เจริญพร ขอให้มีความสุขสมหวังและ ถึงความสิ้นทุกข์ในเวลาอันใกล้โดยง่ายเทอญ

ยินดีต้อนรับ สหธรรมิกผู้มีใจเป็นกุศลทุกๆท่านครับ

ขอเรียนเชิญ สหธรรมิกทุกๆท่านมาร่วมศึกษาและปฏิบัติธรรมของพระพุทธองค์ รวมทั้งแบ่งปันความรู้ ข้อคิด คำแนะนำ ด้วยใจที่เปี่ยมด้วยเมตตาครับ

" ความมืดแม้ทั้งโลก ก็บดบังลำแสงเพียงน้อยนิดมิได้ "


สันโดษ

สันโดษ
สุขใด เสมอความสงบ ไม่มี

หน้าเว็บ

เกี่ยวกับฉัน

รูปภาพของฉัน
อดีตที่ผ่านมาเป็นบทเรียน อโหสิให้ทุกคน แต่อย่ามีเวรกรรมร่วมกันอีกเลย

ผู้ติดตาม

วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2555

เรื่องสั้นที่ชอบในรอบหลายๆปี“ทฤษฎีชายขอบแห่งสรรพสิ่ง"

พระอาทิตย์ทอแสง เป็นสัญลักษณ์แสดงถึงเช้าวันใหม่ ที่เสมือนหนึ่งม่านดำตามธรรมชาติถูกดึงขึ้น! หลังจากที่มันรูดลงมาปิดอาณาจักรแห่งนี้ตลอดทั้งคืนที่ผ่านมา แสงสว่างตามธรรมชาติปรากฏให้เห็นในเช้าวันใหม่ ในขณะที่จิตใจของเขากลับยังคงถูกปกคลุมเอาไว้ให้อยู่ในความมืดมิดด้วยม่านหมอกของความไม่เข้าใจในอะไรบางอย่าง...มากว่าสัปดาห์ “ได้มาเดินออกกำลังกายอย่างนี้ ค่อยรู้สึกสดชื่นขึ้นมาหน่อย” ชายหนุ่มพูดขึ้นขณะเดินลัดเลาะตามฟุตบาทเพื่อไปยังสวนสาธารณะที่อยู่ห่างจากบ้านของสาวน้อยเยื้องไปทางทิศตะวันตกระยะทางประมาณ ๖๐๐ เมตร ผู้คนค่อนข้างพลุกพล่านเนื่องจากเป็นย่านชุมชนขนาดใหญ่ ซึ่งเขารู้สึกว่าตัวเองไม่ได้แตกต่างจากคนเหล่านั้น โดยเฉพาะเครื่องแต่งกายที่ได้รับการอนุเคราะห์จากเธอในการจัดหามาให้ เลยทำให้เขาดูกลมกลืนกับเจ้าถิ่นเป็นอย่างยิ่ง ที่สำคัญอีกประการคือเขารู้สึกหายใจโล่ง โปร่งสบายมากขึ้น ‘นี่คงเป็นฝีมือของเจ้าชิปอีกหละซิ’ เขานึกขอบคุณอยู่ในใจ ระหว่างที่เดินตามเธอเขาสังเกตได้ว่า ระบบการจราจรที่นี่ดูค่อนข้างคล่องตัว ไม่ติดขัดมีทั้งรถยนต์ที่รูปร่างแปลกตา รถไฟฟ้าบนดิน – ใต้ดิน และรวมถึงระบบการจราจรบนอากาศ “ที่นี่มีการจราจรหลายช่องทาง” เธอพูดขึ้นเมื่อเห็นเขามีท่าทีสนใจ “อย่างข้างบนนั่น!” เธอชี้ไปยังจุดหมายที่เขามองดูอยู่ก่อนหน้านั้น “นั่นเป็นช่องการจราจรทางอากาศสำหรับกลุ่มคนชั้นสูง (พิเศษ)” เธออธิบายให้เขาฟังในขณะที่ชายหนุ่มกำลังอึ้งกับสิ่งที่ได้เห็น “ปะ... เปล่า ฉันแค่เอ่อ...คิดอะไรเพลิน ๆ ไปเรื่อยเปื่อยเท่านั้นเอง” เขาพูดกลบเกลื่อนไปอีกทาง ‘มีอะไรที่แปลกประหลาดเกิดขึ้นเสมอ...สิ่งที่นายพบนายเห็นมันคือความจริงทั้งหมด จำไว้! มันคือความจริงที่นายไม่มีทางที่จะหนีไปได้พ้น ตราบใดที่นายยังอยู่ที่นี่!’ เขาย้ำกับตัวเอง “เทคโนโลยีที่นายเห็นทั้งหมดนี้” เธอชี้มือไปยังเทคโนโลยีไฮเทครอบ ๆ บริเวณที่เดินผ่านมาก่อนที่จะพูดต่อ “มาจากฝีมือของพ่อกับแม่ฉันเอง” เธอบอกเขาด้วยความภาคภูมิใจ ซึ่งไม่ใช่การโอ้อวดแต่อย่างใด เขาสัมผัสได้จากน้ำเสียงที่พูดนั้นของเธอ “มันเป็นผลิตผลที่เกิดจาก ทฤษฎีชายขอบแห่งสรรพสิ่ง” เธออธิบายต่อในขณะที่เท้าก็ยังก้าวเดินไปแต่ไม่เร็วมากนัก
!” ชายหนุ่มพูดขึ้นตามสัญชาติญาณของการตกใจในสิ่งที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนมากกว่าจะเป็นคำถามเมื่อก้าวเดินตามขึ้นมาเคียงข้างกับเธอ “ใช่! ทฤษฎีชายขอบแห่งสรรพสิ่งหรือที่พวกนักวิทยาศาสตร์ยุคก่อนหน้าโน้นเข้าใจผิดคิดว่ามันคือ ทฤษฎีแห่งสรรพสิ่ง (Grand Unified Theory)๑ ที่จะสามารถเป็นกุญแจไขความลับของสรรพสิ่งในจักรวาลได้ แต่ท้ายที่สุดแล้วพ่อของฉันบอกว่ามันก็เป็นได้แค่ชายขอบแห่งสรรพสิ่งที่เข้าใกล้ความจริงแท้แห่งธรรมชาติ...เข้าใกล้ไปอีกนิดเดียวเท่านั้นเอง” เขาฟังเธออย่างงง ๆ เหมือนคนที่ไม่รู้ต้นไม่รู้ปลาย ไม่รู้ใต้ไม่รู้เหนือ! “เมื่อก่อนเผ่าพันธุ์มนุษย์ของเราใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยีทั้งหมดจาก ‘ปฏิสสาร’ ๒ มาเป็นระยะเวลายาวนานในฐานะที่มันเป็นพื้นฐานของแหล่งพลังงานทั้งหมด แต่เมื่อ ๒ ปีที่ผ่านมาเมื่อพ่อกับแม่ของฉันพวกท่านค้นพบทฤษฎีชายขอบแห่งสรรพสิ่งที่ว่านั้น พลังงานจากปฏิสสารก็ถูกปลดระวาง ฐานของการใช้พลังงานทั้งหมดก็ถูกโยกย้ายถ่ายโอนมาเป็นสนามพลังงานของแรงพื้นฐานทั้งสี่แทน ซึ่งมันสามารถให้พลังงานได้มากกว่าปฏิสสารมากมายหลายเท่าเมื่อเทียบในสัดส่วนเดียวกัน” เธอยังคงสาธยายในฐานะเจ้าบ้านที่ดี ในขณะที่เขายิ่งฟังก็ยิ่งงงเข้าไปใหญ่ “ช่วยทำให้ฉันเข้าใจได้ง่าย ๆ หรือกระจ่างแจ้งมากกว่านี้ได้ไหม” เขาพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่บ่งบอกอย่างนั้นจริง ๆ “ดูนายจะไม่ค่อยมีพื้นฐานทางด้านวิทยาศาสตร์เอาซะเลย” เธอพูดขึ้นด้วยเสียงปกติมากกว่าจะเป็นการประชด “นั่น! มันไม่ใช่ลำดับต้น ๆ ในหัวสมองของฉันอย่างแน่นอน ฉันรู้เพียงแค่นี้!” เขาตอบกลับมาด้วยเสียงเดียวกัน “เอาหละ! ฉันจะยกตัวอย่างที่เข้าใจง่าย ๆ ให้ฟังก็อย่างเช่น ระบบของชิปที่ทำงานควบคุมกลไกต่าง ๆ ในร่างกายนี้ก็เป็นผลิตผลที่มาจากทฤษฎีที่ว่านั้น หรือหากนายดูภายนอกรอบ ๆ ตัวเมือง” เธอชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้าที่ว่างเปล่าก่อนจะกล่าวต่อ “นายจะสังเกตได้ว่า ข้างบนนั้นว่างเปล่าไม่มีอะไร แต่ในความเป็นจริง แล้วมันประกอบไปด้วยพลังงานที่พร้อมแปลงค่าออกมาเป็นแสงสว่างเมื่อพระอาทิตย์ตกดินและก็แปลงร่างกลับไปเป็นพลังงานเหมือนเดิมเมื่อพระอาทิตย์ขึ้น!” ‘ใช่! เขานึกออกแล้วเมื่อคืนนี้ไง ที่เขาเห็นไฟฟ้าสว่างไปทั่วเมืองทั้ง ๆ ที่ไม่มีสายไฟ เสาไฟ หรืออะไรเลยที่บ่งบอกถึงการจะมีไฟฟ้าใช้ได้?’ “เหลือเชื่อ!” เขาพูดขึ้นเหมือนล่องลอยอยู่ในโลกแห่งจินตนาการ เธอยิ้มบาง ๆ “อืม...อย่างทองคำที่นำมาสร้างโน่นสร้างนี่” หยุดเว้นระยะ “ล้วนเป็นทองคำแท้ทั้งหมด! ไม่นานนายคงได้เห็นและก็อย่าแปลกใจไปหละ มันก็เป็นเพียงการเปลี่ยนจากปรอทให้เป็นทองคำ!”๓ “หา! เปลี่ยนปรอทนี่นะให้เป็นทองคำ” เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่น่าเชื่อว่ามันจะเป็นไปได้ “หูของนายยังใช้การได้ดีอยู่นะ” เธอชมด้วยความจริงใจ “ก็แค่เอาโปรตรอนจากปรอทออก ๑ ตัว!” เธอยักไหล่เล็กน้อยพองาม “และยังมีอื่น ๆ อีกมากมายที่นายได้ฟังแล้วอาจจะตกใจไปมากนี้! ที่สำคัญพลังงานที่ได้จากการรวมแรงทั้งสี่นี้ไม่มีสารตกค้าง” เธอหยุดพักเว้นระยะ “สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงของเล่นชิ้นใหม่ที่กำลังจะกลายเป็นสิ่งที่ล้าสมัยหรือตกรุ่นในอนาคตอันใกล้เท่านั้นเอง ไม่ใช่เรื่องที่แปลกหรือน่าตื่นเต้นแต่อย่างใด สำหรับพวกเราแล้วหากคิดว่าเรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ วันหนึ่ง ๆ ก็คงจะมีสิ่งมหัศจรรย์เกิดขึ้นทุกวินาที!” “มหัศจรรย์! ทุกวินาที!” เป็นอีกครั้งที่เขารู้สึกตื่นเต้นและตกใจในข้อมูลที่หลุดออกมาจากปากของเธอ “สิ่งไหนที่ยังไม่จำเป็นต้องใช้ก็เก็บเอาไว้ในสถานะของพลังงานที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า เมื่อถึงเวลาก็สามารถแปลงกลับมาเป็นสสาร (รูป) ได้ตามที่ต้องการ เพื่อเป็นการประหยัดพื้นที่ใช้สอยที่เหลือน้อยลงไปทุกที” เธอเหลือบมองหน้าเขาก่อนที่จะกล่าวต่อ “พื้นที่ใช้สอยเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เราไม่สามารถขยายปริมาณไปได้ตามที่ต้องการ! อาณาจักรของเราไม่มีพื้นที่เพียงพอแม้แต่การจะใช้เป็นที่อยู่อาศัยตามสัดส่วนที่ควรจะเป็น นายจึงได้เห็นถึงความแออัดยัดเยียดต่าง ๆ ถ้าหากว่านายได้ไปเห็นนอกเมืองก็จะยิ่งเข้าใจในสิ่งที่ฉันพูดดีขึ้น” เขาพยักหน้าตามในฐานะอาคันตุกะที่ดีในขณะที่เธอก็ทำหน้าที่เป็นเจ้าบ้านที่ดีในการให้ความกระจ่างกับเขาต่อไป ในขณะที่เดินไปเรื่อย ๆ ตามฟุตบาท “ปู่เคยพูดให้ฉันฟังเสมอว่า การผลิตเท่ากับการทำลาย!” เธอย้ำในประโยคสุดท้าย ‘การผลิตเท่ากับการทำลายงั้นเหรอ นี่เป็นตำราเศรษฐศาสตร์ของใครรึ! พิลึกน่าดู’ เขานึกค้านอยู่ในใจ เพราะที่เขาเรียนมามันไม่ใช่อย่างนั้น เธอหันมองเขาก่อนอธิบายต่อ “ปู่บอกว่าการผลิตสิ่งต่าง ๆ ก็เป็นเพียงแค่การแปรรูปจากสิ่งหนึ่งให้เป็นอีกสิ่งหนึ่งตามความต้องการเท่านั้น แต่ท่านไม่เรียกว่าการแปรรูปท่านเรียกว่าการทำลาย! มันเป็นเหมือนสมการการแลกเปลี่ยนที่สมเหตุสมผลสำหรับคนที่ได้ประโยชน์ แต่จะกลายเป็นความไม่สมเหตุสมผลขึ้นมาในทันทีที่เสียประโยชน์ ไม่ว่าจะผ่านมากี่ยุคกี่สมัยก็เป็นไปในลักษณะนี้ไม่มีเปลี่ยน” เธอหยุดพักเว้นระยะในขณะที่ยังคงก้าวเท้าเดินไป “ปู่ของฉันชอบยกตัวอย่างเรื่องป่าไม้ เพราะท่านชอบธรรมชาติ มนุษย์ในยุคก่อน ๆ ชอบตัดไม้ทำลายป่า ทำยังกับว่าเป็นประเพณีที่ดีงามที่ต้องสืบสานส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นซะงั้น!” น้ำเสียงของเธอเจือไปด้วยอารมณ์ที่ประชดประชันอยู่ในที “ตัดต้นไม้เพื่อเอาไปทำโน่นทำนี่ที่คิดว่าจะมีประโยชน์มากกว่าการให้มันคงอยู่ แต่ปู่เรียกว่าเป็นการทำลายที่ต้องแลกกับการปรับเปลี่ยนดุลยภาพแห่งธรรมชาติที่ส่งผลโดยตรงต่อมวลมนุษยชาติอย่างมหาศาล ซึ่งสิ่งเหล่านั้นมนุษย์จะมองว่าไม่สมเหตุสมผลเมื่อเกิดภาวะฝนแล้ง น้ำท่วม หรือภัยพิบัติทางธรรมชาติต่าง ๆ แต่ปู่มองว่าหารู้ไม่สิ่งเหล่านั้นที่เกิดขึ้นเป็นสมการการแลกเปลี่ยนที่สมเหตุสมผลเที่ยงตรงตามกฎธรรมชาติ ๔ ที่สุด! เพียงแต่ว่ามันไม่ได้เป็นไปในลักษณะของสมการเส้นตรงแต่เป็นสมการที่ซับซ้อนเกินกว่าคนธรรมดาสามัญจะเข้าใจได้ ซึ่งในท้ายที่สุด ธรรมชาติก็จะจัดสมดุลของมันเองโดยอัตโนมัติไม่มีใครหน้าไหนหรือสิ่งใดจะเข้าไปแทรกแซงหรือละเมิดกฎเกณฑ์นั้นได้ สภาวะเหล่านั้นปู่จึงเรียกว่าสมการการแลกเปลี่ยนที่สมเหตุสมผล ในขณะที่คนส่วนใหญ่กลับเรียกว่าธรรมชาติลงโทษหรือธรรมชาติไม่มีความเป็นธรรมหรืออะไรก็สุดแล้วแต่...” เธอหยุดไว้เพียงแค่นั้น “งั้นคุณปู่ของเธอก็คงไม่เห็นด้วยกับความเจริญที่เกิดขึ้นจากวิทยาศาสตร์ของพ่อเธอนะสิ!” ชายหนุ่มถามขึ้นหลังจากที่ฟังเธออธิบายอย่างเงียบ ๆ มาสักพัก “เรียกว่าไม่ยินดียินร้ายดูจะเหมาะสมกว่า ปู่ไม่เคยต่อต้านหรือเห็นด้วยกับนวัตกรรมใหม่ๆ ของวิทยาศาสตร์ที่สร้างความมหัศจรรย์! ให้เกิดขึ้นใหม่ได้ทุกวินาที!” เธอเน้นคำว่ามหัศจรรย์และทุกวินาทีอย่างเข้มข้นอีกครั้ง “ปู่ถือว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพราะแรงบีบคั้น บังคับจากธรรมชาติ เมื่อดุลยภาพของธรรมชาติถูกจัดสมดุลใหม่ วิทยาการใหม่ ๆ ก็จะถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรองรับกับการเปลี่ยนแปลงเท่านั้นเอง ไม่ได้สลักสำคัญอะไรมากมายสำหรับท่าน” พูดถึงตอนนี้ มีรอยยิ้มบาง ๆ ปรากฏบนใบหน้าสวยใสได้รูปของเธอ ก่อนที่... “นายก็รู้ดีนี่ สภาพอากาศที่เป็นอยู่ในขณะนี้ไม่ได้เกิดจากการกระทำของยุคพวกเราโดยตรง! แต่มันเป็นผลที่สั่งสมและส่งผ่านมาจากยุคก่อน ๆ รวมทั้งยุคของ...” เธอเลือกที่จะกลืนคำสุดท้ายลงคอไป และมีสีหน้าเศร้าลง “หากว่าเราไม่ปรับตัวโดยอาศัยความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีที่เหมือนกับการไปชำระล้างความสกปรกและอันตรายจากสารพิษที่เกิดจากยุคที่ผ่านมา ไม่ต้องนึกเลยว่าจะมีอะไรรอเราอยู่ข้างหน้า...” เธอถอนหายใจ “ปู่บอกว่ามนุษย์เราไม่สามารถเอาชนะธรรมชาติได้! ไม่สามารถ... ตลอดกาล... ไม่ว่าจะเป็นอดีต ปัจจุบัน รวมถึงอนาคต เราทำได้เพียงแค่ปรับตัว ปรับเปลี่ยนทางกายภาพ รวมทั้งเทคโนโลยีที่มีอยู่ให้เข้ากับแรงบีบคั้น บังคับจากการจัดสมดุลของธรรมชาติใหม่เท่านั้นเอง ไม่มีทางที่กฎเกณฑ์ในธรรมชาติจะปรับตัวเข้ามาหาด้วยแรงบีบคั้น บังคับจากเทคโนโลยี... ไม่มีทาง!” เธอย้ำอย่างหนักแน่นและสูดลมหายใจเข้าปอดลึก ๆ ก่อนผ่อนมันออกมาอย่างช้า ๆ “ปู่สอนฉันให้เข้าใจอะไร ๆ หลายอย่างเสมอในทำนองที่ว่า เราไม่จำเป็นต้องควักลูกตาออกมาทั้งสองข้างเพื่อที่จะได้เข้าใจในความรู้สึกของคนที่ต้องสูญเสียดวงตา ท่านบอกว่าคนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจจึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองตาบอดเพื่อที่จะได้เข้าใจในสิ่งเหล่านั้น!” เธอทิ้งท้ายเอาไว้ด้วยประโยคที่ทำให้เขารู้สึกอึ้งและทึ่งในความคิดของสาวน้อยคนนี้ ‘อีกแล้วนะสาวน้อย...เธอช่างมีอะไร ๆ ที่ทำให้ฉันประหลาดใจได้เสมอ!’ เขาอดทึ่งกับความคิดของเธอไม่ได้... เครดิตภาพจาก : http://img.spacethai.net/images/15cernxlar.jpg ******************************************************************************************************************** ๑ ไอน์สไตน์ พยายามที่จะคิดค้นหากฎที่ควบคุมสรรพสิ่งบนพิภพโลกและจักรวาลดังกล่าว โดยพยายามหาวิธีรวมแรงทั้ง ๔ เข้าด้วยกัน แต่ก็ไม่สำเร็จจวบจนกระทั่งวาระสุดท้ายของเขา แรงพื้นฐานในพิภพโลกและจักรวาล ๔ แรง ประกอบด้วย ๑. แรงโน้มถ่วง คือ แรงดึงดูดกันระหว่างวัตถุ หรือสสารสองก้อนที่มีมวล ๒. แรงแม่เหล็กไฟฟ้า คือ แรงดึงดูดกันหรือผลักกันระหว่างมวลสองอย่างที่มีประจุไฟฟ้าต่างกันหรือเหมือนกันแล้วแต่กรณี ๓. แรงนิวเคลียร์อย่างอ่อน คือ แรง (ในบางที่ใช้คำอันตรกิริยา เกี่ยวเนื่องเพราะลักษณะอาจไม่เหมือนแรง) ของการแผ่รังสีจากอะตอมออกไป เช่น นิวตรอนแปรสภาพเป็นโปรตอนโดยการปล่อยอิเล็กตรอนออกไป ๔. แรงนิวเคลียร์อย่างเข้ม คือ แรงที่ยึดควาร์ก (อนุภาคย่อยที่เป็นสภาพควอนตัมในนิวเคลียส) ไว้ด้วยกันเพื่อรวมให้เป็นโปรตอนและนิวตรอน และแรงที่ยึดโปรตอนและนิวตรอนเข้าไว้ด้วยกันให้เป็นนิวเคลียส ในบรรดาทั้ง ๔ แรงนี้ ปริมาณและขนาดของแรงเรียงจากน้อยไปมากได้แก่ แรงโน้มถ่วง แรงนิวเคลียร์อย่างอ่อน แรงแม่เหล็กไฟฟ้า และแรงนิวเคลียร์อย่างเข้ม ตามลำดับ ซึ่งในจำนวนทั้งสี่แรงนี้ แรงโน้มถ่วงและแรงแม่เหล็กไฟฟ้าสามารถที่จะส่งแรงออกไปได้ไกลมาก ๆ ในขณะที่แรงนิวเคลียร์ทั้งสองอย่างมีระยะห่างของแรงสั้น ๆ ภายในนิวเคลียร์ของมันเท่านั้น ซึ่งไอน์สไตน์เฝ้าเพียรพยายามหาวิธีการรวมแรงโน้มถ่วงกับแรงแม่เหล็กไฟฟ้า (ที่สามารถส่งแรงออกไปได้ไกลมาก ๆ ) เข้าด้วยกัน ซึ่งหากทำสำเร็จก็จะครอบคลุมไปถึงการรวมแรงนิวเคลียร์ทั้งสองอย่างด้วย ๒. ปฏิสสาร (Antimatter) เป็นสสารที่ประกอบด้วยคู่ของอนุภาค (particles) กับปฏิอนุภาค (antiparticles) ซึ่งมีมวลเท่ากันแต่มีคุณสมบัติอย่างอื่นของอะตอมตรงข้ามกัน ได้แก่ การหมุน (spin) และประจุ (charge) เมื่อวัตถุตรงกันข้ามทั้งสองชนิดนี้มารวมกัน จะเกิดการทำลายกัน (annihilation) พร้อมทั้งให้พลังงานปริมาณมากออกมาตามสมการของไอน์สไตน์ E = mc2 ๓ ปรอทมีโปรตอน ๘๐ ตัว และทองคำมีโปรตอน ๗๙ ตัว ๔ “กฎธรรมชาติ” ที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงค้นพบเมื่อกว่า ๒๕ ศตวรรษที่ผ่านมา และทรงแสดงไว้ ๕ อย่าง เรียกว่า “ปัญจนิยามธรรม” คือ กฎ ๕ ประการ ที่บีบคั้น บังคับให้เกิดอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตาของทุกสรรพสิ่ง ประกอบไปด้วย ๑ อุตุนิยาม (Physical Laws) เป็นกฎธรรมชาติที่ครอบคลุมความเป็นไปของปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เกี่ยวเนื่องกับวัตถุที่ไม่มีชีวิตทุกชนิด เช่น ฤดูกาล อุณหภูมิ หรือความร้อน – เย็น อันทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทั้งรูปและนาม หรือแม้กระทั่งการก่อเกิดของโลกและจักรวาลก็เป็นไปตามกฎธรรมชาติของข้อนี้ เกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกับกฎและทฤษฎีทางฟิสิกส์ทั้งหมด ๒. พีชนิยาม (Biological Laws) เป็นกฎธรรมชาติที่ครอบคลุมความเป็นไปของสิ่งมีชีวิตทั้งสัตว์และพืช การสืบพันธุ์หรือพันธุกรรม เกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงกับกฎและทฤษฎีทางชีววิทยาทั้งหมด ๓. จิตนิยาม (Psychological Laws) เป็นกฎธรรมชาติที่เกี่ยวกับกลไกในการทำงานของจิต เช่น เมื่อมีอารมณ์ (สิ่งเร้า) กระทบประสาท จะมีการรับรู้เกิดขึ้น จิตจะทำงานอย่างไร กล่าวคือ มีการไหวแห่งภวังคจิต ภวังคจิตขาดตอน และมีอาวัชชนะแล้วมีการเห็น การได้ยิน เป็นต้น รวมถึงการเกิด-ดับของจิต การรับอารมณ์ของจิต องค์ประกอบของจิต (เจตสิก) ๓ อำนาจของความคิดเพื่อกระทำกรรมแก้ไขความคงอยู่ ๔. กรรมนิยาม (Moral Laws) เป็นกฎแห่งกรรม การกระทำกรรม อันทำให้เกิดพัฒนาการและวิวัฒนาการในทุก ๆ ด้าน เกี่ยวเนื่องกับพฤติกรรม เป็นกระบวนการก่อการกระทำและการให้ผลของการกระทำ กินลึกลงไปถึงกระบวนการแห่งเจตน์จำนง หรือความคิดปรุงแต่งสร้างสรรค์ต่าง ๆ พร้อมทั้งผลที่สืบเนื่องออกไปอันสอดคล้องประสานกัน ๕. ธรรมนิยาม (Causal Laws) เป็นกฎธรรมชาติอันเป็นไปตามเหตุตามผล ตามปัจจัยของสรรพสิ่งทั้งหลาย เช่น กฎไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา) หลักปฏิจจสมุปบาทหรืออิทัปปัจจยตา ที่ว่า “เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เพราะสิ่งนี้ดับไป สิ่งนี้ก็ดับ (ด้วย)” โดยกฎข้อนี้มีขอบเขตครอบคลุมกว้างขวางที่สุด กลไกการทำงานของกฎทั้งสี่ข้อ บีบคั้น บังคับให้เกิด อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา นี้ คำสำคัญ (keywords): วิทยาศาสตร์, สสาร, เรื่องสั้น, ปฏิสสาร · เลขที่บันทึก: 503948 · สร้าง: 29 กันยายน 2555 12:19 · แก้ไข: 29 กันยายน 2555 12:45

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น