน คือ นิสัยด้านดีทำให้ชีวิตของเขาทั้งคู่เจริญก้าวหน้าไปด้วยดี แต่ในขณะเดียวกันนิสัยด้านลบกลับเป็นอุปสรรคขัดขวาง หรือ ถึงกับทำลายหนทางชีวิตที่ดีงามของเขาให้หมดสิ้นไป

หลักการแก้ไขปัญหา

คนเราถึงจะมีจุดมุ่งหมายที่ดีงามเพียงไร แต่ถ้าเราไม่สนใจแก้ไขปรับปรุงนิสัยที่ยังบกพร่องอื่นๆ ของตัวเอง พร้อมกันไปด้วยแล้ว ก็ยากยิ่งที่เราจะสามารถนำพาชีวิตของตนให้บรรลุเป้าหมายดังที่ตั้งใจไว้ได้ เพราะข้อบกพร่องหรือจุดอ่อนของตนที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขนี่เองที่จะคอยเป็นตัวถ่วงความเจริญ หรือ ทำให้ชีวิตติดตัน หรือถึงขนาดเสื่อมถอยลงไป ทำให้ไม่ประสบความก้าวหน้าดังที่ตั้งใจไว้
อุปมาเราต้องการจะขับรถไปเชียงใหม่ แต่ทว่าสภาพรถที่ขับกลับไม่ดูแล น้ำมันเติมไม่เต็มถัง ยางหลังรั่วแบน พวงมาลัยฝืด น้ำมันเบรกก็ไม่มี สภาพรถอย่างนี้ ต่อให้ตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะขับไปให้ถึงสักเพียงใด ก็ไม่มีทางขับไปถึงอย่างแน่นอน
ดังนั้นหากเรารู้จักปรับปรุงคุณภาพชีวิตของเราเองเป็นประจำ โดยการหมั่นสำรวจตรวจตรานิสัยใจคอ ตลอดจนการกระทำของเราทุก ๆ ด้าน เราก็จะได้ข้อมูลที่ชัดเจน สามารถนำไปปรับปรุงพัฒนาชีวิตของตนให้ก้าวหน้าอย่างมีดุลยภาพ (พัฒนารอบด้าน ได้สมดุลย์) นี้เป็นวิธีการที่ดีที่สามารถพัฒนาชีวิตของเราจะได้ดำเนินไปได้อย่างราบรื่น ไม่ติดขัด ชักช้า หรือ เสื่อมถอย อีกต่อไป


วิธีปรับปรุงชีวิตของตนเองให้ดีพร้อมทุกด้าน

ทุกวันก่อนนอนเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม ที่เหมาะสำหรับการมานั่งทบทวนชีวิตของตนเองที่ได้ดำเนินมาตลอดวันว่าเรายัง มีอะไรที่ยังต้องแก้ไขปรับปรุงตนเองได้อีกบ้าง เพื่อพัฒนาชีวิตของตนเองทุกด้านให้ก้าวหน้าไปพร้อมๆ กัน โดยขอเสนอวิธีคิดดังต่อไปนี้
๑. ให้ถามตัวเองว่า วันนี้ตนเองได้ทำอะไรที่เป็นที่น่าพอใจบ้าง ไม่ว่าจะเป็นการบำเพ็ญประโยชน์ต่อตนเอง หรือ ผู้อื่น หรือ การสร้างเสริมนิสัยที่ดีงามให้แก่ตนเอง ให้ทบทวนในใจเป็นข้อ ๆ เพื่อสร้างความรู้สึกพอใจยินดีปราโมทย์ในสิ่งที่ตนได้กระทำลงไป จนรู้สึกเคารพตนเองว่าเป็นบุคคลที่เกิดมาแล้วได้ทำสิ่งที่ดีๆ ฝากไว้กับโลก
ยกตัวอย่าง
๑. ฉันพอใจที่ได้ตื่นแต่เช้าในวันนี้ไม่ตื่นสายเหมือนวันก่อน
๒.ฉันพอใจที่ทำงานได้เสร็จก่อนเวลาตามนัดหมาย
๓.ฉันพอใจที่ระงับความขุ่นเคืองตอนคุณแม่บ่นได้
๔.ฉันพอใจที่ได้มีน้ำใจทักทายเพื่อนบ้านด้วยวาจาอันไพเราะ
ฯลฯ
๒. ให้บอกกับตนเองว่า ความดีที่ทำไปมันยังไม่พอ มันต้องทำให้ดีกว่านี้ มากกว่านี้ เป็นทวีคูณ เพราะถ้าคนเราคิดว่าตัวเองดีแล้ว เก่งแล้ว นั่นแหละครับ เขาเรียกว่า " คนประมาท "
ดังนั้นเราจึงควรสร้างความ "ไม่พอใจ" ในความดีที่มีอยู่ คือ ไม่ควรหลงตนเองว่าดีแล้ว แต่ควรมีความอ่อนน้อมถ่อมตน คิดฝึกฝนพัฒนาตนเองอยู่เสมอ นี้เป็นนิสัยประจำตัวของพระพุทธองค์ในสมัยก่อนที่จะตรัสรู้เลยทีเดียว คือ "ความไม่สันโดษในกุศลธรรม"
ยกตัวอย่างวิธิคิด
๑. คุณเอนั่งสมาธิเก่งมาก แต่แกก็สอนตัวเองว่า
" ถึงจะนั่งสมาธิได้ดี แต่ฉันยังโกรธง่ายอยู่เลย ไม่ได้เรื่องหรอก คงต้องฝึกเมตตาให้มากกว่านี้ "
๒. คุณดวดขยันทำการงาน จนเจ้านายชมเปาะ แต่แกก็สอนตัวเองว่า
" ยังขยันไม่พอหรอกแค่นี้ มันต้องขยันทุกลมหายใจถึงจะดี"
๓. คุณอุ๋ยใจดีมีเมตตา จนเพื่อน ๆ ชมว่าเป็นแม่พระประจำออฟฟิส แต่คุณอุ๋ยก็เตือนตัวเองเสมอว่า
" ใจดี แต่ไม่ค่อยจะใช้สติปัญญา อย่างเนี้ยนะ โดนเขาหลอกประจำ ไม่ไหวหรอก "
๓. ให้นึกถึงสิ่งที่บกพร่องของตนเองที่ทำมาตลอดวันว่ามีอะไรบ้าง และให้สร้างภูมิคุ้มกันไม่ให้ไปทำอีกด้วยการ รู้จักติเตียนตนเองให้เกิดความละอายใจ เห็นผลร้ายของนิสัยไม่ดีเหล่านี้ (หิริโอตตัปปะ)
ยกตัวอย่าง
๑. กินข้าวไม่ล้างจาน "แย่จริง น่าละอายมาก เอาเปรียบคนอื่นนี่เรา"
๒.จิ๊กเงินแม่ " โห.. เนรคุณสุด ๆ แม่รู้คงเสียใจแย่เลย "
๓. เปิดดูรูปโป๊บนเน็ต " โรคจิตนี่เรา ทำไมไม่หาอะไรดีๆ มีสาระดูบ้างล่ะ โตแล้วนะ"
๔. นินทาเพื่อน " เลวมาก.. ทำไมเราเป็นคนอย่างนี้ ถ้าคืนอื่นเขานินทาเราม้าง เราจะรู้สึกอย่างไร "
ฯลฯ
๔. ในกรณีที่เป็นความประพฤติผิดศีลธรรม ให้คุณรู้จักสร้างความรู้สึกสำนึกผิดในการกระทำที่ไม่ดีของคุณเอง ด้วยการสารภาพกับใครสักคนหนึ่งที่คุณมีความเคารพ และ ไว้ใจ
การสารภาพสำนึกผิดนี้เองที่จะเป็นการปลดปล่อยจิตวิญญาณของคุณให้พ้นจากความชั่วร้ายต่าง ๆ ที่ครอบงำคุณมาโดยตลอด
ในสังคมสมมุติสงฆ์ ท่านจึงให้พระภิกษุมาทำการสารภาพความผิด (ปลงอาบัติ) กับหมู่คณะ หากพระภิกษุนั้นได้กระทำความผิดต้องอาบัติข้อใดข้อหนึ่งลงไป (อาบัติเบา) คณะสงฆ์เมื่อได้รับรู้ก็จะให้อภัย และ ช่วยเป็นกำลังใจให้สำรวมระวังต่อไป นี้เป็นบรรยากาศของชุมชนที่ดีงามในอุดมคติ ที่สมาชิกทุกคนในชุมชนช่วยเหลือดูแลซึ่งกันและกัน (น่าเสียดายที่สมัยนี้ ตามวัดต่าง ๆ พระภิกษุทำพอแต่เป็นพิธีๆ จึงไม่ได้รับประโยชน์อะไร )
กระบวนการ "สารภาพผิด" เป็นการฝึกชาวพุทธให้เป็นคนที่รู้จักสำนึกผิดในสิ่งไม่ดีที่ตนได้กระทำลงไป มีผลดีทำให้จิตใจของผู้ที่สารภาพผิดเกิดความโปร่งโล่งสบายใจ (ที่ได้สารภาพผิด ) และ ก่อให้เกิดภูมิคุ้มกันภายในจิตใจของผู้ปฏิบัติไม่ให้เผลอไปทำสิ่งที่ไม่ดีในอนาคต
อนึ่ง หากคุณเหลียวมองรอบ ๆ ตัวแล้ว ยังมองไม่เห็นมีใครที่คุณพอจะไว้วางใจให้รับฟังความผิดของได้ เราขอแนะนำให้คุณระลึกถึงพระพุทธองค์ (หากคุณเป็นชาวพุทธ ) โดยให้นึกในใจว่าคุณกำลังนั่งสารภาพผิดอยู่ต่อหน้าพระพุทธองค์ ให้คุณทำการสารภาพด้วยจิตใจที่สำนึกผิด และ สัญญากับพระพุทธองค์ว่าจะสำรวมระวังไม่เผลอพลาดพลั้งไปกระทำอีก
ขั้นตอนนี้หากคุณทำด้วยความศรัทธาและรู้สึกสำนึกผิดจริงๆ นิสัยที่ไม่ดีต่าง ๆ ของคุณที่เคยเปรียบ เสมือนมารผจญที่คอยมารุกรานชีวิตของคุณย่ำแย่มาตลอดชีวิต ก็จะค่อยๆ หมดพิษสงลง จนหมดสิ้นไปในไม่ช้า


เทคนิคการปรับปรุงชีวิตให้ดีงาม ทั้งในทางส่งเสริมรักษากุศลธรรม และ สกัดกั้นกำจัดบาปอกุศล ดังที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ หากคุณได้ปฏิบัติเป็นประจำ เครือข่ายชาวพุทธฯ มีความมั่นใจว่าชีวิตของคุณจะดำเนินไปด้วยความราบรื่นมากขึ้น และ ประสบแต่ความสุข ความเจริญ ได้รับความร่มเย็นในบวรพุทธศาสนาไปตลอดกาลนาน ขอให้โชคดีทุก ๆ ท่านนะครับ / สวัสดี
________________________________________

Bad Food


ระวังอันตรายของน้ำมันพืช - ภัยใกล้ตัวที่มากับอาหาร สมัยก่อนพวกเราใช้แต่น้ำมันสัตว์เช่นน้ำมันหมูในการประกอบอาหาร เมื่อโลกเจริญขึ้น ก็บอกว่าน้ำมันหมู น้ำมันสัตว์เป็นไขมันอิ่มตัว ไม่ดีต่อสุขภาพ แล้วรณรงค์ให้มาใช้น้ำมันพืช ซึ่งเป็นของใหม่ ทุกครัวเรือนจึงมีแต่ขวดน้ำมันพืชประจำอยู่ในครัว แต่ข่าวและผลการวิจัยล่าสุด ไม่น่าเชื่่อ มันกลับตะละบัด "น้ำมันพืช อันตรายระดับชาติ" มาอ่านบทความนี้กันครับ คนไทยตาสว่างเสียที… เลิกเสียเงินซื้อยาฝรั่ง ต้นเหตุเพียงแค่น้ำมันพืชเคลือบระบบดูดซึม อดีตเมื่อก่อน 30 ปีที่แล้ว คนไทยใช้น้ำมันมะพร้าว และ น้ำมันหมูทำกับข้าว จู่ ๆ โฆษณาฝรั่ง มากล่าวโทษวิถีไทยเดิม ๆ อ้างว่าน้ำมันมะพร้าว และ น้ำมันหมูทำให้คลอเลสเตอรอลสูง เพราะจับตัวเป็นไข วิธีแก้คือ การใช้น้ำมันพืช ปัจจุบัน ผู้คนส่วนใหญ่เปลี่ยนมาใช้น้ำมันพืช เพราะความเชื่อที่ถูกฝรั่งฝังหัวมา แต่ปรากฏว่า อัตราการเป็นโรคต่าง ๆ มากขึ้น ไขมันในเลือดสูง, โรคหัวใจ, โรคไต, ภูมิแพ้ เป็นต้น วงการสุขภาพของตะวันตก เพิ่งจะมาตาสว่างเมื่อค้นพบโทษของน้ำมันพืช สหรัฐ ฯ ได้ออกมาตรการลด ละ เลิก ใช้ น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี (transfat oil)
ในหลาย ๆ รัฐ ท่านสามารถอ่านข่าวเหล่านี้ได้ เช่น อาร์โนลด์ ชวาชเนกเกอร์ ผู่ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย กับการแบนการใช้น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี โดยกล่าวว่า “การใช้น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี ทำให้เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ” http://gov.ca.gov/press-release/10291/ รัฐเท็กซัส…พระราชบัญญัติ ขจัดน้ำมันพืชแปรรูปให้หมดจากร้านอาหาร ภายใน สิงหาคม 2553 http://dallas.bizjournals.com/dallas/stories/2009/05/04/daily72.html KFC เริ่มเห็นโทษของน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี ออกเมนูไร้น้ำมันพืช Transfat http://abcnews.go.com/Health/OnCall/story?id=2615217 McDonald ประกาศเริ่มใช้น้ำมันชนิดอื่น แทนน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีเมื่อปี 2007 เริ่มต้นที่ 1,200สาขา http://www.msnbc.msn.com/id/16873869/ Dunkin Donut ประกาศเลิกใช้น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีตั้งแต่ปี 2550 https://www.dunkindonuts.com/aboutus/press/PressRelease.aspx?viewtype=current&id=100102 เว๊บไซท์ ต่อต้าน transfat http://www.bantransfats.com/ โรคที่มากับน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี…ระบบเผาผลาญอาหารเสื่อม, เบาหวาน, ธัยรอยด์, เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ, โรคหัวใจ, โรคอ้วน, โรคไต http://transfatdisease.com/why.html
อาหารที่พบอยู่ทั่วไป มีน้ำมันพืชเสมอ ก๋วยเตี๋ยว, ผัดไทย, หอยทอด, ราดหน้า, ผัดผักทุกชนิด, ไก่ทอด, ปาท่องโก๋, ข้าวผัด ขนมอบ เบเกอรี่ สรุปรวมว่าอาหารทุกชนิดที่ใช้กะทะ (ผัด ทอด) ใช้น้ำมันพืชทั้งนั้น น้ำมันพืชเกือบทุกชนิด ใช้น้ำมันปาล์มเป็นวัตถุดิบ ซึ่งราคาถูก แต่ขวางระบบดูดซึม น้ำซึมผ่านไม่ได้ หากใช้วัสดุอื่นตามที่โฆษณาจริง เหตุใดจึงยังขายได้ในราคาถูกเช่นนั้น อย่าให้คำว่า ‘ไม่เป็นไข" มาหลอกท่านได้อีก น้ำมันพืชเมื่ออยู่ในอุณหภูมิที่ต่ำกว่า 25 องศา จะดูสวยงาม ไม่เป็นไข ผิดกับน้ำมันหมูที่เมื่อยู่ในอุณหภูมิต่ำ จะเป็นไข แต่เมื่อน้ำมันพืชเข้าไปอยู่ในร่างกาย อุณหภูมิ 37 องศา จะกลายเป็นกาวเหนียว เกาะติดลำไส้ตั้งแต่ลำคอลงมาถึงลำไส้ใหญ่ ไม่สามารถล้างออกได้ด้วยพืชผักที่เราทานเข้าไป และ ไม่สามารถล้างออกได้ด้วยน้ำชาธรรมดา แต่น้ำมันจากสัตว์ และ น้ำมันมะพร้าว เมื่ออยู่ในอุณหภูมิร่างกาย จะไม่มีทางเป็นไข และ จะละลายกับน้ำได้ สารอาหารต่าง ๆ ยังซึมเข้าร่างกายได้ หากท่านลองนำน้ำมันพืช ใส่ภาชนะ แล้วไปตั้งทิ้งไว้กลางแดดสัก 10 นาที อุณภูมิจะประมาณ 30 กว่าองศา ใกล้เคียงร่างกายมนุษย์ ท่านเช็ดน้ำมันพืชออกได้ยากมาก เหมือนกับที่เขม่ากาวติดกะทะ เครื่องครัว เขม่ากาวเหนียวนั่นคือผลของน้ำมันพืชโดนความร้อน จำเป็นต้องใช้กรดมาล้างเท่านั้น แต่หากท่านลองใช้น้ำมันหมู หรือ น้ำมันมะพร้าว ใส่ภาชนะแล้วตากแดด จะพบว่าล้างออกได้โดยง่าย เมื่อน้ำมันพืชเคลือบระบบดูดซึมท่านทั้งหมด น้ำก็จะไม่เข้าร่างกายท่าน เมื่อท่านทานน้ำ น้ำก็จะถูกพาไปไต แล้วพาไปที่กระเพาะปัสสาวะโดยเร็ว เสมือนกับท่านทานน้ำ 100% น้ำไม่ได้ถูกดูดซึมเข้าไปใช้ในอวัยวะต่าง ๆ เลย กลับเป็นภาระให้ไตนำไปทิ้ง 100% นี่คือเหตุผลว่าทำไมท่านทานน้ำแล้วฉี่บ่อย เป็นโรคไต และ โรคกระเพาะปัสสาวะตามมา เมื่อน้ำซึมเข้าตัวไม่ได้ วิตามินที่มากับน้ำ เช่น วิตามินบี และ ซี ก็จะไม่เข้าร่างกายท่าน ขาดวิตามินบี ทำให้สมองมีปัญหา เฉื่อยชา ความจำสั้น หากหญิงกำลังตั้งครรค์ มีโอกาสทำให้ลูกคลอดมาเป็นออทิสติค ขาดวิตามินซี ทำให้ภูมิคุ้นกันมีปัญหาเป็น ภูมิแพ้ หวัด ไวรัส เมื่อภูมิคุ้มกันมีปัญหา ท่านก็จะติดโรคอื่น ๆ ได้ง่ายมาก จบลงด้วยการเสียเงินซื้อยาฝรั่ง เงินทองไหลออกนอกประเทศ เพราะเพียงแค่ท่านหลงเชื่อว่าน้ำมันพืชสมัยใหม่ไม่เป็นอันตราย น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี จำเป็นต้องผ่านกระบวนการฟอกสี (bleached) เพื่อให้สีดูสวย สดใสแต่งกลิ่น (deodorized) เพื่อให้ไม่มีกลิ่นหืน มีกลิ่นตามที่ต้องการ ใส่ไฮโดรเจน (hydrogenated) เพื่อทำให้ทอดอาหารอร่อย กระบวนการเหล่านี้ทำให้สารเคมีเปลี่ยน เมื่อทานเข้าไปแล้วเป็นพิษต่อร่างกายโดยตรง เมื่อใดที่เห็นข้างกล่องผลิตภัณฑ์ว่า มีน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี ขอให้รู้ว่านั่นคือยาพิษ โยนทิ้งขยะทันที
ถึงเวลาล้างได้แล้ว ท่านจำเป็นต้องล้างน้ำมันพืชในร่างกาย ที่สะสมมาตั้งแต่เกิดเสียที ด้วยสูตรตามธรรมชาติ ที่ท่านสามารถพึ่งพาตัวเองได้ มี 2 สูตร ที่ได้รับการทดสอบจากประชาชนทั่วไป มากกว่า ห้าหมื่นคน และ ได้ผล สูตรที่เร็วที่สุดคือ น้ำชามะละกอ (ล้างอย่างเดียว แต่เร็ว) วิธีทำ : มะละกอดิบ ที่ใช้ตำส้มตำ นำมาหั่นเป็นชิ้นเหมือนชิ้นฟัก ประมาณ 6-8 ชิ้นต่อน้ำ 2 ลิตร จะขาดจะเกิน ไม่ผิด (ถ้าใส่มากเกินไปจะทำให้บูดง่าย มะละกอดิบที่เหลือ ใส่ตู้เย็นเก็บไว้ใช้ได้ในครั้งต่อไป) และ ใบเตย หรือ เก๊กฮวย อย่างใดอย่างนึง กะเอง ต้มในน้ำ จนเดือด พอเดือดได้ประมาณ 1 นาที ปิดไฟทันที อย่าต้มต่อ ให้เอามะละกอ กับ ใบเตยทิ้ง (อย่าปล่อยให้มะละกอเดือดจนเละ) แล้วใส่ใบชา ลงไปแช่ประมาณ 4 นาที ห้ามแช่นานกว่า 4 นาทีเพราะสารแทนนินจะออกมา ทำให้ท้องผูก แล้วตักใบชาทิ้ง จะได้น้ำชามะละกอ ดื่มร้อน หรือ เย็นได้ น้ำชาที่เหลือให้แช่ตู้เย็น เก็บไว้ได้ประมาณ 2 วัน เกินกว่านั้นจะบูด (ยางมะละกอล้างไขมัน, ใบเตยให้ความสดชื่น, ชาดับกลิ่นมะละกอ) สูตร นมสดโยเกิร์ตน้ำผึ้งมะนาว (ล้างและบำรุง ค่อย ๆ ล้าง) นมสด โยเกร์ต น้ำผึ้ง มะนาว : ใช้โยเกิร์ตชนิดจืดครึ่งถ้วย ผสมนมสดชนิดจืด 1 กล่อง เติมน้ำผึ้ง 2 ช้อนชา และ บีบมะนาว 2 ลูก คนให้เข้ากัน ทิ้งไว้ 5-10 นาที แล้วค่อยดื่ม คุณสมบัติ : ให้วิตามิน B บำรุงสมอง วิตามิน C เพิ่มภูมิต้านทาน, จุลินทรีย์ตัวดีช่วยย่อยน้ำมันพืช, นมสดให้แคลเซียม ขอให้ท่านมองดูคนป่วยรอบกายท่าน คนป่วยในสังคม แล้วถามตัวเองว่า คนเหล่านั้น ทานน้ำมันพืชแล้วภูมิคุ้มกันมีปัญหา ป่วย แต่ไปรักษาปลายเหตุ ใช่หรือไม่ ? คนป่วยเหล่านี้มากพอหรือยัง เงินที่คนป่วยเหล่านี้ต้องจ่ายซื้อยา เงินนั้นอยู่ในประเทศหรือนอกประเทศ ? เศรษฐกิจพอเพียงจะเกิดขึ้นได้อย่างไร หากคนไทยยังไม่ดูแลสุขภาพตนเอง ต้องพึ่งพายาฝรั่งไปเรื่อย ๆ ? ท่านอย่าเพิ่งเชื่อบทความนี้ จนกว่า ท่านหาข้อมูลเพิ่มเติมใน search engine (google) ด้วยตนเอง โดยพิมพ์ key word ต่อไปนี้ (พิมพ์ครั้งละ 1 คำ) Transfat, transfat bill, vegetable oil bad health, hydrogenated oil, ชามะละกอ, อันตราย น้ำมันพืช/.......... น่ากลัวกว่าที่คิดนะครับ

ปฏิบัติการขอคืนพื้นที่หัวใจ

วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2553




ปีมะโรง ขอจงมีความสุข
โดย พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก

วัดป่าสุนันทวนาราม
บ้านท่าเตียน ต.ไทรโยค อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี


สีเลนะ สุคะติง ยันติ สีเลนะ โภคะสัมปะทา
สีเลนะ นิพพุติง ยันติ ตัสมา สีลัง วิโสธะเย

ปีกระต่ายก็ผ่านไป ปีมะโรง ปีพญานาคก็มาถึง
พญานาคเป็นปีแห่งโภคทรัพย์และผู้ทรงศีล
พระโพธิสัตว์ขณะบำเพ็ญปรมัตถบารมี
ในพระชาติสุดท้าย 10 ชาติ
ก็ได้เกิดเป็นพญานาคเพื่อบำเพ็ญศีลบารมี
เพื่อให้ได้มาซึ่งโภคทรัพย์ และความเป็นมนุษย์

ผู้รักษาศีลเป็นนิจย่อมเจริญด้วยโภคทรัพย์
มนุษย์สมบัติ และนิพพานสมบัติ
ผู้รักษาศีลย่อมมีความสุข
ขอเชิญมารักษาศีล ฟังธรรม เจริญภาวนากันเถิด

ผู้ทรงศีลย่อมเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งความดีงามทั้งปวง

ย่อมไม่เบียดเบียนชีวิตผู้อื่น ทั้งสัตว์น้อยใหญ่
ย่อมเป็นผู้ไม่โลภอยากได้ของที่ไม่ใช่ของเรา
ไม่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น
ย่อมไม่ประพฤติผิดลูกและสามีภรรยาของผู้อื่น
ไม่นอกใจสามีภรรยา
ย่อมเป็นผู้ที่มีวาจาไพเราะ ช่างเจรจา
มีสัมมาวาจา ปิยะวาจา พูดแต่สิ่งที่ดี
มีประโยชน์ ไม่พูดเท็จ
ย่อมไม่เสพสุรายาเมา
ไม่ติดยาเสพติด ไม่ค้ายาเสพติด

ผู้ทรงศีลเป็นคนดี มีเมตตา มีจิตใจที่นุ่มนวล อ่อนโยน

ย่อมเป็นผู้ที่มีอายุยืน มีผิวพรรณงาม
มีความสุข และมีพระนิพพานเป็นที่สุด
ขอเชิญพวกเรามารักษาศีล เจริญภาวนากันเถิด
เพื่อเราจะได้มีความสุขในทุกสถานการณ์


(มีต่อ 1)


_________________
ศรัทธาในพระพุทธศาสนายิ่ง...ปรารถนาจะช่วยสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา


TU
บัวทอง



เข้าร่วม: 23 พ.ค. 2004
ตอบ: 1577


ตอบเมื่อ: 18 ก.ย. 2004, 6:13 pm
หันมาสำรวจตัวเองกันบ้าง

ปัญหาในสังคมทุกวันนี้
เพราะเราไม่ค่อยเอาใจใส่ ในการรักษาจิตใจของตัวเอง
เราไม่เคยสำรวจตัวเอง
เราคิดว่าเราดีแต่คนอื่นไม่ดีตลอด
เพราะเราดูแต่คนอื่น ไม่เคยดูตัวเอง
เรามัวแต่จ้องจับผิดคนอื่น
จึงทำให้จิตใจของเราฟุ้งซ่าน สับสน เครียด ทุกข์

เรามัวแต่อยากพัฒนาคนอื่น ลืมตัวเอง
การปฏิบัติภาวนารักษาศีล คือ การหยุด
หยุดดูผู้อื่น หยุดตำหนิผู้อื่น
หันมาสำรวจตัวเองบ้างเป็นครั้งคราว


การทำความดีก็คือ การให้ทาน การรักษาศีล และปฏิบัติภาวนา

อันนี้ก็เป็นปัจจัยที่จะช่วยให้เราบรรลุเป้าหมาย
อันเป็นที่ปรารถนาของทุกคน
คือฐานะดี รูปดี ปัญญาดี อายุยืน มีความสุข

การเจริญทาน ศีล ภาวนา
เมื่อทำแล้ว เราได้รับอานิสงส์ทันทีในปัจจุบันชาตินี้
ไม่ต้องรอภพหน้า
ปฏิบัติวันนี้ ก็เริ่มได้ผลวันนี้ อนาคตในชาตินี้ก็ดี
เมื่อตายแล้ว ชาติหน้าก็ได้รับอานิสงส์อีก
เมื่อเราเริ่มลงมือปฏิบัติบ้าง


เราจะเห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น คือ เห็นตัวเอง รู้จักตัวเอง

แล้วเราจะปีติ ดีใจมาก..... ทุกคน
เพราะมันเป็นอีกมิติหนึ่งของจิตใจของเรา
ที่เราไม่เคยเห็น ไม่เคยรู้ว่ามีอยู่
แล้วเราจะมีความสุขมาก


การศึกษาธรรมะ ยิ่งศึกษา ยิ่งสงบ

เป็นโอปนยิโก ยิ่งปฏิบัติก็ยิ่งเป็นโอปนยิโก
น้อมเข้ามาๆ เพื่อการปล่อยวาง ปล่อยวางสิ่งภายนอก
แล้วก็น้อมเข้ามาในธรรมะ น้อมเข้ามาดูกายกับใจของตัวเอง
ดูตัวเอง แก้ไขตัวเอง ปรับปรุงตัวเอง
มากกว่าที่จะไปดู ไปวิพากษ์วิจารณ์คนอื่น


คนอื่นเป็นอย่างไรก็ไม่สำคัญ สำคัญที่ใจของเราเป็นอย่างไร

เราหมั่นน้อมเข้ามาดูจิตใจของเรา
รักษาจิตใจของเราให้เป็นปกติเสมอ คือ เป็นศีล


ศีล คือ ปกติ คือไม่ยินดียินร้าย

เป็นอินทรียสังวรศีล


(มีต่อ 2)



ลูกโป่ง
บัวแก้ว



เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089


ตอบเมื่อ: 17 ส.ค. 2006, 12:22 am
อินทรียสังวรศีล

อานาปานสติขั้นที่ 1 คือ
หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ
มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมลมหายใจออก-ลมหายใจเข้า

เป็นอินทรียสังวรศีล
เป็นการสำรวจ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
ไม่ให้ยินดียินร้าย

พระพุทธองค์บอกว่า
การเจริญอานาปานสติ มีผลใหญ่ มีอานิสงส์ใหญ่
แต่พวกเราส่วนใหญ่ไม่เคยได้ยินได้ฟัง ไม่เคยลองปฏิบัติ
ตั้งแต่เกิดมาเราก็มองข้ามไป
ถึงแม้ว่า การฝึกเจริญอานาปานสติ จะเป็นสิ่งที่สำคัญมาก
พวกเราก็ไม่ค่อยสนใจ
บางคนก็คิดว่าเป็นเรื่องยาก บางคนก็คิดว่าเป็นเรื่องคร่ำครึ
ปล่อยให้คนอื่นเขาทำกันเถิด เราเป็นคนดีอยู่แล้ว

อันนี้เพราะเราไม่เข้าใจ
เพราะยังไม่ยอมลงมือปฏิบัติ


จริงๆ แล้วการปฏิบัติก็ไม่ยากมากมาย
หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ... ก็เท่านั้น
และการปฏิบัติก็เป็นเรื่องของทุกคน

ถ้าเราไม่ลงมือปฏิบัติ เราก็ไม่เห็นคุณค่า
ไม่เห็นประโยชน์ของการปฏิบัติ
เราปฏิเสธสิ่งดีๆ ในชีวิตอย่างน่าเสียดาย
มาปฏิบัติ เจริญศีล ภาวนากันเถิด
แล้วเราจะมีความสุขทุกคน มีความสุขได้ในทุกสถานการณ์

เพราะผู้ปฏิบัติย่อมได้รับผลเอง ย่อมมีความสุข ย่อมอิ่มอกอิ่มใจ
ปฏิบัติเดี๋ยวนี้ ก็ได้ผลเดี๋ยวนี้
และเมื่อเราได้ปฏิบัติ เราจะเคารพรัก
และบูชาพระพุทธองค์ได้อย่างจริงใจ
และเราจะเรียกตัวเองว่าชาวพุทธได้อย่างเต็มภาคภูมิ

หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ สบายๆ


(มีต่อ 3)



ลูกโป่ง
บัวแก้ว



เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089


ตอบเมื่อ: 17 ส.ค. 2006, 12:31 am
เราไม่ต้องศึกษาอะไรมากมายก็ได้

พยามทำความรู้จักกับลมหายใจ
กำหนดลมหายใจบ่อยๆ จนเกิดความเคยชิน
เกิดความสนิทสนม เกิดความพอใจ
มีฉันทะ ที่จะอยู่กับลมหายใจตลอดเวลา
อย่างน้อยสุขภาพจิตของเราก็จะดีขึ้น

การระลึกรู้ลมหายใจออก ลมหายใจเข้า
เป็นการทำให้ศีลบริสุทธิ์ที่จิต ที่เจตนาถูกต้อง
เป็นการเจริญสติ สัมปชัญญะและปัญญาด้วย
เป็นการพัฒนาจิตใจโดยตรง
จึงมีอานิสงส์มาก มีประโยชน์มาก

เราจึงควรพยายามศึกษา
และพยายามทำบ่อยๆ จนเป็นนิสัย
เมื่อมีปัญหา ก็เอาลมหายใจเป็นสรณัง คัจฉามิได้
เมื่อเกิดปัญหาเป็นทุกข์ไม่สบายใจ
ก็รีบหายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ
มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมเป็นที่พึ่งที่ระลึกของเรา

เมื่อเราสามารถระลึกรู้ ลมหายใจออก
ลมหายใจเข้าได้ โดยธรรมชาติ สบายๆ
ในอิริยาบถยืน เดิน นั่ง นอน ตลอดวันตลอดคืน
ก็เป็นอินทรียสังวรศีล
หรือแม้ว่าไม่ตลอดวันก็ตาม แค่ 10 นาที 20 นาที
ถ้าเรานั่งสบายๆ กำหนดลมหายใจออก ลมหายใจเข้า
ติดต่อกัน ต่อเนื่องกันโดยธรรมชาติ ด้วยความพอใจ


(มีต่อ 4)



ลูกโป่ง
บัวแก้ว



เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089


ตอบเมื่อ: 17 ส.ค. 2006, 12:35 am
ช่วงนั้นจิตใจของเราก็สงบ
เป็นปกติ ป็นศีล เป็นอินทรียสังวร

สุขภาพใจก็ดี
ไม่ยินดียินร้าย ในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์
เมื่อมีความรู้สึกตัวอยู่เสมอ จิตใจก็ไม่หลง

จิตไม่คิดไปตามกิเลสตัณหา
จิตใจก็ไม่หวั่นไหว ไม่ยินดียินร้าย
มีหิริโอตตัปปะ
ละอายแก่ใจ กลัวบาป ไม่กล้าทำบาป ไม่กล้าทุกข์

ทุกข์เมื่อไร ก็บาปเมื่อนั้น
พยายามรักษาใจให้เป็นปกติเป็นกลางๆ
ให้ตั้งใจปฏิบัติอย่างน้อย
ก็ก่อนนอนกับตอนเช้า

คล้ายๆ อาบน้ำ ตั้งใจอาบน้ำ
นอกนั้นตลอดวันก็ทำบ่อยๆ
คล้ายๆ กับการล้างมือ ล้างหน้า ทำบ่อยๆ
กลับมาหาลมหายใจบ่อยๆ มาหาที่พึ่งที่ระลึกของเราบ่อยๆ
แล้วเราจะมีสติ มีความสุขได้ในทุกสถานการณ์


(มีต่อ 5)



ลูกโป่ง
บัวแก้ว



เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089


ตอบเมื่อ: 17 ส.ค. 2006, 12:42 am
ไม่ยินดียินร้าย

ไม่ยินดียินร้าย คือ ไม่ยึดมั่นถือมั่น
ในโลกธรรม 8 ที่มากระทบ

มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ
สรรเสริญ นินทา สุข ทุกข์
ชอบก็รู้ ไม่ชอบก็รู้ รู้แล้วปล่อย
สุขก็รู้ ทุกข์ก็รู้ แล้วปล่อย
เห็นทุกอย่างเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เสมอ
ถ้าทุกคนเข้าใจอย่างนี้ได้
ครอบครัวก็จะอบอุ่น บ้านเมืองก็จะร่มเย็นเป็นสุข
ทุกคนก็จะสบาย และเป็นสุขได้ในทุกสถานการณ์

ใครทำอะไรไม่ดี ท่านก็ไม่ให้ยินร้าย

ให้รีบโอปนยิโก น้อมเข้ามาดูตัวเอง
เตือนใจตัวเองว่า เราอย่าทำอย่างนั้น
จริงๆ แล้ว เราก็ไม่ใช่คนสมบูรณ์
เราก็ทำให้คนอื่นไม่พอใจเหมือนกัน ไม่มากก็น้อย
พยายามรักษาความเป็นปกติ
รักษาความเป็นกลางๆ รักษาสุขภาพใจดีของเรา
หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ
พยายามปฏิบัติ เจริญสติปัฏฐาน 4 เจริญอานาปานสติ
อยู่กับปัจจุบัน เป็นปัจจุบันธรรม


ไม่ยินดียินร้าย คือไม่ยึดมั่นถือมั่น

เห็นผู้หญิงสวย ชอบก็รู้ รู้แล้วก็ปล่อย
ไม่ยึดมั่น ถือมั่นว่าต้องเอามาเป็นของเราให้ได้
ลูกทำอะไรไม่ถูกใจ ก็ปล่อย อนิจจัง
แล้วเขาจะเปลี่ยนไปเอง เขาก็มีกรรมเป็นของเขา
เมื่อมีโอกาส เมื่อใจของเราดีแล้ว
ก็ค่อยแนะนำ สอนเขา
เราต้องเป็นตัวอย่างที่ดีของลูก
เราทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด แล้วก็ปล่อย

นี้คือ ไม่ยินดี ยินร้าย


(มีต่อ 6)



แก้ไขล่าสุดโดย ลูกโป่ง เมื่อ 17 ส.ค. 2006, 12:49 am, ทั้งหมด 1 ครั้ง


ลูกโป่ง
บัวแก้ว



เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089


ตอบเมื่อ: 17 ส.ค. 2006, 12:46 am
ไม่ยินดียินร้าย
ไม่ใช่ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่ปฏิบัติหน้าที่

ตรงกันข้าม ไม่ยินดียินร้าย เป็นสุขภาพใจที่ดี
เมื่อเรามีสุขภาพใจดี เราก็สามารถทำหน้าที่องเราได้ดีที่สุด
เราต้องทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดเสมอ
เป็นพ่อแม่ที่ดี เป็นพี่น้องที่ดี เป็นลูกที่ดี
เป็นนายที่ดี เป็นลูกน้องที่ดี เป็นนักการเมืองที่ดี
ทำหน้าที่ของเราให้เต็มที่ เต็มความสามารถเสมอ
ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ด้วยอิทธิบาท 4


เมื่อเราทำดีที่สุดแล้ว

ผลจะเป็นอย่างไร ถูกใจหรือไม่ถูกใจ
ใครจะสรรเสริญ ใครจะนินทา ก็ปล่อย
ไม่ยึดมั่น ถือมั่นว่า ฉันทำดีแล้วคนต้องชม
ฉันทำดีแล้ว ฉันต้องได้ 2 ขั้น ฉันต้องได้เลื่อนตำแหน่ง
คนดี อยู่ที่ไหน ใครจะว่าอย่างไร ก็ดีอยู่เสมอ
และสามารถดำเนินชีวิตได้ด้วยความพอใจ

นี่คือไม่ยินดียินร้าย ไม่ยึดมั่นถือมั่น


เราค่อยๆ ศึกษา ค่อยๆ ฝึกปฏิบัติ

ตั้งใจแน่วแน่ที่จะรักษาสุขภาพใจที่ดีของเราเอาไว้
ยินดียินร้ายเกิดขึ้น ก็รีบระงับ
มีหิริโอตตัปปะที่จิตใจ
เป็นศีล เป็นสมาธิ
เมื่อทำสำเร็จ จิตใจของเราก็เป็นมัชฌิมา
เป็นปกติ เป็นสุขภาพใจดี
และจะมีความสุขได้ในทุกสถานการณ์


(มีต่อ 7)



ลูกโป่ง
บัวแก้ว



เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089


ตอบเมื่อ: 17 ส.ค. 2006, 12:57 am
หิริโอตตัปปะ เมื่อเกิดขึ้นแล้ว

ถึงแม้อยู่คนเดียวก็ไม่กล้าทำผิด
เพราะกลัวบาป ละอายต่อบาป
รู้จัก ชอบดี ผิดถูก ควรไม่ควร บุญบาป
ไม่มีคำว่า ไม่มีใครเห็น เพราะตัวเราเห็นตลอด
จึงชอบที่จะละความชั่ว รักแต่จะทำความดี
คิดแต่สิ่งที่ดี ทำแต่สิ่งที่ดี พูดแต่สิ่งที่ดี
ไม่คิดร้าย ไม่คิดชั่ว ไม่คิดบาป
ไม่ทำในสิ่งที่ผิด สิ่งที่ก่อให้เกิดโทษทุกข์
ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น


คิดดี พูดดี ทำดี เป็นอาหารที่มีคุณภาพ

เมื่อเราทุกข์ใจ ตกงาน น้ำท่วม ข้าวของเสียหายหมด ฯลฯ
เรามักจะมีความรู้สึกว่า เราเป็นคนโชคร้าย
เป็นคนที่น่าสงสารที่สุดในโลก
ทำไมคนอื่นไม่มีปัญหาอย่างเรา

จริงๆ แล้ว ใครๆ เกิดมาในโลกนี้
ต่างคนต่างทุกข์กันทั้งนั้น
ต่างคนต่างมีปัญหาทั้งนั้น


(มีต่อ 8)



แก้ไขล่าสุดโดย ลูกโป่ง เมื่อ 17 ส.ค. 2006, 1:02 am, ทั้งหมด 1 ครั้ง


ลูกโป่ง
บัวแก้ว



เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089


ตอบเมื่อ: 17 ส.ค. 2006, 1:02 am
โลกธรรม 8

ฝ่ายน่าปรารถนา ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข
ฝ่ายไม่น่าปรารถนา เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์
ล้วนแต่มีเหตุปัจจัยมาตั้งแต่อเนกชาติ

ทำดี ได้ดี ทำชั่ว ได้ชั่ว
เป็นกฎตายตัวแน่นอน

โลกธรรม 8 เป็นเพียงรสชาติ
อร่อย ไม่อร่อย
ถูกใจ ไม่ถูกใจ เท่านั้น

ไม่ต้องใส่ใจมากนัก
ขอให้พอใจในอาหารที่มีคุณภาพ
คือ คิดดี พูดดี ทำดี

บางครั้งอาหารดีอาจจะออกรสไม่อร่อยก็ทนเอา
คือเวลาที่เราประสบกับโลกธรรม 8 ฝ่ายที่ไม่น่าปรารถนา
ก็ทนเอา ไม่เป็นไร
เอาคุณภาพ และ ประโยชน์ เป็นหลัก
คิดดี พูดดี ทำดี

รักษาใจให้ดีตลอดไป


(มีต่อ 9)



ลูกโป่ง
บัวแก้ว



เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089


ตอบเมื่อ: 17 ส.ค. 2006, 1:06 am
รักษาใจของเราให้ดีไว้

แล้วเหตุการณ์ต่างๆ ก็จะค่อยๆ คลี่คลายไปเอง
เพราะทุกอย่างเป็นอนิจจัง ทุกอย่างเป็นไปตามกรรม

ถ้าเราทำดีอยู่เสมอ
คิดดี พูดดี ทำดี
รักษาศีล ภาวนาอยู่เป็นปกติ

อะไรจะเกิด ก็ไม่ต้องกังวลมากมาย
แล้วทุกอย่างก็จะผ่านไป เปลี่ยนไป
เหมือนลมฟ้าอากาศที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ
ทำดีไปเรื่อยๆ

อนาคตจะดีขึ้นไปเรื่อยๆ...แน่นอน


คนไม่มีทุกข์ไม่มีในโลก

ลองคิดดูก็ได้
สมมติถ้าเราเป็นสมาชิกครอบครัวของพระพุทธเจ้า

พระนางสิริมหามายา
ต้องตาย ตั้งแต่ยังมีลูกอ่อนอายุ 7 วัน...ทุกข์

เจ้าชายสิทธัตถะ
แม่เสียชีวิต ไม่เคยได้เห็นหน้าแม่เลย...ทุกข์

พระนางพิมพา พระชายาของเจ้าชายสิทธัตถะ
พระสวามีทิ้งเรากับลูกที่พึ่งเกิด เข้าป่า ไปเป็นนักบวช ...ทุกข์
เราบกพร่องความเป็นภรรยาตรงไหน
อับอายญาติ พี่น้อง เพื่อน...ทุกข์

เจ้าชายราหุล พระโอรสของเจ้าชายสิทธัตถะ
พ่อทิ้งลูกไปเมื่ออายุ 3-4 ขวบ เพื่อนๆ ล้อว่าไม่มีพ่อ...ทุกข์

พระเจ้าสุทโธทนะ พระบิดา
ลูกๆ ทั้งหลาย ไม่ดูแลรักษาราชสมบัติ เข้าป่า ทำไมๆ ๆ...ทุกข์

พระพุทธเจ้า
ราชวงศ์ศากยะ ถูกฆ่าหมด ญาติพี่น้องถูกฆ่าหมด
ผู้ฆ่าก็เป็นลูกศิษย์ของท่าน

ถ้าเป็นเราคงทุกข์มาก
แต่ท่านเข้าใจว่าเป็นเรื่องของกรรม จึงปล่อยวางเสีย

ใครเกิดมาในโลก ในวัฏฏสงสาร
ต้องเป็นทุกข์แน่นอนทุกคน ทุกชีวิต


(มีต่อ 10)



ลูกโป่ง
บัวแก้ว



เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089


ตอบเมื่อ: 17 ส.ค. 2006, 1:19 am
คนไม่ถูกนินทา ไม่มีในโลกนี้

สมัยพุทธกาล
อุบาสก อตุละ ชักชวนบริวารทั้ง 500
ไปฟังเทศน์ที่สำนักพระศาสดา
ตอนเช้า ได้ไปหาพระเรวตเถระซึ่งเป็นพระอรหันต์
นิมนต์อาราธนาเทศน์ ท่านเงียบ
อุบาสกนินทาท่านว่า องค์นี้ไม่พูดเลย

อุบาสกจึงชักชวนบริวารทั้งหมดเดินทางต่อไป
พบพระสารีบุตร ซึ่งเป็นพระอัครสาวก
เป็นผู้เลิศทางปัญญา เป็นผู้แตกฉานในการแสดงธรรม
พระสารีบุตรแสดงธรรมโดยพิสดาร
อธิบายหัวข้อธรรมอย่างละเอียด
อุบาสกอตุละ นินทาท่านว่า พระองค์นี้ พูดมากเกินไป

อุบาสกจึงชักชวนพรรคพวกเดินต่อไปอีก
ตกบ่ายได้พบพระอานนท์
พระอานนท์แสดงธรรมโดยย่อให้เข้าใจง่ายๆ
เมื่อฟังเทศน์จบ อุบาสกอตุละ ก็ว่า
พระองค์นี้เป็นอะไร พูดน้อย

ตอนเย็นก็ไปถึงที่พักของพระพุทธองค์
อุบาสกอตุละได้เล่าให้พระพุทธองค์ฟังเรื่องตั้งแต่เช้า
พระพุทธองค์ จึงตรัสว่า
อตุละเอย คนไม่ถูกนินทาไม่มีในโลก
แม้แต่พระพุทธเจ้าก็คงจะถูกอตุละนินทาว่า เทศน์ไม่เก่ง


ยิ่งเป็นผู้ใหญ่ ทำงานมาก
มีความรับผิดชอบสูง
ก็ยิ่งถูกนินทามากเป็นธรรมดา

คนที่ไม่ถูกนินทา คือคนที่ไม่ทำอะไรเลย
เราทุกคนไม่ต้องการให้ใครนินทาเรา
แต่ก็เป็นไปไม่ได้

พระบรมศาสดาของเรา
เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ที่สุด
ทรงมีพระบริสุทธิคุณ พระปัญญาธิคุณ พระมหากรุณาธิคุณ
แต่ท่านก็ถูกนินทามากที่สุดก็ว่าได้
คนมีมิจฉาทิฏฐิ คนไม่ศรัทธาท่าน ก็นินทาท่าน
คนนินทาท่าน อาจจะมากกว่าคนสรรเสริญท่าน


(มีต่อ 11)



ลูกโป่ง
บัวแก้ว



เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089


ตอบเมื่อ: 17 ส.ค. 2006, 1:24 am
แม้แต่ธรรมชาติ ลมฟ้าอากาศ
ก็ถูกมนุษย์นินทาประมาณ 90% หรือ
อาจจะถึง 99% ทีเดียว

วันนี้ร้อน วันนี้หนาว
ฝนตก ฝนไม่ตก
ลมแรง ไม่มีลม ฯลฯ

ธรรมชาติก็ถูกมนุษย์นินทามากมายถึงปานนี้
ได้รับคำชม คำสรรเสริญ นิดเดียว
สิ่งที่ไม่มีวิญญาณก็ยังถูกนินทาถึงขนาดนี้
แล้วมนุษย์เองจะถูกนินทาขนาดไหน
น่าเห็นใจมนุษย์

นักจิตวิทยาของอเมริกันค้นคว้า วิจัย ศึกษาว่า
คนเราเฉลี่ยแล้ว คนๆ หนึ่ง ในวันหนึ่งๆ
มีความรู้สึก ไม่พอใจ ไม่ถูกใจ
นึกเป็น วิภวตัณหาถึง 3 หมื่นครั้งต่อวัน
ครั้งหนึ่ง อาจจะนึกตำหนิ ออกมาเป็นคำพูด เป็นคำนินทา
วันหนึ่งๆ เรานึกตำหนิคนอื่นเท่าไร
และนินทาคนอื่นเท่าไร เราไม่รู้ตัว
แต่ถ้าเรา ได้ยินว่า มีใครนินทาเราสักประโยคเดียว
เราเจ็บใจ เกือบทำใจไม่ได้
เราลืมมองดูตัวเองว่า เราก็นินทาคนอื่นมากมาย
ใจเราไม่มีความยุติธรรมเท่าไร


ถ้าใจเราดี ใจมีธรรมะ
เราก็จะเห็นเรื่องนินทา สรรเสริญ
เป็นเรื่องธรรมดาในโลก

คนที่พูดถูกใจเรา ไม่ถูกใจเราก็เป็นเรื่องธรรมดา
นานาจิตตัง ต่างคนต่างคิด ต่างคนต่างรู้สึก
เราเองจะระวังสักแค่ไหน คนที่ไม่ชอบคำพูดของเราก็มีอยู่
เพื่อนของเรา พ่อแม่ของเรา จะพูดดีแค่ไหน
เราก็อาจจะไม่พอใจก็ได้
ถ้าเราเข้าใจอย่างนี้ เราก็จะมองเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องธรรมดา
ไม่เอาจริงเอาจังกับคำพูดมากมายนัก
คอยแต่ระวังรักษาใจของเราให้ดี ให้เป็นปกติ
ไม่ยินดี ยินร้าย มีหิริโอตตัปปะตลอดกาล

ปกติใครจะนินทาเรา เราก็เจ็บใจ
อาฆาต พยาบาท ข้าภพ ข้ามชาติ
ปุถุชนก็เป็นอย่างนั้น
จิตใจของสัตว์ เมื่อเจ็บใจก็ผูกอาฆาต พยาบาท หลายปี
หลายสิบปี หรือข้ามภพ ข้ามชาติ
นั้นก็เป็นจิตของสัตว์
แต่เมื่อจิตใจเราเป็นศีล แล้วก็ไม่ใช่

ใครจะนินทา ใครจะด่าเรา
ถึงแม้ว่ายังมีกิเลสรู้สึกเจ็บใจเหมือนกัน
เป็นทุกข์ ไม่สบายใจเหมือนกัน
แต่เราก็มีปัญญาที่จะระงับมันได้ทัน
พยายามปล่อยวางเสียในเวลาไม่นาน
เมื่อกระทบอารมณ์ต่างๆ
ประสบกับสิ่งที่ไม่น่าปรารถนา
เราก็ไม่ต้องวุ่นวาย
ไม่ต้องคิดวิตกกังวลอะไรมากมาย
หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ
มีเจตนาที่จะปล่อยวาง
มีเจตนาที่จะระงับอารมณ์ต่างๆ


(มีต่อ 12)



ลูกโป่ง
บัวแก้ว



เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089


ตอบเมื่อ: 17 ส.ค. 2006, 1:28 am
พอดี-ทางสายกลาง

เดือนแรก

จะโกรธ กำลังโกรธ สอนใจตัวเองว่า “ดีๆๆ”
เขาไม่เรียบร้อย ไม่ขยัน พูดไม่เพราะ
เขานินทาเรา ฯลฯ ก็คิดว่า “ดีๆๆ”
สอนใจตัวเองว่า...อย่ายินร้าย

เดือนที่สอง

เมื่อประสบกับสิ่งที่ควรยินดี ดีใจ
ก็สอนใจตัวเองว่า “พอๆๆ”...อย่ายินดี

เดือนที่สาม

จิตใจ ความรู้สึกของเราจะเข้าถึงทางสายกลาง พอดีๆๆ
ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง
พอดี–ใจเย็น ใจดี ใจเมตตา ใจมีสันติสุข
ใจเป็นปกติ ใจเป็นศีล
ไม่ยินดี ยินร้าย
มีแต่ “ดี” และ “พอ”
พอดีๆๆ...

เป็นมัชฌิมาปฏิปทา
ขอให้มีความสุขในทุกสถานการณ์
หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ


(มีต่อ 13)



ลูกโป่ง
บัวแก้ว



เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089


ตอบเมื่อ: 17 ส.ค. 2006, 1:32 am
เรื่องของนาคในพระพุทธศาสนา

ภูริทัตนาคราช
พระโพธิสัตว์ผู้บำเพ็ญศีลบารมี

พระพุทธเจ้าก่อนที่ตรัสรู้ในพระชาติสุดท้าย
ได้บำเพ็ญบารมีมาช้านาน
เรียกว่า พระโพธิสัตว์ หรือที่ว่า พระเจ้าห้าร้อยชาติ
บางชาติก็เป็นมนุษย์ บางชาติก็เป็นสัตว์เดรัจฉาน
10ชาติสุดท้ายได้เสวยพระชาติเป็นพญานาคอยู่ 3 ชาติ
ภูริทัตนาคราชเป็นพระโพธิสัตว์ชาติหนึ่งใน 10 ชาตินั้น
เป็นการบำเพ็ญศีลบารมีอย่างอุกฤษ
ที่เรียกว่า ปรมัตถบารมี

ในชาตินี้ภูริทัตเกิดเป็นพญานาค
เป็นลูกครึ่ง พ่อเป็นพญานาค แม่เป็นมนุษย์ คือนางสมุทชา
เป็นน้องสาวของพระเจ้าพาราณสี
ภูริทัตได้ขึ้นไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ของพระอินทร์
เห็นสมบัติพัสถานต่างๆ เกิดอยากได้
ก็เร่งรีบรักษาอุโบสถศีล เพื่อจักได้เป็นบุญกุศล
มีผลให้ได้ทรัพย์สมบัติต่อไป
ได้ตัดสินใจหนีขึ้นมาจำศีลอยู่ที่เมืองมนุษย์
ต่อมามีหมองูนายหนึ่ง ได้เห็นภูริทัตในสภาพของพญานาค
มีลำตัวขาวราวกับสำลี มีหงอนสีแดง ก็ชอบใจ
ฉุดลากภูริทัตพาไปแสดงให้คนดู ยังความอับอาย
ความเจ็บปวดให้แก่ภูริทัตอย่างมาก
แต่โดยที่ได้อธิษฐานสละเลือดเนื้อร่างกายเป็นทานแล้ว
ภูริทัตจึงอดทน ปล่อยให้หมองูทำกับตนไปต่างๆ นานา

นางสมุทชาผู้เป็นแม่ เห็นภูริทัตหายไปนาน
ก็ให้สุทัศน์ลูกชายคนโตไปตามน้อง โดยมีนางอัจจะมุขี
น้องสาวคนเล็กแปลงตัวเป็นเขียดตามไปด้วย
สุทัศน์ปลอมตัวเป็นดาบส
สุทัศน์ตามไปจนพบน้องชาย ซึ่งขณะนั้นหมองู
กำลังจัดการแสดงอยู่ ภูริทัตเห็นสุทัศน์ดาบสก็จำได้
เลื้อยเข้าไปซบที่เท้า ร้องไห้ แล้วเลื้อยกลับ
หมองูเข้ามาถามสุทัศน์ดาบสว่า ถูกขบกัดหรือเปล่า
สุทัศน์ดาบสตอบว่า “ไม่ได้ทำร้ายอะไรหรอก
ถึงจะทำร้ายก็ไม่เป็นไร เพราะเราเป็นหมองูที่ยิ่งใหญ่
ไม่มีใครสู้ได้” หมองูได้ฟังดังนั้นก็โกรธมาก
จึงท้าพนันกัน โดยสุทัศน์จะเอาเขียดสู้กับนาค
ในที่สุด พิษของเขียดได้ทำให้ผิวหนังของหมองูลอก
กลายเป็นขี้เรื้อนขาวไปทั้งตัว หมองูตกใจกลัวมาก
ยอมปล่อยภูริทัตนาคราช และไม่ขอสู้ต่อไป


(มีต่อ 14)



ลูกโป่ง
บัวแก้ว



เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089


ตอบเมื่อ: 17 ส.ค. 2006, 1:35 am
จัมเปยนาคราช

เชื่อกันว่า นาคมีอิทธิฤทธิ์และมีชีวิตวนเวียนใกล้ชิดคน
นาคสามารถแปลงตัวได้ เป็นคนก็ได้
เป็นอะไรก็ได้ตามประสงค์
มีเรื่องราวของนาคสมสู่กับมนุษย์เล่าขานมามากมาย
เล่ากันว่าเมืองของพญานาคอุดมด้วยทรัพย์สมบัติ
เพชรนิลจินดามากมาย ล้วนสวยงามมาก

ครั้งหนึ่งพระบรมโพธิสัตว์ได้อุบัติขึ้นในสกุลคนเข็ญใจ
ได้เห็นสมบัติของจัมเปยนาคราช เกิดความละโมภอยากได้
ก็เพียรรักษาศีลภาวนา ให้ทานเป็นประจำ
เมื่อท้าวจัมเปยพญานาคราชสิ้นชีวิต
พระโพธิสัตว์ก็จุติไปเกิดเป็นจัมเปยนาคราช
แต่แทนที่ท่านจะเกิดความปราโมทย์ พอใจ
กลับบังเกิดความละอาย รำพึงว่า

“อิสสริยยศในฉกามาพจรสวรรค์ ก็เหมือนกับ
ข้าวเปลือกที่เขาโกยมาไว้ในยุ้งฉาง ได้ปรากฏแก่เรา
ก็ด้วยอำนาจของกุศลผลบุญที่เราได้ทำแล้ว
แต่เราจะต้องการอะไรกับการเป็นเดรัจฉานเช่นนี้
เราจะอยู่ในอุโบสถกรรม คือรักษาศีล
เมื่อพ้นจากพิภพนี้ไปแล้ว เราจะได้เกิดเป็นมนุษย์
ตรัสรู้ธรรม ขจัดทุกข์ให้หมดไป”

แล้วจำเปยนาคราชก็หนีขึ้นไปถืออุโบสถศีล
ในโลกมนุษย์เป็นเวลาช้านาน
ต่อมา พรานหมองูนายหนึ่งมาพบเห็นเข้า
ก็จับเอาพญานาคราชมาทรมานต่างๆ นานา
ท่านก็ไม่ต่อสู้ อดทน อดกลั้น
ยอมเจ็บปวดทรมาน ทั้งอับอาย
เป็นการรักษาศีลด้วยชีวิต ดังปณิธานที่ท่านได้ตั้งไว้
ท่านอยู่ในสภาพเช่นนั้นจนกระทั่ง
นางสุมนามเหสีติดตามไปช่วยเหลือ
จึงได้เป็นอิสระ กลับไปยังนาคพิภพตามเดิม


(มีต่อ 15)



ลูกโป่ง
บัวแก้ว



เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089


ตอบเมื่อ: 17 ส.ค. 2006, 1:38 am
นาคอยากเกิดเป็นมนุษย์

มีนาคตนหนึ่ง เบื่อหน่ายกับการที่กำเนิดเป็นนาค
อยากกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ จึงแปลงกายเป็นชายหนุ่ม
ไปขอบรรพชาอุปสมบทในสำนักพระพุทธองค์

วันหนึ่งเมื่อพระนาคเผลอสติ นอนหลับไป
พระนาคก็หลายเป็นงูดังเดิม
เมื่อพระพุทธเจ้าทรงทราบว่านาคแปลงกายมาบวชอยู่
จึงได้สั่งให้พระนาคสึกไปเสีย เพราะนาคนั้นเป็นเดรัจฉาน
จะเจริญงอกงามในพระธรรมวินัยไม่ได้
พระนาคเสียใจมาก แต่ก็ต้องกราบลาไป
พระพุทธองค์ได้สั่งให้นาครักษาศีล 8 ในวันพระ
แล้วก็จะได้เกิดเป็นมนุษย์ต่อไป

และพระพุทธองค์ก็ได้ทรงบัญญัติพระวินัยว่า
ห้ามอมนุษย์หรือเดรัจฉานเข้ามา
บรรพชาอุปสมบทเป็นภิกษุในพุทธศาสนา

การขานนาคที่จะบวชเป็นพระภิกษุในทุกวันนี้
ก็ยังมีคำถามว่า “มนุสโสสิ” แปลว่า
“ท่านเป็นมนุษย์หรือ”
ก็เพื่อให้แน่ใจว่าไม่ใช่พวกอมนุษย์
แปลงตัวมาบวชนั่นเอง


(มีต่อ 16)



ลูกโป่ง
บัวแก้ว



เข้าร่วม: 01 ส.ค. 2005
ตอบ: 4089


ตอบเมื่อ: 17 ส.ค. 2006, 1:42 am
พญากาลภุชคินทร์นาคราช
เป็นสัญลักษณ์ของผู้มีอายุยืนมาก

กล่าวกันว่า พญากาลภุชคินทร์นอนหลับนานมาก
เป็นการนอนคอยพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าตรัสรู้องค์หนึ่งจึงจะตื่นขึ้นครั้งหนึ่ง
พญากาลภุชคินทร์ จึงเป็นพญานาคที่ อายุยืนมาก
คือมีอายุมาตั้งแต่ครั้งพระพุทธเจ้ากกุสันธะ
จนถึงสมณะโคตมะ และจะมีอายุยืนต่อไป
จนถึงพระศรีอาริยเมตตรัย


พญามุจลินนาคราช
ผู้คุ้มครองพระบวรพุทธศาสนา

ตามพุทธประวัติ เล่าว่า
เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว
และเสด็จไปประทับเสวยวิมุตติสุข ณ ร่มไม้จิก
ฝนตกตลอดเวลา 7 วัน
พญามุจลินทนาคราชทำขนด 7 ชั้น ล้อมพระพุทธเจ้าไว้
แล้วแผ่พังพานใหญ่ปกคุมเบื้องพระเศียร
เพื่อไม่ให้ฝนและลมหนาว สาดต้องพระวรกาย

นาคทั้งหลายรักพระพุทธศาสนา
ศรัทธาเปี่ยมล้นในพระพุทธองค์
ตั้งใจปฏิบัติรักษาศีล ภาวนา
เพื่อให้ได้มาซึ่งโภคทรัพย์ และความเป็นมนุษย์

มนุษย์เท่านั้นที่จะมีโอกาส
ประพฤติธรรม จนพ้นทุกข์ได้

ฤทธิ์เดช และทรัพย์ศฤงคารของนาค
และเทวดานั้น ล้วนเป็นอนิจจัง

เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป มีอยู่แล้วก็หายไป เป็นทุกข์ทั้งนั้น
โอกาสที่จะเจริญธรรม เพื่อให้หลุดพ้นจากกิเลส
ทั้งปวงไม่มีในหมู่เทวดาและพญานาค

นาคยังรักศีล รักษาศีล
รักพระพุทธศาสนา รักพระพุทธองค์
แล้วเราล่ะ ได้เกิดเป็นมนุษย์
พบพระพุทธศาสนาแล้ว
จะยอมปล่อยให้เสียโอกาสไปเปล่าๆ หรือ
มาเร่งรักษาศีล ปฏิบัติภาวนากันเถิด

ขอให้เจริญด้วยโภคทรัพย์ และมนุษย์สมบัติ
และมีความสุขในทุกสถานการณ์


>>>>> เอวัง >>>>>


ปีมะโรง ขอจงมีความสุข

อ้างอิง :
เรื่องเกี่ยวกับพญานาคในหนังสือเล่มนี้
ส่วนมากได้มาจากหนังสือ “พญานาค”
ของ ส.พลายน้อยซึ่งได้รับกรุณาให้ใช้อ้างอิงได้

ผู้เรียบเรียง :
คุณสิริลักษณ์ รัตนากร และคณะ

สัญญลักษณ์ :
คือ นาคจำศีล และ คนรักษาศีล ปฏิบัติธรรม

วันพุธที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เทศกาลน้ำแข็ง ปีใหม่2005ที่จีน



































มาเปลี่ยนบรรยากาศดูของสวยๆงามบ้างนะครับ เจริญพร

ภูเขาไฟระเบิดที่ ICELAND


















บ้านเขามีแต่ภัยธรรมชาติ ทุรกันดาร หนาวเหน็บแต่ยังอยู่ยังพัฒนาได้ แต่บ้านเราสิ ไม่ต่างกับแดนสวรรค์ ทั้งอุดมสมบูรณ์ ด้วยแร่ธาตุและธัญญาหาร ภัยธรรมชาติรุนแรงก็ไม่มี มีสวนรวมน้ำใจที่นำไทยทุกคนผ่านการเป็นขี้ข้าต่างชาติมาได้ หรือว่าจะเป็นอย่างที่ต่างชาติเขาพูด"ประเทศไทยนี้มีดีทุกอย่าง เสียอย่างเดียว...มีคนไทยอยู่ในประเทศนี้" เพราะหากเป็นคนญี่ปุ่น หรืออิสราเอล เป็นผู้อาศัยแทนคนที่อยู่เดิมแล้ว ประเทศไทยต้องเป็นมหาอำนาจของโลกอย่างแน่นอน